Thursday, 27 March 2025
COLUMNIST

โอกาสในการพัฒนาประเทศ ตอนที่ 1 : การประเมิน ผลลัพธ์ทางสังคม และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน

หลายปีที่ผ่านมา มีงานหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นการส่วนตัว นั่นคือ การประกันคุณภาพ การประเมินผลกระทบ รวมไปถึงการประเมินผลลัพธ์ทางสังคม และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน โดยผู้เขียนยึดหลักการง่าย ๆ ที่ครูของผู้เขียนเล่าให้ฟังว่า การประกันคุณภาพนั้น แท้ที่จริงคือ “การทำให้ดีกว่าเดิม” พูดง่าย ๆ คือ ก่อให้เกิดการพัฒนา ยิ่งถ้าคนในองค์กรร่วมมือร่วมใจด้วยหลักง่าย ๆ องค์กรนั้นก็พร้อมที่จะก้าวกระโดด และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ส่วนการประเมินผลกระทบนั้น มีตั้งแต่แบบง่ายจนไปถึงแบบยาก มีทั้งที่ระบุเป็นเงื่อนไขตามกฎหมาย ไปจนถึงหลักการปฏิบัติของธุรกิจทั่วไป กิจการเพื่อสังคม และองค์กรไม่แสวงหากำไร

ในประเทศไทย เรารับวัฒนธรรมการประกันคุณภาพมาหลายแขนง เช่น การประกันคุณภาพ (Quality Assurance-QA) หลักการของ Malcolm Baldrige ที่ใช้รางวัลเป็นแรงผลักดันการพัฒนาและนำมาใช้กับระบบราชการ การบริหารราชการ และการบริหารสถาบันการศึกษาของรัฐและในกำกับของรัฐ ในทางธุรกิจก็อยู่ในรูปแบบของ ISO ซึ่งย่อมาจาก (International Organization for Standardization) คือ องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน เป็นองค์กรที่ออกมาตรฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และอุตสาหกรรม ส่วนมาตรฐานที่องค์กรนี้ออกมา เช่น ISO 9000 และ ISO 14000 ซึ่งก็เป็นมาตรฐานที่ว่าด้วยระบบบริหารคุณภาพและระบบบริหารสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

ลองคิดเล่น ๆ ว่า ในประเทศไทยหากไม่ใช่อุตสาหกรรมหรือองค์กรที่ใช้มาตรฐาน ISO หรือมาตรฐานอื่นของต่างประเทศที่มีผู้ประเมินเป็นคนนอกและเป็นอิสระ โดยเฉพาะระบบราชการและสถาบันการศึกษา ที่ใช้หลักการที่ดัดแปลงมานั้น ทำให้เกิดปัญหาในเชิงผลลัพธ์ แม้ว่าผลผลิตของหน่วยราชการและสถาบันการศึกษาจะเป็นไปตามเกณฑ์และสะท้อนว่ามีมาตรฐานสูงก็ตาม

ปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากการบริหารจัดการการประเมิน และการมุ่งผลผลิต (Output) มากกว่าผลลัพธ์ (Outcome) ทั้งสิ้น

ในขณะที่หน่วยงานที่อยู่ในรูปแบบ “องค์การมหาชน” ที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะนั้น มีพันธกิจในการประเมินผลกระทบจากการดำเนินงาน ซึ่งหลายแห่งใช้การประเมินผลลัพธ์ทางสังคม และ/หรือ ผลตอบแทนทางสังคมจากลงทุน ในขณะที่บางหน่วยงานใช้การประเมินทั่วไปในการประเมินผลกระทบจากการดำเนินงาน ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ประเมิน ทั้งองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญของผู้ประเมิน และความเป็นอิสระของผู้ประเมิน

อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะชี้ให้เห็นว่า การประเมินผลลัพธ์ทางสังคม สร้างประโยชน์ให้ประเทศมากกว่า โดยเฉพาะความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อสังคม 

ตัวอย่างที่ผู้อ่านอาจทราบเป็นระยะคือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งมักสร้างประติมากรรมเสาไฟฟ้า โดยมีผู้รับจ้างเป็นเครือข่ายคล้าย ๆ กัน ลักษณะการจัดซื้อจัดจ้างคล้าย ๆ กัน และผลผลิตที่เป็นเสาไฟประติมากรรมแตกต่างกันตามรูปแบบที่หน่วยงานชื่นชอบ คำถามคือ ผลลัพธ์ของการลงทุนดังกล่าวคือ “แสงสว่าง” ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่หน่วยงานที่ให้บริการสาธารณะพึงสังวรณ์ ในขณะที่ ผลลัพธ์ดังกล่าวถูกไปผนวกกับ “ความสวยงาม” ทำให้มีต้นทุนการดำเนินการที่สูง ใช้งบประมาณต่อเนื่อง และแลกมาด้วยพื้นที่ที่ต้องรอ “แสงสว่าง” 

กรณีนี้น่าคิดอย่างยิ่งว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรและตรวจสอบงบประมาณนั้น ไม่ได้นำหลักการผลลัพธ์ไปใช้เพียงแต่ดูผลผลิตเท่านั้น

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การที่หน่วยงานสร้างมายาคติ โดยเฉพาะอคติเรื่องการกัดเซาะชายฝั่ง เพื่อสร้างกำแพงกันคลื่น เพื่อ “ความสวยงาม” มากกว่า การสร้างผลลัพธ์เรื่องการแก้ปัญหาการกัดเซาะแบบใช้ “ปัญญา” ทำให้เราเห็นโครงการกำแพงกันคลื่นที่สร้างใหม่ สร้างซ้ำ สร้างได้ต่อเนื่องบนพื้นที่เดิม และมี “มือที่มองไม่เห็น” ได้ประโยชน์จากเรื่องดังกล่าว

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การปลูกป่า โดยการกล่าวอ้างเทศกาลต่าง ๆ และนับผลผลิตต้นไม้ที่ปลูก ไร่ที่ดำเนินการ มากกว่า “ป่าที่ควรจะได้เพิ่ม” หากย้อนกลับไปดูจึงจะเห็นว่า งบประมาณที่สูญเสียไปนั้นมีทั้งตั้งใจให้เป็น และแหล่งสร้างงบประมาณให้ “มือที่มองไม่เห็น” ดังกล่าว

ปัญหาทั้งหมดคือ การไม่ใส่ใจผลลัพธ์ และการไม่ใช้เครื่องมือ ในกระบวนการจัดสรรและตรวจสอบอย่างเพียงพอ

ในประเทศไทยผู้ที่ศึกษาเรื่องการประเมินผลลัพธ์ทางสังคม และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนมาอย่างยาวนานต่อเนื่องคนหนึ่ง คือ คุณสฤณี อาชวานันทกุล และคณะ ด้วยความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาในทางที่ถูกที่ควร นั่นคือ มีเครื่องมือ และใช้เครื่องมืออย่างถูกต้องในการบริหารหน่วยงานโดยเฉพาะหน่วยงานราชการและสถาบันที่หน่วยงานราชการกำกับดูแล

การใช้ผลลัพธ์ทางสังคมในฐานะเครื่องมือการบริหารจัดการงบประมาณนั้น เป็นการสะท้อนความคุ้มค่าของเงินที่เสียไปกับประโยชน์ที่ได้มาจากการใช้งบประมาณดังกล่าว หลายหน่วยงานถูกตั้งคำถามว่า หน่วยงานนั้น ๆ โดยเฉพาะองค์การมหาชน สร้างคุณูปการใดแก่ประเทศ การตั้งคำถามดังกล่าวไม่ได้เป็นการจับผิด หากแต่เป็นการให้ระลึกว่าการใช้เงินต้องมีความคุ้มค่า โปร่งใส และตรวจสอบได้

ยิ่งไปกว่านั้น การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (Social Return on Investment-SROI) ซึ่งมีกระบวนการที่ยุ่งยากมากกว่านั้น มีประโยชน์ในการตอบคำถามสังคมในเรื่องการใช้เงินโดยเฉพาะงบประมาณของรัฐถึงความคุ้มค่าดังกล่าว 

สำหรับการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม กลุ่มนี้มีทั้ง การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment-EIA) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการ กิจการหรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อ ทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนอย่างรุนแรง (Environmental Health Impact Assessment-EHIA) ซึ่งอยู่ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ การประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment-SEA) ซึ่งการประเมินทั้งสามถูกกำหนดในกฎหมายหลักและกฎหมายรองแล้วแต่ประเภท เครื่องมือเหล่านี้ ในระยะหลังมักจะถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่เจ้าของโครงการ ไม่ว่าจะเป็นรัฐหรือเอกชน เพราะปัญหาเรื่องความไม่เป็นมืออาชีพ และเป็นอิสระ

จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีเครื่องมือจำนวนมากในการพัฒนาประเทศ ทั้งการพัฒนาหน่วยงานนั้น ๆ ให้มีมาตรฐานและพัฒนาอย่างยั่งยืน การสร้างความมั่นใจในเรื่องการใช้เงิน/งบประมาณอย่างคุ้มค่า การคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนจากการดำเนินโครงการรัฐหรือเอกชนที่อาจส่งผลเสียต่อประชาชน ชุมชน สังคม และทรัพยากร หากแต่การใช้เครื่องมือดังกล่าวยังไม่ได้พัฒนาจนกระทั่งเกิดความเป็นอิสระอย่างแท้จริง สร้างความเชื่อมั่น เชื่อใจให้กับประชาชน รวมไปถึงใช้ความรู้ที่ถูกต้องในการพัฒนาประประเทศ

ผู้เขียนเห็นว่า กรณีเช่นนี้ การให้หน่วยงานที่ที่กำหนดงบประมาณและตรวจสอบการใช้งบประมาณควรเป็นผู้สะท้อนเสียงการใช้เครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับสังคม การใช้เครื่องมือที่จำเป็นในการคุ้มครองสิทธิของคนตัวเล็ก และการที่ทุกภาคส่วนเห็นคุณค่าของการพัฒนาที่ยั่งยืนมากกว่าการกอบโกยของกลุ่มผลประโยชน์และการกระจายผลประโยชน์ที่บิดเบี้ยว และเป็นต้นทุนที่ขวางโอกาสการพัฒนาประเทศ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

12 สงครามที่ ‘แพงที่สุด’ ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา

ภาพการอพยพหนีตายออกกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถานอย่างสับสนวุ่นวายของพลเมืองหลาย ๆ ประเทศ ปรากฏให้เห็นแก่
ชาวโลก เป็นการแสดงถึงความล้มเหลวของรัฐบาลอเมริกันในการทำสงครามครั้งนี้ ด้วยงบประมาณสองล้านล้านเหรียญ (ราวหกสิบ
หกล้านล้านบาท เท่ากับงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยในขณะนี้ราว 21 ปี) จากภาษีของคนอเมริกัน ที่ใช้ในการส่งกองกำลัง และตั้งฐานทัพ การปฏิบัติการร่วมกับพันธมิตร ตลอดจนการฝึกและติดอาวุธให้กับกองทัพอัฟกันตลอด 20 ปี ประสบกับความล้มเหลวภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์

แต่สงครามครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลอเมริกันนำภาษีของอเมริกันชนมาใช้จ่ายมากที่สุดในการทำสงครามใหญ่ทั้งหมด 12 ครั้ง นับตั้งแต่การก่อร่างสร้างประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้นมา

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม จากการศึกษาพิจารณาว่า 12 สงครามที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ จากรายงานปี 2010 โดย Congressional Research Service เรื่อง "Costs of Major U. S. Wars" (ซึ่งต่อมามีการประมาณการเปรียบเทียบเป็นมูลค่าของเงินในปี 2019) มีรายละเอียดดังนี้

>> 12.) สงครามปี 1812
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 1.78 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5.874 หมื่นล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 2 ปี 8 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 15,000 นาย 

สหรัฐอเมริกาที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่มีข้อพิพาทกับจักรวรรดิอังกฤษในต้นศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาอ้างว่า อังกฤษกำลังพยายามกีดกันการค้า และบังคับให้ลูกเรือของสหรัฐฯ เข้าประจำการในราชนาวีอังกฤษ ความคับข้องใจที่เกี่ยวข้องกับสงครามของอังกฤษกับฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกายังมีความทะเยอทะยานที่จะขยายไปสู่แคนาดาที่อังกฤษควบคุม สหรัฐฯ ไม่ประสบความสำเร็จในการบุกแคนาดา และพ่ายแพ้ในด้านอื่น ๆ รวมถึงกองทัพอังกฤษสามารถยึดและเผากรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้

ถึงกระนั้น สหรัฐฯ ก็ยังทนต่อการระดมยิงของกองทัพเรืออังกฤษที่ฐานทัพในเมืองบัลติมอร์ และสามารถเอาชนะอังกฤษในนิวออร์ลีนส์ได้ สนธิสัญญาเกนต์ยุติสงครามที่ยาวนานเกือบสามปี โดยที่สหรัฐฯ รักษาอำนาจอธิปไตยของตนไว้ได้ แต่ถูกขัดขวางไม่ให้ขยายประเทศไปสู่แคนาดาทางเหนือ สงครามครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในห้าครั้งที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงคราม

สงครามปี 1812 ใช้งบประมาณไป 1.78 พันล้านดอลลาร์ ชาวอเมริกันประมาณ 15,000 คนเสียชีวิตในสงครามจากการรบและโรคภัยในสนามรบ

>> 11.) สงครามเม็กซิกัน-อเมริกัน 
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 2.72 พันล้านดอลลาร์ (ราว 8.976 หมื่นล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 1 ปี 9 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 13,283 นาย 

สงครามเม็กซิกัน-อเมริกันระหว่างปี ค.ศ. 1846 ถึงต้นปี ค.ศ. 1848 มีมูลค่า 2.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประเด็นแห่งความขัดแย้งคือ เท็กซัส ซึ่งได้รับเอกราชจากเม็กซิโกเมื่อสิบปี (ก่อนสงครามฯ) เท็กซัสยังไม่ได้รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกา เพราะการรวมเข้าด้วยกันจะทำให้เสียสมดุลระหว่างรัฐทาสและรัฐอิสระที่จัดตั้งขึ้นโดยข้อตกลงการประนีประนอมมิสซูรีในปี ค.ศ. 1820 การปะทะกันตามแนวริโอแกรนด์ทำให้เกิดการปะทะกัน เช่น การรบที่ปาโลอัลโต ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ชัยชนะ สงครามสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2391 โดยมีสนธิสัญญากัวดาลูเป-อีดัลโก ข้อตกลงดังกล่าวทำให้ริโอแกรนด์เป็นพรมแดนทางใต้ของเท็กซัส และสหรัฐฯ ได้ที่ดินในแคลิฟอร์เนีย ยูทาห์ เนวาดา แอริโซนา และนิวเม็กซิโกในปัจจุบัน

>> 10.) การปฏิวัติอเมริกา (สงครามประกาศอิสรภาพ) 
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 2.75 พันล้านดอลลาร์ (ราว 9.075 หมื่นล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 8 ปี 5 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 4,435 นาย 

สงครามประกาศอิสรภาพเกินเวลาแปดปีเศษ ทำให้ชาวอาณานิคมอเมริกาหมดค่าใช้จ่ายในการทำสงครามไป 2.75 พันล้านดอลลาร์และทหารอีกราว 4,400 ชีวิต ในขณะที่สงครามเริ่มต้นจากการประท้วงต่อต้านการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม มันจบลงด้วยการที่อาณานิคมและพันธมิตรสามารถเอาชนะจักรวรรดิอังกฤษ ซึ่งบรรดาผู้ก่อประเทศใหม่ปฏิเสธโครงสร้างทางสังคมและการเมืองของยุโรปเพื่อสนับสนุนสาธารณรัฐ สนธิสัญญาปารีสยุติสงครามในปี 1783 โดยยอมรับอย่างเป็นทางการว่าสหรัฐฯ เป็นประเทศเอกราชและก่อตั้งพรมแดนขึ้น

