Tuesday, 3 December 2024
COLUMNIST

‘ทบิลิซี’ Tbilisi แดนแห่งความงาม ที่หลบเร้นอยู่ในหุบเขาจอเจียร์

เมืองสวยชดช้อยแห่งหนึ่ง อยู่ในหุบเขา ณ เทือกเขาคอเคซัส เปรียบประหนึ่งสาวงามร่างสูงโปร่งระหง โครงหน้ารูปไข่ แววตาเย้า ทั้งร่าเริงและเคร่งขรึมดุดันในที...จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้เลยหากไม่ใช่ ‘ทบิลิซี’ เมืองหลวงของประเทศจอร์เจียนั่นเอง

จะเรียกว่าจับพลัดจับผลูได้ไปเยือนประเทศนี้โดยบังเอิญก็เป็นได้ หลายปีก่อนผมเดินทางโดยจักรยาน เริ่มที่อิหร่าน โดยต้องการไปจบทริปที่ตุรกี ก่อนออกทริปไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีประเทศน่าแวะอย่างจอร์เจียด้วย แต่เนื่องจากแผนและเวลาค่อนข้างยืดหยุ่น เมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงตัดสินใจปั่นอ้อมขึ้นไปทางเหนือ เลาะเข้าไปเที่ยวประเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโซเวียต ปัจจุบันเป็นไทแก่ตัวแล้ว แต่ยังคงเป็นรัฐกันชนระหว่างกลุ่มอำนาจโลกขั้วตะวันออกและตะวันตก 

โดยทำเลที่ตั้งของทบิลิซีเอง เอื้อให้เป็นเมืองสวยได้ไม่ยากเลย เพราะเป็นหุบเขายาว ๆ มีแม่น้ำไหลผ่ากลาง สองฝั่งเป็นเนินสูงต่ำ ราบบ้าง ชันบ้าง บ้านเรือนสูงต่ำน้อยใหญ่ปลูกสร้างลดหลั่นกันไป ศาสนสถานแทรกแซมเป็นระยะ ๆ ถนนตรอกซอยคดเคี้ยว สถาปัตยกรรมเก่าแก่น้อยใหญ่ อายุอานามแตกต่างกันเรียงรายเบียดเสียดกัน ทว่ายังมีพื้นที่สีเขียวทั้งต้นไม้ใหญ่ริมถนนและสวนสาธารณะสำหรับพักผ่อน ถนนในย่านเมืองเก่าปูด้วยก้อนหิน ตึกทรงทันสมัยออกแบบและก่อสร้างโดยผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ จึงกลมกลืนและไม่บดบังภูมิทัศน์

เมืองก่อร่างสร้างขึ้นบนไหล่เขา จึงเดินเล่นเพลิน ขยันก็ขึ้นไปยังจุดชมวิวซึ่งมีมากมายหลายจุดให้เลือก วันนี้เดินขึ้นเนินนี้ พรุ่งนี้เดินขึ้นอีกเนิน ได้ออกกำลังกายพร้อมกับหย่อนใจในเวลาเดียวกัน 

ตามผนังอาคารมักเห็นงานพ่นสเปรย์ประเภทกราฟฟิตี้สวย ๆ บางวันจึงสนุกไปกับการเดินตามถ่ายรูปศิลปะบนผนังเหล่านี้ พื้นที่ท้ายสะพานในย่านใจกลางเมืองถูกจัดสรรให้เป็นตลาดแบกะดิน พ่อค้าแม้ค้านำสมบัติมือสองผลัดกันชมมาวางขายกันในราคาย่อมเยา ลูกค้าเลือกชมและต่อรองราคา แล้วตกลงซื้อเมื่อพอใจทั้งสองฝ่าย อีกโซนใกล้กันขายงานศิลปะประเภทภาพวาด ทบิลิซีเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก

ศิลปะการแสดงยังคงเฟื่องฟูต่อเนื่อง โรงละครหุ่นกระบอกเปิดการแสดงทุกวัน ซึ่งผู้แสดงต้องอาศัยทักษะในการเชิด เรื่องราวมีทั้งร่วมสมัยและที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับผู้กำกับ ละครเวทีซึ่งใช้นักแสดงจริงเป็นอีกทางเลือกในการเสพศิลปะ หรือหากชอบความชดช้อยอ่อนหวานอลังการก็ตีตั๋วเข้าชมบัลเล่ต์ได้ นักแสดงหลายคนจากเมืองนี้ไปโด่งดังที่มอสโกในฐานะนางเอกพระเอก การันตีคุณภาพคับโรง แม้กระทั่งดนตรีที่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ซึ่งขับขานก้องกังวานในโบสถ์ฟังแล้วซาบซึ้งขนลุกกันเลยทีเดียว 

เมืองนี้ผลิตนักเขียนผู้ฝากผลงานวรรณกรรม...เป็นที่รู้จักในประเทศและทั่วโลกหลายท่าน อย่างเช่น โนดาร์ ดุมบัดเซ่ นักเขียนดังที่หนังสืออย่างน้อยสองเล่มของเขาได้รับการแปลและตีพิมพ์เป็นภาษาไทย ได้แก่ ความรื่นรมย์ของชีวิต และ คืนวันอันแสนงาม นอกจากนี้ ยังมีนักคิดนักเขียนอีกหลายคนกำเนิดเกิดมาจากเมืองนี้ด้วย

ใคร ๆ ก็ชอบออนเซ็นใช่ไหม เมืองนี้มีน้ำพุร้อนและโรงอาบน้ำด้วย เวลาอากาศหนาว แถมบางวันในฤดูใบไม้ผลิฝนดันตกและลมแรง หรือบางครั้งก็ทำงานจนเครียด ร่างกายขมึงตึงปวดเมื่อย การไปแช่น้ำร้อนให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายจึงเกือบเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยล่ะ

ระบบขนส่งสาธารณะราคาย่อมเยาและครอบคลุม มีให้เลือกทั้งรถไฟใต้ดิน บนดิน พัฒนากันมาตั้งแต่สมัยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ปัจจุบันยังใช้การใช้งานได้ดีมีประสิทธิภาพ จะว่าไปค่าครองชีพไม่แพงเลย เทียบแล้วพอ ๆ กับบ้านเรา ส่วนราคาโรงแรมโฮสเทลมีตั้งแต่ไร้ดาวไปจนถึงห้าดาว ค่าอาหารเครื่องดื่มเทียบเป็นเงินไทยก็มื้อละประมาณสี่ห้าสิบบาท หากไปนั่งทานตามภัตตาคารต้องจ่ายมากกว่าเป็นเรื่องธรรมดา วัฒนธรรมอาหารนั้นผสมผสานความเป็นตะวันตก อย่างเมนูขนมปังและชีส ในขณะที่สำรับกับข้าวรับมาจากโลกตะวันออก หนีไม่พ้นข้าวราดต้มผัดแกงทอดอะไรต่าง ๆ คนบ้านเมืองนี้ปลูกองุ่นและทำไวน์กันมานานนับพันปี จึงถือเป็นเครื่องดื่มสามัญประจำประเทศ หาซื้อง่าย มีตั้งแต่ราคาลิตรละไม่เท่าไหร่ไปจนถึงไวน์คุณภาพสูงแพงลิบลิ่ว สุรากลั่นดีกรีสูงประเภทวอดก้า หรือเบียร์สำหรับซื้อหามาจิบยามบ่ายยามเย็นก็มากมี มนุษย์คอทองแดงน่าจะหลงรักประเทศนี้เพราะเหตุผลนี้ล่ะ

แม้หน้าตา สีตา สีผม ผิวพรรณจะเป็นฝรั่ง แต่นิสัยใจคอของคนจอร์เจียกระเดียดไปทางเอเชีย เพราะโฉ่งฉ่างกระโตกกระตาก และมักไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยประการทั้งปวง ความอิเหละเขะขะยังเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งตามตลาด ที่เห็นแล้วขำคือพฤติกรรมพ่อค้าแม่ค้าริมฟุตบาทพากันเก็บข้าวของวิ่งหนีกันจ้าละหวั่นเวลาเทศบาลมากวดขัน สิ่งละอันพันละน้อยอันเป็นปกติสามัญของที่นี่แหละที่เป็นสีสัน

สรุปก็คือ เมืองอันเปี่ยมเสน่ห์นี้ไม่เหมาะสำหรับรีบ ๆ ไปเยือนรีบ ๆ จากไป แต่เหมาะที่จะแช่อยู่นาน ๆ ค่อย ๆ ซึมซับความประทับใจกันไป

'คิวบา' เส้นทางแพทย์สันถวไมตรี ทองแท้ที่ท้าสู้ไฟการเมือง

ในระหว่างที่ทั่วโลกได้สัมผัสกับวิกฤติการแพร่ระบาด Covid-19 ก็เริ่มทำให้เราต้องย้อนมองมาตระหนักถึงความจริงได้อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่สร้างความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตมนุษย์จริง ๆ แล้ว กลับไม่ใช่แค่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ, แสนยานุภาพด้านการทหาร หรือความล้ำหน้าด้านเทคโนโลยี 

หากแต่เป็นความมั่นคงด้านสาธารณสุขชุมชน ที่หลายคนมองข้าม และตีความเพียงแค่ว่า การที่เรามีโรงพยาบาลใหญ่ ๆ มีหมอเก่ง ๆ มีเครื่องมือทันสมัยกว่าใคร คือ ความล้ำหน้าด้านการแพทย์ 

แต่พอเกิดโรค Covid-19 ระบาดทั่วโลก ก็ทำให้เราเข้าใจเลยว่า ต่อให้มีโรงพยาบาลใหญ่โต ทีมแพทย์ฝีมือดี หรือเครื่องมือทันสมัยแค่ไหน แต่ถ้ามีไม่เพียงพอ และเข้าไม่ถึงผู้ป่วยจำนวนมากก็จบเห่เหมือนกัน

และปัญหานี้ก็เกิดขึ้นแล้วในระบบสาธารณสุขทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศตะวันตก ที่เคยมั่นใจว่ามีระบบรักษาพยาบาลดีเยี่ยม ก็ยังพังพินาศให้กับคลื่นการระบาดของ Covid-19 

แต่มีประเทศเล็ก ๆ และไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย กลับสามารถดูแลประชาชนจากการระบาดของ Covid-19 ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีหมอ-พยาบาลเหลือเฟือ ส่งออกไปช่วยเหลือประเทศอื่นได้ด้วย

ประเทศเล็กแต่แจ๋วจริงนั้นก็คือ 'คิวบา'

คิวบาเป็นประเทศเล็ก ๆ ในอเมริกากลาง ที่เป็นเกาะตั้งอยู่ในทะเลแคริบเบียน มีขนาดเท่ากับรัฐเทนเนสซี ของสหรัฐเท่านั้น และมีประชากรประมาณ 11 ล้านคน 

