Sunday, 6 July 2025
COLUMNIST

วาระที่โลกจับตา เดินหน้าสู่เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ความคืบหน้าที่ต้องจับตาใน APEC 2022

ภายหลังจากที่ APEC เริ่มยกระดับการประชุมสู่กลไกการตัดสินใจร่วมกันของที่ประชุมสุดยอดผู้นำ หรือ APEC Summit ที่เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในปี 1993 เมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำครั้งแรก ณ Blake Island ในรัฐวอชิงตัน การผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจสมาชิกก็ดูจะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ตามประเพณีของ APEC เขตเศรษฐกิจที่ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่ประธานในแต่ละปี จะเกิดขึ้นจากฉันทามติของที่ประชุม APEC โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันระหว่างเขตเศรษฐกิจในทวีป สลับกับเขตเศรษฐกิจในภาคพื้นแปซิฟิก 

ในปี 1994 ประเทศอินโดนีเซียซึ่งอยู่ในฟากฝั่งทวีปเอเชียจึงได้รับเกียรติให้เป็นประธานการประชุมต่อจากสหรัฐอเมริกัน ซึ่งถือเป็นสมาชิกทางภาคพื้นแปซิฟิก โดยรัฐบาลอินโดนีเซียเลือกที่จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ขึ้นที่เมือง Bogor ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ลงไปประมาณ 60 กิโลเมตรจากกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศ

ในการประชุมครั้งนั้น สาระสำคัญที่สุดที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการประชุมในกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ ผู้นำ APEC ได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายระยะยาวในการสร้าง ‘เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก’ หรือที่ประชุมใช้คำว่า Free and Open Trade and Investment in the Asia-Pacific และได้กำหนดเป็น ‘เป้าหมาย’ หรือ ‘Bogor Goals’ ที่ตั้งเอาไว้ว่า “สำหรับเขตเศรษฐกิจที่มีรายได้ระดับสูงและมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพัฒนาแล้ว จะเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนกับสมาชิก APEC ภายในปี 2010 และให้แต้มต่อกับเขตเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำ และมีระดับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระดับกำลังพัฒนาให้มีการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนในปี 2020”

หลังจากนั้น ก็ได้มีการตั้งคณะที่ปรึกษาภาคเอกชนขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการให้ข้อเสนอแนะในมิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีและความร่วมมือในมิติอื่นๆ กับการประชุมของภาครัฐและผู้กำหนดนโยบาย โดยสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก (APEC Business Advisory Council) หรือ ABAC ได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1995 และได้ทำหน้าที่ประชุมควบคู่กันไปกับการประชุมของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ Asian Financial Crisis หรือที่พวกเราชาวไทยนิยมเรียกว่า ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ ต่อเนื่องกระแสที่ตกต่ำลงของการประชุมเพื่อเปิดเสรีการค้าในระดับพหุภาคีขององค์การการค้าโลก ที่ล้มเหลวในการเปิดการเจรจารอบ Millennium Round ในปี 1999 และความล่าช้าของการเจรจาในรอบ Doha Development Round ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2001 นั้น ได้ทำให้การเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในกรอบใหญ่ๆ ดูเหมือนจะหยุดชะงักลง และหลายๆ ประเทศทั่วโลกก็มาให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าในระดับทวิภาคี และในระดับภูมิภาค นั่นจึงทำให้การเจรจาการค้าในกรอบ APEC ดูจะซบเซา

อย่างไรก็ตามในปี 2007 แนวคิดที่จะปัดฝุ่นการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในกรอบ APEC ก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีกครั้ง โดยการผลักดันอย่างแข็งแกร่งจากภาคเอกชน ABAC นั่นจึงเป็นการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งของความร่วมมือที่ต่อจากนี้ไปจะถูกเรียกว่า เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific) หรือ FTAAP (อ่านว่า เอฟ-แท็บ) 

ด้านสำนักเจรจาการค้าพหุภาคี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้มีการทำสรุปประเด็นการก่อกำเนิดของ FTAAP ไว้อย่างน่าสนใจในปี 2009 เอาไว้ว่า ผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่น่าสนใจคืองานศึกษาของเกาหลีใต้ที่ได้รวบรวมมาจากงานวิจัยของนักวิชาการต่างๆ โดยรายงานการศึกษาได้ยกคำถามรวมทั้งความเห็นต่อคำถามเหล่านั้นไว้ให้สมาชิกเอเปก หารือกันต่อ คำถามหลัก ๆ อาทิ... 

1.) ทำไมต้องมี FTAAP
2.) FTAAP มีประโยชน์หรือไม่
3.) การจัดทำ FTAAP เป็นไปได้หรือไม่
4.) การจัดตั้ง FTAAP จะใช้วิธีใด
5.) เอเปกควรศึกษาประเด็นใดเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการจัดตั้ง FTAAP เป็นต้น

>> ‘ทำไมต้องมี FTAAP?’ 
นักวิชาการต่างเห็นว่า เหตุผลสำคัญที่ FTAAP จะเป็นหนึ่งในหลายทางเลือกในเชิงนโยบายสำหรับสมาชิกเอเปกและโลก คือความล่าช้าในการดำเนินงานเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายโบกอร์ (Bogor Goals) ปัญหา Spaghetti bowl จากความซับซ้อนของการจัดทำ FTA / RTA ของสมาชิกเอเปก รวมทั้งความล้มเหลวในการเปิดเสรีรายสาขาโดยสมัครใจของเอเปกในช่วงที่ผ่านมา

>> ‘FTAAP มีประโยชน์หรือไม่?’ 
ผลจากงานวิจัยได้แสดงผลกระทบด้านความกินดีอยู่ดีในเชิงปริมาณว่า การจัดทำ FTAAP จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกเอเปกและเศรษฐกิจโลกโดยรวม หากเอเปกไม่เลือกปฏิบัติต่อประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก (Unilateral Open Regionalism Approach) โดยจะสร้างความแข็งแกร่งแก่การเปิดเสรีการค้าในระดับพหุภาคี อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่แต่ละสมาชิกจะได้รับนั้นจะแตกต่างกันตามระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