>> 9.) สงครามสเปน-อเมริกา
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 10.33 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.4089 แสนล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 4 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 2,446 นาย 

สงครามครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสงครามสื่อครั้งแรก สื่อมวลชนมีส่วนในการเติมไฟให้กับการมีส่วนร่วมของอเมริกาในการแสวงหาอิสรภาพจากสเปนของคิวบา เมื่อเรือรบยูเอสเอส เมน ซึ่งถูกส่งไปยังกรุงฮาวานาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวอเมริกัน เกิดระเบิดขึ้นอย่างกะทันหันในปี 1898 เสียงเรียกร้องให้สหรัฐฯ แทรกแซงเพิ่มขึ้น สภาคองเกรสประกาศสงครามอย่างเป็นทางการภายใต้บริบทของลัทธิมอนโร ซึ่งห้ามการแทรกแซงของยุโรปในซีกโลกตะวันตก กองกำลังของสหรัฐฯ เข้าบดขยี้กองกำลังของสเปนทั่วโลก และสหรัฐฯ ได้เกาะกวม เปอร์โตริโก และฟิลิปปินส์ในมหาสมุทรแปซิฟิก อันเป็นผลมาจากสงคราม ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจระดับโลก

>> 8.2.) สงครามกลางเมืองอเมริกา (ฝ่ายสหพันธ์หรือฝ่ายใต้)
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 22.99 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7.5867 แสนล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 4 ปี 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 750,000 คน (รวมทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้) 

สงครามกลางเมืองคร่าชีวิตชาวอเมริกัน 750,000 คน ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ มากกว่าความขัดแย้งใด ๆ ในสหรัฐอเมริกา สงครามครั้งนี้ส่วนใหญ่สู้รบในประเด็นเรื่องความเป็นทาสและสิทธิของรัฐฯ และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรัฐภาคใต้ ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นหลังจากเซาท์แคโรไลนาแยกตัวจากสหภาพในปี 1861 สงครามได้ทำให้พื้นที่ทางใต้ส่วนใหญ่ทั้งภูมิภาคเสียหายไปหลายปี นอกจากการต่อสู้ที่มีเป็นที่รู้จักอย่าง Antietam, Bull Run และ Gettysburg ยังมีสงครามกองโจรตามรัฐชายแดนและพื้นที่ความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับประชาชนพลเรือน สงครามกลางเมืองยุติระบบการเพาะปลูกและสถาบันทาสในภาคใต้ หยุดยั้งความพยายามในการแยกตัวของรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

>> 8.1.) สงครามกลางเมืองอเมริกา (ฝ่ายสหภาพหรือฝ่ายเหนือ)
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 68.17 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.2496 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 4 ปี 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 750,000 นาย (รวมทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้) 

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในสงครามกลางเมืองที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานมีประมาณ 620,000 นาย แต่ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2011 โดยนักประวัติศาสตร์ เจ. เดวิด แฮคเกอร์ ได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 750,000 นาย ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับความขัดแย้งใด ๆ ในสหรัฐอเมริกา สงครามซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1861 ซึ่งสู้รบในปัญหาการเป็นทาสและสิทธิของรัฐฯ จบลงด้วยการยอมแพ้ของ พลเอก Robert E. Lee ต่อ พลเอก Ulysses S. Grant ที่ คฤหาสน์ Appomattox Court มลรัฐเวอร์จิเนียในอีกสี่ปีต่อมา สงครามเพื่อให้สหรัฐอเมริกากลับมาเป็นเป็นหนึ่งเดียวและเลิกทาสได้ทำให้ฝ่ายสหภาพ (ฝ่ายเหนือ) หมดงบประมาณไป 68.17 พันล้านดอลลาร์

>> 7.) สงครามอ่าวเปอร์เซีย
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 116.6 พันล้านดอลลาร์ (ราว 3.8478 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 7 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 383 นาย 

สงครามอ่าวเปอร์เซีย หนึ่งในความขัดแย้งที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ มีมูลค่า 116.6 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 0.3% ของ GDP สหรัฐฯ ในปี 1991 ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางเมื่อผู้นำเผด็จการอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน บุกคูเวตในเดือนสิงหาคม 1990 แม้จะมีการเรียกร้องจากสหรัฐฯ ให้อิรักถอนตัว แต่ฮุสเซนผู้นำอิรักปฏิเสธ ไม่กี่เดือนต่อมากองกำลังพันธมิตรขนาดใหญ่ที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงพันธมิตรนาโต้และประเทศในตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์และซาอุดิอาระเบีย ได้เริ่มปฏิบัติการพายุทะเลทราย การบุกกินเวลาเพียง 42 วันและจบลงด้วยความหายนะของอิรักในเดือนกุมภาพันธ์ 1991 ฮุสเซนตกลงที่จะยอมรับอำนาจอธิปไตยของคูเวตและทำลายคลังอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง เช่น อาวุธนิวเคลียร์ ชีวภาพ และเคมี

อย่างไรก็ตาม ฮุสเซนยังคงอยู่ในอำนาจ ถือเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่ครั้งแรกหลังจากสงครามเย็น ในขณะนั้นสงครามอ่าวเปอร์เซียได้รับการประกาศให้เป็นความสำเร็จของกองกำลังพันธมิตรนานาชาติ (สงครามครั้งนี้ มีประเทศในตะวันออกกลางร่วมออกค่าใช้จ่ายด้วย อาทิ ซาอุดิอาระเบีย)

>> 6.) สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 381.8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 12.5994 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 1 ปี 7 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 116,516 นาย 

สงครามปะทุขึ้นในยุโรปในปี 1914 แต่สหรัฐฯ ยังคงความเป็นกลางต่อมาอีกสามปี ครั้งนั้นสถาบันการเงินของอเมริกาพากันเจริญรุ่งโรจน์ โดยการให้กู้ยืมเงินแก่คู่สงคราม ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักร อย่างไรก็ตามสหรัฐอเมริกาค่อย ๆ ถูกดึงเข้าสู่ความขัดแย้ง ส่วนใหญ่สาเหตุเพราะเยอรมนีใช้การทำสงครามใต้น้ำแบบไม่จำกัดกับเรือทุกลำที่มุ่งหน้าไปยังประเทศต่าง ๆ ที่ตนกำลังสู้รบอยู่ เมื่อหน่วยข่าวกรองของอังกฤษเปิดเผยการสื่อสารจากนักการทูตเยอรมันถึงทูตเม็กซิกันที่เสนอให้เป็นพันธมิตรระหว่างสองประเทศหากสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามกับเยอรมนี สหรัฐอเมริกาจึงต้องดำเนินการประกาศสงครามกับเยอรมนีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1917 สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงในอีก 19 เดือนต่อมา มีทหารอเมริกันเสียชีวิตมากกว่า 116,000 นาย ในท้ายที่สุด ความขัดแย้งนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียงบประมาณในการทำสงครามถึง 381.8 พันล้านดอลลาร์

>> 5.) สงครามเกาหลี
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 389.81 พันล้านดอลลาร์ (ราว 12.86373 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 3 ปี 1 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 36,574 นาย 

ในเดือนมิถุนายน 1950 กองทัพเกาหลีเหนือซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตได้ข้ามเส้นขนานที่ 38 ที่แบ่งเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ เป็นการเริ่มสงครามเกาหลี ด้วยความหวาดกลัวต่อการแพร่กระจายของลัทธิคอมมิวนิสต์ ประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติให้ขับไล่กองกำลังเกาหลีเหนือออกจากเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม พลเอกดักลาส แมคอาเธอร์ได้ไล่ตามทหารเกาหลีเหนือไปยังแม่น้ำยาลู ซึ่งเป็นพรมแดนทางเหนือระหว่างจีนกับคาบสมุทรเกาหลี ชาวจีนตีความการกระทำของพลเอกแมคอาเธอร์ว่าเป็นการทำสงคราม และเข้าร่วมสู่ความขัดแย้ง โดยผลักดันกองทหารของสหประชาชาติลงมาทางตอนใต้ของคาบสมุทร สงครามสิ้นสุดลงในที่สุดหลังจากดไวท์ ไอเซนฮาวร์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และขู่ว่าจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ หากชาวเกาหลีเหนือหรือจีนไม่เคารพเส้นขนานที่ 38 ซึ่งเป็นเขตแดนระหว่างสองประเทศในท้ายที่สุด สงครามเกาหลีมีมูลค่า 389.81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีทหารอเมริกันเสียชีวิตประมาณ 36,000 คน

>> 4.) สงครามเวียดนาม
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ  : 843.63 พันล้านดอลลาร์ (ราว 27.83979 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 17 ปี 9 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 58,220 นาย 

สงครามในเวียดนามมีมูลค่า 843.63 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ในปี 2019) หรือ 2.3% ของ GDP ของปี 1968 ในตอนท้ายของความขัดแย้ง มีการบันทึกชื่อของทหารที่เสียชีวิตมากกว่า 58,000 คนไว้ที่อนุสรณ์สถานทหารผ่านศึกเวียดนามในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. หลังจากเวียดนามเอาชนะฝรั่งเศสในปี 1954 สิ้นสุดยุคอาณานิคมที่โหดร้าย ตามสนธิสัญญา Geneva กำหนดให้มีการเลือกตั้งในภาคใต้ในปีต่อไป ด้วยความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยาย สหรัฐฯ ให้การสนับสนุน Ngo Dinh Diem นักการเมืองคาทอลิกเวียดนามที่มีการศึกษาด้วยภาษาฝรั่งเศสในเวียดนามใต้ ในปี 1965 สหรัฐฯ ส่งกองกำลังเข้าไปในเวียดนามใต้ Ngo Dinh Diem ก็ถูกลอบสังหาร และสหรัฐฯ สนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ที่นำโดยกองทัพ เวียดนามเหนือและเวียดกง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากจีนและสหภาพโซเวียตใช้กลยุทธ์แบบกองโจรเพื่อโจมตีกองทหารและฐานทัพของสหรัฐฯ เป็นหลัก ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 การสนับสนุนจากสาธารณชนในสงครามในสหรัฐฯ ลดลง และทหารอเมริกันถอนกำลังในปี 1973 และเวียดนามใต้ตกเป็นคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือในเดือนเมษายน 1975

>> 3.) สงครามอิรัก
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 1.01 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 33.33 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 7 ปี 5 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 4,410 นาย 

ความขัดแย้งในอิรักทำให้สหรัฐฯ เสียหายประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเชื่อว่าอิรักมีอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างสูง กองกำลังอเมริกันบุกอิรักในปี 2003 และโค่นล้ม ซัดดัม ฮุสเซน รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่า การเลือกตั้งในอิรัก เช่นเดียวกับการฝึกอบรมบุคลากรทางทหารเพื่อช่วยให้ภูมิภาคมีเสถียรภาพจะเป็นผลสำเร็จ ถึงกระนั้นประเทศอิรักก็ยังคงถูกทำลายด้วยความขัดแย้งและความหวาดกลัวจนทุกวันนี้

>> 2.) สงครามในอัฟกานิสถาน
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 2.261 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 74.61 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 19 ปี 10 เดือน 1 สัปดาห์ 1 วัน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 2,448 นาย 

สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในอัฟกานิสถานตั้งแต่ปี 2011 หลังจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 สหรัฐอเมริกาได้บุกอัฟกานิสถานประเทศในเอเชียกลางเพื่อขับไล่กลุ่มตอลิบานที่ปกครอง ซึ่งให้การสนับสนุนอัลกออิดะห์ กลุ่มก่อการร้ายที่รับผิดชอบในการโจมตีของผู้ก่อการร้าย 9/11 พร้อมทั้งให้ที่หลบภัย ทว่าตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น กองทัพสหรัฐฯ ยังไม่สามารถสถาปนาอัฟกานิสถานให้เป็นสถานที่ปลอดภัยและมั่นคงได้ สงครามในอัฟกานิสถานตอนนี้เป็นสงครามเดียวในประวัติศาสตร์การทหารของสหรัฐฯ ที่มีผู้บัญชาการสูงสุดสี่คนเป็นผู้นำในการทำสงคราม ตั้งแต่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ถึงบารัค โอบามา โดนัลด์ ทรัมป์ และตอนนี้คือ โจ ไบเดน ไม่มีใครสามารถหาวิธีทำให้สงครามที่ยืดเยื้อยุติลงได้ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตัดสินใจถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน อันที่มาของการอพยพหลบหนีที่สับสนวุ่นวายของพลเมืองหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งปรากฏให้เห็นแก่ชาวโลกในขณะนี้

>> 1.) สงครามโลกครั้งที่สอง 
- ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของสหรัฐฯ : 4.69 ล้านล้าน (ราว 154.77 ล้านล้านบาท) 
- ระยะเวลา : 3 ปี 9 เดือน 
- ทหารอเมริกันเสียชีวิต : 405,399 นาย 

สหรัฐอเมริกาใช้เงินมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์หรือ 36% ของ GDP เพื่อต่อสู้กับสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารสหรัฐฯ มากกว่า 400,000 นาย ถูกสังหารในความขัดแย้งเพื่อเอาชนะนาซีเยอรมนี อิตาลี และจักรวรรดิญี่ปุ่น การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 1939 หนึ่งวันหลังจากที่ญี่ปุ่นทิ้งระเบิดอ่าวเพิร์ล ฮาวาย อเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีและอิตาลีอย่างเป็นทางการในอีกสามวันต่อมา หลังจากที่เยอรมนีและอิตาลีประกาศสงครามกับสหรัฐฯ หลังการยึดครองส่วนใหญ่ของยุโรป

เยอรมนีโจมตีสหภาพโซเวียต สหภาพโซเวียตเผชิญกับการบุกทางภาคพื้นดินจากเยอรมนี ก่อนที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจะเปิดแนวรบด้านตะวันตกในปี 1944 สงครามยุโรปสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคม 1945 และญี่ปุ่นยอมจำนนหลังจากที่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิในเดือนสิงหาคมปีเดียวกันนั้นเอง สงครามโลกครั้งที่สองทำให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและกลายเป็นคู่ขัดแย้งกันในสงครามเย็น

สงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงเป็นความขัดแย้งที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็นเกือบ 36% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของประเทศในปี 1945 หรือ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ตามค่าเงินดอลลาร์คงที่ที่ปรับอัตราเงินเฟ้อ สงครามในอัฟกานิสถานและอิรักจัดเป็นความขัดแย้งที่แพงที่สุดเป็นอันดับสองและสามในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาตามลำดับ สงครามในอัฟกานิสถานเป็นสงครามยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ แม้ว่าจะไม่ใช่สงครามที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม

สงครามหลายครั้งในช่วงแรก ๆ ของประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สหรัฐฯ ได้ดินแดนและอาณาเขตเพิ่มขึ้น สงครามเม็กซิกัน-อเมริกันในทศวรรษ 1840 ทำให้เกิดอาณาเขตส่วนใหญ่ที่ประกอบขึ้นเป็นภาคตะวันตกเฉียงใต้ในปัจจุบัน ในทำนองเดียวกัน สงครามสเปน-อเมริกาในปลายศตวรรษที่ 19 จบลงด้วยการที่สหรัฐฯ ควบคุมเกาะกวม เปอร์โตริโก และฟิลิปปินส์ในมหาสมุทรแปซิฟิก ผลของสงครามเหล่านี้และอื่น ๆ นำไปสู่การสร้างฐานทัพทหารขนาดใหญ่ทั่วโลกของสหรัฐฯ

ในทุกความขัดแย้งก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง งบประมาณการป้องกันประเทศเกือบทั้งหมดถูกใช้ไปกับความขัดแย้งโดยตรง ซึ่งจัดว่าเป็นการใช้จ่ายในช่วงสงคราม ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาใช้ 1.1% ของ GDP ในปี 1899 เพื่อต่อสู้กับสงครามสเปน-อเมริกา ซึ่งเกือบทั้งงบประมาณการป้องกันประเทศอยู่ที่ 1.5% ของ GDP