คิวบาเป็น 1 ใน 5 ประเทศของโลก ที่ยังปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ และแน่นอน เป็นไม้เบื่อ ไม้เมารุ่นเดอะของสหรัฐอเมริกาที่ใช้มาตรการคว่ำบาตร กดดันรัฐบาลคิวบามาตลอดหลายสิบปี 

แม้จะโดนชาติมหาอำนาจกดทับ และเจอวิกฤติเศรษฐกิจที่ตกต่ำ แต่คุณภาพด้านระบบสาธารณสุขของคิวบา กลับพัฒนาสวนทาง จนทำให้ทุกวันนี้คิวบามีจำนวนแพทย์ต่อจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก 

ปัจจุบันนี้ ในคิวบามีแพทย์อยู่ถึง 8.4 คนต่อจำนวนประชากร 1,000 คน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาจะมีแพทย์เพียง 2.6 คน ต่อประชากร 1,000 คนเท่านั้น น้อยกว่าคิวบาถึง 3 เท่า 

และก็ไม่ใช่มีดีแค่ปริมาณ!! แต่คุณภาพก็ดีด้วย พิจารณาได้จากการที่สหรัฐฯ ทุ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขต่อปีถึง 1 หมื่นล้านเหรียญฯ ซึ่งสูงกว่างบประมาณของคิวบา 10 เท่า แต่ประชากรคิวบากลับมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 78.7 ปี ซึ่งมากกว่าชาวสหรัฐฯ ที่ 78.5 ปี 

ถึงจะมองว่าสหรัฐฯ มีประชากร, กำลังเงิน, เทคโนโลยีทางการแพทย์ และทรัพยากรที่เหนือกว่าคิวบาทุกด้าน แต่ค่าเฉลี่ยด้านสุขภาพกลับแทบไม่ต่างกัน ก็แสดงให้เห็นว่าระบบสาธารณสุขของคิวบานั้น ไม่ธรรมดาจริง ๆ

แล้วเหตุใดทำไมประเทศเล็ก ๆ อย่างคิวบา กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังขับเคลื่อนด้านสาธารณสุขได้อย่างยอดเยี่ยม? 

จุดเริ่มต้นนั้น มาจากการวางรากฐานสาธารณสุขของคิวบา ที่ต้องยกเครดิตให้กับ 'ฟิลเดล คาสโต' หลังจากที่เขาเป็นผู้นำการปฏิวัติคิวบา โค่นอำนาจ ของ 'ฟุลเฮนซิโอ บาติสตา' ผู้นำเผด็จการที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในสมัยนั้น แล้วได้เปลี่ยนระบอบการปกครองของคิวบามาเป็นคอมมิวนิสต์ ในปี 1959 โดย ฟิเดล คาสโต ปฏิญาณว่า การศึกษา และสาธารณสุข เป็นหัวใจสำคัญตามหลักสิทธิมนุษยชน ที่ประชาชนทุกคนต้องสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

และเป็นหลักที่รัฐบาลคิวบายึดมั่นเสมอมาว่า ชาวคิวบาทุกคนต้องได้เรียนฟรี รักษาพยาบาลฟรี 

แต่ปัญหาคือ พอคิวบาเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ทำให้คนชั้นปัญญาชน นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์กลัวว่าพวกเขาจะถูกกวาดล้าง จึงลี้ภัยหนีไปอยู่สหรัฐฯ จำนวนมาก

เมื่อเป็นเช่นนี้ มีทางเดียวคือต้องสร้างทีมบุคลากรการแพทย์ขึ้นมาใหม่ และมุมมองของฟิเดล คาสโตร คือ แพทย์หลังยุคปฏิวัติคิวบาต้องยึดถือมวลชนเป็นหลัก ไม่ใช่ยึดถือแค่วิชาการ

โดยคาสโตร ได้ก่อตั้งโรงเรียนแพทย์ และปรับแผนการเรียนใหม่ทั้งหมด ต่อมาพัฒนาจนกลายเป็น Latin American School of Medicine ที่จัดเป็นโรงเรียนแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก รับนักศึกษาแพทย์ในแต่ละปีเกือบ 2 หมื่นคนจาก 110 ประเทศทั่วโลก และที่สำคัญที่สุดคือนักเรียนที่นี่เรียนฟรี มีที่พักให้ฟรี แถมได้ค่าจ้างในการฝึกงานระหว่างเรียนด้วย

ยิ่งไปกว่าการรับนักศึกษาของที่นี่ก็ไม่ได้ยึดเอาใบผลคะแนนสอบมาเป็นตัววัด ขอแค่มีใจรัก มุ่งมั่นที่จะเป็นหมอ ก็เข้ามาคุยกันได้ และยังเปิดรับนักเรียนจากประเทศเพื่อนบ้านย่านแคริบเบียน และประเทศเกิดใหม่ในแอฟริกาอีกด้วย

ส่วนการสอน ไม่จำเป็นต้องมีห้องเรียนหรูหรา แต่จับมือสอนจากเคสจริง ด้วยการให้นักศึกษาแพทย์เรียนคู่กับฝึกงานในคลินิกชุมชนตั้งแต่ปี 1 เจอคนไข้จริง ๆ เพื่อให้เรียนรู้ระบบการทำงานร่วมกันระหว่างทีมสาธารณสุข กับผู้คนในท้องถิ่น

เพราะหลังจากจบมาแล้ว หน้าที่สำคัญคือการทำให้ระบบสาธารณสุขเพื่อมวลชนเข้าถึงได้ทุกคน ซึ่งไม่ใช่แค่การรักษา แต่ต้องมีทีมเดินไปเยี่ยม ปรึกษาเรื่องปัญหาสุขภาพตามบ้านด้วย จะได้รีบรักษาได้ตั้งแต่ต้นมือ ดีกว่ารอจนอาการหนักค่อยมาหาหมอ 

นอกจากนี้ เมื่อมีบุคลากรด้านการแพทย์เป็นจำนวนมาก ก็จัดทัพเป็นกลุ่มนักรบเสื้อขาวออกไปช่วยเหลือประเทศอื่น ๆ ที่เดือดร้อน อย่างเหตุระเบิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิล, เหตุสึนามิในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, แผ่นดินไหวที่เฮติ การระบาดของอีโบล่าในแอฟริกา และภัยพิบัติหลาย ๆ เหตุการณ์ ก็มีทีมแพทย์จากคิวบาไปร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่เสมอ 

นั่นจึงทำให้คิวบาไม่เคยขาดมิตรประเทศ แม้จะโดนมาตรการคว่ำบาตร บีบคิวบาให้โดดเดี่ยวด้านเศรษฐกิจมาโดยตลอด

ทั่วโลกจึงยกให้ทีมหมอเฉพาะกิจชาวคิวบาว่าเป็นเหมือน 'ฑูตสันถวไมตรี' ที่คิวบาส่งไปเชื่อมสัมพันธ์กับชาติอื่น ๆ ที่ต่อมาก็สร้างรายได้ให้กับคิวบามากถึงหมื่นล้านเหรียญในแต่ละปี เพราะมีหลายประเทศขอใช้บริการทีมหมอคิวบายาว ๆ เพราะหมอในประเทศตนขาดแคลน โดยมีการจ่ายค่าแรงคุณหมอให้กับรัฐบาลคิวบา หรือบางประเทศอย่างเวเนซุเอล่า ผ่าน 'ราคาน้ำมัน' ที่ต่ำกว่าท้องตลาด

นี่จึงกลายเป็นจุดที่สหรัฐฯ ไม่ปลื้ม จนออกมาโจมตีโครงการแพทย์สันถวไมตรีของคิวบาอย่างหนัก เพราะค่าแรงของหมอ ไม่ถึงหมอ แต่รัฐบาลคิวบาเก็บไป แล้วจ่ายเป็นเงินเดือนคืนให้หมอแต่ละคนที่ไปทำงานเสี่ยงภัยให้รัฐในต่างประเทศเพียงแค่ 10-20% และมีหมอคิวบาบางส่วนก็ออกมาบ่นว่างานหนักเหลือเกิน ไม่คุ้มเงินเดือนที่ได้ เพราะการเป็นหมอเพื่อชุมชนในคิวบาได้เงินเดือนน้อยมาก เพียงแค่ 200 เหรียญต่อเดือน (ประมาณ 6,000 บาท) 

สุดท้ายก็เข้าล็อคแผนการดูดคนของสหรัฐฯ จนกลายเป็นที่มาของแผนวีซ่าพิเศษ Cuba Medical Professional Parole Program (CMPP) ในปี 2006 ที่ให้สิทธิ์บุคลากรการแพทย์ ผู้มีประสบการณ์ของคิวบา เดินทางเข้ามาอยู่ทำงานถาวรในสหรัฐฯ ได้เลยทันที ขอเพียงแค่ออกจากคิวบามาสหรัฐฯ ให้ได้

ทว่าโครงการ CMPP ก็มาสิ้นสุดในปี 2017 ยุคประธานาธิบดี ดอนัลด์ ทรัมป์ โดยตลอดระยะเวลา 10 ปี มีหมอจากคิวบาไหลไปทำงานที่สหรัฐฯ ด้วยวีซ่าพิเศษถึง 15,000 คน 

ทางรัฐบาลคิวบา กล่าวหาว่าสหรัฐฯ พยายามทำลายความสำเร็จของระบบสาธารณสุขชุมชนของคิวบา และยืนยันว่า แม้รายได้ของแพทย์คิวบาจะน้อย เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ แต่ก็เป็นค่าแรงที่สูงกว่าฐานเงินเดือนอาชีพอื่น ๆ ในคิวบาแล้ว

แต่หลังจบโครงการ CMPP สหรัฐฯ ยังไม่หยุดโจมตีโครงการแพทยสันถวไมตรีของคิวบา และเผยว่าเข้าข่ายใช้แรงงานทาส และค้ามนุษย์ รวมถึงกดดันประเทศต่าง ๆ ที่ใช้บริการทีมแพทย์ของคิวบา เช่น เคนยา แอฟริกาใต้ ให้หยุดเสีย 

แล้วก็มีคนบ้าจี้ตามสหรัฐฯ จริง ๆ นั่นคือ ประธานาธิบดีบราซิล ชาอีร์ โบลโซนารู ได้สั่งให้ยกเลิกการนำเข้าหมอจากคิวบา เพราะไม่อยากสนับสนุนแรงงานทาส ซึ่งตอนนั้น คิวบาได้ส่งทีมแพทย์มาประจำช่วยเหลือคนพื้นเมืองในแถบป่าแอมะซอนอยู่แล้วหลายพันคน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ก่อนเกิดวิกฤติโรคระบาด Covid-19 เพียง 1 ปี 