>> ‘การจัดทำ FTAAP เป็นไปได้หรือไม่?’ 
ในรายงานได้กล่าวอย่างระมัดระวัง โดยยอมรับถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณา FTAAP ว่าเป็นหนึ่งนโยบายทางเลือกในการดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนของเอเปก โดยคงไว้ซึ่งนโยบายการเปิดกว้างในภูมิภาค (Open Regionalism) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเอเปกยังขาดแรงผลักดันทางการเมือง (Political Will) ที่จะส่งเสริมการจัดทำ FTAAP ภายในเอเปก รวมทั้งมีข้อจำกัด/อุปสรรคเฉพาะในบางเรื่องในการจัดตั้ง Regional Trade bloc ของตน เช่น การดำเนินงานของเอเปกอยู่บนหลักของความสมัครใจ (voluntary) เป็นต้น

ในห้วงเวลานั้น สมาชิกเอเปกกำลังทำการบ้านกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อศึกษาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ FTAAP เช่น ศึกษาผลกระทบจากการจัดทำ FTAAP ทางเศรษฐกิจต่อสมาชิกเอเปกและโลก ศึกษาวิเคราะห์กลไกในการจัดทำ FTAAP ศึกษาความเหมือน/แตกต่างของข้อบทต่าง ๆ ในความตกลงการค้าเสรีของสมาชิกเอเปก (เช่น Market Access, Rules of Origin, Customs Procedures, Technical Barriers to Trade) และศึกษาเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) เป็นต้น

เช็คความพร้อม 'ประชาธิปัตย์' นครศรีธรรมราช เตรียมเปิดตัวผู้สมัคร 9 เขต มั่นใจกวาดยกจังหวัด

"นครศรีธรรมราชไม่เงียบนะ" เป็นคำตอบมาจาก 'แทน-ชัยชนะ เดชเดโช' ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ รองเลขาธิการพรรค

"พรรคเตรียมเปิดตัวผู้สมัครทั้ง 9 เขต ในเดือนพฤศจิกายน ขณะเราได้ตัวผู้สมัครแล้ว 8 คน 8 เขต อีก 1 เขตรอการทำโพลล์"

8 คนที่ได้ตัวผู้สมัครแล้ว เป็น ส.ส.ปัจจุบัน 4 คน และเลือดใหม่ 4 คน ประกอบด้วย...

ส.ส.4 คน ประกอบด้วย ชัยชนะ เดชเดโช, ชินวรณ์ บุณยเกียรติ์, ประกอบ รัตนพันธ์ และพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล' ซึ่งใครลงเขตไหนยังระบุชัดไม่ได้ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ประกาศเขตเลือกตั้งออกมา 

ส่วนเลือดใหม่ 4 คน ประกอบด้วย ราชิต สุดพุ่ม, พิทักษ์เดช เดชเดโช, อวยพรศรี เชาวลิต และ ลูกชายของชินวรณ์

ส่วนอีก 9 คน เพราะ ส.ส.นครศรีธรรมราชมี 9 คน คือ โซนหัวไทร ชะอวด เชียรใหญ่ อยู่ระหว่างเตรียมการทำโพลล์ เนื่องจากมีผู้เสนอตัวลงสมัครมากกว่า 1 คน พรรคจึงต้องทำโพลล์ เป็นการทำโพลล์ระหว่าง 'ยุทธการ รัตนมาศ' อดีตรองนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช นายกสมาคมกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช กับ 'พงศ์สิน เสนพงศ์' น้องชายของเทพไท เสนพงศ์ เคยลงสมัครเมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อม เขต 3 คือพื้นที่โซนนี้แหละ แต่แพ้ให้กับอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ ก็คิดว่า เวลาในการพบปะแนะนำตัวเหลือน้องลงทุกวัน

ไม่ว่าจะเป็นพงศ์สิน หรือยุทธการ ในมุมมองของ #นายหัวไทร เชื่อว่า มีฐานเสียงเดียวกัน คือโซนชะอวด ฐานเสียงโซนหัวไทรจะเบาบางทั้งคู่

"เรามีวิธีในการเรียกคะแนนจากประชาชน ขอให้สนามเลือกตั้งเปิดก่อน" เป็นคำยืนยันจาก 'ชัยชนะ'

'แทน-ชัยชนะ' ยังเชื่อมั่นว่า เลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนพรรคประชาธิปัตย์จะชนะยกจังหวัด 9 ที่นั่ง

ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับสถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ แต่ก็ต้องเชื่อในฝีมือของ ส.ส.แทน กับปัจจัยเกื้อหนุน แต่ก็ไม่ควรปรามาสคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากพรรคพลังประชารัฐที่เขามีอยู่ครึ่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช 4 ที่นั่ง ทั้ง ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ, สายัณห์ ยุติธรรม, อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และสัญหพจน์ สุขศรีเมือง ที่พวกเขาฝ่าด่านมาได้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา รวมถึงเลือกตั้งซ่อมด้วย และไม่ควรมองข้ามพรรคภูมิใจไทยที่กระแสดี มีผลงาน “พูดแล้วทำ” เขากำลังจัดทัพสู้เต็มที่เหมือนกัน ปัจจัยพร้อม กระสุนดินดำมี ถ้าได้ผู้สมัครที่มีชื่อชั้น ก็จะมีราคามาต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐได้เช่นกัน

ส.ส.แทน คงจะประเมินในสถานการณ์ที่ชินวรณ์ และพิมพ์ภัทรา ยังยืนหยัดสู้อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีกระแสข่าวหนาหูว่าทั้งสองคนถูกพรรคอื่นทาบทาม ซึ่งในสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงแย่งฐานภาคใต้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนจะถูกแซะจากพรรคคู่แข่ง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสองคน และขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์ว่าจะให้บทบาทให้ความสำคัญกับทั้งสองคนแค่ไหนในระดับไหน

ด้วยรักและศรัทธา การจาริก ‘Arba'een’ พิธีกรรมทางศาสนาประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากพลังศรัทธาของชาวชีอะห์มุสลิมที่มีต่อ ‘อิหม่ามฮุเซน’

เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา มีพิธีการจาริก Arba'een หรือ Arba'een Walk เป็นการแสวงบุญหรืองานชุมนุมทางศาสนาสาธารณะประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับมีคนรู้จักการแสวงบุญนี้น้อยเป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีผู้คนมากกว่า ๒๐ ล้านคน เดินเท้าอย่างสงบระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส เพื่อทำการจาริกแสวงบุญ Arba'een ไปยังสถานที่ฝังเรือนร่างของท่านอิหม่ามฮุเซน ผู้เป็นหลานรักของท่านศาสดามูฮำหมัด (ศ็อลฯ) ณ ดินแดน Karbala ประเทศอิรัก

การจาริก Arba'een เริ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาไว้ทุกข์ ๔๐ วันหลังวันอาชูรออ์ (ASURA) อันเป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิหม่ามฮุเซน บิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในดินแดน Karbala เมื่อวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ฮ.ศ. (ฮิจเราะห์ศักราช) ๖๑ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยอิหม่ามฮุเซนและครอบครัวพร้อมกับบรรดาสาวกจำนวน ๗๒ คนได้ร่วมเดินทางไปยังเมือง Kufa ประเทศอิรัก (ปัจจุบันรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Najaf) เนื่องจากประชาชนที่ Kufa ได้ร้องเรียกให้อิหม่ามฮุเซนมาโค่นล้มบัลลังก์ของราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ ผู้ปกครองในยุคนั้น 

โดยระหว่างการเดินทาง กองคาราวานของอิหม่ามฮุเซน ได้ไปหยุดอยู่ที่เขตที่เรียกว่า Karbala คาราวานของเขาเดินทางไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกทหารของฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์จำนวนหลายหมื่นคนได้ทำการปิดกั้น และที่สุดก็ได้สังหารอิหม่ามฮุเซนและบรรดาสาวกจนหมด 

ชาวชีอะห์มุสลิมจะไว้อาลัยอิหม่ามฮุเซนในวันอาชูรออ์ โดยการจัดพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องอิหม่ามฮุเซนจากประวัติศาสตร์ การขอดุอาอ์ การเลี้ยงอาหารและน้ำแก่คนยากจน สถานที่จัดคือที่มัสยิดฮุซัยนียะห์

จำนวนผู้เข้าร่วมแสวงบุญประจำปีมากกว่า ๒๕ ล้านคน บนเส้นทางแสวงบุญมีอาหาร ที่พัก และบริการอื่นๆ ให้บริการฟรีโดยอาสาสมัคร ผู้แสวงบุญบางคนเดินทางจากที่ต่างๆ และจากต่างประเทศ เช่น อิหร่าน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด พิธีกรรมนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น “การแสดงความเชื่อและความเป็นปึกแผ่นอันทรงพลังอย่างท่วมท้น” 

การจาริก Arba'een ตามแบบปัจจุบันเริ่มขึ้นในปี ฮ.ศ. ๑๓๑๙ ( ค.ศ.๒๔๔๔) โดยนักวิชาการศาสนาหลายคน และ Marja ยังคงรักษาแนวทางเดียวกันในการจาริก Arba'een จนถึงสมัยของประธานาธิบดีซัดดัม การจาริกแสวงบุญจึงถูกห้ามตลอดระยะเวลาภายใต้การปกครองของเขา ด้วยตัวซัดดัมเป็นชาวสุหนี่มุสลิม และฟื้นคืนมาหลังจากการโค่นล้มซัดดัมในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีผู้แสวงบุญราว ๒๕ ล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๕๙

เพื่อไทย ปาดเหงื่อ!! สนามใหญ่เลือกตั้งถิ่นปทุมธานีหนหน้า เมื่อ เกียรติศักดิ์ ตีจาก 'บิ๊กแจ๊ส' หนีไปซบอก 'ลุงป้อม'

แค่เห็นบริบทแรกของการเมืองแห่งเมืองปทุมธานี ก็ดูท่าจะสนุกแล้ว หลังจากเดิมสนามแห่งนี้พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าอยู่ แต่อาจจะมีพรรคโน้นพรรคนี้แซมเข้ามาบ้าง พรรคละคนอะไรประมาณนี้!!

หลังจาก “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้มีวันนี้เพราะพี่ให้ ได้รับเลือกเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 'การใหญ่ก็แว่บขึ้นมา'  เพราะลูกชายก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีนครรังสิตด้วยอีกคน 

การใหญ่ที่ว่าคือสนามเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยต้องยึดทั้งจังหวัด

บิ๊กแจ๊สขอจัดทีมเอง และเลือกคนของตนเองลงสมัครเป็นส่วนใหญ่ นั่นจึงทำให้ ส.ส.เก่าบางคนก็ไม่ได้รับการพิจารณาส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ทัพจึงเริ่มแตก โดยมี “เกียรติศักดิ์ ส่องแสง” อดีต ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนแรกๆ ที่เดินออกมาจากทีมบิ๊กแจ๊ส

“ผมตัดสินใจแล้วครับ 
ยอมตายในดาบหน้า 
แพ้เท่ากับศูนย์ เสมอได้กำไร 
ชนะคือกำไรมหาศาล
ไม่มีอะไรจะต้องเสียไปมากกว่านี้แล้วครับ”

“ผมขอเดินทางไปกับพรรคที่ให้เกียรติผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้คิดถึงเขาเลย ผมขอขอบคุณ พรรคที่ให้เกียรติผม (พปชร.) แต่บางคนในพรรคที่ผมอยากไปอาศัยชายคาด้วย ไม่ให้ราคากันบ้างเลย

“ผมขอพิสูจน์ครับ ผมขอน้อมรับครับ ผมขอเกาะไปกับขบวนตู้ท้ายนี้แล้วครับ ถึงจะเปลี่ยนผู้โดยสารคนสุดท้ายให้ใหม่ ผมมิอาจรอได้จริงๆ”