แนวโน้มดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงเริ่มต้นของสงครามเย็น เนื่องจากความขัดแย้งทางทหารที่คุกคามอย่างต่อเนื่อง สหรัฐอเมริกาจึงต้องพร้อมสำหรับการทำสงครามเมื่อใดก็ได้ สิ่งนี้นำไปสู่การแข่งขันด้านอวกาศและอาวุธนิวเคลียร์กลายเป็นลำดับความสำคัญระดับชาติ ส่งผลให้การใช้จ่ายในช่วงสงครามและการใช้จ่ายด้านการป้องกันเริ่มแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงครามเกาหลี การใช้จ่ายด้านสงครามคิดเป็น 4.2% ของ GDP ในปี 1952 ในขณะที่การใช้จ่ายด้านการป้องกันทั้งหมดคิดเป็นมากกว่า 13% ของ GDP ที่ 649 พันล้านดอลลาร์ในปี 2018 สหรัฐอเมริกาใช้เงินมากที่สุดในการทำสงครามมากกว่าประเทศใด ๆ ในโลก

การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการทำสงครามในช่วงเกือบ 250 ปีอาจเป็นเรื่องยาก ในขณะที่จัดทำรายงานมีความพยายามแก้ไขอัตราเงินเฟ้อโดยคำนวณต้นทุนของสงครามแต่ละครั้งให้มูลค่าเป็นปัจจุบัน การปรับอัตราเงินเฟ้อไม่ได้คำนึงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เป็นไปได้อย่างยิ่งที่สงครามจะมีราคาแพงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากความซับซ้อนและการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้น ผลพลอยได้จากการผลิตวัสดุสงครามคือการสร้างผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่คิดค้นโดยกองทัพ ค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ยังไม่รวมสวัสดิการและค่าใช้จ่ายในการดูแลทหารผ่านศึก ดอกเบี้ยเงินกู้ของเงินทุนที่ใช้ในการทำสงคราม และความช่วยเหลือแก่พันธมิตรชาติต่าง ๆ อีกมหาศาล

สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลและกองทัพอเมริกันน่าจะไม่ได้ทำการสรุปบทเรียนจากความล้มเหลวในการทำสงคราม เพื่อเป็นข้อมูลในกรณีศึกษาความผิดพลาดล้มเหลวเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีก กรณีที่เกิดขึ้นในสมรภูมิ "อัฟกานิสถาน" ถือได้ว่าเป็นสมรภูมิ "เวียดนาม" แห่งที่สองของกองทัพอเมริกัน ซึ่งเคยมีบทเรียนจากทั้งความล้มเหลวในเวียดนาม และของกองทัพอดีตสหภาพโซเวียตในสมรภูมิแห่งนี้คงไม่ได้นำมาสรุปทบทวนเพื่อวางแผนปรับปรุงแก้ไขในการทำสงครามตลอดเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาเลย หรืออาจมีคนทำแล้วแต่บุคคลระดับสูงไม่ได้ให้ความสนใจ เรื่องราวของสงครามอัฟกานิสถานจึงจบด้วยเงินภาษีของคนอเมริกันกว่าสองล้านล้านเหรียญ ดังที่เห็นเป็นข่าวในเวลานี้


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ภาค ‘ประชาชน’ ออกโรงลุย!! ช่วยบรรเทาวิกฤติโควิด-19 สะท้อนการจัดการภาครัฐไทย!!

ระยะหลังมาจะเห็นบทบาทของภาคประชาชนกลุ่มต่าง ๆ กลุ่มคนที่เสียสละ พร้อมเป็นอาสาสมัครออกมาช่วยเหลือผู้อื่นในยามทุกข์ยาก ซึ่งยิ่งภาคประชาชนมีบทบาทมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนกลไกภาครัฐมีปัญหา

“ในวิกฤต จะพบธาตุแท้ของคน” คำกล่าวนี้กล่าวเอง จากประสบการณ์ก็เห็นว่าจริง มีคนเห็นแก่ตัว มีคนเฉย ๆ และมีคนเสียสละเสมอ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไต่ระดับขึ้นทุกวันแบบนี้ ก็สะท้อนว่าตอนนี้ประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่สีแดงเข้ม เมืองหลวงและจังหวัดโดยรอบอยู่ท่ามกลางมหันตภัยโรคระบาด

ระยะหลังมาจะเห็นบทบาทของภาคประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ออกมามีบทบาทมากขึ้น ยิ่งโลกยุคดิจิทัล ไม่ว่ากลุ่มไหนทำอะไรก็จะมีให้เห็นตลอดเวลา กลุ่มคนที่เสียสละ พร้อมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่นในยามทุกข์ยากโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน 

เมื่อเห็นภาคประชาชน อาสาสมัคร จัดระบบการจัดการเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 หรือผู้ได้รับผลกระทบจากการต้องกักตัว หรืออยู่ในชุมชนแบบนี้ โดยที่แต่ละกลุ่มดำเนินการมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน แต่กลับพบว่าเหตุการณ์ไม่บรรเทาลงเลย แถมยังหนักขึ้นทุกวัน แต่ละกลุ่มก็ทำงานกันหนักขึ้น ระดมกำลัง พลังกาย พลังใจ พลังทรัพย์ เพื่อให้การช่วยเหลือมากขึ้น ก็เกิดฉุกคิดขึ้นมาเหมือนกันว่า “ยิ่งภาคประชาชนมีบทบาทมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสะท้อนกลไกภาครัฐมีปัญหา” เพราะหากการบริหารจัดการในภาวะวิกฤตของภาครัฐจัดการได้ดี ภาคประชาชนคงไม่ต้องออกมาช่วยกันมากขนาดนี้กระมัง

เรื่องการจัดหาวัคซีนนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องการบริหารจัดการผู้ป่วย ครอบครัว และลดระดับการติดเชื้อ การตรวจ การจัดการเตียง การจัดการระบบต่าง ๆ นี่ก็เรื่องหนึ่ง 

ในฐานะที่ผู้เขียนเองเป็นหนึ่งในกลุ่มอาสาสมัคร กลุ่มที่จัดทำโรงครัวเพื่อจัดทำอาหารปรุงสุกให้กับผู้ที่ประสบภัย และจัดหาของอุปโภคบริโภค ให้กับทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นชุมชนแออัด แคมป์คนงาน โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และอื่น ๆ อีกมากมาย เรากลับพบว่า ตลอด 80 กว่าวันที่ผ่านมา งานอาสาสมัครของเราไม่ลดน้อยลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้น และขยายระดับความช่วยเหลือจากภารกิจหลักมากไปกว่าเดิมมาก 

จากที่ตอนแรกเป็นกลุ่มอาสาด่านหลัง เพื่อจัดส่งยุทโธปกรณ์ เสบียงให้คนด่านหน้า ณ ตอนนี้กลายเป็นว่าต้องขยายภารกิจไปช่วยประสานส่งต่อผู้ป่วยที่ติดต่อมาเอง ให้กับหน่วยงานหรือกลุ่มอาสาหาเตียง รวมไปถึงการประเมินและปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ป่วยที่รอเตียงและเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข

“เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?” เป็นคำถามที่สงสัย แต่การหาคำตอบในวันนี้คงไม่สำคัญไปกว่า ณ วันนี้เราทำอะไรกันอยู่? มีคนที่เสี่ยง เสียชีวิต และติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน คำถามที่มีอยู่ในใจ หากวันนี้แก้ปัญหาตรงหน้ายังไม่ได้ ก็วางไปสักแปปนึง เพราะตอนนี้คงต้องลงแรงมาช่วยกันก่อน ช่วยอะไรได้ก็ต้องช่วยกันแล้ว เอาพลังทั้งหมดมาคิดหาวิธีที่เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดต่อให้ไม่เหลืออะไรให้พึ่งพา เราก็ยังพึ่งพาตัวเองได้ แล้วคำถามทั้งหมด เราจะได้คำตอบเมื่อวิกฤตผ่านไป 

ขอให้ผู้อ่านทุกคนรอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปด้วยกันค่ะ 


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เมื่อแม่น้ำ “อุมโงท” เสน่ห์วารีแห่งแดนภารตะ​ (รัฐเมฆาลัย)​ อาจสูญสลาย!! เพราะ​ 'เขื่อน'​

แม้ว่าจะย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยหลายปีแล้ว แต่ผมก็ยังคงติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอินเดียอยู่เสมอด้วยความสนใจ หรืออาจจะเป็นเพราะหลงมนต์เสน่ห์แดนภารตะเข้าไปแล้วอย่างจังก็เป็นได้ 

โดยล่าสุดผมเพิ่งได้อ่านข่าวจากนิตยสาร Northeast Today ฉบับประจำเดือนพฤษภาคม 2564 ก็เลยได้ทราบว่ารัฐบาลแห่งรัฐเมฆาลัยมีโครงการที่จะสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำอุมโงท (Umngot River) เพื่อจะผลิตกระแสไฟฟ้าระดับ 210 เมกกะวัตต์ เพื่อให้รัฐเมฆาลัยมีกระแสไฟฟ้าเพียงพอ อ่านข่าวแล้วก็รู้สึกตกใจเพราะแม่น้ำสายนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งรายได้สำคัญของประชาชนในหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เนื่องจากน้ำในแม่น้ำสายนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนแม่น้ำไหน ๆ นั่นคือมีความใสสะอาดเหมือนแก้วเจียระไน บางคนก็บอกว่าใสเหมือนคริสตัล สามารถมองทะลุเห็นพื้นด้านล่างของแม่น้ำเลย ยิ่งถ้ามองมาจากริมฝั่งหรือที่สูงก็จะเห็นเรือในแม่น้ำที่เหมือนลอยอยู่ในอากาศเลยทีเดียว

แต่เท่าที่ทราบตอนนี้มีชาวบ้านจาก 12 หมู่บ้านที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำในแถบเทือกเขาเจนเทียตะวันออก (East Jaintia Hills) ก็ออกมาประท้วงขอให้รัฐบาลแห่งรัฐเมฆาลัยยกเลิกโครงการก่อสร้างเขื่อนเพราะชาวบ้านเชื่อว่าถ้าหากสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำนี้แล้วจะทำให้แม่น้ำอุมโงท (Umngot) แสนสวย และมีชื่อเสียงโด่งดังนี้ถูกทำลาย และในที่สุดก็จะไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวอีกต่อไป และท้ายที่สุดรายได้จากการท่องเที่ยวที่ชาวบ้านเหล่านี้เคยได้รับและเป็นแหล่งรายได้สำคัญก็จะหายไปด้วย และคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณริมแม่น้ำนั่นเอง

ที่ชาวบ้านต้องออกมาโวยวายและต่อต้านก็เพราะพวกเขามองว่ารัฐบาลแห่งรัฐไม่เคยมารับฟังความคิดเห็นของชาวบ้าน แถมสื่อกระแสหลักในประเทศอินเดียก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะลงข่าวหรือช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ชาวบ้านเลย ตอนนี้ที่ทำได้ก็แค่ออกมารวมตัวประท้วงรัฐบาลแห่งรัฐกันเท่านั้นเอง ในขณะที่ Meghalaya Energy Corporation Limited (MeECL) เจ้าของโครงการก็ออกมาชี้แจงว่าโครงการสร้างเขื่อนนี้ก็เพื่อที่จะลดช่องว่างระหว่างดีมานด์กับซัพพลายของกระแสไฟฟ้าในรัฐ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ต้องการทำให้ความต้องการกระแสไฟฟ้ากับปริมาณกระแสไฟฟ้าไม่มีช่องว่างมากเกินไปหรือมีสมดุลมากขึ้น 

นอกจากนี้ก็ยังมีเป้าหมายที่จะทำให้สัดส่วนระหว่างปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ได้จากพลังน้ำมีความสมดุลกับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ได้มาจากพลังงานความร้อนและถ่านหิน แถมยังบอกอีกว่าชาวบ้านจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมอย่างมากจากโครงการนี้ซึ่งจะเป็นการช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ด้วยการมอบเงินชดเชยให้และมีแผนในการย้ายถิ่นที่อยู่พร้อมแผนฟื้นฟูคุณภาพชีวิตให้กับชาวบ้านด้วย

แต่ถ้ามาฟังทางฝั่งชาวบ้านแล้วก็น่าเห็นใจ เพราะแน่นอนว่าแหล่งท่องเที่ยวที่มหัศจรรย์นี้จะต้องสูญหายไปพร้อมกับรายได้หลักที่ได้จากการท่องเที่ยว แต่ที่ชาวบ้านหวั่นวิตกกังวลมากกว่าก็คือจะมีพื้นที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เพาะปลูกบางส่วนจมอยู่ใต้น้ำจากโครงการสร้างเขื่อนนี้ และที่สำคัญก็คือ ชาวบ้านรู้สึกว่าภาครัฐไม่เคยให้ความสำคัญที่จะรับฟังความคิดเห็นและความต้องการของชาวบ้าน รวมทั้งไม่เคยเหลียวแล และไม่เคยใยดีกับผลกระทบเชิงลบต่อวิถีชีวิตประจำวันของชาวบ้านที่จะเกิดขึ้น 

แต่ประเด็นขัดแย้งนี้คงยังไม่จบง่าย ๆ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ เราคงยังหาจุดสมดุลระหว่าง “การพัฒนา” กับ “ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม” ไม่ได้ลงตัว แต่โดยส่วนตัวในฐานะนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบอินเดียก็ไม่อยากให้ “การพัฒนา” ไปทำลาย “สิ่งแวดล้อม” ที่สวยงามและโดดเด่นอย่างแม่น้ำอุมโงทที่จะหาแม่น้ำอื่นใดในโลกนี้มาเทียบได้

ผมลุกขึ้นมาเขียนเรื่องนี้ด้วยความเป็นห่วงและเสียดายแม่น้ำแสนสวยสายนี้จริง ๆ เพราะจุดเริ่มต้นของความสนใจใน “รัฐเมฆาลัย” ของผมก็เริ่มมาจากที่ได้เห็นรูปแม่น้ำอุมโงทนี่แหละ แถมมาเห็นเอาเมื่อตอนย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยแล้วอีกต่างหาก ทำให้ต้องดั้นด้นเดินทางจากประเทศไทยไปเยือนแม่น้ำสายนี้และกว่าจะได้ชมโฉมก็ต้องไปถึงสองครั้งเพราะครั้งแรกผมเดินทางไปในช่วงปลายฤดูฝน โดยผู้นำทางบอกว่าฤดูฝนไม่เหมาะสำหรับการไปล่องเรือในแม่น้ำอุมโงท เพราะฝนจะชะดินจากริมฝั่งลงไปในแม่น้ำทำให้น้ำขุ่น เพราะฉะนั้นการเดินทางไปรอบแรกก็เลยไม่ได้ไปเยือนแม่น้ำสายนี้ ก็เลยต้องกลับไปอีกรอบหนึ่งในช่วงฤดูหนาวประมาณปลายปี ซึ่งนอกจากจะไม่มีฝนแล้วแถมอากาศยังเย็นสบายอีกด้วย และการเดินทางไปรอบที่สองก็สมใจ ได้ชื่นชมแม่น้ำแสนสวยสายนี้แบบเต็มอิ่มด้วยการใช้บริการเรือพายของชาวบ้านที่มีให้บริการอยู่ริมแม่น้ำ ได้เห็นน้ำที่ใสเหมือนแก้วด้วยตาตัวเองและได้สัมผัสด้วยมือตัวเองระหว่างที่อยู่บนเรือพายด้วย