แต่พอ Covid-19 มา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ระบบสาธารณสุขทั่วโลกถูกท้าทายอย่างหนักที่สุดในรอบ 100 ปี นับจากการระบาดของไข้หวัดสเปนในปี 1918 ทำให้ประธานาธิบดีบราซิลต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ขอให้คิวบาส่งทีมแพทย์มาช่วย 

และคิวบายังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการส่งทีมแพทย์ไปช่วยเหลืออิตาลี ที่เคยวิกฤติหนักจากการระบาดของ Covid-19 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่คิวบาส่งนักรบเสื้อขาวไปปฏิบัติหน้าที่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว และรวยกว่าคิวบาหลายเท่า

แม้ว่าศึกครั้งนี้จะหนัก และคิวบาก็ประสบปัญหาการระบาดของ Covid-19 เช่นกัน แต่ด้วยความพร้อมของระบบสาธารณสุขชุมชนที่วางรากฐานมานานหลายสิบปี ก็ทำให้คิวบาสามารถจำกัดการแพร่ระบาดได้ดี มีผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงที่พีคสุดไม่เกิน 1,500 คน และตอนนี้ได้พัฒนาวัคซีน Covid-19 ได้เองแล้วถึง 2 ตัว คือ Soberano 02 และ Abdala ที่ตั้งเป้าว่าจะฉีดให้ชาวคิวบาทุกคนด้วยวัคซีนที่ผลิตใช้เองในประเทศ

ต้องยอมรับว่า Covid-19 มาเบิกเนตรความหมายที่แท้จริงเกี่ยวกับระบบสาธารณสุขในระดับชุมชน ที่ทุกคนควรเข้าถึงสิทธิ์ได้ง่ายและรวดเร็ว โดยเริ่มตั้งแต่ทุ่มเทสร้างบุคลากรการแพทย์ ที่เน้นการบริการเพื่อประชาชนจริง ๆ แล้วผลลัพธ์ตอบแทน ก็จะเป็นแบบที่คนคิวบาได้รับ และชาวโลกได้เห็นเช่นทุกวันนี้


ข้อมูลอ้างอิง
https://time.com/5467742/cuba-doctors-export-brazil/
https://www.thinkglobalhealth.org/article/medical-diplomacy-lessons-cuba
https://hir.harvard.edu/exploring-the-implications-of-cuban-medical-diplomacy/
https://www.theguardian.com/world/2020/may/06/doctor-diplomacy-cuba-seeks-to-make-its-mark-in-europe-amid-covid-19-crisis
https://en.m.wikipedia.org/wiki/ELAM_(Latin_American_School_of_Medicine)_Cuba
 

วิกฤต COVID-19 ลิขิตดวงดาว

โหราศาสตร์จีนเน้นเรื่องการบริหารพลังธรรมชาติในระบบเบญจธาตุทั้ง 5 เช่น ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุทอง และธาตุน้ำ ตามศาสตร์ดุลยอัตลักษณ์หลักแห่งความสมดุล โดยมีปัจจัยแห่ง “ฟ้า” (ดวงดาว ยุคสมัย และกาลเวลา) สัมพันธ์กับ “ดิน” (ชัยภูมิที่ตั้ง และทิศทาง) และมี “คน” เป็นผู้เร่งหรือชะลอผลดีหรือผลร้ายที่ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกใบนี้

อย่างเช่นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่สร้างวิกฤตทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สร้างความสับสนและความสูญเสียอันใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ สืบเนื่องจากดาวประจำปีดาวเจ็ดแสด “七赤” (ชิกเฉี่ยะ) หรือ “破軍” (พั๊วคุง) ธาตุทอง สถิตเข้าใจกลางแผนภูมิเดิม ในปีพ.ศ. 2563 กระจายกระแสพลังส่งต่อสู่ดาวหกขาว “六白” (หลักแป๊ะ) หรือ “武曲” (บูเขี๊ยก) ธาตุทอง เข้าทำหน้าที่ประจำปีพ.ศ. 2564 แทน ซึ่งดาวประจำปีทั้ง 2 ดวง ล้วนส่งผลกระทบต่อ ปอด ระบบทางเดินหายใจ และยังจะส่งไม้ต่อ ให้กับดาวห้าเหลือง “五黃” (โหงวอึ๊ง) หรือ “廉貞” (เนี่ยมเจง) ธาตุดิน ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติ โรคร้าย เข้าทำหน้าที่ประจำปีพ.ศ. 2565 แทนอีกที ทั้งหมดนี้เป็นสามในวัฎจักรนัยศาสตร์ ตำราดาว 9 ดวงที่เรียกว่า ดาวเหินม่วงขาว “紫白飛星” (จี๋แป๊ะปวยแช)

ดาวเจ็ดแสด “七赤” (ชิกเฉี่ยะ) หรือดาว “破軍” (พั๊วคุง) คือ ดาวทหาร

ดาวหกขาว “六白” (หลักแป๊ะ) หรือดาว “武曲” (บูเขี๊ยก) คือ ดาวขุนนาง

ทั้ง “ดาวเจ็ดแสด” และ “ดาวหกขาว” ต่างมีคุณลักษณ์ของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ 

ส่วนดาวห้าเหลือง “五黃” (โหงวอึ๊ง) หรือดาว “廉貞” (เนี่ยมเจง) คือ ดาววิบัติ มีคุณลักษณ์เกี่ยวกับโรคร้ายภัยเวร

 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ติดต่อลุกลามระลอกแล้วระลอกเล่า จนเกิดเป็นโรคอุบัติสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์พื้นเมืองกลายพันธุ์ลามกระจายไปทั่วอย่างไม่จบสิ้น ล้วนเกิดจากการใช้อำนาจอย่างไม่เบ็ดเสร็จต่างจากคุณลักษณ์ของดาวประจำปี “ดาวทหาร” และ “ดาวขุนนาง” ที่โลกเสรีต่างละเลยและเพิกเฉยต่อความเด็ดขาด เพียงยึดสิทธิเสรีภาพและคำนึงถึงเศรษฐกิจมากกว่าชีวิตของประชาชน ซึ่งต่างจากมาตรการแบบเบ็ดเสร็จเจ็บแต่จบ ล็อคดาวน์ ประเทศหรือล็อคดาวน์พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงทีเฉกเช่นพญามังกร สะท้อน สถานการณ์ที่แตกต่างระหว่าง ประเทศที่ยึดหลักเสรีภาพกับประเทศเผด็จการที่คำนึงถึงชีวิตของคนเป็นสำคัญ

ฉันใดที่ภูมิคุ้มกันหมู่จากการฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงครอบคลุมไม่ทั่วโลก ฉันนั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะยังดำรงคงอยู่ต่อไปอีกปี สืบเนื่องเพราะดาวแห่งวิบัติห้าเหลืองจะมาทำหน้าที่เป็นดาวประจำปี พ.ศ. 2565 ที่จะถึงนี้ เสมือนเป็นเชื้อชนวนพร้อมที่จะปะทุให้เกิดความสูญเสีย สร้างความสับสนและวุ่นวายจากโรคร้ายภัยเวรให้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

แม้ว่า “ฟ้า” จะเป็นผู้ลิขิตวิกฤติ COVID-19 แต่เราคงต้องเป็นผู้กู้วิกฤติชีวิตของตนเอง การตั้งการ์ดสูงเข้าไว้ด้วยการสวมหน้ากาก ปิดปาก ปิดจมูก หมั่นล้างมือ กินร้อน ช้อนส่วนตัว และอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ จะเป็นมาตรการเบ็ดเสร็จที่จะคลายล็อคจากโรคระบาดโรคร้ายภัยเวร ดั่งคำที่ว่า 趨吉避凶 (ชูเกียกปี่เฮียง) หลบวิบากก่อนการเสริมพลังมงคล

'มัลคอล์ม แม็กลีน' ผู้พลิกโฉมหน้าการขนส่งสินค้ายุคใหม่ 'ลดต้นทุน-เวลา-แรงงาน'

ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับภาพรถบรรทุกขนกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่า 'ตู้คอนเทนเนอร์' ซึ่งตู้เหล่านี้มีบทบาทที่สำคัญสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ เพราะช่วยลดต้นทุนและเวลาในการขนถ่ายสินค้าระหว่างรถบรรทุก, เรือ และรถไฟ 

ในสัปดาห์นี้ จึงขอเล่าเรื่องราวของชายผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์

มัลคอล์ม แม็กลีน (Malcom McLean) ในวัยหนุ่มได้ซื้อรถบรรทุกมือสองและทำธุรกิจขนส่งสินค้าให้แก่เกษตรกร ระหว่างรอการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือ แม็กลีน เขาได้สังเกตวิธีการทำงานในยุคนั้นที่ยังใช้แรงงานคนเป็นหลัก... 

คนงานทยอยขนสินค้าลงจากรถบรรทุกแล้วไปเก็บในคลังสินค้าที่ท่าเรือ เมื่อเรือมาถึงท่าก็ทยอยขนสินค้าขึ้นเรือด้วยวิธีการชักรอก กว่าจะขนสินค้าขึ้นและลงเรือเสร็จก็ใช้เวลาหลายวัน หากช่วงไหนที่คนงานไม่ว่างหรือสภาพอากาศไม่ดี ก็หยุดทำงาน ส่งผลให้รถบรรทุกต้องจอดรอเป็นเวลานานเสียโอกาสในการไปวิ่งหารายได้ 

เมื่อเห็นดังนั้น แม็กลีน จึงคิดว่าจะมีวิธีการปรับปรุงการขนส่งให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการลดเวลาและต้นทุนในการขนส่ง แต่วิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เขาคิดได้ต้องมีการปรับปรุงหลายอย่าง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำมาก จึงได้แต่เก็บความคิดเอาไว้ในใจ

ในปี 1940 แม็กลีนวัย 42 ปี ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าของบริษัทรถบรรทุกที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น และมีรถบรรทุกมากกว่า 1,700 คัน ก็ได้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเอาไอเดียที่เคยคิดไว้ตอนหนุ่มมาทำให้เป็นจริง 

เขาจึงตัดสินใจขายธุรกิจรถบรรทุก แล้วนำเงินมาซื้อมาธุรกิจเดินเรือ Pan Atlantic Tanker ที่มีเรือขนส่งน้ำมันอยู่ 2 ลำ แล้วยังกู้เงินมาอีก 42 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อท่าเรือและอู่ต่อเรือ เพราะเขามั่นใจว่าวิธีการขนส่งแบบใหม่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการขนส่งไปได้

