Tuesday, 18 February 2025
COLUMNIST

ปลดล็อกการค้าสร้างเศรษฐกิจสยามเฟื่องฟู ไม่ผูกขาดดังคำปดของคนรุ่นใหม่

ในช่วงเวลาแห่งการปกครองโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า นั้น ประเทศสยามได้ผ่านความยุ่งยากของการสร้างบ้านแปงเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ผ่านยุครุ่งเรืองแห่งวรรณกรรม ภาษา การฟื้นฟูวัฒนธรรม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และแม้ว่าในยุครัชกาลที่ ๓ จะมีสงครามอยู่บ้าง อาทิ สงครามข้างเจ้าอนุวงศ์ สงครามพิพาทกับทางข้างญวณ แต่ในยุคของพระองค์เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งการค้าขายและ Cross Culture โดยแท้ 

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  รัชกาลที่ ๒ ที่เกิดจากเจ้าคุณจอมมารดาเรียม (สถาปนาเป็นที่ 'สมเด็จกรมพระศรีสุลาลัย' ในรัชกาลที่ ๓) ด้วยความที่พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์โต อีกทั้งทรงละม้ายคล้ายในหลวงรัชกาลที่ ๑ จึงได้รับพระเมตตาเป็นอย่างยิ่ง กอรปกับพระองค์ทรงมีความสามารถ เฉลียวฉลาดสามารถช่วยราชกิจของพระราชบิดาได้อย่างหลากหลาย จนเมื่อมีการตั้งเจ้านายเพื่อทรงกำกับราชการกรมสำคัญ ๆ ในการบริหารราชการส่วนกลางโดยมีฐานะเป็นผู้กำกับกรมคู่ไปกับเสนาบดีเดิม รัชกาลที่ ๓ ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็น 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' พระองค์ได้ทรงกำกับดูแลกรมสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของสยามในเวลานั้นเลยทีเดียว เริ่มจากทรงกำกับ 'กรมพระคลังมหาสมบัติ' ดูแลทรัพย์ที่เป็นเส้นเลือดหลัก จากนั้นก็เพิ่มเติมไปกำกับ 'กรมท่า' ซึ่งดูแลหัวเมืองชายทะเลทั้งหลาย กำกับการติดต่อกับชาวต่างชาติ และกำกับการแต่งเรือสำเภาไปค้าขายเรียกได้ว่าไม่เก่งทำไม่ได้ 

'เจ้าสัว' ของพ่อ ความเก่งกาจฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่เลื่องลือ ทั้งข้าราชบริพาร และพระประยูรญาติ ทราบถึงคำชมเชยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๒ ได้กล่าวถึงโอรสพระองค์นี้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทรงกำกับราชการกรมท่า พระองค์ได้ทรงแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายในต่างประเทศ ทำให้สยามมีรายได้เพิ่มขึ้นในท้องพระคลังเป็นอย่างมาก จนพระราชบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า 'เจ้าสัว' 

จากการที่ทรงกำกับหน่วยงานสำคัญจึงเป็นปัจจัยให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบรมราชชนกได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็ทรงเก่งสุด ๆ อาวุโสได้ ที่สำคัญคือได้รับการยอมรับจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ เหล่าขุนนางทั้งหลาย ให้ขึ้นครองราชย์ที่เรียกว่า “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” โดยหลังจากทรงครองราชย์แล้วก็ทรงปรับปรุงการค้าขาย การเก็บภาษี กฎหมาย พัฒนาสยามไปในหลายทาง 

กอบกู้เศรษฐกิจด้วยการค้า ปรับปรุงระบบภาษี ส่งเงินเข้าพระคลังหลวง 
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ต้องยอมรับว่าในเวลานั้น สยามยังอยู่ในภาวะขาดแคลนทรัพย์ เนื่องจากครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการสร้างบ้านแปงเมือง ประกอบกับการปราบปรามอริราชศัตรูให้ราบคาบ เมื่อเป็นดังนี้เมื่อบ้านเมืองเริ่มสงบการหาทรัพย์มาเพื่อเป็นทุนสำรองของบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเป็นดังนี้พระองค์จึงได้ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีขึ้นมาเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังหลวง จากเดิมที่ระบบภาษีทั้ง จังกอบ อากรฤชา ส่วย ภาษี เงินค่าราชการจากพวกไพร่ เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน ยังเก็บได้ไม่ชัดเจน พระองค์จึงทรงเริ่มปรับปรุงการเก็บภาษีอากรจากรูปของสินค้า และแรงงานให้กลายมาเป็นการชำระด้วยเงินตรา พร้อมกำหนดรายการภาษีใหม่ ๓๘ รายการ

พระองค์ทรงตั้งระบบการเก็บภาษีโดยให้เอกชนประมูลรับเหมาผูกขาด ไปเรียกเก็บภาษีจากราษฎรเอง เรียกว่า “เจ้าภาษี” หรือ “นายอากร” ซึ่งส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้ประมูลได้ การเก็บภาษีด้วยวิธีการนี้ ทำให้เกิดผลดีหลายประการ โดยเฉพาะด้านตัวเลขเพราะมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี เกิดการค้าขายที่มีระบบมากขึ้นเพราะมีกำหนดอัตราตามค่าเงิน ทำให้สามารถเก็บเงินเข้าพระคลังมหาสมบัติได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังส่งผลดีทางด้านการเมือง เพราะทำให้เจ้าภาษีนายอากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวจีนนั้นมีความผูกพันกับสยามในฐานะข้าราชการมีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และแผ่นดินสยามอย่างยิ่งยวด 

เปิดประเทศค้าขายต่อเนื่อง ยกเลิกการผูกขาด
นอกจากรายได้จากการเก็บภาษีแล้ว รายได้เข้ารัฐยังมาจากการค้าขายกับต่างประเทศ โดยนำระบบภาษีหลายชั้นมาใช้ในขาเข้าคือภาษีเบิกร่อง และภาษีขาออก ในเริ่มแรกก่อนครองราชย์มาจนช่วงต้นของการครองราชการค้ากับต่างชาติยังมีสินค้าบางอย่างที่ยังผูกขาดอาทิ  ครั่ง ไม้ฝาง งาช้าง การบูร และพริกไทย อีกทั้งผูกขาดในส่วนของสินค้าที่ใช้บรรทุก ในสําเภาหลวงจํานวนมากทำให้การค้าขายยังจำกัด 