สำหรับ “รัฐเมฆาลัย” เป็นรัฐหนึ่งในรัฐเจ็ดสาวน้อยและหนึ่งน้องชาย (Seven Sisters States and One Brother State) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เขตแดนทางตะวันออกและทางเหนือมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐอัสสัม และมีชายแดนติดต่อกับประเทศบังกลาเทศในทางทิศใต้และทิศตะวันตก โดยรัฐเมฆาลัยมีพื้นที่ทั้งหมด 22,429 ตารางกิโลเมตร โดยมีเทือกเขากาสีเป็นเทือกเขาแบ่งเขตแดนจากทางตอนกลางไปจนถึงทางตะวันออกของรัฐ ลาดเอียงสู่หุบเขาพรหมบุตรทางตอนเหนือ ส่วนทางตอนใต้เป็นที่ราบติดกับประเทศบังกลาเทศ ทั้งนี้ ความหมายของคำว่า “เมฆาลัย” ก็คือ “บ้านของเมฆ” นั่นเอง เพราะพื้นที่ของรัฐเมฆาลัยจะเป็นเขตพื้นที่ภูเขาสูงเกือบทั้งหมด

การเดินทางก็ไม่ลำบากเท่าไหร่ ปกติผมจะบินไปลงที่เมืองกอลกัตตา เมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต่อเครื่องบินไปลงที่เมืองกูวาฮาติ เมืองหลวงของรัฐอัสสัม หลังจากนั้นก็นั่งรถต่อไปจนถึงเมืองชิลลอง เมืองหลวงของรัฐเมฆาลัย ใช้เวลานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก็ถึงแล้ว พักที่เมืองชิลลองหนึ่งคืนแล้วค่อยเดินทางต่อไปเมืองดอกี (Dawki) เพื่อไปเยี่ยมชมแม่น้ำอุมโงท ก็ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเพราะสภาพถนนยังไม่ดีมากทำให้รถวิ่งได้ช้า แต่เมื่อถึงจุดหมายปลายทางและได้เห็นน้ำใส ๆ ในแม่น้ำอุมโงทแล้วก็หายเหนื่อย

ก็หวังว่าเมื่อหมดโควิด-19 แล้ว แม่น้ำอุมโงทแสนสวยจะยังคงอยู่รอให้นักท่องเที่ยวคนไทยได้มีโอกาสไปเยือนและชื่นชมความงดงามอยู่ตลอดไปนะครับ


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พลิกปูมประวัติศาสตร์การเมืองไทย “วันเสียงปืนแตก” เมื่อ 7 สิงหาคม 2508 ไม่ใช่วันที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ปะทะ กับกองกำลังของรัฐบาลเป็นครั้งแรก

ทำไม 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 จึงเป็นวันเสียงปืนแตกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทั้ง ๆ ที่ครั้งแรกกองกำลังติดอาวุธของพคท.ปะทะกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองนั้นเป็นวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508

7 สิงหาคม ของทุกปีจะมีการกล่าวถึง วันเสียงปืนแตก เมื่อ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ของพคท. (ซึ่งไม่มีวันที่จะกลับไปเหมือน 56 ปีก่อน เพราะพคท.ล่มสลายไปแล้ว จะเหลืออยู่แต่พวกที่มีอุดมการณ์ที่ส่วนใหญ่ฝังตัวอยู่อย่างเหนียวแน่นในวงการเมือง) โดยพคท. อ้างว่า เริ่มปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐบาลไทยเป็นครั้งแรก ที่บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 (นักวิชาการบางส่วนก็ว่าเป็นวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2508 หรือ 080808) ซึ่งต่อมาเรียกวันนี้ว่า "วันเสียงปืนแตก" นับเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ด้วยอาวุธของพรรคกับรัฐบาล

องค์บริหารส่วนตำบลโคกหินแฮ่ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม ให้ข้อมูลถึงบ้านนาบัว ซึ่งพคท.ถือเป็นจุดเสียงปืนแตกว่า เป็นชุมชนตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2434 โดยชาวบ้าน 90% อพยพมารวมกันเพราะไม่มีที่ทำกิน ปีพ.ศ. 2445 ยกฐานะเป็นหมู่บ้าน ปีพ.ศ. 2500 เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ปีพ.ศ. 2504 มีการจับกุมราษฎรในหมู่บ้านข้อหาอันธพาล นำไปขังลืมไว้ที่อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม และย้ายไปขังไว้ที่เรือนจำสันติบาล กรุงเทพฯ

พันตำรวจเอกสงัด โรจนภิรมย์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ได้รับบาดเจ็บสาหัสในวันเสียงปืนแตก ถูกยิง 3 นัด เข้าที่ขาขวาท่อนล่าง 1 นัด เหนือราวนมขวา 1 นัด หลังเท้าขวา 1 นัด และถูกนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ กรุงเทพฯ

ปีพ.ศ. 2507 แม้ราษฎรจะถูกปล่อยตัวกลับมาสู่ภูมิลำเนาของตัวเอง แต่รัฐบาลได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและอาสาสมัคร มาเคลื่อนไหวปราบปรามราษฎรอย่างหนัก ราษฎรในพื้นที่ทยอยเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มากขึ้น วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ทางการได้ส่งตำรวจทหารปราบปรามคอมมิวนิสต์อย่างหนัก ในพื้นที่รอยต่อสามอำเภอ คือ อำเภอธาตุพนม อำเภอเมือง อำเภอนาแก พื้นที่ระหว่างบ้านนาบัว บ้านหนองฮี บ้านดงอินำ

วันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 เกิดการปะทะขึ้นที่บ้านนาบัว ตำบลเรณูนคร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เมื่อหน่วยติดอาวุธเคลื่อนที่ของพคท. จำนวน 8 คน ประกอบด้วย นายหนูลา จิตมาตย์, นายหนูทอง นามวุฒิ, นายคำทา จิตมาตย์, นายลำเงิน จิตมาตย์, นายกายน ดำบุดดา, นายสนไชย มูลเมือง, นายยวน จิตมาตย์ และนายกองสิน จิตมาตย์ ได้ปะทะ ยิงต่อสู้กับกำลังของตำรวจ “สหายเสถียร” หรือ “กองสิน จิตมาตย์” วัย 25 ปี ได้ยิงคุ้มกันเพื่อให้สหายถอยออกไปได้ แต่ตนเองตกอยู่ในที่ล้อม จนมุมอยู่คันนากลางทุ่ง และถูกยิงเสียชีวิต สำหรับหน่วยดังกล่าว อยู่ภายใต้ “ขุนรมย์ จิตมาตย์” ผู้ปฏิบัติงานของพคท. การปะทะนานประมาณ 45 นาที ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ สูญเสีย ส.ต.อ. ชัยรัตน์ สิงห์ด้วง ถูกกระสุนปืนเสียชีวิต ส.ต.ต. มนต์ชัย โพธิดอกไม้ บาดเจ็บถูกยิงขาทะลุ พ.ต.อ. สงัด โรจนภิรมย์ ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ได้รับบาดเจ็บสาหัส

“สหายเสถียร” หรือ “กองสิน จิตมาตย์” ซึ่งถูกยิงสียชีวิตในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508

หลังจากนั้นทางราชการยิ่งปราบปรามมากยิ่งขึ้น ผู้ใหญ่บ้านพร้อมกับราษฎรหลายคนในหมู่บ้าน ถูกจับในข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์ ทางการยิ่งเร่งการปราบปรามมากยิ่งขึ้นไปอีก สั่งให้ราษฎรทำรั้วรอบหมู่บ้านอย่างแน่นหนา สั่งให้ชาวบ้านไปรายงานตัวก่อนออกไปทำไร่ทำนา และช่วงกลับมาบ้านอย่างเคร่งครัด ถ้าคนไหนฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก เช่น เตะ ตี และนำไปคุมขังที่ค่ายทหารบ้านหนองฮี และส่งไปที่ค่ายทหารกองทัพภาคที่ 2 อำเภอมุกดาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ในขณะนั้น

เมื่อทางราชการเร่งมือปราบปราม ราษฎรก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าร่วมต่อสู้กับ พคท.มากยิ่งขึ้น จนเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2508 พคท.เปิดการประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองขึ้นที่ภูพาน มีมติ ให้ประกาศการต่อสู้ด้วยอาวุธในเขตชนบทอย่างเป็นทางการ หลังจากตระเตรียมการสร้างฐานที่มั่นในเขตป่าเขา มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2506 และให้วันที่ 7 สิงหาคม เป็น “วันเสียงปืนแตก” และถือเป็นวันเริ่มต้นของสงครามประชาชนในประเทศไทย

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (Communist Party of Thailand - CPT) เดิมเรียก พรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดย โฮจิมินห์ ชาวเวียดนาม ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับ ๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ.  2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก และมีตัวแทนสองคนคือ ตัง หรือ เจิ่นวันเจิ๋น และ เหล่าโหงว หรือ อู่จื้อจือ จนก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485

หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นพรรคแนวอุดมการณ์ ยึดมั่นในลัทธิมาร์กซิส-เลนิน และลัทธิเหมา โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างความเสมอภาคทางชนชั้น ชี้นำสังคมโดยพรรคคอมมิวนิสต์ และต่อสู้เอาชนะระบบทุนนิยมด้วยวิธี "ป่าล้อมเมือง" แต่มิได้จดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายอย่างเป็นทางการ ในอดีตยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย ซึ่งเป็นสมาชิกของ พคท. อีกด้วย 

พรรคคอมมิวนิสต์สยาม ประชุมครั้งแรกแบบลับ ๆ ที่ โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน พ.ศ. 2473

แต่ภายหลังการรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ที่ฝ่ายทหารได้ทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาล นายปรีดี พนมยงค์ สมาชิกพรรคจำนวนมาก เนื่องจากเป็นพรรคพวกของนายปรีดีด้วยเคยร่วมงานในขบวนการเสรีไทยถูกจับ ทำให้พรรคต้องยุติการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย แล้วมุ่งสู่ชนบทเพื่อหาแนวร่วมจากประชาชนระดับล่าง ในที่สุดจึงต้องจับอาวุธขึ้นสู้กับฝ่ายรัฐบาล

เหตุที่ พคท.จึงไม่ยอมรับให้วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508 เป็นวันเสียงปืนแตกของ พคท. (และเป็นวันกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย) และไม่ยอมรับวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 ซึ่งเป็นวันที่มวลชนพลพรรค พคท. ในเขตงานจังหวัดอุบลราชธานี ประกาศเป็น "วันกองทัพ" ของ พคท. แต่กลับยอมรับเอาวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2508 เป็นวันเสียงปืนแตกครั้งแรก และยังให้ถือเป็นวันกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) มีความเป็นมาดังนี้ 

พื้นที่ป่า ตำบลโพนทอง อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ

เขตงานปฏิบัติการในพื้นที่ จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ภายใต้อำนาจการบังคับบัญชาของสหาย "เพียร" (ครูเพียร) ซึ่งตั้งฐานที่มั่นอยู่ ณ ป่าภูเกษตร ตำบลโพนทอง อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี (ซึ่งปัจจุบันเป็น ตำบลโพนทอง อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ) วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508 สหายเพียร ได้นำกองกำลังพลพรรค พคท.ดักซุ่มโจมตีรถตำรวจบนเส้นทางระหว่างบ้านป่าเตยกับบ้านคำไหล เขตงาน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็น อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร) โดยการปฏิบัติการในครั้งแรกนี้ถือว่า กองกำลัง พคท.ประสพความสำเร็จสูงสุด

เนื่องจากสามารถทำลายรถตำรวจลงได้ มีตำรวจเสียชีวิต 3 นาย พร้อมทั้งได้ยึดอาวุธบุทโธปกรณ์อื่น ๆ อีกหลายรายการ โดยที่กองกำลัง พคท.ไม่สูญเสียอะไรเลย ถือได้ว่าในการปะทะในครั้งนี้ พคท.ชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลังจากปฏิบัติการเสียงปืนแตกเป็นวันแรก และได้รับชัยชนะโดยสมบูรณ์แบบ ต่อมามีการประชุมคณะกรรมการเขตงานพิเศษ สหายเพียรได้รายงานรายละเอียดให้ที่ประชุมทราบ จึงได้รับการตอบรับจาก สหาย สวน (วิรัช อังคถาวร ) และกล่าวคำชื่นชมว่า "เป็นความกล้าหาญและฉลาดมาก" แต่แล้วทำไม พคท. จึงปฏิเสธการรับเอาวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508 ให้เป็นวันเสียงปืนแตกครั้งแรก

สหายเพียร ซึ่งได้รวบรวมมวลชน พคท.จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้น ณ ฐานที่มั่นป่าภูเกษตร ซึ่งในเวลานั้นเรียกกองกำลังติดอาวุธกลุ่มนี้ว่า "พลพรรคประชาชนต่อต้านอเมริกาแห่งประเทศไทย (พล.ปตอ.) โดยมีเป้าหมายคือ ปฏิบัติการ "ต่อต้านอเมริกา" และประกาศวันก่อตั้ง "กองทัพ" เป็นทางการในวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 โดยมี สหายเพียร เป็นประธานในพิธี แต่ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กองทัพปลดแอกของประชาชนแห่งประเทศไทย" (ทปท.) ด้วยเหตุผลว่า เมื่อ ทปท. มีเป้าหมายขับไล่อเมริกาแล้ว ก็ต้องขับไล่รัฐบาล "เผด็จการ" ด้วย เพราะรัฐบาลเผด็จการในเวลานั้นอยู่ในภายใต้อำนาจของจักรวรรดินิยมอเมริกา

สหาย “ลุงคำตัน” พ.ท.พโยม จุลานนท์ (บิดาของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรีคนปัจจุบัน)

เหตุผล พคท.ปฏิเสธไม่ยอมรับวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508 หรือวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508  เป็นวันวันกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย โดยวันทั้งสองนี้เกิดจากผลของ "ปฏิบัติการ" และผลจากการ "ก่อตั้ง" ของสหายเพียร ผู้มีอดีตเป็นครูบ้านนอก เป็นนักต่อสู้กับผู้มีอิทธพลท้องถิ่นชนิดตาต่อตา เข้าสมัครเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อปี พ.ศ. 2492 เดินทางไปรับการอบรมลัทธิมาร์ค เลนิน ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เป็นรุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ. 2495 (รุ่นเดียวกับ ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร, วิรัช  อังคถาวร, พ.ท.พโยม จุลานนท์ (บิดาของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรีคนปัจจุบัน), ผิน บัวอ่อน, ธง แจ่มศรี, รวม วงษ์พันธ์ และคนอื่น ๆ รวม 20 คน)

เมื่อสำเร็จการอบรมแล้วได้เดินทางกลับประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2499 และ พคท.แต่งตั้งให้ ครูเพียร เป็น "ผู้อำนวยการสถาบันอบรมลัทธิมาร์ค - เลนิน" ซึ่งเปิดดำเนินการลับ ๆ ในจังหวัดพระนคร รับผู้ฝึกอบรมได้ประมาณ 4 - 5 รุ่น ต้องปิดตัวลงเมื่อมีเค้าลางว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จะทำการรัฐประหาร หลังจากสถาบันฯ ปิดตัวลง พคท.ได้ส่งตัวสหายเพียรไปช่วยงานเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับพลพรรคคอมมิวนิสต์ "มาลายา" (พคม.) หลังจากปฏิบัติงานเป็นครูสามารถสอนภาษาไทยให้นักเรียนที่เป็นพลพรรคคอมมิวนิสต์มาลายาแล้ว จึงเดินทางกลับประเทศไทย แล้วถูก พคท. กำหนดให้เป็นผู้จัดหา "ฐานที่มั่น" และเตรียมจัดตั้งกำลังรบให้ พลพรรค พคท.ในเขตพื้น จังหวัดตรังเชื่อมโยงกับ จังหวัดพัทลุง ในเขตพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราชเชื่อมโยงกับ จังหวัดสุราษฎร์ฯ

ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร

ธง แจ่มศรี อดีตเลขาธิการ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)