แม็กลีน มีความคิดว่า หากสามารถขนเฉพาะส่วน 'หางเทรลเลอร์' ของรถบรรทุกขึ้นไปไว้บนเรือแทนที่จะใช้คนงานทยอยขนสินค้าขึ้นลง จะช่วยลดระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้าและลดค่าใช้จ่ายได้ แต่เมื่อได้ทดลองจึงพบปัญหาว่า 'หางเทรลเลอร์' ที่มีล้อนั้น ลดพื้นที่บรรทุกสินค้าของเรือและยังไม่สามารถเอาหางเทรลเลอร์วางซ้อนกันได้ ส่งผลให้ในเรือหนึ่งลำขนส่งสินค้าได้ไม่มากต้นทุนการขนส่งจึงสูง 

แม็กลีน จึงได้พัฒนาส่วนหางเทรลเลอร์แบบใหม่ที่สามารถถอดล้อออกได้ เพื่อลดความสูงและสามารถวางซ้อนกันได้ แต่หางเทรลเลอร์แบบใหม่กลับใช้งานไม่สะดวกอย่างที่คิด แม็กลีน จึงได้ปรึกษากับ คีธ แทนท์ลิงเกอร์ (Keith Tantlinger) วิศวกรที่ทำงานในบริษัทผลิตเทรลเลอร์ และเขาก็ได้ช่วยออกแบบตู้คอนเทนเนอร์ที่สามารถแยกออกจากหางเทรลเลอร์ได้สำเร็จ

แล้วความฝันของแม็กลีน ก็เป็นความจริง!! 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1956 เรือ SS Ideal X เรือบรรทุกน้ำมันที่มีการปรับปรุงใหม่ เพื่อสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์บนดาดฟ้าเรือได้ แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์กไปยังฮุสตันพร้อมกับตู้คอนเทนเนอร์ 58 ตู้และน้ำมัน 15,000 ตัน 

จากนั้นในปีต่อมา เรือ Gateway City เรือคอนเทนเนอร์เต็มรูปแบบของแม็กลีนที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ได้มากถึง 226 ตู้ แต่ใช้เวลาในการขนสินค้าขึ้นลงเพียงแค่ 8 ชั่วโมง ก็ได้ออกให้บริการ ซึ่งหากเทียบต้นทุนการขนส่งแล้ว แบบเดิมจะอยู่ที่ 5.86 เหรียญต่อตัน ส่วนแบบใหม่จะลดลงเหลือ 0.16 เหรียญต่อตัน ถูกลงมากกว่าเดิมถึง 37 เท่า 

นอกจากนั้นรถบรรทุกและเรือไม่ต้องจอดรอขนสินค้าขึ้นลงเป็นเวลานาน สามารถเพิ่มเวลาในการวิ่งรับส่งสินค้าเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

การขนส่งวิธีใหม่ของแม็กลีน นอกจากจะเร็วกว่าและถูกกว่าแล้ว สินค้ายังมีโอกาสเสียหายและสูญหายน้อยกว่าวิธีเดิมอีกด้วย เพราะสินค้าไม่ได้ถูกยกขนโดยตรงและยังใช้แรงงานน้อยลง

จากจุดนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วงการขนส่ง ต่างให้ความสนใจกับการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ โดยในปี 1962 ท่าเรือนิวยอร์กได้เปิดตัวท่าเรือแห่งใหม่ที่เป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์แห่งแรกของโลก ตามมาด้วยการเปิดตัวท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่ร็อตเตอร์ดัมในปี 1966 และท่าเรือสิงคโปร์ในปี 1972  

แน่นอนว่า ในทุกวันนี้มีการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ทุกท่าเรือหลักของโลก แต่มันจะไม่เกิดขึ้นได้ หากจุดเริ่มต้นทั้งหมดไม่ได้มาจาก 'มัลคอล์ม แม็กลีน' บุคคลระดับตำนานที่มีอิทธิพลต่อวงการอุตสาหกรรมและการค้าของโลกยุคใหม่


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.pbs.org/wgbh/theymadeamerica/whomade/mclean_hi.html
https://www.shippingandfreightresource.com/leaders-and-visionaries-in-shipping-malcom-mclean/
https://www.maritime-executive.com/article/the-story-of-malcolm-mclean
https://portfolio.panynj.gov/2015/06/23/the-world-in-a-box-a-quick-story-about-shipping/
https://www.shippingandfreightresource.com/leaders-and-visionaries-in-shipping-malcom-mclean/
 

หัวจะระเบิดแล้ว!! ปวดหัวแบบไหน เรียกว่า...'โรคไมเกรน'

'โรคไมเกรน' หรือ การปวดหัวข้างเดียว เกิดจากความผิดปกติในการหดตัวของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง มักเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ แต่อาจมีตัวกระตุ้น เช่น แสง สี เสียง กลิ่น อากาศร้อน หรือการมีประจำเดือน มักมีอาการปวดหัวข้างเดียว หรือปวดสลับข้างกัน หากเป็นมากจะเห็นแสงจ้าหรือแสงระยิบระยับร่วมด้วย ซึ่งการปวดหัวไมเกรนมักดีขึ้นได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ (ยาพาราเซตามอลไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น)

อย่างไรก็ตามหากรับประทานยารักษาไมเกรนแล้วอาการไม่ดีขึ้น อาจเกิดจาก 'ไมเกรนเทียม' แฝงอยู่ก็เป็นได้ !! 

ไมเกรนเทียมไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง แต่เกิดจากการเกร็งตัว หรือหดสั้นของกลุ่มกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และฐานกะโหลกศีรษะ โดยกลุ่มกล้ามเนื้อที่มักก่อให้เกิดการปวดคล้ายไมเกรนพบได้หลายมัด เช่น Suboccipital, Upper trapezius, Semispinalis capitis, Splenius capitis, Sternocleidomastoid Muscle ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่หลักในการพยุงกะโหลกศีรษะ การหันหน้า และการก้มเงยคอ 
เนื่องจากกล้ามเนื้อเหล่านี้มีจุดเกาะอยู่ที่กระดูกสันหลังส่วนคอและฐานกะโหลก

เมื่อเกร็งคอและบ่าเป็นระยะเวลานาน จะทำให้เกิดการปวดสะสมขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงอาจแยกไม่ออกว่าอาการปวดหัวข้างเดียวเกิดขึ้นเกิดจากไมเกรนเทียมหรือไม่

ทั้งนี้ ไมเกรนเทียมสามารถพบได้บ่อยไม่ต่างจากไมเกรนแท้!! แต่สามารถสังเกตได้!! 

วิธีสังเกตอาการของไมเกรนเทียม สังเกตได้จากเมื่อเกิดการปวดหัวข้างเดียว ขณะที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือ มือถือ รวมถึงการทรงท่าที่ผิดปกติ เช่น ไหล่ห่อ คอยื่น เป็นต้น 

นอกจากนี้ไมเกรนเทียมยังสามารถพบจุดกดเจ็บ (Trigger Point) หรือกล้ามเนื้อที่เกร็งค้างบริเวณคอ บ่า และใต้ฐานกะโหลก ซึ่งเมื่อทำการกด นวด หรือยืดกล้ามเนื้อมัดดังกล่าว อาจมีการปวดร้าวไปยังบริเวณต่าง ๆ 

ส่วนวิธีป้องกันไมเกรนเทียมที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องนั่งนาน ๆ เนื่องจากกล้ามเนื้อมีการเกร็งและนำไปสู่การบาดเจ็บได้ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้... 

>> หากต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงานควรจัดระดับหน้าจอ เก้าอี้ และคีย์บอร์ดให้เหมาะสม ควรเป็นเก้าอี้ที่มีที่รองแขน เพื่อให้ไม่ต้องออกแรงยกไหล่ขึ้นตลอดเวลา ปรับระดับหน้าจอ และความสูงของเก้าอี้ 

>> ใส่แว่นสายตาและจัดแสงสว่างให้เหมาะสมกับการทำงานประเภทต่าง ๆ เพราะการต้องเพ่งมองมาก ๆ ทำให้กล้ามเนื้อคอ บ่า และฐานกะโหลกเกร็งตัวมากขึ้น

>> เปลี่ยนอิริยาบททุกชั่วโมง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย หรือดื่มน้ำ 1-2 แก้วทุกชั่วโมงทำให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบทและเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ระหว่างวันควรออกกำลังกายกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่อย่างสม่ำเสมอ ดังต่อไปนี้... 

ยืดกล้ามเนื้อบ่า 

เริ่มจากนำแขนข้างที่จะยืดไปไว้ด้านหลัง แล้วใช้มืออีกข้างจับไว้ โดยเอียงศีรษะไปด้านตรงข้าม ช้า ๆ เอียงจนรู้สึกตึงบ่าด้านขวา หรือให้หูซ้ายเข้าใกล้บ่าซ้ายมากที่สุด หากยังไม่รู้สึกตึงให้หมุนหน้าไปทางซ้ายหรือขวาเล็กน้อย ยืดค้าง 5-10 วินาที รอบละ 10-15 ครั้ง

 

บริหารกล้ามเนื้อฐานกะโหลก

ทำท่าเก็บคาง หรือพยายามเอาคางชิดอกโดยไม่ก้มคอ ห้ามกลั้นหายใจขณะทำ เกร็งค้างเบา ๆ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง

 

บริหารกล้ามเนื้อต้นคอ

...นอนคว่ำ ให้ช่วงอกยื่นออกจากเตียงเล็กน้อย

เก็บคาง ไม่เงยหน้า แต่ให้ออกแรงยกช่วงศีรษะขึ้นมาตรงๆ เกร็งกล้ามเนื้อด้านหลังคอค้างไว้ 5-10 วินาที ทำรอบละ 10-15 ครั้ง


อย่างไรก็ตามเมื่อมีการปวดหัวข้างเดียวหรือไมเกรนและรับการรักษาด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น เพราะอาจพบไมเกรนเทียมร่วมด้วยนั้น

เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจประเมินและรักษาไมเกรนเทียม โดยการรักษาด้วยวิธีการทางกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดี เช่น การประคบร้อนหรือเย็นตามระยะของอาการ การกดจุดหรือยืดกล้ามเนื้อที่เป็นปัญหา การใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการออกกำลังกายกล้ามเนื้อเฉพาะจุดและการปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน จะช่วยลดปัญหาไมเกรนเทียมได้เป็นอย่างดี


ข้อมูลอ้างอิง
http://www.kulpphysicaltherapy.com/headache.html
https://kokyun.wordpress.com/2011/10/10/the-correct-sitting-posture-in-front-of-a-computer/
https://www.thonburihospital.com/Migraine.html
https://i.pinimg.com/originals/b0/80/90/b080902f6d514f13cd01408a57ff36dc.jpg
https://www.rehabmypatient.com/neck/splenius-cervicis
https://salusmt.com/saturday-stretch-the-suboccipital-group/
 