ด้วยความเชี่ยวชาญในการส่งเรือสินค้ามาตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็น พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึงทรงยกเลิกนโยบายผูกขาดสินค้า ปล่อยให้มีการค้าเสรี โดยการตัดสินใจเป็นของพระองค์เอง มิได้ทรงผูกพันกับสนธิสัญญาใด ๆ ดังที่มีนักวิชาการฝรั่งหลายคนเคยกล่าวไว้ ซึ่งสอดคล้องกับจดหมายของชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งมีไปถึงนายครอว์เฟิร์ดที่สิงคโปร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ความว่า

“ทันทีที่เจ้านายพระองค์นี้เสด็จขึ้นสู่ราชบัลลังก์ พระองค์ก็ได้ทรงพระกรุณาสั่งอนุญาตให้ทุกชาติที่มาเยี่ยมสยามได้ขายและซื้อ นําออก และนําเข้า กับประชาราษฎรทุกคนที่ตนคิดว่าสมควร โดยไม่มีข้อขัดขวาง เพียงแต่ต้องจ่ายภาษีศุลกากรเท่านั้น สิ่งนี้ได้ทําไปโดยไม่มีการวิวาทกับ พวกขุนนางเลย” (ยกเว้นขุนนางบางตระกูลที่เสียผลประโยชน์จากการยกเลิกการผูกขาดอาจจะมีการมองค้อนแต่ทำอะไรไม่ได้) 

ซึ่งการค้าเสรีนี้ได้สร้างเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพมั่นคง และรายได้นี้ได้นำไปใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมือง การป้องกันประเทศ การศาสนา และด้านอื่นๆ ทั้งยังเป็นทุนสำรองของสยามทั้งในรัชสมัยของพระองค์เองและในรัชสมัยต่อ ๆ มา โดยรายได้ของแผ่นดินในรัชกาลที่ ๓ สูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยบางปีมีรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังมากกว่า ๒๐ ล้านบาท

สนธิสัญญาเบอร์นี เปิดโอกาสชาติอื่นร่วมค้าขาย
'เฮนรี เบอร์นี' ทูตชาวอังกฤษได้เดินทางเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๘ เพื่อเจรจาปัญหาทางการเมืองและการค้าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทางด้านการค้า รัฐบาลอังกฤษประสงค์ขอเปิดสัมพันธไมตรีทางการค้ากับรัตนโกสินทร์ และขอความสะดวกในการในการค้าได้โดยเสรี ซึ่งการเจรจาได้ผลสำเร็จอันดี โดยมีการลงนามในสนธิสัญญากันเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙

สนธิสัญญาเบอร์นี ประกอบด้วย สนธิสัญญาทางพระราชไมตรี ๑๔ ข้อ และสนธิสัญญาทางพาณิชย์ แยกออกมาอีกฉบับหนึ่ง รวม ๖ ข้อ ที่เกี่ยวกับการค้า อาทิ ข้อ ๕ ให้สิทธิพ่อค้าทั้งสองฝ่ายค้าขายตามเมืองต่างๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเสรีตามกฎหมาย ข้อ ๖ ให้พ่อค้าทั้งสองฝ่ายเสียค่าธรรมเนียมของอีกฝ่าย ข้อ ๗ ให้สิทธิแก่พ่อค้าจะขอตั้งห้าง เรือน และเช่าที่โรงเรือนเก็บสินค้าในประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมการเมือง ข้อ ๑๐ ว่าด้วยการทำการค้าในบางดินแดนของกลุ่มคนในสังกัดของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อจำกัด เป็นต้น 

ส่งออกเติบโต เรือเทียบเต็มท่า 
นอกจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษเพื่อการเปิดเสรีทางการค้าแล้วนั้น สยามยังมีการติดต่อกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป มีการลดค่าปากเรือลง จากวาละ ๑,๗๐๐ บาท เหลือ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเอาใจใส่ของไทยสยามในการสนับสนุนการค้าของชาวต่างชาติให้รุ่งเรืองในประเทศทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นมีการเก็บค่าปากเรือสูงถึง ๒,๒๐๐ บาท ทำให้การค้าระหว่างพ่อค้าตะวันตกและไทยเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเรือกําปั่น เข้ามาจอดที่บางกอกเพื่อนําสินค้าของสยามออกไปขาย ในพ.ศ. ๒๓๘๕ มีรายงานว่ามีเรือกําปั่นเข้าเทียบท่า ไม่น้อยกว่า ๕๕ ลํา โดยส่วนใหญ่ เป็นเรือกําปั่นที่ชักธงอังกฤษ ในจํานวนนี้มีอยู่ ๙ ลําที่เข้าเทียบท่าบางกอกเป็นประจําทุกปี และถ้าไม่นับที่มาจากอังกฤษโดยตรง ๓-๔ ลําแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเรือกําปั่นมาจากบอมเบย์ สิงคโปร์ หรือจีน ซึ่งส่วนใหญ่ก็บรรทุกน้ำตาลออกไป ซึ่งปริมาณการส่งออกในช่วงปีนั้นมีมากถึง ๑๑๐,๐๐๐ หาบทั้งนี้ยังไม่รวมการส่งออกโดยเรือพาณิชย์ของรัฐกว่า ๑๔ ลำ รวมไปถึงเรือพาณิชย์ของขุนนางกว่า ๑๐ ลำ 

แต่ต้องยอมรับนอกเหนือไปจากการลงนามทางการค้าในสนธิสัญญาเบอร์นี่แล้วนั้น การค้าในฟากของชาติตะวันตกนั้นยังแฝงไปด้วยเรื่องทางการเมือง การล่าอาณานิคม และการเข้าแทรกแซงกิจการอื่น ๆ เพราะประเทศรอบข้างสยามในขณะนั้นกำลังเริ่มถูกคุกคาม ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมิได้ส่งเสริมการงานฟากตะวันตกอย่างเอิกเกริกนัก ทั้งยังทรงระแวดระวังมิให้สยามตกอยู่ในฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทั้งการค้า และการเมืองดังที่ได้พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งไว้ว่า

“การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีก็อยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียท่าแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสกันทีเดียว” 

เพราะนอกเหนือจากการค้าเสรีที่เฟื่องฟูในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ แล้ว การล่าอาณานิคมที่ไม่เสรีก็ตามติด ๆ มาในอีกไม่นานหลังจากนั้น

ศึกใหญ่ของ ‘อีลอน มัสก์’ กับ ปฏิบัติการขุดรากถอนโคน USAID องค์กรที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือก่อการร้ายของรัฐบาลเงา?