จากนั้นปี พ.ศ. 2505 พคท. ส่งสหายเพียรไป "ขยายมวลชน" ในจังหวัดนครพนม โดยได้สร้างฐานที่มั่นขึ้นในป่า ตำบลดงหลวง อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม โดยปฏิบัติการอบรมจนขยายมวลชนได้อย่างกว้างขวางเป็นที่พอใจของ พคท. ในปี พ.ศ. 2506 จึงเดินทางไปปฏิบัติงานในเขตงาน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี โดยประจำอยู่ที่ฐานที่มั่นในป่า "โคกกลาง" ตำบลบ้านด่าน ปฏิบัติงานอยู่ในเขตพื้นที่แห่งนี้เป็นเวลา 6 เดือน แล้วจึงเดินทางเข้าเขตงาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี และตั้งฐานที่มั่นในป่าภูเกษตร ตำบลโพนทอง ตามที่ได้กล่าวแล้ว

ต่อมา สหายเพียร เป็น "แกนนำ" ในการคัดง้างกับ "ฝ่ายค้าน" อุดมการณ์พรรค" (ฝ่ายลัทธิแก้) ซึ่งมี "ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร" เป็นแกนนำ แต่ฝ่ายของประเสริฐ ทรัพย์สุนทร มีอำนาจในพรรคเหนือกว่า ฝ่ายสหายเพียรจึงสู้ไม่ได้ นอกจากความขัดแย้งในเรื่องอุดมการณ์แล้ว ฝ่ายของประเสริฐยังนำเอาเรื่องที่สหายเพียรผิดวินัยพรรคเมื่อครั้งเป็นผู้อำนวยการสถาบันอบมรมลัทธิมาร์คซิส - เลนิน มาโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน (ความผิดนั้นคือ สหายเพียร มีผู้หญิงคนใหม่ ในขณะที่สหายเพียรมีภรรยาและลูกอยู่แล้ว) ด้วยสาเหตุ 2 ประการนี้ สหายเพียรจึงถูกยึดทุกตำแหน่งในพรรคทั้งหมด จนเหลือเพียงแค่ตำแหน่งสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2509 สหายเพียร จึงออกมอบตัวกับทางราชการ และกลายเป็นคน "ทรยศ" และเป็นคน "นอกพรรค" ไป

ด้วยเหตุนี้ พคท.จึงไม่ยอมรับผลงานที่สหายเพียรสร้างไว้ให้อยู่ปรากฏบนหน้าประวัติศาสตร์ของ พคท. จึงเป็นสาเหตุของการไม่ยอมรับว่า วันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508 เป็นวันเสียงปืนแตกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หรือวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 เป็นวันกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย 

ด้วยเหตุนี้เอง พคท.จึงถือเอาวันที่ 7 สิหาคม พ.ศ. 2508 เป็นวันเสียงปืนแตกครั้งแรก ซึ่งเป็นวันแรกที่พคท.สู้รบ และได้รับความ "พ่ายแพ้" ทั้งยังถือเป็นวันกองทัพปลดแอกของประชาชนแห่งประเทศไทยแทนวันทึ่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2508 อันเป็นวันเสียงปืนแตกวันแรก และกองกำลังติดอาวุธของพคท.สามารถทำการรบเอารบชนะเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างเด็ดขาด หรือวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 อันเป็นวันที่ สหายเพียร ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า เป็นวันกองทัพปลดแอกของประชาชนแห่งประเทศไทย (ทปท.) เมื่อก่อนหน้านี้แล้ว

หลังจาก “วันเสียงปืนแตก” เป็นต้นมา การต่อสู้ก็ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา รัฐบาล จอมพล ถนอม กิตติขจร ใช้นโยบาย “การทหารนำการเมือง” มีการสู้รบกันอย่างรุนแรงทั่วทุกภาค ภายหลังเหตุการณ์ "6 ตุลา 19" นักศึกษา ปัญญาชนหลายพันคนได้ตัดสินใจเข้าป่าร่วมการต่อสู้กับ พคท. ส่งผลให้พรรคเข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน ภายในพรรคก็เกิดความแตกแยกทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างสมาชิกรุ่นเก่ากับสมาชิกรุ่นใหม่ รัฐบาลก็แก้เกมการเมืองได้อย่างทันท่วงที โดยหันไปสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน ผู้ให้การช่วยเหลือรายใหญ่ของพรรคในเวลานั้น จีนต้องยุติการช่วยเหลือแก่พรรค

คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หรือคำสั่งที่ 66/23 เป็นคำสั่งรัฐบาลไทยที่กำหนดนโยบายสำคัญในการต่อสู้กับการก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายสงครามเย็น คำสั่งดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 และลงนามโดยนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์

ต่อมารัฐบาลไทยหันมาใช้นโยบาย “การเมืองนำการทหาร” ด้วยการประกาศ "นโยบาย 66/2523" อันมีสาระสำคัญให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อพัฒนาชาติไทย ไม่เอาผิดกฎหมายกับคนที่เข้าป่าจับอาวุธสู้กับรัฐ มีโครงการแจกที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้านที่ออกมามอบตัว ส่งผลให้นักศึกษาและประชาชนออกมามอบตัวกันเกือบหมด ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยตกต่ำ และล่มสลายลงในเวลาอันรวดเร็วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา

คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 หรือคำสั่งที่ 66/23 เป็นคำสั่งรัฐบาลไทยที่กำหนดนโยบายสำคัญในการต่อสู้กับการก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายสงครามเย็น คำสั่งดังกล่าวออกเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2523 และลงนามโดยนายกรัฐมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ คำสั่งนี้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายจากท่าทีทหารสายแข็งที่ดำเนินมาแต่รัฐบาลฝ่ายขวาในยุคที่นายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี (พ.ศ. 2519 ถึง พ.ศ. 2520) มาสู่สายกลางมากขึ้น และให้ความสำคัญต่อมาตรการทางการเมืองเหนือการปฏิบัติทางทหารอย่างเป็นทางการ

คำสั่งนี้กำหนดให้มีการจัดการความอยุติธรรมทางสังคม และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองและกระบวนการประชาธิปไตย มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมสอดคล้องกับคำสั่งอนุญาตให้ผู้แปรพักตร์ผละขบวนการก่อการร้าย เมื่อประกอบกับการลดลงของการสนับสนุนจากต่างชาติ นำไปสู่การเสื่อมสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้สลายตัวแล้วอย่างสมบูรณ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2523 และการจดทะเบียนพรรคการเมืองในชื่อ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ไม่สามารถกระทำได้ตามกฎหมายเนื่องจากขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายพรรคการเมือง เพราะพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นรูปแบบการปกครองแบบหนึ่ง แม้ปัจจุบันมีผู้พยายามสืบทอดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยให้คงอยู่ แต่ไม่ได้มีบทบาทอะไรทางการเมืองเช่นในอดีตแล้ว

ด้วยเหตุที่ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยถือเอา 7 สิหาคม พ.ศ. 2508 เป็นวันเสียงปืนแตกแห่งความพ่ายแพ้ การสู้รบของพคท. จึงพ่ายแพ้ พลพรรคยอมจำนนต่อทางการตามนโยบาย 66/23 ฤกษ์วันที่ 7 สิงหาคมของขบวนการผู้คิดร้ายต่อชาติบ้านเมืองจึงกลายเป็น ‘ฤกษ์แห่งความ "พ่ายแพ้" ตลอดกาล’ 

จะไม่มีเหตุการณ์เช่นวันเสียงปืนแตกเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้อีก และบรรดาผู้ที่คิดและมุ่งร้ายต่อบ้านนี้เมืองนี้ที่สุดย่อมได้รับผลจากการกระทำทั้ง กายกรรม มโนกรรม และวจีกรรม จากที่ได้ทำผิดคิดชั่วเช่นที่ปรากฏให้เห็นในมากมายหลายต่อหลายราย ด้วยราชอาณาจักรไทยอันเป็นที่รักของเราท่าน มีสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิมากมาย คอยปกปักษ์รักษา คอยปกป้องคุ้มครอง ซึ่งจะทำให้สถาบันหลักทั้งสามดำรงคงอยู่เป็นหลักชัยของประชาชนชาวไทยตลอดไป

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยอมบิดเบือนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ด้วยเพราะสหายเพียรกลับกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามไป เรื่องราวของสหายเพียรจึงสืบค้นได้ยากมาก ๆ แต่ได้ความอนุเคราะห์ข้อมูลจากคุณพีระ ทองพิทักษ์ กัลยาณมิตรใน FB ได้กรุณาให้ข้อมูลเรื่องนี้มา ผู้เขียนจึงได้สอบทานกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวงข่าวกรองก็ได้รับการบอกเล่าข้อมูลลักษณะเดียวกัน โดยกองกำลังติดอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองก่อนวันที่ 7 สิหาคม พ.ศ. 2508 หลายครั้งแล้ว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คุณพีระ ทองพิทักษ์


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เหลือ​ 1​ ล้าน!! บทสรุป​ 'มาตรการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก'​ สะท้อนสุขภาพการเงินสถาบันไทย...ยังดีจริงหรือ?

ตามที่สถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) ประกาศปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก ในกรณีที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินล้มละลาย ปิดกิจการ หรือโดนเพิกถอนใบอนุญาต จากเดิมวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท ลงมาอยู่ที่ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อ 1 รายผู้ฝาก ต่อสถาบันการเงิน นับตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น เป็นไปตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้แล้วในพระราชกฤษฎีกาจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2563 และหลักเกณฑ์ของ The International Association of Deposit Insurers (IADI) 

ทั้งนี้เพื่อให้วงเงินคุ้มครองเงินฝากสอดคล้องกับหลักการของระบบการคุ้มครองเงินฝากที่มีประสิทธิผล รักษาเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน ช่วยให้ทั้งผู้ฝากเงินและสถาบันการเงินไม่ละเลยต่อการบริหารความเสี่ยง ตลอดจนเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำและลดภาระงบประมาณของภาครัฐไม่ให้สูงเกินจำเป็น ทำให้ภาครัฐสามารถจัดสรรงบประมาณไปสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ได้

นอกจากนี้การปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากดังกล่าวยังคงคุ้มครองผู้ฝากเงินถึงร้อยละ 98 ของผู้ฝากเงินทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ประกอบกับความเข้มแข็งของสถาบันการเงินในปัจจุบันที่สูงกว่าในอดีต ภายใต้การกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงทำให้ผู้ฝากเงินสามารถมั่นใจต่อระบบสถาบันการเงินได้ แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจมีความผันผวนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม

มาตรการกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบันการเงิน ของ ธปท. นั้น ได้กำหนดกฎเกณฑ์ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ภายใต้พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นคง มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยง มีความระมัดระวัง ไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่เงินฝากของประชาชน ตลอดจนมีเกณฑ์กำกับด้านธรรมาภิบาลของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและผู้ฝากเงิน 

ทั้งนี้การกำกับดูแลของ ธปท. เป็นไปตามแนวทางการกำกับตรวจสอบความเสี่ยง (Risk based Supervision) โดยในส่วนของการกำกับดูแลด้านความเพียงพอของเงินกองทุน สถาบันการเงินจะถูกประเมินด้วยอัตราส่วนกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ที่คำนึงถึงความเสี่ยงด้านเครดิต ด้านตลาด และด้านปฏิบัติการ ทั้งนี้กำหนดให้ค่า BIS ต้องมากกว่าหรือเท่ากับ 8.5% ซึ่งปัจจุบันพบว่า ค่า BIS ของสถาบันการเงินมีค่าร้อยละ 20 ซึ่งแสดงถึงสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ ธปท. ยังได้กำหนดให้มีมาตรการ PPA (Prompt Prevention Action) เพื่อป้องกันก่อนสถาบันการเงินจะมีฐานะเงินกองทุนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด (ต่ำกว่า 8.5%) และมาตรการ PCA (Prompt Corrective Action) เพื่อแก้ไข ผ่านการเสนอแผนเข้าควบคุมกิจการ (ต่ำกว่า 5.1%) และสั่งปิดกิจการ (ต่ำกว่า 2.97%) อีกด้วย 

อย่างไรก็ตามผู้ฝากเงินสามารถศึกษาความมั่นคงของสถาบันการเงินได้มากขึ้น ผ่านแนวทางการประเมินใน 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 
1.) ฐานะและกำไรจากการทำธุรกิจ 
2.) เงินทุนของสถาบันการเงินที่แข็งแกร่ง 
3.) คุณภาพของสินเชื่ออยู่ในเกณฑ์ดี 
4.) มีสภาพคล่องเพียงพอ และ 
5.) อันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงิน (Rating) 

นอกจากนี้ ธปท. กำหนดให้มีศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.) ดูแลประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้บริการทางการเงินจากสถาบันการเงิน ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อให้ผู้ใช้บริการทางการเงินได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์และบริการได้อย่างอิสระ มีช่องทางร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม และได้รับการพิจารณาค่าชดเชยกรณีได้รับความเสียหาย ผ่านสายด่วน 1213 หรือ www.1213.or.th 

ขอบคุณข้อมูลจาก 
ข่าว ธปท. ​ฉบับที่  58/2564 
https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/2021/Pages/n5864.aspx
การกำกับดูแลสถาบันการเงินโดยธนาคารแห่งประเทศไทย 
https://www.1213.or.th › aboutfcc › Documents
การคุ้มครองเงินฝาก การกำกับดูแลสถาบันการเงิน - สำนักงานเศรษฐกิจ 
http://www.fpo.go.th › CNT0014403-1.pdf.aspx


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พลิกวิกฤต!! “กระชาย” ความหวังของสมุนไพรไทย ในยุคโควิด-19 ?

ผ่านไปแล้วหลายวันครับ ในการใช้มาตรการสูงสุดของรัฐบาลโดยการล็อกดาวน์ ในจังหวัดที่มีสีแดงเข้มหลายจังหวัด และมีการขยายพื้นที่เพิ่มเติมจาก 13 จังหวัด เป็น 29 จังหวัด โดยมีแนวโน้มที่จะขยายมาตรการที่เข้มข้นนี้ออกไป ทั้งระยะเวลาและพื้นที่ในการบังคับใช้ อีกด้วย อย่างไรก็ตามผลจากการใช้มาตรการแบบเข้มข้นของรัฐบาลในรอบนี้ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเห็นทางสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย เนื่องจากจำนวนยอดผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดลงเลย ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นว่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดปัจจุบันมาแตะที่หลักสองหมื่นกว่าแล้ว 

ท่ามกลางกระแสของการแพร่ระบาดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และความกลัวในเรื่องยารักษาหลักคือ “ฟาวิพิราเวียร์” ที่ไม่เพียงพอ ก็ได้มีการผุดทางออกในเรื่องของการใช้สมุนไพรไทย ในการรักษาและยับยั้งการแพร่ไปสู่อวัยวะที่สำคัญ โดยเฉพาะสมุนไพรไทยที่ชื่อ “ฟ้าทะลายโจร” ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เริ่มมีการศึกษาในระดับการใช้งานในคน และมีการยอมรับแล้วว่า สามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว โดยการออกฤทธิ์คล้ายกับยาฟาวิพิราเวียร์ เลยทีเดียว 

นอกจากฟ้าทะลายโจรแล้ว ก็มีสมุนไพรไทยอีกชนิดหนึ่งที่ได้มีการศึกษาสำหรับใช้ในการรักษาโควิด-19 และผลการศึกษามีแนวโน้มที่ดีด้วยในการออกฤทธิ์ ยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกาย นั่นก็คือพืชสมุนไทยที่คนไทยคุ้นเคยกันดีที่ชื่อว่า “กระชาย” 

สำหรับวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกระชายกันครับ “กระชาย” มีชื่อสามัญว่า Fingerroot หรือ Chainese ginger หรือ Chainese Key หรือ Galingale มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia rotunda (L.) Mansf อยู่ในวงศ์ขิง เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ที่เรียกว่า เหง้า รากของกระชายจะสะสมอาหารจนพองเป็นก้าน เรียกว่า แง่ง กระชายมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อเรียกกันว่า ขิงจีน เราจะรู้จักกระชายกันดีในเรื่องของนำมาทำเป็นส่วนประกอบสำหรับทำอาหาร โดยเมื่อนำเหง้าหรือแง่งในปริมาณ 100 กรัม ของกระชายมาวิเคราะห์ พบว่ามีสารอาหารที่สำคัญได้แก่ คาร์โบไฮเดรต 17.8 กรัม เส้นใยอาหาร 2.0 กรัม น้ำตาล 1.7 กรัม โปรตีน 1.8 กรัม โพแทสเซียม 415 มิลลิกรัม โซเดียม 13 มิลลิกรัม ไขมันอิ่มตัว 0.2 กรัม ไขมันไม่อิ่มตัว 0.2 กรัม วิตามีนบี 6 8% วิตามีนซี 8% แคลเซียม 2% เหล็ก 3% แมกนีเซียม 11% กระชายที่ใช้ประโยชน์กันแพร่หลาย มี 3 ชนิด ได้แก่ กระชายดำ กระชายแดง และกระชายเหลือง หรือกระชายขาว 

สำหรับสรรพคุณของกระชายนั้น สามารถแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ รักษาโรคปากเปื่อย ปากเป็นแผล แก้อาการวิงเวียนหัว แน่นหน้าอก ได้ และกระชายดำก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีว่าช่วยเพิ่มสมรรถนะทางเพศได้อีกด้วย สำหรับกระชายที่มีการศึกษาว่ามีฤทธิ์ที่สามารถยับยั้งการกระจายตัวของไวรัสโควิด-19 เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว คือ กระชายขาว โดยจากผลการวิจัยร่วมกันของคณะวิทยาศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และและศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) พบว่า มีสารสำคัญ 2 ชนิด ที่พบในสารสกัดกระชายขาว ซึ่งสามารถช่วยในการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย คือ พิโนสโตรบิน (Pinostrobin) และ แพน​ดูราทิน เอ (Panduratin A) 

โดยมีกลไกลทำงาน คือเมื่อร่างกายได้รับสารสกัดที่สำคัญของกระชายนี้ในปริมาณที่เหมาะสม สารดังกล่าวจะไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 และทำให้ไวรัสสลายไปในที่สุด โดยพบว่าสามารถลดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 100% เลยทีเดียว โดยผลจากการทดลองในการยับยั้งการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่าสามารถลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อ จาก 100% ไปถึง 0% ได้ และ เมื่อวิเคราะห์ลักษณะการยับยั้งในการผลิตตัวไวรัสออกจากเซลล์ พบว่า สารสกัดจากกระชายขาวสามารถยับยั้งได้ถึง 100% นั่นก็คือเซลล์นั้นไม่สามารถที่จะผลิตตัวไวรัสตัวใหม่ออกมาจากตัวเซลล์ได้เลย  

ทั้งนี้ในกรณีการศึกษาวิจัยในกรณีดังกล่าวนั้น เป็นการศึกษาในระยะเริ่มต้น หรือระดับห้องปฏิบัติการ คือศึกษาในหลอดทดลอง และเริ่มนำมาใช้ในสัตว์ทดลองคือหนูเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มมีการศึกษาโดยทดลองใช้กับมนุษย์จริง และคงมีการศึกษาใช้กับมนุษย์ในระยะต่อไป ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของฟ้าทะลายโจร ที่เริ่มมีการทดลองใช้กับคนมาระยะหนึ่งแล้ว และได้ผลพบว่าสามารถยับยั้งการแพร่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อ เข้าสู่ร่างกายแล้วได้จริง 

แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนมองว่าเนื่องจาก กระชายเป็นทั้งพืชที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร และยังเป็นสมุนไพรที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ถ้าเรามีไว้ติดบ้านนอกจากมีสรรพคุณสำหรับรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปากเป็นแผล หรือเพิ่มสมรรถนะทางเพศ ตามความเชื่อแล้ว ก็ยังอาจเป็นทางออกอีกทางออกหนึ่งหนึ่งที่ สามารถยับยั้งการแพร่ของไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายเรา ในยุคของการระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไรก็ได้ครับ 


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“Kfir” เครื่องบินรบที่อิสราเอลสร้างจากปฏิบัติการ ‘จารกรรมพิมพ์เขียว’ Mirage ของฝรั่งเศส!!

MIRAGE III ทอ.อิสราเอล

เรื่องราวเกี่ยวกับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอิสราเอลที่หาความรู้ด้วยวิธีการที่ว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา" เลยทีเดียว ในทันทีที่สงคราม 6 วันสิ้นสุดลง ชาร์ล เดอ โกลล์ ประธานาธิบดีฝรั่งเศสในขณะนั้นได้สั่งให้งดขายอาวุธต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องบินแบบ Mirage 3-s จำนวน 15 เครื่องให้อิสราเอล ซึ่งอิสราเอลได้จ่ายเงินให้ไปแล้วด้วย อันที่จริงแล้วกองทัพอากาศอิสราเอลได้ยึดติดแน่นอยู่กับระบบต่าง ๆ ของเครื่องบิน Mirage แม้ว่า รัฐบาลอเมริกันได้ยื่นข้อเสนอที่จะขายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ให้ โดยจะจัดส่งเครื่องบินขับไล่ F-4 PhantomII มาให้ทันที แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาได้เลย เพราะอิสราเอลได้พัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้สำหรับเครื่องบินแบบ Mirage จนครบหมดแล้ว ด้วยอิสราเอลได้ลงทุนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงที่มุ่งจะใช้กับระบบของ Mirage ไปเป็นจำนวนมหาศาล และไม่ได้มีการพัฒนาระบบอื่นเผื่อไว้เลย

F-4 PhantomII ทอ.อิสราเอล

IAI Kfir เป็นเครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิดไอพ่นแบบแรกที่สร้างในอิสราเอล โดยต้นแบบของ Kfir คือ Mirage 5 ของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1969 ฝรั่งเศสงดขายเครื่องบิน Mirage ให้กับอิสราเอล ทำให้เกิดโครงการ Kfir ซึ่งเป็นงานแผนแบบเครื่องบินไอพ่นขับไล่และทิ้งระเบิดในระดับความเร็ว 2 มัค และเป็นความลับสุดยอดของอิสราเอล เครื่องบิน Kfir ต้นแบบก็สำเร็จในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งตั้งชื่อว่า Nesher ได้ทำการบินทดสอบ และแก้ไขดัดแปลงหลายส่วน โดยเฉพาะส่วนท้ายที่สันดาปท้ายร้อนจัดจนละลาย และเมื่อทดสอบปรับปรุงใหม่เสร็จ Nesher ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Barak การผลิต Barak เริ่มในปี ค.ศ. 1972 และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการต่อสู้กับเครื่องบิน MiG ของอาหรับ และนับจากนั้น Barak จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น Kfir เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด Kfir ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 เมษายน ปี ค.ศ. 1975 

Nesher ต้นแบบของ Kfir

โดย Kfir มีทั้งหมด 4 รุ่นคือ  

>> Kfir C.1 (1975) เป็นรุ่นที่มาจากการปรับปรุง Nesher โดยตรง โดยเพิ่มปีก Canard ขนาดเล็กเข้าไป อิสราเอลผลิต C.1 จำนวน 27 ลำ

และในวันที่ 20 กันยายน ปี ค.ศ. 1976 บริษัท ไอเอไอก็ได้เปิดตัวรุ่นใหม่ชื่อว่า 
>> Kfir C. 2 มีลักษณะแตกต่างจากรุ่นแรกคือ ติดตั้ง Canard หรือปีกเล็ก ๆ ด้านหน้า เหนือช่องรับอากาศ Kfir C.2 (1976) พัฒนามาจากประสบการณ์ในการใช้ C.1 โดยติดตั้งปีก Canard ที่สมบูรณ์ลงไป ปรับปรุงคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์ ลดระยะทางที่ต้องใช้ในการขึ้นลง และติดตั้งเก้าอี้ดีดตัว Martin-Baker Mk.10 ติดตั้งเรดาห์ EL/M 2001/2001B ที่อิสราเอลผลิตเอง ติดตั้งคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินและจอ HUD และได้ผลิตรุ่น TC.2 ซึ่งเป็นรุ่นสองที่นั่งสำหรับใช้ฝึก โจมตี และปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิคส์ โดยอิสราเอลผลิต C.2 และ TC.2 ทั้งหมด 185 เครื่อง

>> Kfir C.7 (1983) เปลี่ยนเครื่องยนต์เป็น J79-GE-17E ซึ่งเพิ่มแรงขับอีก 1,000 ปอนด์ ติดตั้งระบบ Jammer รุ่น EL/L-8202 ซึ่งในรุ่นนี้ Kfir ได้เปลี่ยนภารกิจจากขับไล่สกัดกั้นเป็นโจมตี เนื่องด้วยต้องเหลีกทางให้ F-15 ที่มาทำภารกิจขับไล่แทน (ทำให้สถิติการยิงเครื่องบินศัตรูตกของ Kfir หยุดอยู่ที่ 1 เครื่อง คือ MiG-21 ของซีเรียซึ่งถูกยิงตกโดย Kfir C.2)

>> Kfir C.10 หรือ Kfir 2000 รุ่นสุดท้ายของ Kfir ในรุ่นนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนห้องนักบินไปเป็นระบบ Glass cockpit (ติดตั้งจอภาพสี 2 จอแทนมาตรวัดแบบเข็ม) ติดตั้งท่อรับการเติมน้ำมันกลางอากาศ เปลี่ยนคันบังคับเป็นแบบ HOTAS ซึ่งช่วยลดภาระของนักบิน นักบินสวมหมวกบินติดศูนย์เล็ง และเปลี่ยนเรดาห์เป็นรุ่น EL/M-2032

Kfir รุ่นต่าง ๆ

การที่ฝรั่งเศสห้ามขายอาวุธยุทโธปกรณ์กลายเป็นปัญหาระยะสั้นที่ทำให้รัฐบาลและกองทัพอิสราเอลต้องคิดหาทางออกอย่างหนัก ส่วนปัญหาระยะยาวที่จะตามมาอีกคือ จะทำอย่างไรในการซ่อมบำรุงเครื่องบิน Mirage ที่มีอยู่แล้ว ความสามารถในการป้องกันประเทศของอิสราเอลต้องขึ้นอยู่กับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ได้รับจากประเทศเดียวเท่านั้น ถ้าประเทศนั้นเกิดเปลี่ยนใจไม่ส่งอาวุธมาให้โดยไปเข้ากับศัตรูในขณะที่อิสราเอลเจอกับวิกฤตเช่นนั้น หรือ อิสราเอลจะทำอย่างไร เหมือนยืมจมูกคนอื่นหายใจฉะนั้นหรือ คณะรัฐมนตรีของอิสราเอลในขณะนั้นได้มีมติด่วนให้จัดหางบประมาณให้แก่อุตสาหกรรมเครื่องบินของอิสราเอลเพื่อสร้างเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดที่สามารถต่อกรกับเครื่องบินชั้นเยี่ยมของชาติอื่น ๆ มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ที่เผชิญหน้าอยู่

คณะกรรมการสรุปข้อมูลและประเมินสถานการณ์แล้วได้รายงานว่า จะต้องใช้เวลาประมาณ 10 ปี ในการสร้างเครื่องบินสัญชาติอิสราเอลให้ขึ้นบินได้ทั้งนี้ เพราะอิสราเอลจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่ A จนถึง Z นอกจากนั้นยังไม่อาจประกันได้ว่าเครื่องบินที่ผลิตออกมานั้นจะสามารถเทียบชั้นกับเครื่องบินของรัสเซีย อังกฤษ อเมริกา หรือฝรั่งเศสได้ วิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้รวดเร็ว คือสร้างเครื่องบินที่ลอกแบบ จาก Mirage ซึ่งวิศวกรและนักเทคนิคของอิสราเอลมีความชำนาญและคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่วิธีนี้ก็ยังมีปัญหาและอุปสรรคอยู่ดี เนื่องจากเครื่องบินขับไล่สมัยใหม่แต่ละเครื่องมีชิ้นส่วนประมาณ 1 ล้านกว่าชิ้น และทุกชิ้นส่วนได้รับการทดสอบมาแล้วเป็นอย่างดี ถ้าจะลอกแบบจากเครื่องบินจริงย่อมไม่ได้คุณภาพเท่าของแท้ นอกเสียจากจะมีพิมพ์เขียวของวิศวกรผู้สร้าง Mirage เอง ตัวอย่างที่อิสราเอลรู้ดีก็คือ สวิตเซอร์แลนด์ได้ผลิตเครื่องบิน Mirage ภายใต้สิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาตจากฝรั่งเศส ซึ่งสามารถใช้แบบพิมพ์เขียวและนักเทคนิคของฝรั่งเศสอีกด้วย แม้กระนั้นยังต้องใช้เวลาถึง 6 ปี เครื่องบิน Mirage ที่สร้างในสวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถขึ้นบินได้ 

เดือนธันวาคม ปี 1967 ฝรั่งเศสได้จัดให้มีการประชุมผู้ถือสิทธิบัตรในการผลิตเครื่องบิน Mirage ทั้งลำหรือบางส่วนขึ้นในกรุงปารีส โดยปกติแล้วเครื่องบินหรือเครื่องยนต์ที่ติดตั้งอยู่กับเครื่องบินจะไม่ค่อยเป็นไปตามรายการประกอบแบบ (Specifications) ที่เขียนขึ้น โดยยืนยันสมรรถนะหรือเพื่อประกันความปลอดภัยเครื่องบิน ซึ่ง Mirage เองก็ไม่ได้มีข้อยกเว้น บริษัท Dassault ผู้ผลิตลำตัวเครื่องบินและบริษัท Senikama ผู้ผลิตเครื่องยนต์ ATA-9 ทั้งสองบริษัทเป็นเจ้าภาพร่วมกัน จัดให้มีการประชุมสำหรับผู้ใช้งานเครื่องบิน Mirage ทั้งหลายขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากรัฐบาลและอุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินของชาติต่าง ๆ ที่เป็นลูกค้า วัตถุประสงค์ก็เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ โดยออสเตรเลียและสวิตเซอร์แลนด์เป็นผู้ผลิต Mirage ทั้งตัวเครื่องบินและเครื่องยนต์ ส่วนอิสราเอลและเบลเยี่ยมนั้น นำชิ้นส่วนไปประกอบและผลิตชิ้นส่วนบางชิ้นขึ้นเอง ทั้งหมดภายใต้สิทธิบัตรที่ได้รับอนุญาต นอกจากนั้นก็ยังมีแอฟริกาใต้ เลบานอน และเปรู ซึ่งซื้อเครื่องบิน Mirage ที่ประกอบสำเร็จรูปไปใช้

ในการประชุมครั้งนี้อิสราเอลได้ส่งพลจัตวา โดฟ ไซเยียน แห่งกองทัพอากาศอิสราเอลเข้าร่วมประชุม (นายพลไซเยียน เป็นบุตรเขยของนายพล Moshe Dayan (สามีของ Yael Dayan บุตรีของนายพล Moshe) ไซเยียนไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากนัก เพราะนั่งติดกับผู้แทนจากเลบานอน ซึ่งถือว่าเป็นศัตรู และอิสราเอลเองยังไม่พอใจฝรั่งเศสที่ไม่ยอมส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ ดังนั้นข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการใช้เครื่องบิน Mirage ในระหว่างสงคราม 6 วันที่เตรียมมาจึงไม่ได้เสนอในที่ประชุมแต่อย่างใด

เครื่องยนต์ ATA-9 ที่ติดตั้งอยู่ใน Mirage

ในการประชุมนั้นผู้ผลิตเครื่องยนต์ ATA-9 บริษัท Senikama ได้รับความกดดันจากลูกค้าที่ใช้ Mirage เป็นอันมาก เพราะต่างผิดหวังกับเครื่องยนต์ ATA-9 ที่ติดตั้งอยู่ใน Mirage โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ผู้แทนจากบริษัท Solzer Brothers แห่งสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งได้สิทธิบัตรในการสร้าง Mirage ได้วิจารณ์เครื่องยนต์ ATA-9 อย่างหนัก สำหรับไซเยียนแล้วทุกสิ่งที่ฟรอเอนค์เนทค์พูดนั้นได้เกิดขึ้นกับเครื่องบิน Mirage ของอิสราเอลเช่นเดียวกัน หลังการประชุม ไซเยียนได้หาโอกาสพบและรับประทานอาหารกับฟรอเอนค์เนทค์ และได้บอกกับผู้แทนบริษัทสวิสว่า เขาจงใจที่จะไม่เสนอข้อมูลในการใช้งาน Mirage ของอิสราเอลในที่ประชุม

อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ผู้แทนจากบริษัท Solzer Brothers แห่งสวิตเซอร์แลนด์

พลจัตวา ไซเยียน กลับอิสราเอลพร้อมกับข่าวดี โดยฟรอเอนค์เนทค์ได้เปิดเผยกับเขาว่า รัฐบาลสวิสได้สั่งชิ้นส่วน Mirage III จำนวน 100 เครื่อง แต่เนื่องจากราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลสวิสจึงตัดสินใจสร้างเพียง 53 เครื่อง ชิ้นส่วนที่เหลือนั้นจึงพอที่จะสร้างอีก 47 เครื่องได้อย่างสบาย แถมยังมีแบบพิมพ์เขียวและรายการอย่างละเอียดที่อยู่ในสวิสเซอร์แลนด์อีกด้วย ถ้าอิสราเอลได้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนและแบบพิมพ์เขียวเหล่านั้นก็สามารถสร้างเครื่องบิน Mirage ได้อีกประมาณ 50 เครื่อง เพื่อทดแทนจำนวนที่สั่งจากฝรั่งเศส แต่ถูกรัฐบาลฝรั่งเศสสั่งกักเอาไว้ 

มิตรใหม่ทั้งสองติดต่อกันทางจดหมายเรื่อยมา แม้ว่าฟรอเอนค์เนทค์จะไม่ใช่คนยิว แต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจยิวอยู่เป็นอันมาก เพราะในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวได้หนีตายจากฮิตเลอร์เข้ามาพึงสวิตเซอร์แลนด์เหมือนหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับขับไล่ไสส่งชาวยิวเหล่านั้นให้ไปพบกับความตาย ซึ่งฟรอเอนค์เนทค์ถือว่า เป็นความผิดของสวิตเซอร์แลนด์ที่ไม่อาจล้างบาปได้ ฟรอเอนค์เนทค์เป็นวิศวกรฝ่ายพัฒนาที่อายุเพียง 40 ปี ก็สามารถไต่เต้าขึ้นมาอยู่ในระดับสูงของบริษัท Solzer Brothers แล้ว

อิสราเอลได้พบช่องโหว่ของการรักษาความปลอดภัยที่หนาแน่นของฝรั่งเศสเข้าแล้ว ต่อไปนี้ต้องหาทางทะลุทะลวงช่องโหว่นี้ให้กว้างขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือทำให้ฟรอเอนค์เนทค์ภักดีต่ออิสราเอลให้ได้เสียก่อน โดย ไซเยียน และนายทหารอิสราเอลอื่น ๆ ได้ส่งข้อมูลในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ATA-9 ให้ฟรอเอนค์เนทค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟรอเอนค์เนทค์ต้องการเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ในที่สุดการติดต่อกันทางจดหมายระหว่างฟรอเอนค์เนทค์กับเพื่อนทหารอิสราเอลทำให้มิตรภาพแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

คณะกรรมการชุดหนึ่งได้ถูกตั้งขึ้นเพื่อควบคุมและติดตามกรณีของ ฟรอเอนค์เนทค์ โดยมี นายพลอาฮารอน ยาริฟ หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับอิสราเอลเป็นประธาน ประกอบไปด้วยคนของกองทัพอากาศและอุตสาหกรรมสร้างเครื่องบินเป็นกรรมการ ผู้ที่สมควรกล่าวถึงอีกสองคนคือ เมียร์ อมิท อดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับ และ อัล ชวิมเม ชาวอเมริกันเชื้อสายยิวผู้ซึ่งได้วางรากฐานของอุตสาหกรรมเครื่องบินในอิสราเอลตั้งแต่ ปี 1947 ร่วมกันรับผิดชอบในด้านปฏิบัติการ

ตอนแรกคณะกรรมการตกลงว่าจะติดต่อกับรัฐบาลสวิสอย่างเปิดเผยผ่านทางฟรอเอนค์เนทค์ก่อน โดย อัล ชวิมเม ได้เสนอกับรัฐบาลสวิสว่า อิสราเอลจะขอซื้อส่วนประกอบของ Mirage จำนวน 47 เครื่อง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนที่ทางอิสราเอลจะมอบความลับอันสำคัญในการปรับแต่งเครื่องยนต์ ATA-9 ให้แก่รัฐบาลสวิสเป็นการตอบแทน รัฐบาลสวิสจึงได้ติดต่อกับฝรั่งเศสและคำตอบจากฝรั่งเศสนั้นทำให้อิสราเอลผิดหวัง คือไม่ให้สวิสขายชิ้นส่วนให้กับอิสราเอล แต่คณะกรรมการเดาว่า คำตอบน่าจะออกมาในด้านลบอยู่ก่อนแล้ว จึงได้เตรียมแผนสองเอาไว้

วิธีการตามแผนสองก็คือ หน่วยสืบราชการลับของอิสราเอลหรือ MOSSAD ได้จัดตั้งบริษัทบังหน้าขึ้นในสวิสเซอร์แลนด์เพื่อ โดยอาจได้รับการช่วยเหลือจาก Marcel Dassault (นามสกุลเดิม Bloch) เจ้าของบริษัท Dassault ซึ่งมีเชื้อสายยิว และอาจต้องการช่วยเหลืออิสราเอล อีกทางหนึ่งอิสราเอลได้ติดต่อกับ ฟรอเอนค์เนทค์ วิศวกรชาวสวิสเซอร์แลนด์ของบริษัทผู้ได้สิทธิบัตรผลิตเครื่องบิน Mirage โดย MOSSAD ได้จัดหานักจิตวิทยา วางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ฟรอเอนค์เนทค์เห็นอกเห็นใจชาวยิว และยอมช่วยหาพิมพ์เขียวของเครื่องบิน จำนวน 150,000 แผ่น และพิมพ์เขียวเครื่องกล 45,000 แผ่น โดยฟรอเอนค์เนทค์ตกลงและคิดว่า ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะทำทุกอย่างสำเร็จ ฟรอเอนค์เนทค์ได้เสนอเจ้านายในบริษัทให้ถ่ายพิมพ์เขียวเข้าไมโครฟิล์ม แล้วจะเผาทำลายแบบต้นฉบับ เพื่อการเก็บรักษาที่ง่าย โดยทุกครั้งที่ทำลายจะมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเคร่งครัด แต่ฟรอเอนค์เนทค์ได้ซื้อพิมพ์เขียวเก่า ๆ ของเครื่องบินที่คล้าย ๆ กันมาเผาทำลายแทน 

สายลับ MOSSAD ได้เลือกที่จะตีสนิทกับ ฮานส์ สเตรคเกอร์ ชาวเยอรมันที่ทำงานอยู่กับบริษัทขนส่งสวิสชื่อบริษัทรอทซิงเจอร์ และเสนอเงินจำนวนมากเพื่อให้นำพิมพ์เขียวข้ามชายแดนสวิสเข้าไปเยอรมันให้ได้ โดยใช้ระยะเวลาต่อเนื่องหลายเดือน เมื่อขนเข้าเยอรมัน จะมีเครื่องบินอิตาลีบินมารับ แล้วบินกลับประเทศลงจอดยังสนามบินส่วนตัว และมีเครื่องอิสราเอลมารอรับอยู่ ผ่านไปหลายเดือนการส่งเอกสารพิมพ์เขียวไปแล้วกว่าแสนแผ่น สเตรคเกอร์เกิดทำพลาด ประการแรกเขาทำให้คนเห็นขณะนำกล่องบรรจุพิมพ์เขียวขึ้นรถเบนซ์สีดำ และประการที่สองเขาลืมกล่องอีกหนึ่งกล่องไว้ในโกดัง ซึ่งเป็นที่สังเกตของ คาร์ล รอทซิงเจอร์ เจ้าของบริษัทขนส่งที่ชื่อเดียวกับนามสกุลของเขา คาร์ลจึงได้ดึงแบบออกจากกล่องหนึ่งแผ่น และได้พบกับคำว่า Solzer ซึ่งเป็นชื่อของบริษัทสวิสที่ทำธุรกิจในด้านวิจัย และผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ข้างใต้ชื่อบริษัทเขาพบคำว่า License-Senikama ซึ่งหมายถึงบริษัท Solzer ได้รับสิทธิบัตรจากบริษัท Senikama ของฝรั่งเศส และที่สำคัญคือ ข้อความอีกบรรทัดหนึ่งที่มีความหมายว่า “ตามประมวลกฎหมายอาญา ให้รักษาความลับในทางทหารไว้อย่างสูง” 

คาร์ลได้ทราบจากคนงานที่ทำงานใกล้เคียงว่า สเตรคเกอร์ได้เคลื่อนย้ายกล่องกระดาออกไปเป็นระยะเวลาหลายเดือนมาแล้ว เขาจึงได้แจ้งให้ตำรวจทราบ ฝ่ายอิสราเอลซึ่งได้เฝ้าจับตาดูอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ทราบถึงความหละหลวมและพลาดท่าของสเตรคเกอร์ จึงโทรศัพท์บอกเป็นรหัสว่า “ดอกไม้ได้ร่วงโรยเสียแล้ว” เพื่อให้เวลากับฟรอเอนค์เนทค์ ได้หนีทัน แต่ฟรอเอนค์เนทค์ตัดสินใจไม่หนี เขาต้องติดคุกในระหว่างดำเนินคดี 1 ปีเต็ม ทั้งนี้ก็เพราะว่า ทางการสวิสต้องการทราบว่า ความเสียหายมีมากน้อยขนาดแค่ไหนจึงต้องใช้เวลาในการพิจารณาคดี และในที่สุดได้ข้อสรุปว่า ฟรอเอนค์เนทค์ ได้ส่งแบบพิมพ์เขียวเครื่องบิน Mirage ไปให้อิสราเอลเป็นจำนวน 2,000 แผ่น สำหรับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ 80,000-100,000 แผ่น สำหรับ Jigs (เครื่องมือประกอบการผลิตชิ้นส่วน) 35,000-40,000 แผ่น สำหรับเครื่องมือ (Tools) 80-100 แผ่น สำหรับตัวเครื่องบิน 1,500 แผ่น สำหรับรายการประกอบแบบ (Specifications)

วันที่ 23 เมษายน 1971 ศาลสวิตเซอร์แลนด์ได้พิพากษาให้ อัลเฟร็ด ฟรอเอนค์เนทค์ ถูกจำคุก 4 ปี 6 เดือน จากการที่ฟรอเอนค์เนทค์ได้ถูกจองจำระหว่างการดำเนินคดี และประกอบกับการประพฤติตัวดี เขาจึงได้รับอิสรภาพเมื่อ 21 กันยายน 1972 สองปีครึ่งหลังจากที่ออกจากคุก ฟรอเอนค์เนทค์ได้เดินทางไปยังอิสราเอล เพื่อชมการบินของเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดความเร็ว 2.2 มัค ชื่อว่า Kfir ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก Mirage III และ Kfir ได้เป็นกำลังสำคัญของกองทัพอิสราเอลต่อมา

Kfir C.10 BLOCK60 รุ่นปรับปรุงแล้ว

อิสราเอลเคยเสนอขาย Kfir C.10 BLOCK60 รุ่นปรับปรุงแล้ว ให้กองทัพอากาศไทยในราคาลำละ 20 ล้านเหรียญอเมริกัน (ราว 660 ล้านบาท) Israel Aerospace Industries (IAI) เสนอเครื่องขับไล่ Kfir C.10 Block 60 ที่เป็นการนำเครื่องเก่าที่กองทัพอากาศอิสราเอลปลดประจำการไปแล้วในช่วงปี 1990s มาปรับปรุงใหม่ เป็นเครื่องบินที่ขีดความสามารถสูงทัดเทียบเครื่องบินขับไล่ยุคปัจจุบัน โดย Kfir Block 60 สามารถติดอาวุธได้หนักถึง 5.5 ตัน ทั้งอาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่อากาศ Python 5 และ Derby อาวุธอากาศสู่พื้นความแม่นยำสูงอย่าง Spice และระบบเครือข่าย Link-16 มีรัศมีทำการรบ 1,000 กิโลเมตร และจะบินได้ไกลขึ้นถ้าเติมเชื้อเพลิงทางอากาศ ความเร็วสูงสุดมากกว่า 2 Mach แต่กองทัพอากาศไทยไม่ได้ให้ความสนใจ ด้วยมีเครื่องบินสำหรับภารกิจนี้มีใช้อยู่แล้ว 3 แบบ คือ F-5E/F, F-16 A/B, ADF และ JAS-39 GRIPPEN หากมี Kfir มาใช้อีกแบบจะยิ่งเพิ่มภาระและปัญหาในการบริหารทรัพยากรทั้งบุคลากร (นักบิน ช่างอากาศ ช่างสรรพาวุธ) ตลอดจนค่าใช้จ่ายในเรื่องระบบอาวุธและการซ่อมบำรุงอีกมากมาย 

Kfir C.10 Columbian Air Force

มีหลายความเห็นว่า การจารกรรมพิมพ์เขียว Mirage ของฝรั่งเศสโดยอิสราเอลไม่ใช่เรื่องจริง แต่เป็นเรื่องของฝรั่งเศสที่แอบช่วยเหลืออิสราเอลอย่างลับ ๆ ด้วย ตระกูล Dassualt เป็นชาวฝรั่งเศสที่มีเชื้อสายยิว แต่เท่าที่ได้ทำการสืบค้นข้อมูลมาพบเพียง Tom Cooper นักเขียนชาวออสเตรเลียเพียงรายเดียวเท่านั้นที่นำเสนอความเชื่อในแนวนี้


ขอบคุณข้อมูลจาก 
คุณ sillfai pantip.com 
http://www.gunsandgames.net/smf/index.php?topic=54947.msg1318617
http://skyfighter-a2z.html
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=skyman&month=08-2006&date=21&group=1&gblog=7
http://www.magnumphotos.com
http://www.geronimohoorspelen.nl/Special/mossad/achtergronden_mossad_luchtmacht.htm


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“DeFi” โลกการเงินไร้กฎหมาย (จริงหรือ?)