ส่องประวัติศาสตร์ ‘ฟาโรห์’ ‘ความเชื่อ-คำสาป-ปาฏิหาริย์’ หลักฐานแห่งความลี้ลับจากแดนพีระมิด

บทความนี้ พาไปย้อนประวัติศาสตร์ของแดนพีระมิด ในประเทศอียิปต์กันเล็กน้อย โดยผมอยากมาเล่าเรื่องราวของฟาโรห์ที่เชื่อว่าหลายท่านคงพอผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องของ ‘ฟาโรห์’ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ และความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่อีกมากครับ 

ฟาโรห์ (Pharaoh) เป็นชื่อตำแหน่งพระมหากษัตริย์อียิปต์โบราณของทุกราชวงศ์ มีรากศัพท์จากคำว่า ‘pr-aa’ แปลว่า ‘บ้านหลังใหญ่’ อันเป็นคำอุปมาหมายถึง ‘ปราสาทพระราชมนเทียร อียิปต์โบราณ’ หรือ ‘ไอยคุปต์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ โดยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์

อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมต่อเนื่องเรื่อยหลายพันปี 

ประวัติของอียิปต์โบราณที่เป็นช่วงที่โลกรู้จักกันอย่างมาก เป็นช่วงที่ ‘ราชอาณาจักร’ มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์แบบมากมายไปตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งถึงราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘ราชอาณาจักรกลาง’ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการพัฒนามากมาย และก็ค่อย ๆ ลดลง อันเป็นเวลาเดียวกันที่ชาวอียิปต์พ่ายในการทำสงครามกับชนชาติอื่น เช่น อัสซีเรีย และเปอร์เซีย จนกระทั่งเมื่อ 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็ถึงกาลสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสามารถยึดครองอียิปต์ และจัดให้อียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิมาซิโดเนีย

Maat เป็นทั้งเทพธิดาและตัวตนของความจริงและความยุติธรรม โดยขนนกกระจอกเทศของ Maat แสดงถึงความจริง

นอกจากนี้ ในสังคมอียิปต์โบราณ ‘ศาสนา’ เป็นศูนย์กลางของชีวิตประจำวัน โดยบทบาทหนึ่งของฟาโรห์ คือ การทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเทพเจ้าและผู้คน ดังนั้นฟาโรห์ จึงเป็นตัวแทนของเทพเจ้าในบทบาทที่เป็นทั้งผู้ปกครองและผู้นำทางศาสนา รวมถึงเป็นเจ้าของดินแดนทั้งหมดในอียิปต์ สามารถออกกฎหมายเก็บภาษี และปกป้องอียิปต์จากผู้รุกรานในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนในทางศาสนาแล้วฟาโรห์ทรงเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนา และทรงเลือกสถานที่ตั้งของวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษา Maat หรือ Maʽat (ระเบียบจักรวาลแห่งความสมดุลและความยุติธรรม) และรวมไปถึงการเข้าสู่สงครามเมื่อจำเป็น เพื่อปกป้องประเทศ หรือโจมตีผู้อื่นเมื่อเชื่อว่า สิ่งนี้จะมีส่วนช่วย Maat เช่น เพื่อการเพิ่มพูนทรัพยากร

ก่อนการรวมกันของอียิปต์ตอนบนและตอนล่าง Deshret หรือ "มงกุฎสีแดง" เป็นตัวแทนของอาณาจักรอียิปต์ตอนล่าง ในขณะที่ Hedjet ซึ่งเป็น "มงกุฎสีขาว" ถูกสวมใส่โดยกษัตริย์ของอาณาจักรแห่งอียิปต์ตอนบน หลังจากการรวมอาณาจักรทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นการรวมกันของมงกุฎทั้งสีแดงและสีขาวกลายเป็นมงกุฎของกษัตริย์อย่างเป็นทางการ เมื่อมีการเริ่มใช้ผ้าโพกศีรษะในช่วงระหว่างราชวงศ์ต่าง ๆ บางครั้งมีการพรรณนาถึงการสวมใส่เครื่องประดับศีรษะหรือมงกุฎเหล่านี้ด้วย

มัมมี่โบราณจากราชวงศ์ที่ 18 (1550 ถึง 1292 B.C.) เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีจำนวนมากในสุสานที่อยู่ในเมืองลักซอร์ อียิปต์

แน่นอนว่าหากพูดถึงอียิปต์ อีกเรื่องที่ต้องพูดถึง คือ มัมมี่ (Mummy) หรือ ศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ ที่มีการพันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพ ด้วยเชื่อว่า สักวันวิญญาณของผู้ตายจะกลับคืนร่างของตนเอง 

ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า ‘มัมมี่’ มาจากคำว่า ‘มัมมียะ’ (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย หมายถึง ร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ ชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณสุสาน เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา 

อียิปต์โบราณนั้นมีความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย การที่วิญญาณหวนกลับคืนร่าง ด้วยเชื่อว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการรักษาสภาพของร่างเดิมเอาไว้ โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาขี้ผึ้งหรือบีทูมิน (ยางสีดำสูตรเฉพาะในการทำมัมมี่) ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา

ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน

สำหรับ ‘ฟาโรห์’ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ‘ฟาโรห์ตุตันคาเมน’ (Tutankhamen) ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ มีพระชนม์อยู่ในราว 1341–1323 ปีก่อนคริสตกาล และเสวยราชย์ราวเก้าปีในช่วง 1332–1323 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับเวลามาตรฐาน อยู่ในช่วงที่ประวัติศาสตร์อียิปต์เรียกว่า ‘ราชอาณาจักรใหม่’ (New Kingdom) หรือ ‘จักรวรรดิใหม่’ (New Empire) นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ผลการตรวจสอบทางพันธุกรรมได้ยืนยันว่า ‘ฟาโรห์แอเคอนาเทิน’ (Akhenaten) มีความสัมพันธ์กับพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือ ศพที่ตั้งชื่อว่า The Younger Lady จนมีโอรสด้วยกัน คือ ฟาโรห์ตุตันคาเมน 

ใน ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงกลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งทำให้สาธารณชนสนใจอียิปต์ และหน้ากากพระศพก็ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์โบราณมาจนทุกวันนี้ ส่วนข้าวของเครื่องใช้จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ยังได้ถูกนำไปจัดแสดงทั่วโลก 

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงการตายของบุคคลหลายคน นับแต่ค้นพบพระศพของพระองค์เป็นต้นมาว่าเกี่ยวข้องกับคำสาปฟาโรห์ ที่มีความเชื่อว่า สุสานฟาโรห์มีเวทมนตร์ที่ทรงพลังในตัวเอง และเชื่อว่ากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์แล้วจะมีวิญญาณที่ทรงพลัง โดยการฝังพระศพในหมู่บรรพบุรุษ อาจจะช่วยให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรลุชีวิตหลังความตายได้ 

ถึงกระนั้น ก็ดูเหมือนว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมน จะทรงต้องการถูกฝังไว้ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามทั้งในหุบเขาหลักหรือในทุ่งนอกหุบเขาตะวันตกที่ซึ่งเสด็จปู่ของพระองค์ ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ทรงถูกฝังอยู่ แต่ไม่ว่าพระองค์จะทรงตั้งใจอะไรก็ตาม ก็เป็นที่ทราบกันว่า พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่คับแคบ ซึ่งลึกลงไปในพื้นของหุบเขาหลัก

ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen)

 

8 เรื่องที่เรา (อาจ) ไม่รู้เกี่ยวกับฟาโรห์ตุตันคาเมน

1.) พระนามเดิมไม่ใช่ ตุตันคาเมน แต่เป็น ตุตันคาเตน ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า ‘ภาพที่มีชีวิตของเอเทน’ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า พระบิดาและพระมารดาของฟาโรห์ตุตันคาเมนบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า ‘เอเทน’ หลังจากนั้นไม่กี่ปีในบัลลังก์ ฟาโรห์ตุตันคาเมน กษัตริย์หนุ่มก็ทรงเปลี่ยนศาสนาละทิ้งเอเทน และทรงเริ่มบูชาเทพเจ้าอามุน [ซึ่งเป็นที่เคารพในฐานะราชาแห่งเทพเจ้า] สิ่งนี้ทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น ตุตันคาเมน ซึ่งแปลว่า “รูปชีวิตของอามุน”

2.) สุสานหลวงของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นสุสานหลวงมีขนาดเล็กที่สุดในหุบเขากษัตริย์ ฟาโรห์พระองค์แรกสร้างปิรามิดที่อลังการจนสามารถมองเห็นกลางทะเลทรายทางตอนเหนือของอียิปต์ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงยุคอาณาจักรใหม่ (1550-1069 ปีก่อนคริสตกาล) ความนิยมเช่นนี้สิ้นสุดลง และกษัตริย์ส่วนใหญ่ทรงถูกฝังอยู่อย่างเป็นความลับในสุสานที่สร้างด้วยด้วยหินตัดเป็นก้อน ซึ่งมีการขุดอุโมงค์เข้าไปในหุบเขากษัตริย์ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ที่เมืองธีบส์ทางตอนใต้ (อันเป็นเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน) สุสานเหล่านี้มีประตูที่ไม่สะดุดตา แต่ภายในทั้งกว้างขวางและได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี อาจเป็นไปได้ว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์เสียชีวิตตั้งแต่ยังวัยเยาว์เกินไปที่จะทำตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้สำเร็จ หลุมฝังพระศพของพระองค์ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นพระองค์เขาจึงต้องทรงถูกฝังไว้ในสุสานที่ไม่ใช่ของราชวงศ์แทน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกษัตริย์พระองค์อื่นทรงสามารถสร้างสุสานที่เหมาะสมได้ในเวลาเพียงสองหรือสามปี และดูเหมือนว่า ฟาโรห์เอย์ (Ay) รัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดบัลลังก์ในฐานะผู้อาวุโสทรงได้ใช้เวลาเพียงสี่ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ฟาโรห์เอย์เองก็ทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามในหุบเขาตะวันตกใกล้กับหลุมฝังพระศพของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 หลุมฝังพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่มีขนาดเล็กอย่างไม่เชื่อ นำไปสู่สมมติฐานที่ว่าอาจมีบางส่วนของสุสานที่ยังไม่ถูกค้นพบ ปัจจุบันนักไอยคุปต์วิทยากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ที่อาจจะมีห้องลับซ่อนอยู่หลังกำแพงฉาบปูนของห้องฝังพระศพของพระองค์