(4 ก.พ. 68) เกิดอะไรขึ้นในอเมริกา? เมื่อ Elon Musk เปิดฉากไล่ล่า USAID

ช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองและนโยบายต่างประเทศไปตลอดกาล เมื่อ Elon Musk ประกาศสงครามกับ USAID (United States Agency for International Development) องค์กรที่มีงบประมาณมหาศาลและถูกกล่าวหาว่าเป็น เครื่องมือแทรกแซงทางการเมืองของฝ่ายซ้าย และมีส่วนพัวพันกับการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย

USAID คือใคร? ทำไมถึงถูกโจมตีว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย?

USAID ก่อตั้งขึ้นในปี 1961 โดย John F. Kennedy โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศยากจน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา USAID ถูกกล่าวหาว่ากลายเป็นแขนขาของอำนาจเงาภายในรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ใช้เงินภาษีของประชาชน แทรกแซงการเมืองโลก, สนับสนุนการล้มรัฐบาล และส่งเสริมแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่ง

มีรายงานว่า USAID ให้เงินสนับสนุนองค์กรที่เกี่ยวข้องกับขบวนการปฏิวัติสี (Color Revolutions) ในประเทศต่างๆ เช่น อาหรับสปริง, ยูเครน, เวเนซุเอลา และแม้แต่กลุ่มเคลื่อนไหวในฮ่องกง

ที่ร้ายแรงกว่านั้น Middle East Forum (MEF) ได้เปิดเผยว่า USAID อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งผ่านเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ไปยังกลุ่มที่เชื่อมโยงกับก่อการร้าย เช่น Hamas และองค์กรหัวรุนแรงในตะวันออกกลาง

คำถามคือ ถ้าข้อมูลนี้เป็นจริง เงินภาษีของชาวอเมริกันกำลังถูกใช้เพื่อสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่โจมตีพันธมิตรของอเมริกาเองหรือไม่?

Musk กับปฏิบัติการปิดฉาก USAID – การรื้อถอนรัฐลึก?

Musk ในฐานะหัวหน้าของ Department of Government Efficiency (DOGE) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยทรัมป์ กำลังไล่ล่าหลักฐานที่ชี้ว่า USAID เป็นแหล่งเงินทุนขององค์กรหัวรุนแรงและเครือข่าย NGOs ฝ่ายซ้ายสุดโต่ง

การเข้ายึดอำนาจของ USAID เริ่มต้นเมื่อทีมของ Musk พยายามเข้าไปตรวจสอบเอกสารลับใน SCIF (Sensitive Compartmented Information Facility) ซึ่งเป็นห้องข้อมูลลับสุดยอดของหน่วยงาน แต่ถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของ USAID

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ การปลดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับสูงของ USAID สองคนออกจากตำแหน่งทันที ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า USAID กำลังปกปิดอะไรอยู่?

Musk กล่าวว่า

> “ผมได้หารือกับทรัมป์อย่างละเอียด และเขาเห็นพ้องว่าควรปิดมันลง ผมเช็คกับเขาหลายครั้ง และเขาก็ยืนยันคำตอบเดิม”

> “USAID คือกองทัพหนอน ไม่มีแอปเปิลอยู่เลย มันต้องถูกกำจัด”

Musk ย้ำว่าการปิด USAID ไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพการใช้เงิน แต่เป็นเรื่องของความมั่นคงของชาติ

USAID ถูกปิดตาย – เกมอำนาจของ Musk และ Trump?

ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการบุกเข้าไปของ DOGE เว็บไซต์ของ USAID และบัญชี X ขององค์กรก็ถูกลบออกจากระบบ

นี่หมายความว่าอะไรกันแน่?

1. USAID ถูกยุบอย่างเป็นทางการ? หรือเป็นเพียงการ “รีแบรนด์” เพื่อให้เข้ากับนโยบายของทรัมป์?

2. มีเอกสารอะไรอยู่ใน SCIF? และทำไม USAID ถึงปฏิเสธไม่ให้ Musk เข้าไปตรวจสอบ?

3. เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ USAID ลาออกกันเป็นจำนวนมาก นี่คือสัญญาณของการล่มสลายของเครือข่าย NGOs ฝ่ายซ้ายหรือไม่?

การที่ USAID ถูกปิดตัวลงโดยคำสั่งของทรัมป์ และได้รับการผลักดันโดย Musk แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารชุดนี้กำลังจัดการกับองค์กรที่พวกเขามองว่าเป็นภัยต่ออเมริกา

Musk กำลังทำในสิ่งที่ไม่มีใครกล้าทำ?

ในอดีต มีข้อกล่าวหามากมายว่า USAID และ NGOs ในเครือ ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อแทรกแซงประเทศอื่น และสนับสนุนขบวนการที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง

แต่ ไม่มีใครเคยกล้าจัดการกับพวกเขาอย่างจริงจัง

Musk อาจเป็น คนแรกที่กล้าเผชิญหน้ากับเครือข่ายนี้ และเปิดโปงความจริงที่ถูกปกปิดมานาน

คำถามสำคัญคือ Musk กำลังเป็นฮีโร่ที่กำจัดองค์กรที่ทุจริต หรือเขากำลังกลายเป็นผู้ควบคุมอำนาจของรัฐลึกแทน?

อนาคตของ USAID และนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไร?

หาก USAID ถูกปิดจริง อเมริกาจะยังสามารถคงบทบาทการเป็นมหาอำนาจโลกได้หรือไม่?

1. นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากการแทรกแซงผ่าน NGOs ไปสู่การใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจแทน

2. ประเทศที่เคยพึ่งพาเงินทุนจาก USAID เช่น ยูเครน และไต้หวัน อาจได้รับผลกระทบหนัก

3. NGOs ฝ่ายซ้ายทั่วโลกอาจสูญเสียแหล่งเงินสนับสนุนหลัก และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศ

บทสรุป: Musk คือชายที่กำลังเปลี่ยนโลก?

สิ่งที่ Musk กำลังทำ อาจถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า เป็นช่วงเวลาที่อำนาจของรัฐลึกถูกท้าทายอย่างแท้จริง

หาก Musk ทำสำเร็จ เขาจะกลายเป็นบุคคลที่เปิดโปงเครือข่าย NGOs ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก

หากเขาล้มเหลว เขาอาจถูกโจมตีจากกลุ่มอำนาจที่มองว่าเขากำลังทำลายกลไกสำคัญของรัฐ

นี่เป็นสงครามของ Musk และทรัมป์กับเครือข่ายรัฐเงาจริงหรือไม่? หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่เกมอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 21?

ขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน ไทยต้องเลือกจุดยืนให้มั่น กับความสัมพันธ์ ‘จีน-อเมริกา’ ทิศทางการพัฒนา ‘พลังงาน-ปัญญาประดิษฐ์ AI’ เพื่อรองรับการเติบโต ในอนาคต

(2 ก.พ. 68) เมื่อขั้วอำนาจโลกเปลี่ยน ไทยต้องเลือกจุดยืนให้มั่น 

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ระบบขั้วอำนาจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ไม่ต่างจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้แผ่นดินโลกเป็นผืนเดียวกัน ก่อนที่จะแตกออกเป็นทวีปต่างๆ ในปัจจุบัน เมื่อแผ่นดินแยกจากกัน มนุษย์ก็เริ่มสร้างเส้นแบ่งเขตแดน เกิดเป็นรัฐชาติ อารยธรรม และมหาอำนาจที่แย่งชิงอิทธิพลกันเรื่อยมา

โลกเปลี่ยน: จากแผ่นดินเดียวสู่ขั้วอำนาจที่พลิกผัน

เมื่อย้อนมองประวัติศาสตร์ โลกเคยถูกแบ่งออกเป็น "แผ่นดินโลกเก่า" (ยุโรป เอเชีย แอฟริกา) และ "โลกใหม่" (อเมริกา) พร้อมกับการขยายอาณานิคมในศตวรรษที่ 15-19 โลกถูกจัดลำดับใหม่ตามความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ การทหาร และการปกครอง โลกเก่าถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรม แต่เมื่อโลกใหม่พัฒนา อเมริกากลายเป็นขั้วอำนาจหลักในศตวรรษที่ 20 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ทว่าทุกยุคย่อมมีจุดพลิกผัน วันนี้สิ่งที่เคยเป็นโลกใหม่อย่างอเมริกา กำลังเผชิญความท้าทายที่บั่นทอนอำนาจของตน ขณะที่โลกเก่าอย่างจีนและอินเดียกำลังกลับมาโดดเด่น เอเชียกำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและการเมืองโลก อารยธรรมที่มีรากฐานยาวนานกว่า 4,000 ปี กำลังแสดงให้เห็นถึงพลังแฝงที่อาจพลิกขั้วอำนาจโลกในศตวรรษที่ 21

ไทยอยู่ตรงไหนในจังหวะเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก??

เมื่อมหาอำนาจเดิมเริ่มถดถอย และมหาอำนาจใหม่กำลังผงาดขึ้น ประเทศไทยในฐานะที่ตั้งอยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำเป็นต้องกำหนดจุดยืนให้ชัดเจน การเป็นรัฐขนาดกลางที่มีความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับทั้งจีน อเมริกา และประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ไทยอยู่ในจุดที่ต้องเลือกทางเดินอย่างรอบคอบ

1. ความเป็นกลางที่แท้จริงหรือเพียงแค่คำพูด??
ไทยมักใช้ยุทธศาสตร์ "ความเป็นกลาง" ในการรักษาผลประโยชน์ของตน แต่ในโลกที่แบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ไทยจะสามารถรักษาสถานะนี้ได้จริงหรือไม่? หรือสุดท้ายจะถูกบีบให้เลือกข้าง??

2. โอกาสในโลกที่เอเชียกำลังนำ
หากเอเชียก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเมืองโลก ไทยจะใช้โอกาสนี้อย่างไร? จะกลายเป็นแค่ลูกค้าทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย หรือจะสามารถสร้างความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นมา??

3. ภัยคุกคามจากขั้วอำนาจที่ถดถอย
เมื่ออเมริกาและยุโรปเห็นว่าขั้วอำนาจกำลังเปลี่ยนไป พวกเขาอาจใช้มาตรการกดดันประเทศในเอเชียให้อยู่ในกรอบที่ตนต้องการ ไทยจะรับมือกับแรงกดดันนี้อย่างไร??

การเลือกที่สำคัญ: ไทยต้องเตรียมพร้อม

เมื่อโลกเปลี่ยน ไทยจะไม่สามารถยืนอยู่ตรงกลางได้ตลอดไป การตัดสินใจในวันนี้จะกำหนดอนาคตของประเทศไปอีกหลายทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเสริมสร้างความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจใหม่ หรือการปรับยุทธศาสตร์เพื่อรักษาสมดุล ไทยต้องมี "ยุทธศาสตร์ชาติ" ที่ไม่ใช่แค่การตามกระแส แต่ต้องเป็นการกำหนดอนาคตของตัวเองให้มั่นคงและแข็งแกร่งในโลกที่กำลังเปลี่ยนไป

พลังงานและ AI: จุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์ไทยในศตวรรษที่ 21

หลังจากที่เราได้วิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจโลก และความจำเป็นที่ไทยต้องกำหนดจุดยืนในยุทธศาสตร์โลก บทต่อไปที่เราต้องเจาะลึกคือ "พลังงาน" และ "AI" ซึ่งเป็นสองปัจจัยหลักที่จะกำหนดอนาคตเศรษฐกิจไทยและโครงสร้างแรงงานในยุคถัดไป

ในเวลานี้ ประชากรส่วนใหญ่ของโลกอยู่ภายใต้กลุ่มประเทศ BRICS ซึ่งกำลังขยายอำนาจทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม พวกเขาเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคหลักของโลก โดยมีจีนเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี AI และพลังงานใหม่ ดังนั้น พลังงานและเทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรสำคัญ ที่กำหนดว่าใครจะเป็นผู้นำในโลกอนาคต

AI: หัวใจของแรงงานยุคใหม่

AI และหุ่นยนต์จะไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือเสริมของมนุษย์อีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็น "แรงงานหลัก" ในทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่แพทย์ ทหาร วิศวกร นักวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงศิลปิน แม้แต่นักดนตรีก็ต้องเรียนรู้การใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริม เพื่อแข่งขันในโลกที่อัลกอริธึมสามารถสร้างผลงานคุณภาพสูงได้

แต่ปัญหาสำคัญที่มาพร้อมกับ AI คือ พลังงาน AI ต้องใช้พลังงานมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลข้อมูลของโมเดล AI หรือการใช้พลังงานในการขับเคลื่อนหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ หากประเทศไทยจะพัฒนาอุตสาหกรรม AI ของตนเอง ไทยต้องตอบคำถามสำคัญว่า "เราจะหาพลังงานจากที่ไหน??"