กล่าวถึงเกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมัยอยู่ประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็น ส.ส.ที่ขยันลงพื้นที่ต่อเนื่อง แม้จะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็แจ้งเกิดในสนามยากได้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน เกียรติศักดิ์หันหัวเรือไปยังพรรคเพื่อไทยกับกระแสแลนด์สไลด์ แต่เมื่อเข้าไปแล้วเจอตอ ก็ต้องถอยออกมาดีกว่าให้เรืออับปาง หรือเดินออกมหาสมุทรแล้วเจอหินโสโครก ที่ไม่อาจรู้อนาคตได้ พายุใหญ่ก่อตัวอยู่กลางมหาสมุทรใหญ่ด้วย

พลันที่ เกียรติศักดิ์ เดินออกจากเพื่อไทย ฟาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็อ้าแขนรับเข้าสู่อ้อมอกอันอบอุ่น ในสนามเลือกตั้ง “แพ้-ชนะ” ว่ากันในอีก 7 เดือนข้างหน้า

เลือกตั้งครั้งหน้าปทุมธานี จึงเป็นอีกสนามเลือกตั้งที่น่าจะฟาดฟันกันดุเดือด ไม่ว่าจะเป็น ทีมก้อย พรพิมล ธรรมสาร ที่ถีบตัวออกจากเพื่อไทยอีกคน และมีคนพร้อมจะลุยสู้ศึก เปิดหน้าลุยกันอยู่แล้ว ย่านลาดสวาย ลำลูกกา ก็มี “โอม-จิรชาติ” เจ้าของแนวคิดลาดสวายโมเดล ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ก็พร้อมขึ้นเวทีตะบันหน้ากับทุกพรรค แม้คราวที่แล้วโอมจะลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐและก้าวไม่ถึงฝัน แต่ประสบการณ์และความขยันลงพื้นที่คลุกคลีชุมชน ก็น่าจะเรียกคะแนนได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมในนามพรรคสร้างอนาคตไทย เรียกว่าเป็นอีกเขตพื้นที่สุดท้าทายเพื่อไทยไม่น้อยกับฝันยึดจังหวัดของบิ๊กแจ๊ส

ยังไม่พูดถึงเขตอื่นที่พรรคภูมิใจไทยก็จ่อจ้องเข้ามาเบียดแทรกอยู่เหมือนกัน อย่าลืมว่าสนามเล็กอย่างคลองหลวง เด็กบิ๊กแจ๊สก็แพ้ให้กับ “เอกพจน์ ปานแย้ม” นักร้องลูกทุ่งดังในอดีตมาแล้วกับตำแหน่งนายกเทศมนตรีคลองหลวง เพราะดีกรีอดีต ส.ส.ของเอกพจน์ก็ยังมีอยู่

ก่อนหน้านี้ เมื่อเกียรติศักดิ์ เข้ามาอยู่พรรคเพื่อไทยใหม่ ๆ ก็เจอแรงต้านจากเจ้าของพื้นที่เดิมตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว

ด้าน นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง อดีตส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ ขนทีมงานร่วม 80 ชีวิต มาสมัครเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกมองว่าอาจจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า เรื่องนี้ทำให้พี่น้องประชาชนจังหวัดปทุมธานี สับสน เดิมทีนายเกียรติศักดิ์ เคยเป็นส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ เคยเคลื่อนไหวสมัยการชุมนุมกลุ่มกปปส. เคยขึ้นเวทีด่า นายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเสียหาย ทำให้ต่อมาเกิดการรัฐประหารจากพล.อ.ประยุทธ์ และชาวบ้านเองก็ไม่ยอมรับ คนที่สนับสนุนให้เกิดการรัฐประหาร ไม่รู้ว่าทาง ผู้ใหญ่ในพรรคได้ทราบประเด็นตรงนี้หรือไม่ ในเวลาต่อมานายเกียรติศักดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน ทราบมาว่า การเดินทางมาสมัครของนายเกียรติศักดิ์ ได้รับการทาบทามจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายอบจ.ปทุมธานี

นายชัยยันต์ กล่าวว่า กรณีนี้เหมือนเป็นการบีบตน พยายามทำให้เห็นว่า มีความขัดแย้งกับพรรค เป็นพวกงูเห่า สุดท้ายทนไม่ได้จึงต้องหนีไป ทั้งที่ยังไม่มีความคิดจะย้ายพรรค ยังรักอุดมการณ์พรรคเพื่อไทย ยังยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ไม่เอาลุงตู่ อยากให้ทางพรรคเข้ามาจัดการ แก้ปัญหา เพราะชาวบ้านเองคงไม่ยอมรับแน่ ในการนำคนที่เคยสนับสนุนรัฐประหาร ขึ้นเวทีโจมตีนายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาอยู่กับพรรค รวมทั้งอาจเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองอื่นเข้ามาแทรกแซงได้อีกด้วย

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯนครสงขลา ‘สมศักดิ์-วันชัย’ วัดดวง ‘นิพนธ์’ จะเชียร์ใคร

เรื่อง : นายหัวไทร

เมื่อตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครสงขลาว่างลงจากการที่นายศรัญ บิลพัฒน์ นายกเทศมนตรีนครสงขลา ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี พร้อมค่าจัดการเลือกตั้งอีก 2 ล้านกว่าบาท ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

สัญญาณแรกที่ผมได้ยินจากต้นสายโทรศัพท์คือ ‘วันชัย ปริญญาศิริ’ สส.เขต 1 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ จะลาออกจาก ส.ส.มาลงสมัครชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลาด้วยคนหนึ่ง

เป็นช่วงจังหวะปะเหมาะพอดี ถ้าลาออกจาก ส.ส.หลังวันที่ 24 กันยายนนี้ กกต.ไม่ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่า ถ้าอายุของสภาเหลือไม่ถึง 180 วัน ไม่ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ‘วันชัย’ จึงมีช่องทางโล่ง ไม่ถูกวิจารณ์เรื่องลาออก และต้องเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ

ไม่ต้องมีสัญญาณอะไร เชื่อว่า ‘สมศักดิ์ ตันติเศรณี’ อดีตนายกเทศมนตรีนครสงขลา จะต้องลงชิงแชมป์คืนแน่นอน เพราะคราวที่แล้ว ‘สมศักดิ์’ แพ้ให้กับ ‘ศรัญ’ แค่ 42 คะแนนเท่านั้นเอง ออกแรง เพิ่มพลังอีกหน่อยก็น่าจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น เพียงแต่ว่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นจะเอาชนะ ‘วันชัย’ ได้หรือไม่