3.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุฝังในโลงศพใช้แล้ว มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรจุอยู่ในโลงศพทองคำสามใบซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเหมือนตุ๊กตารัสเซีย ในระหว่างพิธีพระศพจะมีการวางโลงศพไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าเสียดายที่โลงศพด้านนอกมีขนาดใหญ่เกินไปเล็กน้อย และส่วนนิ้วเท้าของโลงโผล่พ้นขอบโลงศพทำให้ไม่สามารถปิดฝาได้ ช่างไม้จึงถูกเรียกมาอย่างรวดเร็ว และส่วนนิ้วเท้าของโลงศพถูกตัดออกไป กระทั่งกว่า 3,000 ปีต่อมา Howard Carter จึงพบเศษชิ้นส่วนของโลงตกอยู่ที่บริเวณฐานโลงศพ

4.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงโปรดการล่านกกระจอกเทศ มีการค้นพบพัดขนนกกระจอกเทศของฟาโรห์ตุตันคาเมนอยู่ในห้องฝังพระศพใกล้ๆ กับพระศพของฟาโรห์ เดิมพัดประกอบด้วยด้ามจับสีทองยาวที่มี 'ที่จับรูปฝ่ามือ' ทรงครึ่งวงกลมรองรับขนนกสีน้ำตาลและสีขาวสลับกัน 42 อัน ขนเหล่านี้ร่วงโรยไปนานแล้ว แต่เรื่องราวของพวกมันถูกเก็บรักษาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนด้ามจับของพัด สิ่งนี้บอกว่า ขนมาจากนกกระจอกเทศที่ฟาโรห์ทรงล่าเองในระหว่างการล่าสัตว์ในทะเลทรายทางตะวันออกของเฮลิโอโปลิส (ใกล้กับไคโรในปัจจุบัน) ฉากนูนบนที่จับรูปฝ่ามือแสดงให้เห็นใบหน้าของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงออกเดินทางบนราชรถเทียมม้าเพื่อล่านกกระจอกเทศ และในทางกลับกันฟาโรห์เสด็จนิวัติอย่างมีชัยพร้อมกับเหยื่อของพระองค์

5.) อวัยวะส่วนหัวใจของฟาโรห์ตุตันคาเมนขาดหายไป ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าสามารถมีชีวิตได้อีกครั้งหลังความตาย แต่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเหมือนจริง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาศาสตร์แห่งการทำมัมมี่ขึ้น โดยพื้นฐานแล้วการทำมัมมี่เกี่ยวข้องกับการผึ่งศพให้แห้งในเกลือเนตรอนจากนั้นพันด้วยผ้าพันแผลหลาย ๆ ชั้นเพื่อรักษารูปร่างให้เหมือนจริง อวัยวะภายในร่างกายถูกนำออกเมื่อเริ่มกระบวนการทำมัมมี่ และเก็บรักษาแยกกัน สมองซึ่งเป็นส่วนที่ไม่รู้จักในเวลานั้นว่าทำหน้าที่อะไรถูกทิ้งไป หัวใจในยุคนั้นถูกมองว่า เป็นอวัยวะแห่งการให้เหตุผลแทนที่จะเป็นสมอง ด้วยเหตุนี้หัวใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้ หรือถ้าเอาออกโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะเย็บกลับทันที แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมก็ตาม มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนไม่มีหัวใจ เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ ความประมาทของผู้ทำมัมมี่ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์จากพระราชวัง เมื่อพระศพของพระองค์มาถึงห้องปฏิบัติการในการทำมัมมี่หัวใจของพระองค์อาจจะเน่าสลายจนเกินกว่าจะรักษาไว้ได้

6.) สมบัติชิ้นที่ทรงโปรดของฟาโรห์ตุตันคาเมนคือ กริชเหล็ก Howard Carter ค้นพบกริชสองเล่มที่ห่ออย่างระมัดระวังในผ้าพันแผลมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน กริชเล่มหนึ่งมีใบมีดสีทอง ส่วนอีกเล่มมีใบมีดที่ทำจากเหล็ก กริชแต่ละเล่มมีปลอกทอง กริชเหล็กทั้งสองมีค่ามากเพราะในช่วงชีวิตของฟาโรห์ตุตันคาเมน (ครองราชย์ตั้งแต่ 1336-1327 ปีก่อนคริสตกาล) เหล็กหรือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ตามที่ทราบกันดีว่าเป็นโลหะหายากและมีค่า ตามชื่อของมันคือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ของอียิปต์นั้นได้มาจากอุกกาบาตเกือบทั้งหมด

7.) เสียงแตรของพระองค์สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมมากกว่า 150 ล้านคน สมบัติจากหลุมพระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนมี เครื่องดนตรีชิ้นเล็ก ๆ ได้แก่ แคลปเปอร์ (Clappers) งาช้าง 1 คู่ ซิสตร้า (Sistra) 2 ตัว (เครื่องเขย่าแล้วเกิดเสียง) และทรัมเป็ตอีก 2 อัน อันหนึ่งทำจากเงินพร้อมปากเป่าสีทอง และอีกอันหนึ่งทำด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มด้วยทองคำบางส่วน และดูเหมือนว่า ดนตรีจะไม่ได้อยู่ในลำดับความสำคัญของชีวิตหลังความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมนมากนัก ในความเป็นจริงแตรของพระองค์ควรได้รับการจัดประเภทให้เป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารจะเหมาะกว่า วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2482 แตรทั้งสองได้ถูกเล่นในรายการวิทยุถ่ายทอดสดของ BBC จากพิพิธภัณฑ์ไคโร ซึ่งมีผู้ฟังประมาณ 150 ล้านคน Bandsman James Tappern ใช้กระบอกเป่าแบบปัจจุบันที่ทันสมัย ซึ่งทำให้กับทรัมเป็ตตัวสีเงินเสียงหาย ในปี พ.ศ. 2484 มีการเล่นทรัมเป็ตสำริดอีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีกระบอกเป่าแบบปัจจุบัน ที่ทันสมัยแล้ว บางตำนานใน “คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน” อ้างว่า ทรัมเป็ตมีพลังอำนาจในการทำให้เกิดสงคราม การออกอากาศในปี พ.ศ. 2482 จึงทำให้อังกฤษต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง

8.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุในโลงศพที่แพงที่สุดในโลก สองในสามโลงศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทำด้วยไม้ปิดด้วยแผ่นทอง แต่เป็นที่ประหลาดใจอย่างยิ่งของ Howard Carter ซึ่งพบว่า โลงศพด้านในสุดทำจากแผ่นทองหนา ๆ โลงศพนี้มีความยาว 1.88 เมตร และหนัก 110.4 กิโลกรัม ราคาในวันนี้จะมากกว่า 1 ล้านปอนด์ 

มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณเดินผ่านกลางกรุงไคโร

ปรากฎการณ์มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณที่เดินผ่านกลางกรุงไคโรนั้น ทางฟาโรห์ทั้งแปดและราชินีทั้งสี่จะถูกเชิญขึ้นยานพาหนะที่สั่งทำพิเศษ ซึ่งติดตั้งด้วยโช้คอัพพิเศษ โดยมีชาวอียิปต์ร่วมเป็นสักขีพยานในขบวนแห่ของผู้ปกครองอันเก่าแก่ผ่านกรุงไคโรนครหลวงของอียิปต์ 

มัมมี่ 22 ตัว เป็นของฟาโรห์ 18 พระองค์และราชินี 4 พระองค์ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ถูกเคลื่อนย้ายจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ไปยังสถานที่ตั้งแสดงแห่งใหม่ที่อยู่ห่างออกไปราว 5 กม. (สามไมล์) ด้วยการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสมกับเป็นราชวงศ์ และสถานะที่เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งมัมมี่ทั้งหมดจะถูกย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งอารยธรรมอียิปต์ของชาติที่ใหม่ ด้วยขบวนพาเหรดทองคำของฟาโรห์ และมัมมี่แต่ละตัวจะถูกเชิญขึ้นรถที่ได้รับการตกแต่งซึ่งติดตั้งโช้คอัพพิเศษ รวมถึงรถศึกที่ลากด้วยม้าจำลอง 

แต่เดิมบรรดามัมมี่จะถูกตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์อียิปต์อันเป็นสัญลักษณ์ และมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมมากมายในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลอียิปต์หวังว่า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ (Royal Hall of Mummies) ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ โดยห้องโถงได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับภาพจำลองเสมือนจริงของหุบเขากษัตริย์ในเมืองลักซอร์ และพิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian แห่งใหม่ โดยเป็นที่เก็บของสะสมของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่มีชื่อเสียง เปิดให้บริการใกล้ๆ กับมหาปิรามิดแห่งกิซ่า จนกระทั่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอียิปต์ได้รับความเสียหายจากความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

'คำสาปของฟาโรห์' (Pharaoh's curse) เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว

 

คำสาปของฟาโรห์
แม้ว่า ขบวนพาเหรดของฟาโรห์ผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณผ่านกลางกรุงไคโร จะถูกมองว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนาน แต่มัมมี่ของอียิปต์มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางและลางสังหรณ์ในอดีต ในห้วงเวลานั้นอียิปต์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติหลาย ๆ อย่าง เช่น อุบัติเหตุรถไฟชนกันมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนในเมือง Sohag อียิปต์ตอนบน ขณะที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 คนเมื่ออาคารในกรุงไคโรถล่มลงมา จากนั้นเมื่อมีการเตรียมการเพื่อขนย้ายมัมมี่อย่างเต็มที่ คลองสุเอซก็ถูกเรือบรรทุกสินค้า MS Ever Given เกยฝั่งขวางกั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ 

จริยธรรมในการแสดงมัมมี่ของอียิปต์โบราณ จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยนักวิชาการมุสลิมหลายคนเชื่อว่า คนตายควรได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและด้วยความเคารพ และไม่จัดแสดงเป็นสิ่งสนใจ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2523 อดีตประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ได้สั่งปิดห้องมัมมี่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ โดยอ้างว่าห้องนี้ทำให้ผู้ตายเสื่อมเสีย เขาต้องการให้มัมมี่ถูกฝังใหม่แทน แม้ว่าจะไม่สมปรารถนาก็ตาม

อีกมิติวิกฤตไวรัสโควิด มหันตภัย คู่ขนาน... ‘ข่าวปลอม-ข้อมูลไม่ชัด’ ‘ความมั่นคงของชาติ’ ที่รัฐต้องไม่ละเลย

หลายคนอาจมองว่า “ความมั่นคงของชาติบ้านเมือง” มีแค่มิติของการทหาร ตำรวจ การรักษาความสงบเรียบร้อยปลอดภัยจากข้าศึก การก่อการร้าย และภัยพิบัติภายในประเทศ 

แต่แท้ที่จริงแล้วหากเราย้อนกลับไปดูตลอดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองโลก เราจะพบว่าเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องและคุณภาพชีวิต คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองในทุกสังคมทั่วโลก