พลังงาน : ปัจจัยที่ 5 ของมนุษยชาติ
ในอดีต ปัจจัยสี่ของมนุษย์ประกอบไปด้วย อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย และเครื่องนุ่งห่ม แต่ในศตวรรษที่ 21 พลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ AI และหุ่นยนต์กำลังกลายเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เราจะพึ่งพา พลังงานฟอสซิล ต่อไปไม่ได้ เพราะทรัพยากรเหล่านี้กำลังลดลงและก่อให้เกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ไทยต้องคิดใหม่เกี่ยวกับโครงสร้างพลังงานของตนเอง ซึ่งตัวเลือกหลักที่กำลังได้รับความสนใจคือ พลังงานนิวเคลียร์

นิวเคลียร์ : พระอาทิตย์เทียมแห่งอนาคตไทย?

ปัจจุบันจีนได้พัฒนาเทคโนโลยี "พระอาทิตย์เทียม" (Artificial Sun) หรือเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชันที่สามารถผลิตพลังงานได้มหาศาลโดยไม่ทิ้งกากกัมมันตรังสีแบบพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชันแบบเก่า หากเทคโนโลยีนี้สำเร็จ มันจะเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานของโลก อย่างสิ้นเชิง และหากไทยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ เราจะสามารถสร้างพลังงานสะอาดในปริมาณที่มหาศาลเพื่อรองรับเศรษฐกิจ AI ได้อย่างมั่นคง แต่การเปลี่ยนผ่านไปสู่นิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องง่าย การลงทุนต้องอาศัยวิสัยทัศน์ทางการเมือง และต้องมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาควบคู่กันไป

พลังงานสะอาด : เสริมทัพนิวเคลียร์
นอกจากนิวเคลียร์ ไทยควรเสริมด้วย พลังงานขยะ เช่นเดียวกับที่ประเทศสวีเดนทำ การแปลงขยะเป็นพลังงาน ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยสร้างพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ซึ่งมีปริมาณขยะมหาศาลแต่ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เต็มที่
หากไทยสามารถสร้างระบบ บูรณาการพลังงาน ที่มีทั้ง พลังงานนิวเคลียร์ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานขยะ และพลังงานลม ไทยจะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของตนเอง

การปฏิรูปหน่วยงานรัฐ: กุญแจสู่ยุคพลังงานใหม่
ปัญหาของไทยไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือ "ระบบรัฐที่ล้าหลัง" ทุกวันนี้ หน่วยงานพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ยังทำงานแบบแยกส่วน ซึ่งทำให้การพัฒนาพลังงานล่าช้า ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การออกแบบระบบรัฐใหม่ ที่สามารถ บูรณาการพลังงานและเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้นำรัฐบาลในอนาคตจะต้องเป็นผู้ที่เข้าใจทั้ง AI และพลังงาน ไม่ใช่แค่การบริหารแบบเดิมๆ เพราะพลังงานคือรากฐานของเศรษฐกิจใหม่ และ AI คือแรงขับเคลื่อนของโลกอนาคต หากไม่มีพลังงานที่เพียงพอ AI ก็ไม่มีทางเติบโต และหากไม่มี AI แรงงานมนุษย์ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ไทยต้องเลือก : จะเป็นศูนย์กลาง AI หรือเพียงผู้ตาม?
ในช่วงปี 2570 เป็นต้นไป ประเทศที่สามารถ จัดการเรื่องพลังงานได้ดี จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก ไทยจะต้องตัดสินใจว่าจะเป็น ‘ศูนย์กลางอุตสาหกรรม AI ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ หรือจะปล่อยให้ประเทศอื่นแซงหน้าไป

1. เราจะพัฒนานิวเคลียร์หรือไม่??

2. จะใช้พลังงานสะอาดอย่างไรให้คุ้มค่า??

3. ระบบรัฐจะปรับตัวได้ทันหรือไม่??

4. แรงงานไทยพร้อมสำหรับ AI หรือไม่??

คำถามเหล่านี้ต้องการคำตอบที่ชัดเจนจากทุกภาคส่วน เพราะโลกกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และไทยจะไม่มีเวลารออีกต่อไป

ครบรอบ 57 ปี ปฏิบัติการ ‘Blue House raid’ ภารกิจลับเกาหลีเหนือส่งทีมลอบสังหารผู้นำเกาหลีใต้

เหตุการณ์ประกาศกฎอัยการศึก (Martial law) ของ Yoon Suk Yeol ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเกาหลีใต้ ทำให้นึกถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญของสองเกาหลี นั่นก็คือ ‘Blue House raid’ (หรือที่เรียกในเกาหลีใต้ว่า เหตุการณ์วันที่ 21 มกราคม) เป็นปฏิบัติการบุกทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ (Blue House) โดยหน่วยคอมมานโดของเกาหลีเหนือเพื่อสังหาร Park Chung-hee ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ในขณะนั้น ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หรือ Blue House ในวันที่ 21 มกราคม 1968 ผลก็คือ หน่วยกล้าตายของกองทัพประชาชนเกาหลี (The Korean People's Army : KPA) ทั้ง 31 นาย ถูกสังหาร จับกุม หรือหลบหนี และตัวประธานาธิบดี Park Chung-hee เองไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด

พลตรี Park Chung-hee (บิดาของ Park Geun-hye ประธานาธิบดีคนที่ 11 ของเกาหลีใต้) ได้ยึดอำนาจรัฐของเกาหลีใต้ด้วยการรัฐประหารเมื่อปี 1961 และปกครองในฐานะเผด็จการทหารจนถึงการเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 3 ของเกาหลีใต้ในปี 1963 Blue House raid เกิดขึ้นในบริบทของความขัดแย้งในเขต DMZ (เขตปลอดทหาร) ของสองเกาหลี (ระหว่าง ปี 1966–69) หลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติเกาหลีใต้ในปี 1967 ผู้นำเกาหลีเหนือได้สรุปว่า การต่อต้านภายในประเทศของ Park Chung-hee ไม่ได้ถือเป็นการท้าทายต่อการปกครองของเขาอีกต่อไป ในวันที่ 28 มิถุนายน - 3 กรกฎาคม 1967 คณะกรรมการกลางแห่งพรรคแรงงานแห่งเกาหลีได้จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ Kim Il-sung ผู้นำเกาหลีเหนือในขณะนั้นจึงแจ้งให้คณะทำงาน "เตรียมให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือในการต่อสู้ของพี่น้องชาวเกาหลีใต้ของเรา" ภายในเดือนกรกฎาคมนั้นเอง หน่วยปฏิบัติการพิเศษคือ หน่วย 124 ซึ่งพึ่งจัดตั้งขึ้นได้ไม่นานของกองทัพประชาชนเกาหลี (KPA) ก็ได้รับมอบหมายให้ทำการลอบสังหาร Park Chung-hee ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้