ปัจจุบันระบบการเงินการธนาคารของโลกเราพัฒนาไปมาก เราสามารถทำธุรกรรมทางการเงินผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือได้อย่างสะดวกสบายจากที่บ้าน แทบไม่ต้องไปต่อแถวทำธุรกรรมอะไรที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินอีกต่อไป

แต่โลกการเงินก็ยังไม่หยุดพัฒนาเพียงเท่านี้ ตอนนี้กระแสของโลกการเงินในยุคใหม่ที่กำลังมาแรงและถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ โลกการเงินแบบ DeFi

DeFi ย่อมาจากคำว่า Decentralized Finance หรือระบบการเงินที่ไม่มีตัวกลางเหมือนในระบบการเงินในปัจจุบันที่เรามีธนาคาร หรือ สถาบันการเงินเป็นตัวกลางในการตรวจสอบการทำธุรกรรมต่าง ๆ

>>> ตัวอย่างเช่น เราไปทำการฝากเงินกับธนาคาร ธนาคารก็จะบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมการฝากเงินเข้าไปในระบบของธนาคาร ส่วนเราก็จะได้ข้อมูลนั้นกลับมาในรูปแบบของสมุดบัญชีเงินฝาก หากเราต้องการตรวจสอบดูว่าเรามีเงินคงเหลือในธนาคารเท่าไหร่ เราก็สามารถนำสมุดบัญชีเงินฝากนั้นไปอัพเดทที่ธนาคาร แล้วเราจะเห็นข้อมูลล่าสุดที่เป็นปัจจุบัน

ธนาคารจึงมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินของโลกเรามาโดยตลอด เพราะทุกคนมีความเชื่อมั่นว่าข้อมูลที่เรามีอยู่กับธนาคารนั้นมีความถูกต้อง เงินที่เราฝากไว้กับธนาคารจะไม่สูญหายหรือถูกขโมยไปไหน เว้นแต่ธุรกิจของธนาคารจะล้มละลายและต้องปิดกิจการไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อคริปโตเคอร์เรนซีเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่อมาเทคโนโลยีดังกล่าวก็ถูกนำมาต่อยอดในรูปแบบ Smart Contract  หรือ สัญญาอัจฉริยะ ที่เราสามารถแปลงเงื่อนไขสัญญาต่าง ๆ มาอยู่ในรูปแบบของโค้ดและโค้ดนั้นก็จะสามารถทำงานได้ทันทีที่ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงไว้

ยกตัวอย่างเช่น หากผมทำสัญญากับบริษัทไว้ว่า ถ้ามีคนอ่านบทความของผมเกิน 10,000 วิว ผมจะได้รับเงิน 1,000 บาท และต่อจากนั้นที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1,000 วิว ผมจะได้เพิ่มอีก 100 บาท เวลาที่บริษัทจะจ่ายเงิน บริษัทก็จะต้องส่งคนมาตรวจสอบว่ามีบทความนี้มียอดวิวเท่าไหร่แล้ว หลังจากตรวจแล้วก็ต้องนำเรื่องไปเสนอผู้มีอำนาจในการอนุมัติเพื่อสั่งจ่าย ต่อจากนั้นฝ่ายบัญชีถึงจะทำการจ่ายเงินให้กับผมได้

แต่ถ้าเราเปลี่ยนใหม่มาเขียนข้อตกลงดังกล่าวไว้ในรูปแบบของ Smart Contract โค๊ดที่เราเขียนไว้ก็จะสามารถเช็กยอดวิวบนบทความผมได้ตลอดเวลา และเมื่อยอดวิวถึงตามข้อกำหนดที่ตกลงกันเอาไว้ ระบบก็จะโอนเงินมาเข้าบัญชีผมทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมีใครมานั่งนับ ตรวจสอบ แล้วก็ทำเรื่องจ่ายเงินอีก

เมื่อมีคนเห็นถึงประโยชน์ของ Smart Contract ที่ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ มีความสะดวก โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้บนเทคโนโลยีบล็อกเชน จึงมีการต่อยอดนำเอาเทคโนโลยีดังกล่าวมาพัฒนาเป็นระบบการเงินที่ไร้ตัวกลาง หรือ DeFi โดยสิ่งที่เข้ามาทำหน้าที่แทนธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เป็นตัวกลาง คือ Smart Contract ที่เขียนเงื่อนไขต่าง ๆ ขึ้นไว้นั่นเอง 

ประโยชน์หลักของการเงินแบบ DeFi คือ การที่ไม่มีกลางเข้ามากินส่วนต่าง ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับผลตอบแทนมากขึ้น เพราะเราไม่ต้องเสียค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมให้ตัวกลางเหล่านั้น

เช่น คนที่ต้องการปล่อยกู้ กับ คนที่ต้องการกู้เงิน สามารถกู้เงินกันได้โดยตรง ไม่ต้องมีธนาคารมาเป็นตัวกลาง คนกู้ก็เสียดอกเบี้ยถูกลง ส่วนคนให้กู้ก็ได้ดอกเบี้ยมากขึ้น เพียงแต่เราก็จะมีความเสี่ยงถ้าคนกู้ไม่ยอมชำระหนี้ แล้วเราจะไปติดตามทวงคืนยาก ต่างจากการฝากเงินไว้กับธนาคารที่เราสามารถไปถอนเงินเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ Smart Contract สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้ โดยคนกู้อาจจะต้องมีหลักประกันอะไรเข้ามาวางไว้ในระบบ และถ้าถึงกำหนดชำระหนี้แล้วไม่ชำระ ระบบก็จะโอนหลักประกันนั้นให้เจ้าหนี้ได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาไปฟ้องร้องกันทีหลัง

อย่างไรก็ตาม ระบบการเงินแบบ DeFi ที่ทำให้ตัวกลางหรือสถาบันการเงินหายไปนั้น สิ่งที่ตามมา คือ หน่วยงานที่กำกับดูแลสถาบันการเงินเหล่านั้น ก็จะไม่สามารถเข้าไปช่วยกำกับดูแลแพลตฟอร์ม DeFi ต่าง ๆ ได้

ดังนั้น หากผู้ใช้บริการเกิดปัญหาเราก็จะไม่สามารถไปเรียกร้องให้หน่วยงานกำกับดูแลเข้ามาช่วยเหลือได้

ยกตัวอย่าง เช่น หากเราถอนเงินออกจากแพลตฟอร์ม DeFi แห่งหนึ่งไม่ได้ เราจะไปร้องเรียนให้ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เข้ามาช่วยจัดการกับแพลตฟอร์ม DeFi ดังกล่าวไม่ได้ เพราะหน่วยงานเหล่านั้นไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลแพลตฟอร์ม ​DeFi 

ทำให้หลายคนเข้าใจว่า DeFi เป็นโลกการเงินที่ไร้กฎหมาย คนที่ใช้บริการทุกคนต้องรับความเสี่ยงและต้องดูแลรับผิดชอบตัวเอง หากถูกแพลตฟอร์ม DeFi หลอกลวง หรือโกง เราไม่สามารถเรียกร้องจากใครได้

ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดนะครับ เพราะ โลกการเงินแบบ DeFi เป็นระบบการเงินที่ไร้ตัวกลาง ทำให้แพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือเงื่อนไขของหน่วยงานกำกับดูแลในการประกอบธุรกิจเท่านั้น

แต่ก็ไม่ได้ความว่าใครจะเข้ามาโกงใครในโลก DeFi ก็ได้ครับ

เพราะการโกงหรือหลอกลวงไปให้ได้ซึ่งทรัพย์สินของบุคคลอื่น เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามกฎหมายอาญา และยิ่งเป็นการหลอกคนจำนวนมาก ๆ ก็จะถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชนที่มีโทษหนักขึ้นด้วย

ถ้าใครจำคดี Forex3D กันได้ บริษัทที่ให้บริการ Forex3D เขาก็ไม่ได้มีใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย หากใครไปลงทุนกับบริษัทนั้นก็จะต้องรับความเสี่ยงกันเอาเอง ซึ่งช่วงแรกมีกรณีที่คนถอนเงินแล้วมีความล่าช้าใช้เวลาเป็นเดือนกว่าที่จะได้เงินคืน แบบนี้เราก็ไม่สามารถไปร้องเรียนให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาช่วยเหลือได้ เพราะบริษัทเขาไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย

แต่ภายหลังเมื่อมีการเปิดโปงออกมาว่า Forex3D นั้น ความจริงแล้วไม่ได้มีการประกอบธุรกิจจริง แต่บริษัทดังกล่าวหลอกลวงให้คนเข้ามาลงทุนในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ ผู้เสียหายจึงสามารถรวมตัวกันไปแจ้งความเอาผิดฐานฉ้อโกงประชาชนกับ DSI

ซึ่งไม่ต่างจากโลกการเงินแบบ DeFi ที่แม้ว่าเราจะไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม แต่ถ้าแพลตฟอร์ม DeFi นั้นมีลักษณะหลอกลวงคนเข้าไปลงทุนในลักษณะของแชร์ลูกโซ่ เราก็สามารถแจ้งความเอาผิดเจ้าของแพลตฟอร์มดังกล่าวได้

เพียงแต่ความยากของการดำเนินคดีกับพวกที่โกงในโลกการเงินแบบ DeFi นี้อาจจะยากเสียหน่อย เพราะต้องอธิบายการทำผิดนั้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ ศาล เข้าใจก่อนว่า DeFi คืออะไร คนที่หลอกลวงคนให้เข้ามาลงทุนได้ทรัพย์สินอะไรไปบ้าง ซึ่งบางทีสิ่งที่เขาได้ไปอาจจะไม่ใช่เงินจริง ๆ แต่เป็น คริปโตเคอร์เรนซี เราก็ต้องอธิบายเรื่องของคริปโตเคอร์เรนซีหรือสินทรัพย์ดิจิทัลให้คนในกระบวนการยุติธรรมเข้าใจด้วย เขาถึงจะช่วยเราเอาผิดได้

สรุปแล้ว โลกการเงินแบบ DeFi แม้จะเป็นระบบการเงินที่ไร้ตัวกลาง ไม่มีหน่วยงานกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจ แต่ก็ไม่ใช่โลกที่ไร้กฎหมาย เรายังสามารถดำเนินคดีอาญากับคนที่เข้ามาหลอกลวงหรือฉ้อโกงได้เหมือนระบบการเงินปกติ เพียงแต่โลกการเงินแบบ DeFi นี้ เราจะต้องใช้ความระมัดระวังตัวมากขึ้นในการทำธุรกรรมต่าง ๆ เนื่องจากไม่มีธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เข้ามาช่วยสอดส่องดูแลนั่นเอง


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขอดเกล็ดมังกร!! 1​ ศตวรรษ​ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ความยิ่งใหญ่​ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง​ ที่หาใครปรับตัวตามยาก

เป็นที่ทราบกันดีว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนคือสถาบันทางการเมืองที่ปกครองประเทศจีนมาอย่างยาวนาน และที่จีนพัฒนาประเทศมาได้ถึงขั้นนี้นั้น พรรคคอมมิวนิสต์ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินนโยบายและบริหารราชการแผ่นดิน จนถึงวันนี้ที่คนจีนสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าตัวเองเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกไปแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ เพิ่งจะมีการฉลองอย่างเอิกเกริกในวาระครบ 100 ปี การก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งหากย้อนกลับไปดูประเทศจีนในยุคก่อตั้งพรรคเมื่อร้อยปีที่แล้ว เทียบกับประเทศจีนในวันนี้ การเดินทางอันสุดเหลือเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องผ่านอะไรมาบ้างในแต่ละยุคสมัย ? และเพราะเหตุใดที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงถูกนักวิเคราะห์ทั่วโลกขนานนามว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ที่ปรับตัวมากที่สุดในโลก” ?

พรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1921 ซึ่งเชื่อกันว่า Timeline ประวัติศาสตร์ของจีนในช่วงนี้เป็นยุคที่ตกต่ำและมืดหม่นที่สุด นับตั้งแต่จีนพ่ายแพ้อย่างน่าอับอายในสงครามฝิ่น อันเป็นเหตุให้เสียดินแดนฮ่องกงและเกาลูนไป จนยุคล่มสลายของราชวงศ์ชิงในปี 1912 ซึ่งอำนาจการปกครองก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือของ ‘พรรคกั๋วหมินตั่ง’ หรือที่คนไทยรู้จักกันในนามก๊กมินตั๋ง ซึ่งก็คือพรรคประชาธิปไตยนั่นแหละครับ

สำหรับพรรคคอมมิวนิสต์นั้นผงาดขึ้นมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสามารถปฏิวัติประเทศและเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองสำเร็จ ทำให้จีนเริ่มต้นยุคสมัยที่ปกครองประเทศด้วยรูปแบบสังคมนิยมในปีค.ศ. 1949 ภายใต้การนำของประธานเหมา หรือ เหมาเจ๋อตง

พรรคคอมมิวนิสต์ในยุคประธานเหมาเป็นรูปแบบที่นักวิชาการนิยามว่า “คอมมิวนิสต์แบบลัทธินิยม” หรือ “หรือคอมมิวนิสต์ในแบบเหมาเจ๋อตง” (Maoist - communism) ซึ่งเน้นไปที่การปลูกฝังให้คนหนุ่มสาวเป็นคอมมิวนิสต์ในแบบที่เหมาต้องการ เกิดลัทธิบูชาบุคคล เกิดการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 10 ล้านชีวิต แต่สุดท้ายแล้ว การบริหารของรัฐบาลในยุคนั้นก็ยังไม่สามารถพาให้คนจีนหลุดพ้นจากความยากจนได้เสียทีเดียว

ด้วยความที่การปกครองของเหมานั้นถูกครหาว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย” จึงเป็นหน้าที่ของผู้นำรุ่นต่อไปอย่าง “เติ้งเสี่ยวผิง” ที่จะต้องเข้ามาปฏิรูปแนวคิดทางการบริหารประเทศใหม่ ไม่ต้องเน้นอุดมการณ์ แต่เน้นไปที่ความเป็นจริง ด้วยวิสัยทัศน์ที่มองว่าการปกครองในรูปแบบดั้งเดิมของคอมมิวนิสต์ยังมีจุดอ่อน ปรับตรงไหนได้ก็ต้องปรับ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ซึ่งทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ในยุคสมัยของผู้นำเติ้งถูกมองว่าปกครองแบบ “เศรษฐกิจนิยม”

“ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ก็คือแมวที่ดี”

“ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ทุนนิยมหรือสังคมนิยม ขอเพียงทำให้คนจีนรวยได้ก็ถือเป็นอุดมการณ์ที่ดี”

นั่นทำให้วิธีการของผู้นำเติ้งมีรูปแบบของการผสมผสานระหว่างทุนนิยมและสังคมนิยม ซึ่งก็ได้ผลลัพท์อย่างเป็นรูปธรรมเลยครับ เศรษฐกิจจีนกลับมาเติบโต ประชาชนจีนกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง

การปกครองในรูปแบบ “เศรษฐกิจนิยม” นี้ถูกใช้มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งประเทศจีนเติบโตขึ้นมาและมีบทบาทมากขึ้นบนเวทีโลก ซึ่งก็เป็นวิวัฒนาการขั้นต่อไปของพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ “สีจิ้นผิง” ซึ่งไม่ได้มีเป้าหมายแค่การยืนบนลำแข้งตัวเอง หรือทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากเท่านั้น แต่คือการทำให้ประเทศจีนกลับมายิ่งใหญ่ เป็นมหาอำนาจโลกเหมือนอย่างในอดีต ขึ้นมาตีคู่กับเจ้าโลกในยุคปัจจุบันอย่างสหรัฐฯ 

การปกครองของพรรคคอมิวนิสต์ในยุคนี้ถูกนักวิเคราะห์ทั่วโลกเรียกว่า “ชาตินิยม” คือ อะไรก็ตามที่จะทำให้ประเทศจีนแข็งแกร่ง ผู้นำก็จะนำประชาชนให้มุ่งไปทางนั้นอย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นการบุกตลาดการค้า ตีตลาดนวัตกรรมเทคโนโลยี และผนึกกำลังสร้างห่วงโซ่อุปทานของตัวเองขึ้นมา โดยมิได้เกรงกลัวแรงต้านใด ๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งเพื่อเป้าหมายในการเป็นหนึ่ง ผมมองว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนในปัจจุบันอยู่ในช่วงเวลาที่เข้มแข็งที่สุดในประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีความผสมผสานระหว่างการใช้อุดมการณ์เพื่อรวมใจคนในชาติ และการออกนโยบายเชิงรุกเพื่อเดินเกมเศรษฐกิจ เป็นมังกรนักล่าที่ครบเครื่อง มีทั้งเขี้ยวเล็บ มีทั้งปีก และยังสามารถพ่นไฟได้อีกด้วย!! 

สำหรับการปรับตัวในครั้งต่อไปของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคหลังโควิด-19 นั้นจะเป็นอย่างไรก็คงจะต้องติดตามดูกันไปครับ เพราะช่วงนี้ทางฝั่งสหรัฐฯ ก็กำลังเดินเกมรวบรวมพรรคพวกและพันธมิตรเพื่อเข้าสกัดการเจริญเติบโตของจีนอยู่เช่นกัน

จะเป็นอย่างไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเกมนี้จะมีผลกระทบต่อประเทศไทยไม่มากก็น้อย...ไม่ดีก็ร้ายอย่างแน่นอน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top