การลุกขึ้นมาล้มผู้ปกครองล้วนแต่มาจากความขาดความเชื่อมั่นว่าผู้ปกครอง “มีความสามารถ“ หรือ “มีประสิทธิภาพ” ในการบริหารจัดการสังคมในภาวะวิกฤตได้ เช่น การล้มราชวงศ์ชิง หลังไม่สามารถปกครองให้ชนชาติจีนสู้กับชาติตะวันตกที่เข้ามารุมกินโต๊ะชาวจีนในเวลานั้นได้

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะวิกฤตจากไวรัสโควิด-19 ที่กลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต่างจาก 2 ครั้งที่ผ่านมา ตรงที่กลุ่มของการแพร่เชื้อมีจำนวนมากกว่า 2 ครั้งแรก และมีการกระจายตัวของผู้ติดเชื้อในวงกว้าง ทั้งจากสถานบันเทิงและงานอีเว้นท์ที่มีผู้คนจำนวนมากออกมารวมตัวกัน

เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่รุนแรงกว่า 2 ครั้งแรก แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจและวิตกกังวลมากกกว่า 2 ครั้งแรกก็คือ 

(1.) การแสดงความรับผิดชอบ: ประชาชนไม่เห็นระดับผู้นำรัฐบาล ออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงใจ ต่อการที่เจ้าหน้าที่รัฐละเลยการปฏิบัติหน้าที่ และปล่อยให้สถานประกอบการดำเนินการ อย่างหละหลวมในช่วงเวลาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

(2.) การสื่อสารที่ไม่ชัดเจน: ปัจจุบันคนไม่มีข้อมูลที่ทำให้ทราบได้ว่า ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการผู้ป่วยจากไวรัสโควิด-19 แค่ไหน? ปัจจุบันไทยมีวัคซีนเท่าไร? วัคซีนที่กำลังจะมาถึงหรือผลิตได้มีอีกเท่าไร? ปัจจุบันมีผู้ฉีดวัคซีนไปแล้วเท่าไรแล้วและเป็นใครบ้าง? และแผนการฉีดวัคซีนต่อวันเป็นอย่างไร? 

เราเห็นข่าวประชาชนจำนวนหนึ่งที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ที่ไม่สามารถหาเตียงเข้าพักรักษาในโรงพยาบาลได้ เราเห็นผู้คนจำนวนมากตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่มีการเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนตั้งแต่แรก แต่กลับมาทำในช่วงหลังที่โดนกระแสโจมตีจากประชาชน

ในทางจิตวิทยา มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อพบเจอกับสิ่งที่ตนไม่รู้ และคาดคะเนไม่ได้ มันจะทำให้พวกเขาขาดกรอบอ้างอิง (Frame of Orientation) ว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนและ กำลังจะพบเจออะไรในอนาคต 

คำถามหรือประเด็นข่าวสารเหล่านี้ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่สามารถคาดคะเนหรือเห็นภาพของสถานการณ์ทั้งหมดได้ ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียดสะสม อันจะนำไปสู่ช่องโหว่ให้เกิดการแพร่กระจายความลือ ความปลอมได้อย่างง่ายดาย

สิ่งที่ภาครัฐต้องทำในเวลานี้ คือ การแสดงท่าทีระดับผู้นำของภาครัฐที่มีความเข้มแข็งชัดเจน มีตัวเลขและข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย ประกอบกับประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพในวงกว้าง

ผมขอยกตัวอย่างงานวิจัยที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับข่าวปลอมในช่วงไวรัสโควิด เมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา ทีมนักวิจัยใน Los Alamos National Laboratory รัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา ได้เผยแพร่งานวิจัยที่เกิดจากการรวบรวมข้อมูลจากทวิตเตอร์กว่า 1.8 ล้านแอคเคาท์ แล้วนำมาวิเคราะห์ด้วยระบบ AI จนพบรูปแบบหรือพฤติกรรมของการเผยแพร่ข่าวปลอมและทฤษฎีสมคบคิด

งานวิจัยดังกล่าวพยายามวิเคราะห์และสังเคราะห์ให้เข้าใจถึงพฤติกรรมของการเผยแพร่ ดัดแปลงข่าวสาร และการใช้คำที่ผสมอารมณ์ความรู้สึกเพื่อให้เกิดความรู้สึกลบ กระตุ้นให้ผู้รับสารเชื่อและแชร์สารต่อไปในวงกว้าง 

โดยทีมวิจัยระบุว่า เป้าหมายหลักของงานวิจัยชิ้นนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้เจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขนำข้อมูลจากการวิเคราะห์ด้วยระบบ AI ไปใช้ในการ “วางแผน” เพื่อการทำข้อมูลที่ถูกต้องในประชาสัมพันธ์ เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับข่าวปลอมได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนที่มันจะทำให้คนเชื่อไปในวงกว้าง

ผมคิดว่าอาจถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทย หรือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) จะต้องเริ่มทำงานอย่างเป็นระบบ มีการใช้ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลจากการวิเคราะห์พฤติกรรมในโซเชียลมีเดีย ให้รู้ว่าแนวโน้มข่าวลือ ความปลอมเป็นอย่างไร 

เพื่อจะได้ทราบว่าจะวางแผนในการนำข้อมูลข่าวสารไปให้ถึงประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงต่อการวิตกกังวลในการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในครั้งนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพราะหากประชาชนไม่ทราบข้อเท็จจริง และตื่นตระหนกด้วยข่าวลือความปลอมที่เกิดขึ้น สิ่งที่ตามาคือการบริหารบ้านเมืองในภาวะวิดฤตที่จะทำได้ยากขึ้น เพราะคนจะขาดความเชื่อมั่นในการให้ความร่วมมือกับภาครัฐในปฏิบัติการต่าง ๆ และสุดท้ายจะส่งผลเสียต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย รวมถึงส่งผลเสียต่อประชาชนทุกคนในประเทศนี้ด้วย


ข้อมูลอ้างอิง 
https://losalamosreporter.com/2021/04/14/rep-christine-chandler-speaks-to-county-council-on-legislative-session-what-passed-how-covid-measures-worked/
https://www.independent.co.uk/life-style/gadgets-and-tech/ai-bill-gates-covid-conspiracy-b1834287.html
 

ถอดรหัส​ 'วันทอง'​ รอยต่อ​ ​'ความสำเร็จ'​ ของช่องวัน ขึ้นแท่น “นัมเบอร์วัน” ละครหลังข่าว

ปรากฏการณ์ละครเรื่อง “วันทอง” ของช่อง ONE31 ที่จบไปเมื่อช่วง 20 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้วงการละครหลังข่าวกลับมาคึกคักอีกครั้ง กับการทำเรตติ้งตอนจบด้วยการทะยานขึ้นเป็นที่ 1 ด้วยตัวเลข 7.767 (ทั่วประเทศ)  และ 9.280 (กรุงเทพฯ) ประสบความสำเร็จที่วัดออกมาได้จากเรตติ้งในยุคที่ช่องไหนก็ต้องการ และเป็นเรตติ้งละครหลังข่าวของช่องวันที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งช่องมา ส่งผลให้ช่องวันขยับเรตติ้งแซงช่อง Mono 29 มาเป็นที่ 3 ประจำสัปดาห์ของวันที่ 19-25 เมษายน 2564 เพราะละครเย็นของช่องวันก็มีเรตติ้งแรงดีไม่มีตกเช่นกัน กับละครเรื่องดงพญาเย็น นอกจากเรตติ้งทางทีวี ในตอนจบของวันทอง โลกออนไลน์ก็ร้อนแรงด้วยการติดเทรนด์ Twitter ที่ 1 ประเทศไทย และที่ 3 เทรนด์โลก, เทรนด์ Youtube อันดับ 1 ฉากประหารวันทอง, เทรนด์ Google อันดับ 1 คำค้นหา วันทองตอนจบ รวมไปถึง TikTok ที่มียอดวิวรวม 500 ล้านวิว 

การได้มาของเรตติ้งและการถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างถล่มทลาย คงไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน หากย้อนดูตั้งแต่การโปรโมทก่อนที่ละครจะออกอากาศ ทั้งโลโก้ช่องวันที่ทำเฉพาะกิจให้สอดคล้องกับละคร รวมถึงเพลงประกอบละคร “เพลงสองใจ” ที่ได้นักร้องคุณภาพอย่าง ดา เอ็นโดรฟิน มาถ่ายทอดความรู้สึกของวันทองให้คนดูได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น กับท่อนติดหูอย่าง “ใครจะอยากเป็นคนไม่ดี ผิดที่ใจไม่จำว่ามันไม่ควรรักใคร” ปล่อยออกมาให้คนฟังได้ฟังก่อนละครจะออกอากาศเกือบครึ่งเดือน และความสำเร็จของเพลงนี้ ส่งผลให้เพลงสองใจใน Youtube ทะลุ 100 ล้านวิวเพียงแค่ 41 วัน กลายเป็นเพลงไทยสากลที่ทำยอดวิวทะลุร้อยล้านวิวได้เร็วที่สุด แม้ว่าละครจะจบไปแล้ว เพลงสองใจยังได้รับความนิยมทั้งการเปิดในวิทยุ และการฟังผ่านทาง Music Streaming ซึ่งตัวเลข 200 ล้านวิวไม่น่าไกลสำหรับเพลงนี้ 

อีกหนึ่งกลยุทธ์ของช่องวันคือ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 10-12 เมษายน 2564 ที่ช่องวัน ได้นำละครเรื่อง วันทอง มาฉายแบบมาราธอน ซึ่งช่องวันเคยทำแบบนี้กับละครหลาย ๆ เรื่องมาแล้ว ทำให้คนที่อาจจะไม่ได้ติดตามดูมาตั้งแต่ตอนแรก ได้ดูย้อนหลังไปพร้อมกันก่อนที่จะเข้าสู่ตอนจบ 2 ตอนสุดท้าย ซึ่งก่อนที่จะฉายตอนจบ ด้วยสโลแกน “อย่าไว้ใจช่องวัน” ทำให้เกิดการถกเถียงในในโลกออนไลน์ ว่าจะจบอย่างไร จะโดนใจคนดูหรือไม่ คนดูน่าจะได้คำตอบแล้วว่า ช่องวันไว้ใจได้หรือไม่ (ฮ่า ๆ ๆ) แต่นี่คือกลวิธีในการนำเสนอที่ทีมทำละคร พยายามทำให้คนดูได้ลุ้นและติดตามจนกระทั่ง Break สุดท้ายของละครจริง ๆ