การตัดสินใจครั้งนี้อาจเป็นผลจากข้อเท็จจริงที่ว่าในปี 1967 กำลังทหารของสหรัฐฯเข้าสู่สงครามเวียดนาม ภายใต้สถานการณ์ที่กองทัพสหรัฐฯต้องทุ่มเทกับสงครามในเวียดนามใต้ จึงน่าจะไม่สามารถใช้มาตรการตอบโต้เกาหลีเหนือได้โดยสะดวก ในปี 1965-68 ความสัมพันธ์เกาหลีเหนือ - เวียดนามเหนือใกล้ชิดมาก และเกาหลีเหนือยังให้ความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่เวียดนามเหนืออีกด้วย การโฆษณาชวนเชื่อของเกาหลีเหนือพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงการจู่โจมของหน่วยกล้าตายในฐานะขบวนการกองโจรต่อต้านของเกาหลีใต้ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับกองกำลังเวียดกงในเวียดนามใต้

เกาหลีเหนือเตรียมการด้วยการจัดชายหนุ่ม 31 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ KPA ให้สังกัดในหน่วย 124 ซึ่งเป็นหน่วยคอมมานโดปฏิบัติการพิเศษ และได้รับการฝึกฝนเป็นเวลาแรมปี และใช้เวลา 15 วันสุดท้ายในการฝึกซ้อมปฏิบัติการตามวัตถุประสงค์ด้วยการจำลอง Blue House เพื่อการฝึกแบบเต็มรูปแบบ ชายที่ได้รับการคัดเลือกมาเป็นพิเศษเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนในการแทรกซึมและเทคนิคการขุดเจาะ อาวุธศึกษา การเดินเรือ การปฏิบัติการทางอากาศ การแทรกซึมแบบสะเทินน้ำสะเทินบก การต่อสู้ด้วยมือเปล่า (โดยเน้นการต่อสู้ด้วยมีด) และการปกปิดซ่อนพราง Kim Shin-jo หนึ่งในสองสมาชิกของหน่วย 124 ผู้รอดชีวิตกล่าวว่า "มันทำให้เราไม่กลัว เพราะไม่มีใครคิดจะมองหาศพเราในสุสาน" การฝึกของพวกเขาหนัก เข้มงวด และมักจะอยู่ในสภาพที่โหดร้าย เช่น การวิ่งด้วยความเร็ว 13 กม. / ชม. (8 ไมล์ต่อชั่วโมง) พร้อมกับสัมภาระหนัก 30 กก. (66 ปอนด์) บนพื้นที่ที่ขรุขระ ซึ่งบางครั้งการฝึกดังกล่าวทำให้เกิดการบาดเจ็บตามเท้าและนิ้วเท้า

ปฏิบัติการโจมตี เริ่มขึ้นด้วยการแทรกซึม วันที่ 16 มกราคม 1968 หน่วย 124 ได้ออกจากค่ายทหารที่ตั้งของหน่วย 124 ที่เมือง Yonsan ต่อมาวันที่ 17 มกราคม 1968 เวลา 23.00 น. พวกเขาลักลอบเข้าไปในเขตปลอดทหารโดยตัดผ่านรั้วลวดหนามของกองพลทหารราบที่ 2 กองทัพบกสหรัฐฯ พอถึงเวลาตี 2 ของวันรุ่งขึ้นพวกเขาจึงได้ตั้งแคมป์ที่ Morae-dong และ Seokpo-ri ในวันที่ 19 มกราคมเวลา 5.00 น. หลังจากข้ามแม่น้ำ Imjin แล้วก็ตั้งแคมป์พักบนภูเขา Simbong เวลา 14.00 น. มีพี่น้อง Woo สี่คนจาก Beopwon-ri พากันมาตัดฟืนและเดินเข้ามาในที่ตั้งของหน่วย 124 หลังจากการถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าจะฆ่าพี่น้องสี่คนหรือไม่ ที่สุดจึงตกลงใจที่จะทำการอบรมปลูกฝังลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แก้พี่น้องสี่คนนี้ และปล่อยตัวทั้งสี่ไปพร้อมคำเตือนอย่างหนักแน่นว่า ห้ามแจ้งตำรวจ อย่างไรก็ตามพี่น้องสี่คนเมื่อถูกปล่อยตัวก็ได้แจ้งการปรากฏตัวของหน่วย 124 ทันทีที่สถานีตำรวจ Changhyeon ในเมือง Beopwon-ri หลังจากหน่วย 124 ได้รื้อที่พักและเพิ่มความเร็วฝีเท้าเป็นมากกว่า 10 กม. / ชม. โดยแบกยุทโธปกรณ์คนละ 30 กก. ข้ามภูเขา Nogo และมาถึงภูเขา Bibong ในวันที่ 20 มกราคม เวลา 07.00 น. ทหาร 3 กองพันจากกองพลทหารราบที่ 25 ของเกาหลีใต้เริ่มค้นหาผู้แทรกซึมบนภูเขา Nogo แต่หน่วย 124 ได้ออกจากพื้นที่ไปแล้ว เมื่อหน่วย 124 เข้าสู่กรุงโซลในคืนวันที่ 20 มกราคมจึงได้แบ่งเป็นหน่วยย่อยเล็ก ๆ ชุดละ 2 - 3 นาย และมารวมกลุ่มกันใหม่ที่วัด Seungga-sa ที่ซึ่งพวกเขาได้เตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการโจมตี

ในขณะเดียวกันกองบัญชาการสูงสุดของเกาหลีใต้ได้เพิ่มกำลังทหารจากกองทหารพลราบที่ 30 และกองพลทหารพลร่มในการค้นหา และตำรวจเกาหลีใต้ก็เริ่มค้นหาตามเขต Hongje-dong, เขต Jeongreung และภูเขา Bukak ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้นำมาใช้ทั่วกรุงโซล หัวหน้าหน่วย 124 จึงตระหนักว่า แผนเดิมของพวกเขามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จน้อยมาก จึงได้มีการปรับแผนใหม่ ด้วยการเปลี่ยนมาสวมเครื่องแบบกองทัพบกเกาหลีใต้ (ROKA) ของกองพลทหารราบที่ 26 พร้อมด้วยเครื่องอิสริยาภรณ์ประจำหน่วยซึ่งพวกเขานำมาด้วยอย่างถูกต้อง พวกเขาจัดกำลังและเตรียมที่จะเดินขบวนในช่วงสุดท้ายไปยัง Blue House โดยสวมรอยเป็นทหารเกาหลีใต้ที่กลับมาจากการลาดตระเวนต่อต้านการแทรกซึม เมื่อหน่วย 124 เดินเท้าไปตามถนน Segeomjeong ใกล้กับเขต Jahamun มุ่งหน้าไปยัง Blue House ระหว่างทางได้ผ่านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และที่ตั้งทางทหารของ ROKA หลายหน่วย