สนามเลือกตั้งท้องถิ่นเกี่ยวโยงกับสนามเลือกตั้งระดับชาติด้วย คราวเลือกตั้งปี 2562 วันชัย เอาชนะ สรรเพชญ บุญญามณี ลูกชายของนิพนธ์ บุญญามณี แต่การทำหน้าที่ ส.ส.ของวันชัย สามปีครึ่งที่ผ่านมาไม่โดดเด่นมากนัก จึงหันหัวเรือมาลงท้องถิ่น ด้วยอาจจะเห็นว่า นิพนธ์ ลาออกจาก ส.ส.มาลงชิงนายกฯอบจ.ก็สำเร็จ ไพร พัฒโน ลาออกจาก ส.ส.มาลงชิงนายกฯนครหาดใหญ่ก็สำเร็จ

ศึกชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลา ปัจจัยชัยชนะไม่ได้อยู่แค่ตัวบุคคลที่ลงสมัครเพียงด้านเดียว ต้องจับตาว่า นิพนธ์ บุญญามณี จะสนับสนุนใครระหว่าง ‘สมศักดิ์ กับ วันชัย’ มีคนตั้งข้อสังเกตว่า สมศักดิ์เข้าออกบ้านนิพนธ์ย่านเขารูปช้างทุกเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งสมศักดิ์อาจจะได้รับการสนับสนุนจากนิพนธ์ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนว่า สมศักดิ์ต้องช่วยสรรเพชญ ในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้มีคะแนนชนะ ‘นายกฯแบน’ ประสงค์ บุรีรักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเขารูปช้าง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 1 สงขลา ในนามพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหมายถึงแข่งกับสรรเพชญนั้นเอง

แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือการที่วันชัย ปริญญาศิริ ลาออกจาก ส.ส.ไปลงชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลา เป็นการเปิดทางให้ ‘สรรเพชญ’ กับข้อแลกเปลี่ยน ‘น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า’ หรือเปล่า นิพนธ์ช่วยวันชัย วัยชัยก็หลีกทางให้สรรเพชญ และช่วยสรรเพชญให้ถึงฝั่งฝันของพ่อด้วย

กล่าวสำหรับ ‘วันชัย-สมศักดิ์’ จะเป็นคู่แข่งที่คู่คี่สูสีกันมาก สมศักดิ์ได้ในแง่การอยู่กับท้องถิ่นสงขลามายาวนาน เคยเป็นรองนายกเทศมนตรี จนมาเป็นนายกเทศมนตรีต่อจาก ‘พีระ ตันติเศรณี’ ที่ถูกลอบสังหารกลางเมืองสงขลาในแง่ปัจจัยสมศักดิ์ก็พร้อม มีธุรกิจอู่ต่อเรือทั้งฝั่งเมือง และฝั่งสิงหนคร ส่วนวันชัยก็คลุกคลีกับการเมืองมายาวนาน ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หลายครั้ง เพิ่งมาสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งปี 2562 ธุรกิจในสงขลาก็มี ชื่อเสียงคนรู้จัก

เฉลย!! สารเคมีรั่วไหลจากโรงงานในนครปฐม สูดดมเข้าไป เป็นอันตรายกับเนื้อเยื่อปอด

เช้าวันที่ 22 กันยายน 2565 นอกจากจะเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ในตอนเช้า อันเป็นสาเหตุที่ทำให้รถติดมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองที่อยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเคยชินกันอยู่แล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่น่าระทึกใจเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ การได้กลิ่นเหม็นของสารเคมีบางอย่าง ที่มีลักษณะเหม็นคละคลุ้งไปทั่วคลอบคลุมพื้นที่หลายพื้นที่ เช่น อำเภอนครชัยศรี, อำเภอสามพราน, อำเภอพุทธมณฑล ของจังหวัดนครปฐม รวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานคร เช่น เขตทวีวัฒนา และบางส่วนของอำเภอบางกรวย จังหวัดนครปฐม

โดยลักษณะของกลิ่น จะเป็นกลิ่นฉุน เหม็นเปรี้ยว และเมื่อสัมผัสนานๆ จะทำให้แสบตาได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้โรงเรียนหลายโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง มีคำสั่งให้หยุดการเรียนการสอน เช่น โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย, โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มหามงคล จังหวัดนครปฐม เป็นต้น 

สำหรับสาเหตุการรั่วไหลของสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดนครปฐมนั้น มาจาก โรงงานบริษัทอินโดรามา โพลิเอสเตอร์ อินดัสตรี จำกัด ที่ตั้งอยู่เลขที่ 535/8 หมู่ 4 ถนนเพชรเกษม ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งประกอบกิจการธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และเส้นใยประดิษฐ์   

จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 5 จังหวัดนครปฐม พบว่า สารเคมีที่รั่วไหลนั้นมีชื่อว่า ‘สารไดฟีนิลออกไซด์’ และ ‘สารไบฟีนิล’ ซึ่งเกิดการรั่วไหลบริเวณระบบหล่อเย็น (Cooling) ของกระบวนการผลิตพลาสติก โดยลักษณะของสารเคมีดังกล่าว เมื่ออยู่ในสถานะแก๊ส จะมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถลอยไปในอากาศได้เป็นระยะไกล ทำให้ผู้ที่อาศัยห่างจากแหล่งรั่วไหลหลายกิโลเมตรได้กลิ่น 

ทั้งนี้ สารดังกล่าวนั้นเป็นกลุ่มของสารเคมีประเภทไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ โดยทั่วไปในธรรมชาติ จะพบสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดอยู่ในแหล่งต่างๆ มากมาย เช่น ยางไม้, ถ่านหิน, ปิโตรเลียม, นอกจากนี้ยังมีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางตัวที่ได้จากการสังเคราะห์ 

ยิ่งไปกว่านั้น สารเหล่านี้ บางชนิดถูกใช้เป็นส่วนประกอบของกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีแหล่งกำเนิดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สำคัญที่สุด คือ ‘ปิโตรเลียม’ ซึ่งอันตรายที่เกิดจากการสูดดมสารประเภทนี้ คือ เมื่อสูดดมเข้าไป จะทำให้เป็นอันตรายกับเนื้อเยื่อปอด เพราะมันจะไปละลายไขมันในผนังเซลล์ที่ปอด 