ความสำเร็จในครั้งนี้ นอกจากกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่กล่าวไป ความสนุกของละครเรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับทีมผลิตทั้งหมด ตั้งแต่ ผู้กำกับละคร ทีมนักแสดงที่แสดงได้ดีทุกบทบาท ทั้งนักแสดงหลักและนักแสดงสมทบ และทีมเขียนบท กับการนำเสนอตีความของวันทองแบบใหม่ ได้อย่างสนุก ครบรส สอดแทรกแง่คิด และคุยในประเด็นที่ประชากรโลกกำลังคุยกัน สิ่งที่พลเมืองโลกสนใจ เช่น เรื่องความเสมอภาค, สิทธิเสรีภาพ, Women Empowerment และแง่คิดเรื่องการใช้ชีวิตในครอบครัว นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จละครไทย ที่ก้าวข้ามผ่านการนำเสนอและกล้าตีความแบบใหม่ ๆ ในการพยายามสื่อสารกับคนดูในครั้งนี้ ความสำเร็จจะสะท้อนออกมาเองจากกระแสตอบรับของคนดู โดยเฉพาะการพูดถึงในโลกออนไลน์ กับเนื้อหาในช่วงตอนสุดท้ายของละคร ที่มีการนำคำพูดของตัวละครมาถกกันต่อในหลายประเด็น เป็นการดูละครในยุคใหม่ ที่มีการ Interactive ผ่านสื่อออนไลน์ได้อย่างทันท่วงที ... และสุดท้าย ละครเรื่องนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ วรรณคดีสุดคลาสสิกของไทย ที่ถูกเล่าได้อย่างสนุกสนาน สอดแทรกวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของไทยในอดีต ในแบบที่เราพยายามผลักดันความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย หรือ Soft Power ไทยของเรา ซึ่งนี่น่าจะเป็นกรณีศึกษาได้ว่าละคร หรือสื่อบันเทิงไทยของเรา ควรทำยังไงให้ความเป็นไทย ถูกสื่อสารออกมาได้อย่างสนุกและไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดความเป็นไทยแบบพร่ำเพรื่อ 


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.tvdigitalwatch.com/rating-19-25-apr64/
https://www.thaipost.net/main/detail/97877
ขอบคุณรูปภาพจาก  IG : @one31thailand

วัยเก๋า...ไกลโรค ป้องกันการล้ม ในผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุหมายถึงผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 10 ล้านคน ซึ่งนับเป็นร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด จึงถือว่าประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2564 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged society) ดังเช่น ประเทศญี่ปุ่น, อิตาลี, เยอรมันและสวีเดน

ผู้สูงอายุเป็นวัยที่ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพ, ความแข็งแรงเริ่มถดถอย, การทรงตัวแย่ลง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การล้มเป็นสาเหตุหลักของการเกิดกระดูกหักในผู้สูงอายุ และยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องย้ายจากบ้านไปอยู่สถานพักฟื้น รวมถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป ในผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงต่อการล้มมากถึงร้อยละ 28-35 และผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการล้มเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 32-42 นอกจากนี้ยังพบว่าผู้สูงอายุมีอัตราการเสียชีวิตจากการล้มสูงเป็นอันดับ 2 รองจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนอีกด้วย

ทำไมผู้สูงอายุถึงล้ม
1.) มีปัญหาเรื่องการทรงตัว
2.) มีความบกพร่องทางการมองเห็น
3.) มีปัญหากระดูกสันหลังหรือหลังค่อม ทำให้ไม่สามารถยืดลำตัวตรง
4.) เป็นโรคความดันโลหิตหรือกินยาบางชนิดที่ส่งผลต่อความดันโลหิต
5.) กล้ามเนื้อขาและสะโพกไม่แข็งแรง

วิธีป้องกันและแก้ไขเบื้องต้น
1.) พบผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและแก้ไขปัญหาการทรงตัวที่เกิดจากทางกระดูกหูชั้นใน 
2.) แก้ไขปัญหาสายตา เช่น การตัดแว่นสายตาให้เหมาะสม
3.) เปลี่ยนอิริยาบทบ่อยๆ ไม่นั่งหลังค่อมเป็นระยะเวลานาน
4.) ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคความดันโลหิต
5.) ออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาและสะโพก โดยใช้เก้าอี้เป็นอุปกรณ์ช่วยในการออกกำลังกาย ดังนี้

ท่าที่ 1

เขย่งเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

กระดกเท้า : ค้าง 10 วินาที ทำซ้ำ 20 ครั้ง

ท่าที่ 2     

ย่ำเท้า ซ้าย-ขวา สลับกัน

ยกขาขึ้น ค้าง 10 วินาที แล้วสลับข้าง ทำซ้ำ 40 ครั้ง (ข้างละ 20 ครั้ง)


ท่าที่ 3

แกว่งขาไปด้านหน้า ค้างไว้ 10 วินาที แล้วแกว่งไปด้านหลัง ค้างไว้ 10 วินาที ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

ท่าที่ 4 กางขาออกด้านข้าง ซ้าย-ขวาสลับกัน

กางขา ค้างไว้ 10 วินาที แล้วเปลี่ยนข้าง

ตัวตรง หลังตรง ทำซ้ำข้างละ 20 ครั้ง

การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและสะโพก เมื่อออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีส่วนช่วยฝึกการทรงตัวและป้องกันการล้มในผู้สูงอายุได้ นอกจากนี้ลูกหลานต้องให้ความรัก ความห่วงใย ดูแลเอาใจใส่ผู้สูงอายุ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจให้ท่านมีชีวิตอยู่กับเราไปอีกนาน


ข้อมูลอ้างอิง 
12 Best Elderly Balance Exercises For Seniors to Help Prevent Falls – ELDERGYM®
หกล้มในผู้สูงอายุ อันตรายกว่าวัยอื่นหลายเท่าตัว ปัญหาที่ต้องระวัง • RAMA Channel (mahidol.ac.th)

แฝดคนละฝา !! วัฒนธรรม​ 'เมียนมา-อินเดีย'​ ที่ยากจะแยกออก

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าประเทศที่รับวัฒนธรรมของอินเดียมาแบบเต็ม ๆ แม้จะไม่ได้เป็นประเทศที่นับถือฮินดูเป็นศาสนาหลัก และไม่ได้เป็นเขตอิทธิพลของชมพูทวีปมาก่อน ประเทศนั้นคือเมียนมานั่นเอง สังเกตได้จากเวชภัณฑ์ในเมียนมาร์ส่วนใหญ่มาจากอินเดีย รวมถึงภาพยนตร์อินเดียในเมียนมาก็ยังได้รับความนิยมอย่างสูง

Biogesic ยาพาราเซตามอลจากอินเดียที่ขายดีในเมียนมา

และที่เห็นจนชินตาในสังคมเมียนมา จนนึกว่านี่คือวัฒนธรรมต้นตำรับของเมียนมาแล้วละก็...นั่นคืออาหารอินเดีย ที่มีอยู่มากมายและหลากหลายเมนู ถูกสอดแทรกในร้านอาหารพม่าจนคิดว่านี่คืออาหารพม่าไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ‘ซาโมซา’ และ ’นานเปีย เปียง’  หรือในไทยคือ ‘โรตีโอ่ง’ อาหารชื่อดังของแม่สอด ที่พบเห็นได้เป็นปกติในร้านชาในเมียนมมา รวมถึงร้านชานมใหญ่ ๆ บางร้าน มีอาหารเช้าสไตล์อินเดียอย่าง โตเช ซึ่งเป็นแป้งกรอบทานกับมันฝรั่งบดและซุปถั่วสไตล์อินเดีย

อาหารอินเดียที่พบเห็นได้ในร้านอาหารเช้าในเมียนมา

โตเช

แนนเปียกับชานม

ซาโมซา ทานกับชานม และปาท่องโก๋

แต่ที่เราอาจจะลืมไปแล้ว ว่านี่คือเมนูยอดฮิตของคนเมียนมาที่เป็นอาหารอินเดียแท้ ๆ เลยแบบไม่ได้ทวิสต์แบบไทยคือ ข้าวหมก หรือในพม่าเรียกว่า ‘Dan Pauk’ ออกเสียงว่า ‘แดนเป๊าก์’ ซึ่งในเมียนมามี 2 แบบ คือ ข้าวหมกไก่ และข้าวหมกแพะ เนื่องจากคนเมียนมาส่วนใหญ่ทานเนื้อแพะมากกว่าเนื้อวัว จึงไม่มีข้าวหมกเนื้อขาย

ข้าวหมกในเมียนมานี่เรียกได้ว่าแทบจะถอดแบบข้าวหมกของอินเดียมาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะอุดมไปด้วยกลิ่นของเครื่องเทศแล้ว บางทีตักข้าวขึ้นมาเคี้ยว ๆ ติดลูกกะวาน ใบกานพลูขึ้นมาด้วยซ้ำ ข้าวหมกในเมียนมาร์ส่วนใหญ่จะมีใส่ธัญพืชเข้าไปด้วยเช่นเม็ดถั่วลันเตา แครอทเข้าไปเพื่อเพิ่ม Texture ในการทานให้มีความอร่อยมากขึ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมียนมา คนเมียนมานิยมใช้ไก่พื้นบ้านของเมียนมามาทำเป็นข้าวหมกไก่ เพราะเนื้อไก่ที่ได้จะมีเนื้อแน่น เวลาทานจะสู้ฟันกว่าไก่ฟาร์มซึ่งจะออกไปทางเนื้อฟู คนเมียนมาจะนิยมทานกับซอสมะม่วงที่มีรสชาติเปรี้ยวเค็ม และพริกป่น ซึ่งจะต่างจากไทยที่ทานกับซอสบ๊วยที่มีรสหวาน


ข้าวหมกไก่ของพม่า  

ข้าวหมกไก่ของไทย

ข้าวหมกในเมียนมาราคาจะอยู่ที่ประมาณ จานละ 1,500 จ๊าด สำหรับแบบสตรีทฟู๊ด ไปจนถึง 3,500 จ๊าด ที่เป็นร้านข้าวหมกมีแบรนด์และมีสาขา คิดเป็นราคาไทยประมาณ 30-70 บาทต่อจาน ข้าวหมกเจ้าดังที่มีหลายสาขาในเมียนมาร์ก็มี KSS, KK, Nilar, Kyat Shar Soe โดยแต่ละร้านจะมีรสชาติแตกต่างกันไปตามแต่ละร้าน ตามแต่ใครชอบรสชาติแบบไหน หากคุณมาเมียนมาและอยากสัมผัสกลิ่นอายของอินเดีย นอกจากอาหารอินเดียที่หาทานได้จากร้านชามแล้ว ข้าวหมกก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ที่อยากให้คุณได้ลิ้มลองความเป็นอินเดียที่ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของคนเมียนมาร์จากอดีตจนถึงปัจจุบัน


ข้อมูลอ้างอิง : ขอบคุณภาพจาก
Biogesic Myanmar Facebook Page
ข้าวหมกไก่สยาม
KSS Briyani Shop
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top