อย่าตื่นค่าเงินผันผวน!! ดอลลาร์แข็งค่า เป็นปัญหาแต่ไม่ใช่วิกฤติ เหตุทุนสำรองไทยยังสูง ไม่ซ้ำรอยต้มยำกุ้งแน่

อย่าตื่นค่าเงินผันผวน!! ดอลลาร์แข็งค่า เป็นปัญหาแต่ไม่ใช่วิกฤติ เหตุทุนสำรองไทยยังสูง ไม่ซ้ำรอยต้มยำกุ้งแน่

เรื่อง : กรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.กระทรวงการคลัง

เงินบาทอ่อน หรือ ดอลลาร์แข็ง?!

เมื่อวานนี้อเมริกาเพิ่มดอกเบี้ยอย่างแรงอีก 0.75% ขึ้นไปอยู่ที่ 3.0-3.25% สูงที่สุดตั้งแต่ช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008

ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยกับไทยเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 3% โดยที่ตลาดคาดการว่าดอกเบี้ยอเมริกาต้องขึ้นไปอีก 1% เต็มภายในปีนี้

เงินดอลลาร์จึงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงิน

เรื่องนี้เป็นปัญหา แต่ไม่ใช่เป็นวิกฤติ!

วิกฤติจะเกิดขึ้นได้หากเราประกาศปักหลักสู้กับดอลลาร์ด้วยการกำหนดเป้าอัตราแลกเปลี่ยนที่สวนสภาวะตลาด ไม่ว่าเป้านั้นจะเป็น 35 บาทหรือเท่าไรก็ตาม

ป้ายสี!! ยกสอง 'ประชาธิปัตย์' ปะทะ 'ภูมิใจไทย' ศึกภาคใต้!! ใต้ประชาธิปไตย 'เงินสด'

หลังจากนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ออกมาพูดว่า ในฐานะ ส.ส.ภาคใต้ ภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียง แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่เคยใช้ในทางการเมือง แต่ก็ต้องเหนื่อยและต้องรับใช้ประชาชนตลอดชีวิต เห็นทุกพรรคบอกจะแลนด์สไลด์ ไว้รอดูตอนเลือกตั้ง

แน่นอนครับว่า เมื่อพูดถึงความว่า ภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียงในเวลานี้ ทุกคนก็นั่งยิ้มมุมปาก เพราะเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่า มีการใช้เงินซื้อเสียงกันมโหฬาร เพียงแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และผู้ตรวจการเลือกตั้ง ไม่มีศักยภาพพอในการตรวจจับการทุจริตการเลือกตั้ง จึงรับรองผลว่า 'การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม'

นายชวนคนเดียวอาจจะเป็นข้อยกเว้นไม่มีการซื้อเสียง ไม่เลี้ยงน้ำชา-กาแฟใคร แต่ในสังคมนักเลือกตั้ง ตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. เทศบาล อบจ. ส.ส. มีการใช้เงินเพื่อการเลือกตั้งทั้งนั้น และการใช้เงิน (Money Politic) ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น และวงเงินมากขึ้น (ประชาธิปไตยเงินสด) เป็นยอดเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าหวาดหวั่นกับการเข้าไปใช้ตำแหน่งหน้าที่ทุจริตฉ้อโกงในอนาคต และนี้คือวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทย

ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ก็พอจะพูดได้ว่า ส.ส.ภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียงการเลือกตั้ง แต่ปัจจุบันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว 'เงิน' เป็นปัจจัยหนึ่งในการชี้วัดผลการเลือกตั้ง

เมื่อนายชวนออกมาพูดว่าภาคใต้ไม่มีการซื้อเสียง จึงเกิดปฏิกิริยาโต้กลับจากคู่ต่อสู่ทางการเมืองทันที

นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา เขต 7 พรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก ส่วนตัว ระบุใจความว่า "ในอดีตอาจจะไม่มีจริง แต่ปัจจุบันมีการเตรียมการในพื้นที่เขต 7 บ้านผม อำเภอนาทวี และ อำเภอสะบ้าย้อย คนที่เคยเป็นอดีต ส.ส. ประกาศตัวเคยทำงานใกล้ชิดท่าน ทำงานการเมืองสุจริตแบบท่าน สั่งให้ทีมเดินเก็บบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร และ สัญญาว่าจะให้เงิน 500 บาท บอกกับคนทั่วไปอย่างไม่ละอาย ว่ารอบนี้เลือกตั้ง จะใช้เงิน 100 ล้านบาท เพื่อซื้อให้ชนะ ขอให้ท่านตรวจสอบมีจริงหรือไม่"

ด้าน นายศิริโชค โสภา อดีต ส.ส.สงขลา ที่แพ้ให้กับ นายณัฏฐ์ชนน ในการเลือกตั้งปี 2562 และ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 7 พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวตอบโต้ด้วยความดุเดือด โดยมีการแคปโพสต์ที่ นายณัฏฐ์ชนน ระบุไว้ ก่อนตอบกลับดังนี้...

"ผมเห็นท่านโพสต์เรื่อง 'เด็กขี้ร้อง' มาหลายหนหลายครั้ง ก็ยังสงสัยว่า 'เด็กขี้ร้อง' นั้นคือใคร บัดนี้กระจ่างแล้วครับว่าเป็นตัวท่าน ขนาดยังไม่มีการเลือกตั้งก็ร้องแล้ว อย่าไปร้องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหมายถึงผู้นำท้องที่และผู้นำท้องถิ่น เพราะเขาเหล่านั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะเอือมระอากับนักการเมืองประเภท 'คางคกขึ้นวอ' มาร้องผมนี่สิครับ"

นายศิริโชค ระบุอีกว่า "ท่านเห็นด้วยกับผมมั้ยครับ ว่านักการเมืองสมัยนี้บางคนหน้าด้านมาก ได้มาเพราะการซื้อเสียงแต่ตอนนี้เกลียดการซื้อเสียงมาก (เวลาออกสื่อ) คงจะลืมว่าในอดีตเคยหอบเงิน 60 กว่าล้านบาทมาหล่นเรี่ยราดไว้แถวนี้ ผมแนะนำครับให้กินน้ำมันตับปลาให้มากๆ จะได้ไม่หลงลืมว่าตัวเองเคยทำอะไรไว้ในอดีต"

"ท่านไม่ต้องกลัวจนขี้ขึ้นสมอง เฝ้าท่องคาถาเสียงดี เสียงดี และส่งคลิป เสียงดี ไปตามกลุ่มต่าง ๆ เท่านั้นก็พอครับ แต่สำหรับผมขอเลือกที่จะลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแล้วเจอกันวันเลือกตั้ง ขอให้โชคดีครับ"

แลกกันคนละหมัด 'ประชาธิปัตย์' vs 'ภูมิใจไทย' เลือกตั้งครั้งใหม่ ความเกรงใจคงไม่ต้องมีให้กัน

น่าสนใจยิ่งกับการช่วงชิงฐานทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทย ถึงขั้น 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลั่นวาจาออกมาแล้วว่า “เลือกตั้งครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องเกรงใจกัน”

ที่กล่าวมาต้องการสื่อให้เห็นว่า เกมแย่งชิงพื้นที่ภาคใต้ถูกลากเข้ามาเล่นกันในสภาแล้ว 'ประชาธิปัตย์ จับมือกับ 'เพื่อไทย' ให้ถอน พ.ร.บ.กัญชา - กัญชง ออกไปปรับปรุงก่อน เพื่อให้ครอบคลุมการควบคุมดูแลเด็กและเยาวชนในการเข้าถึงกัญชา กัญชง รวมถึงต้องการให้กัญชา กัญชง เป็นยาเพื่อการแพทย์อย่างแท้จริง โดยมี สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ นำทีม 

แน่นอนว่า โดยธรรมชาติของกฎหมายจากฟากรัฐบาลนั้น ยังไงทางฝ่ายค้าน โดยเฉพาะอย่างพรรคเพื่อไทย เขาก็ต้องออกมาคัดค้านอยู่แล้ว แต่การที่พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมค้านด้วย ย่อมเป็นประเด็นที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยไม่พอใจ

“คนที่พูดในสภา ผมฟังแล้วไม่รู้จะเถียงอย่างไร ในเมื่อไม่ใช่ความจริง เอาการเมืองนำผลประโยชน์ของประชาชน ก็จะเห็นว่าสภาพปัจจุบันเป็นอย่างไร ผู้สื่อข่าวยังคิดได้เลย ใกล้ช่วงเลือกตั้งเลยเอาเรื่องการเมืองมาโยงเพื่อหาคะแนน” อนุทินกล่าวและว่า

“ดีเสียอีกที่เป็นแบบนี้ พรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนกันเอง ใกล้เลือกตั้งที่จะถึง ก็จะได้ไม่ต้องเกรงใจ” 

ด้าน สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ย้ำจุดยืนพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่ได้คัดค้านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยเฉพาะการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือใช้เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่มีเจตนาที่ต้องการเห็นเนื้อหาในการกำกับควบคุมการใช้กัญชา ให้อยู่ในกรอบที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน เนื่องจากร่างกฎหมายที่รับหลักการ และผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.กัญชาฯ มีการแก้ไขโดยเพิ่มเนื้อหาจำนวนมาก จากเดิมมี 45 มาตรา แต่คณะ กมธ. ปรับแก้เพิ่มเป็น 95 มาตรา คือ มีการเพิ่มใหม่ 69 มาตรา และมีการตัดบางมาตราทิ้ง โดยเฉพาะมีบางส่วนที่เห็นว่าอาจจะกำกับดูแลควบคุมไม่ดีพอ เช่น การให้ประชาชนทั่วไปขอจดแจ้งปลูกกัญชาครัวเรือนบ้านละ 15 ต้น ใช้เพื่อประโยชน์ในครัวเรือน แต่มีการบัญญัติไว้ว่าเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือน เพื่อประโยชน์ในการรักษาสุขภาพ แต่ไม่มีการกำหนดมาตรการควบคุมที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก และเยาวชน

“หากไม่ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป อาจทำให้ร่างกฎหมายค้างอยู่ในการพิจารณาของสภา ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงให้เกิดความรอบคอบรอบด้านได้ แต่หากถอนออกไป จะทำให้แก้ไขปรับปรุงร่างกฎหมายได้” สาทิตย์ กล่าว

ไม่ใช่แค่ พ.ร.บ.กัญชา กัญชง แต่ในสภายังลามมาถึงการแก้ไข พ.ร.บ.เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่มีบางพรรคการเมืองเสนอให้ลดดอกเบี้ยลง เหลือ 2% บ้าง 1% บ้าง 0.50% บ้าง แต่ด้าน พรรคภูมิใจไทย ก็ได้เสนอให้ดอกเบี้ยเป็น 0% คือ ไม่คิดดอกเบี้ย พ่วงท้าย ไม่มีคิดเพิ่มสำหรับคนผิดนัด ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน และให้มีผลย้อนหลังด้วย

จะเรียกว่า พรรคภูมิใจไทย หาเสียงกับ กยศ.เต็มสูบ เพื่อยกมาเป็นผลงานของพรรคเลยก็ไม่ผิด ทั้งๆ ที่แต่ข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา เป็นนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ที่ริเริ่มขึ้นมาสมัย 'นายหัวชวน' ครั้นเป็นนายกรัฐมนตรี

และนั่นก็ทำให้ก่อนหน้า ได้มีข้อท้วงติงมากมายกับการแก้กฎใหม่ของเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยเฉพาะในประเด็นของการไม่คิดดอกเบี้ย ไม่เอาเรื่องเอาราวกับคนผิดนัด ซึ่งมันจะทำให้นักศึกษาที่กู้ยืมเงินไปบางคนขาดระเบียบ ขาดวินัยทางการเงิน คือมีงานทำแล้วก็ไม่จ่าย ไม่หนีไปไหน เพราะดอกเบี้ยก็ไม่มี ไม่มีคนตามทวงเงินกู้ นายประกันก็ไม่ต้อง อนาคตของเงินกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาจะเป็นอย่างไร จะขาดสภาพคล่องไหม? เมื่อเงินเก่าไม่ไหลคืน รัฐบาลต้องตั้งงบใหม่เข้ากองทุนงั้นเหรอ? ยังมีงบบริหารจัดการอีกปีละ 2,000 กว่าล้าน จะเอามาจากไหน? โอ๊ย!! สารพัด!!

แล้วคนที่มีวินัยทางการเงิน จ่ายครบ ไม่บิดไม่เบี้ยว มันจะเป็นธรรมกับคนเหล่านี้ไหม? เข้าใจได้ว่ากฎหมายล้าสมัยก็ต้องมีการปรับปรุง แต่การปรับปรุงแบบ 'สุดซอย' เช่นนี้ มันจะส่งผลกระทบต่ออนาคตเพียงใด? ใครจะรับผิดชอบ? ต้องเจียดเงินจากภาษีประชาชนไปโปะทุกปีจากการออกนโยบายหาเสียงแบบสุดโต่งงั้นเหรอ?

อันที่จริงแล้ว หากย้อนกลับไปถึงปฐมเหตุของเรื่องความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาลระหว่าง 'ประชาธิปัตย์' กับ 'ภูมิใจไทย' นั้น มีมานานพอควร แต่ขยายผลมากขึ้นเมื่อพรรคภูมิใจไทยประกาศจะยึดพื้นที่ 6 จังหวัดฝั่งอันดามัน 15 ที่นั่ง ตั้งแต่ ระนอง, ภูเก็ต, พังงา, กระบี่, ตรัง และสตูล ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เดิมเป็นของประชาธิปัตย์ทั้งหมด และนั่นก็ทำให้ประชาธิปัตย์ กร้าว!! ประกาศเป็นยุทธศาสตร์เลยว่า ต่อจากนี้จะต้องยึดคืนพื้นที่หลังจากครั้งเลือกตั้งปี 2562 ได้สูญเสียที่นั่งหลายพื้นที่ให้กับพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ

ประชุม APEC อิทธิพลที่ส่งผลต่อประชากรโลกร่วม 40% เรื่องอะไรที่ 21 เขตเศรษฐกิจ เขาจะคุยกัน?

การประชุม APEC ที่เกิดขึ้น และมีการประชุมในระดับรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1989 ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นการประชุม APEC Summit หรือการประชุมสุดยอดผู้นำ ที่หัวหน้ารัฐบาลของแต่ละเขตเศรษฐกิจ ทั้ง 21 เขต มาประชุมกันอย่างเป็นทางการอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1993 และแน่นอนว่า เมื่อหัวหน้ารัฐบาลมาประชุมกัน นั่นหมายความว่า กระบวนการตัดสินใจร่วมกันของผู้นำ APEC ก็จะมีความคล่องตัว และมีผลผูกพันการดำเนินการของเขตเศรษฐกิจสมาชิกอย่างมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น 

ดังนั้นเอกสารแถลงการณ์ร่วมของผู้นำ APEC หรือ Joint Statement จึงเป็นสิ่งที่ทั่วโลกจับตา เพราะนี่คือ การตัดสินใจร่วมกันในการดำเนินการความร่วมมือทางเศรษฐกิจของ 21 เขตเศรษฐกิจที่ครอบคลุมมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 2 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจของทั้งโลก ที่จะส่งผลต่อประชากรราว 40% ของทั้งโลก

โดยความกว้างของมิติทางเศรษฐกิจที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในที่ประชุม APEC มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากที่แต่เดิมในการประชุมระดับรัฐมนตรีจะเน้นสารัตถะที่มีความสำคัญคือ การสร้างความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนระหว่างประเทศ และการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้าและการดำเนินธุรกิจ (Trade Facilitations) อาทิ การเร่งรัดและสร้างความสอดคล้องในการดำเนินพิธีการทางศุลกากร การเจรจาเพื่อลด ละ เลิก การใช้มาตรการทางการค้าที่มีลักษณะกีดกัน การสร้างความสอดคล้องพ้องกันของกฎระเบียบของแต่ละเขตเศรษฐกิจสมาชิก

จนเมื่อประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นประธานการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ครั้งแรกในปี 2003 (ก่อนหน้านั้น ไทยเคยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพการประชุมระดับรัฐมนตรีมาแล้วอีก 1 ครั้งในปี 1992) ในปีนั้น ประเทศไทยได้เสนอวาระสำคัญในการนำเอามิติการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ที่เป็นจุดเสริมเพิ่มเติมจากที่ทั่วโลกได้ร่วมกันยอมรับเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals (MDGs) ของที่ประชุมสหประชาชาติ มาต่อยอดในที่ประชุม APEC

ก่อนที่ขอบเขตของการประชุมสุดยอด APEC จะถูกขยายเพิ่มเติมขึ้นอีกครั้งในปี 2004 เมื่อประเทศชิลีเป็นประธานการประชุม และบรรจุวาระในเรื่องการบูรณาการเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค (Regional Economic Integration: REI) ความเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน (Connectivity) และการสร้างความสอดคล้องพ้องกันของการเจรจาการค้าในระดับพหุภาคีเข้ามาเป็นประเด็นเพิ่มเติมในการประชุม 

ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญของ APEC ได้นำเอามิติการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ (Climate Change) เข้ามาเจรจาในการประชุมในปี 2007 

ในขณะที่รัสเซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน สร้างเวทีในการผลักดันความร่วมมือในมิติการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิตอล และนวัตกรรม ให้กลายเป็นความร่วมมือสำคัญในเวที 21 เขตเศรษฐกิจของโลก ในปี 2012 และ 2014 ตามลำดับ

จากอดีตจนถึงปัจจุบันทำให้เราสามารถกล่าวได้ว่า ในภาพรวมแล้ว การประชุมสุดยอดผู้นำ APEC มีขอบเขตสารัตถะของการประชุมครอบคลุมเกือบจะทุกมิติในทางความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยอาจจำแนกออกได้เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top