เวลา 22.00 น. ของวันที่ 21 มกราคม 1968 หน่วย 124 ได้เข้าใกล้จุดตรวจ Segeomjeong – Jahamun ห่างจาก Blue House เพียงไม่ถึง 100 เมตร ก็ถูกสารวัตร Jongro Choi Gyushik หัวหน้าตำรวจซึ่งเดินเข้ามายังจุดที่หน่วย 124 กำลังเดินเท้าอยู่ และเริ่มตั้งคำถามกับพวกเขา คำตอบของสมาชิกหน่วย 124 ทำให้สารวัตร Choi Gyushik สงสัยจึงชักปืนพกออกมา แต่ถูกสมาชิกของหน่วย 124 ยิงก่อน จากนั้นก็เริ่มทำการยิงและขว้างระเบิดใส่จุดตรวจ หลังจากยิงต่อสู้กันหลายนาที หน่วย 124 ก็ได้สลายตัวแยกย้ายกันไป โดยบางส่วนมุ่งหน้าไปที่ภูเขา Inwang ภูเขา Bibong และ ภูเขา Uijeongbu สารวัตร Choi Gyushik และ Jung Jong-su รองสารวัตรเสียชีวิตระหว่างการยิงปะทะ สมาชิกหน่วย 124 นายหนึ่งถูกจับแต่พยายามฆ่าตัวตาย กว่าจะผ่านคืนนี้ไปมีชาวเกาหลีใต้ 92 คนต้องกลายเป็นผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุปะทะ ในจำนวนนี้มีพลเรือนราว 24 คนที่ติดอยู่บนรถบัสท่ามกลางห่ากระสุน วันที่ 22 มกราคม 1968 ทหารจากกองพลที่ 6 กองทัพบกเกาหลีใต้ได้เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างครั้งใหญ่เพื่อจับกุม/สังหารสมาชิกของหน่วย 124 โดยทหารจากกรมทหารที่ 92 กองพลทหารราบที่ 30 จับกุม Kim Shin-jo ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในบ้านของชาวบ้านใกล้ภูเขา Inwang ทหารจากกองพันที่ 30 กองบัญชาการป้องกันเมืองหลวงได้สังหารหน่วยคอมมานโดอีก 4 นายในเขต Buam-dong และบนภูเขา Bukak

วันที่ 23 มกราคม 1968 ทหารจากกองพันทหารช่างสังกัดกองพลทหารราบที่ 26 ได้สังหารคอมมานโด 124 นายหนึ่งบนภูเขา Dobong และวันที่ 24 มกราคม 1968 ทหารจากกองพลทหารราบที่ 26 และทหารกองพลที่ 1 ได้สังหารหน่วยคอมมานโด 124 อีก 12 นายใกล้เมือง Seongu-ri วันที่ 25 มกราคมหน่วยคอมมานโด 3 นายถูกสังหารใกล้เมือง Songchu วันที่ 29 มกราคม หน่วยคอมมานโดอีก 6 นายถูกสังหารใกล้ภูเขา Papyeong ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในระหว่างการพยายามลอบสังหารครั้งนี้ประกอบด้วย ฝ่ายเกาหลีใต้มีผู้เสียชีวิต 26 คน และบาดเจ็บ 66 คน (พลเรือน 24 คน) ทหารอเมริกัน 4 นายถูกสังหารจากความพยายามที่จะสกัดกั้นผู้แทรกซึมที่พยายามหลบหนีด้วยการข้ามเขตปลอดทหาร สมาชิก 31 นายของหน่วย 124 ถูกสังหารไป 29 นาย Kim Shin-jo ถูกจับ ส่วนอีกคน Pak Jae-gyong สามารถหลบหนีกลับเกาหลีเหนือได้ ศพของสมาชิกหน่วย 124 ที่เสียชีวิตถูกฝังในสุสานทหารเกาหลีเหนือและจีนในเกาหลีใต้

วันที่ 22 มกราคม 1968 กองบัญชาการสหประชาชาติ (UNC) ประจำเกาหลีใต้ ได้ขอให้มีการประชุมคณะกรรมาธิการสงบศึกทางทหาร (MAC) เพื่อหารือเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนี้ UNC ขอให้มีการประชุมในวันที่ 23 มกราคม แต่เกาหลีเหนือขอให้เลื่อนออกไปอีกหนึ่งวัน และในวันเดียวกันนั้นเอง เกาหลีเหนือก็ได้ยึดเรือ USS Pueblo (AGER-2) ของกองทัพเรือสหรัฐฯเอาไว้ ดังนั้นการประชุม MAC ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 มกราคมจึงไม่เพียงเป็นการพูดคุยหารือกับเรื่องของการโจมตี Blue House เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการจับกุมเรือ USS Pueblo โดยเกาหลีเหนืออีกด้วย การยึดเรือ USS Pueblo ทำให้สหรัฐฯและนานาชาติต้องหันความสนใจจาก Blue House raid ไปในระดับหนึ่ง อีกทั้ง Blue House raid เกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่การรบที่ Khe Sanh เริ่มต้นขึ้นในเวียดนามใต้ และวันที่ 31 มกราคมเกิดการโจมตีที่เรียกว่า ‘การรุกใหญ่ตรุษญวน (Tet Offensive)’ ซึ่งเกิดขึ้นทั่วเวียดนามใต้ ทำให้การสนับสนุนของสหรัฐฯเกาหลีใต้ในการตอบโต้เกาหลีเหนือจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ในกรุงไซ่ง่อนกองกำลังเวียดกงได้พยายามลอบสังหาร NguyễnVệnThiệu ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ที่ Independence Palace (ทำเนียบประธานาธิบดีเวียดนามใต้) แต่ถูกตีโต้กลับอย่างรวดเร็ว 

ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่า ความคล้ายคลึงกันของการโจมตีทั้งสองจุด โดยหน่วยคอมมานโดในจำนวนใกล้เคียงกัน (31 นายในกรุงโซลและ 34 นายในกรุงไซง่อนตามลำดับ) ได้อนุมานว่า ผู้นำเกาหลีเหนือมีความเข้าใจในการปฏิบัติการทางทหารของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ดังนั้นจึงอาจมีความเกี่ยวข้องและต้องการใช้ประโยชน์จากผลการรบในสงครามเวียดนามด้วย ประธานาธิบดี Johnson มองว่าการยึด USS Pueblo และกำหนดเวลาของ ‘การรุกใหญ่ตรุษญวน’ น่าจะมีการประสานงานกันเพื่อเบี่ยงเบนทรัพยากรของสหรัฐฯไปจากเวียดนามใต้ และเป็นการบีบบังคับให้เกาหลีใต้ถอนทหารบกสองกองพลและทหารนาวิกโยธินอีกหนึ่งกรมออกจากเวียดนามใต้ นายพล Charles H. Bonesteel III ผบ. กองกำลังสหรัฐฯประจำเกาหลีใต้ในขณะนั้น กลับเห็นต่างจากประธานาธิบดี Johnson ด้วยว่า เขามองไม่เห็นความเกี่ยวข้องดังกล่าว เขามองว่า Blue House raid ได้รับการวางแผนไว้ในระดับลับสูงสุดในเกาหลีเหนือ ในขณะที่การยึด USS Pueblo ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ด้วยเพราะเป็นจังหวะที่เกาหลีเหนือได้โอกาสจึงฉวยเอาไว้ได้พอดี

เพื่อตอบโต้ปฏิบัติการ Blue House raid รัฐบาลเกาหลีใต้ได้จัดตั้งหน่วย 684 โดยใช้กำลังจากบรรดานักโทษฉกรรจ์ เพื่อที่จะลอบสังหาร Kim Il-sung ผู้นำเกาหลีเหนือ โดยแลกกับอิสรภาพ อย่างไรก็ตามหลังจากการปรับปรุงความสัมพันธ์ภายในของสองเกาหลี ซึ่งเริ่มหันมาพูดคุยกันด้วยสันติวิธีมากขึ้น ภารกิจการลอบสังหารของหน่วยนี้ก็ถูกยกเลิก และในปี 1971 และพยายามกำจัดหน่วยนี้ทิ้ง เพื่อให้ภารกิจเป็นความลับ จึงทำให้สมาชิกของหน่วย 684 ส่วนใหญ่ถูกสังหาร ในเดือนพฤษภาคม ปี 1972 Kim Il-sung ผู้นำเกาหลีเหนือได้แสดงความเสียใจต่อ Lee Hu-rak หัวหน้าสำนักงานข่าวกรองกลางเกาหลี (KCIA) ระหว่างการประชุมร่วมกันในกรุงเปียงยาง โดยอ้างว่า “Blue House raid เป็นปฏิบัติการที่ถูกวางแผนโดยฝ่ายซ้ายสุดโต่งและไม่ได้สะท้อนถึงเจตนาของเขาหรือของพรรคเลย” หลังจากประธานาธิบดี Park Chung-hee รอดชีวิตจากความพยายามลอบสังหารอื่น ๆ อีกหลายครั้ง และ Yuk Young-soo ภรรยาผู้เป็นมารดาของ Park Geun-hye ประธานาธิบดีคนที่ 11 ของเกาหลีใต้ก็เสียชีวิตจากความพยายามในการลอบสังหารเขาเมื่อ 15 สิงหาคม 1974 ในที่สุดประธานาธิบดี Park Chung-hee ก็ถูก Kim Jae-gyu ผู้อำนวยการ KCIA ยิงเสียชีวิตในปี 1979 ด้วยสาเหตุที่ยังไม่ชัดเจนจนทุกวันนี้ว่า นี่เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเองหรือเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามทำรัฐประหารโดยหน่วยข่าวกรองหรือไม่

Kim Shin-jo หนึ่งในสองผู้รอดชีวิตสมาชิกของหน่วย 124 ซึ่งเป็นสมาชิกคนเดียวของหน่วยฯที่ถูกทางการเกาหลีใต้จับไว้ได้ ถูกทางการเกาหลีใต้สอบปากคำเป็นเวลาหนึ่งปี ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัว และหลังจากที่เขาได้กลายเป็นพลเมืองของเกาหลีใต้ในปี 1970 พ่อแม่ของเขาก็ถูกประหารชีวิต และทางการเกาหลีเหนือได้ทำการกวาดล้างจับกุมญาติพี่น้องของเขาทั้งหมด ต่อมา Kim Shin-jo ได้กลายเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์ Sungrak Sambong ในจังหวัด Gyeonggi-do เขาแต่งงาน มีบุตรสองคน และยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในเกาหลีใต้จนทุกวันนี้

‘ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ’ หญิงแกร่งแห่งคองเกรส สตรีเชื้อสายไทยผู้พิชิตทุกขีดจำกัดหัวใจแกร่ง

ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกตัวตึง หญิงแกร่งสายเลือดไทยหนึ่งเดียวแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ หากติดตามการเมืองอเมริกาในช่วง 10 ปีหลัง นับตั้งแต่สมัยปลายยุคโอบามา เข้าสู่ทรัมป์ 1.0 เปลี่ยนมาเป็น โจ ไบเดน ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยเปลี่ยนถ่ายอำนาจเข้าสู่ทรัมป์ 2.0 หนึ่งในนักการเมืองดาวรุ่งที่มีผลงานโดดเด่นต่อเนื่องมาโดยตลอดคงหนีไม่พ้น วุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ สังกัดพรรคเดโมแครต ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ หรือ พี่แทมมี่ของน้อง ๆ คนไทยในอเมริกาท่านนี้นั่นเอง

ใดๆ digest ขอพาผู้อ่านย้อนดูประวัติของคุณแทมมี่สักเล็กน้อย โดยเธอเกิดที่กรุงเทพนี่เองครับ ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2511 เป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นทหารผ่านศึกชาวอเมริกันสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเวียตนามชื่อ ร้อยเอกแฟรงก์ แอล. ดักเวิร์ธ กับ คุณแม่ชาวไทยเชื้อสายจีนจากเชียงใหม่ชื่อ คุณละไม สมพรไพลิน ในวัยเด็กคุณแทมมี่ต้องย้ายที่อยู่บ่อยครั้งในหลายประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เนื่องจากต้องติดตามคุณพ่อซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่องค์การสหประชาชาติ 

ซึ่งจากการที่คุณแทมมี่เคยอาศัยอยู่ในหลายประเทศนี่เอง ทำให้นอกจากใช้อังกฤษเป็นภาษาหลักแล้ว เธอยังใช้ภาษาไทยได้ในระดับดีมาก และภาษาบาฮาซาในระดับสื่อสารได้เข้าใจอีกด้วย ทางด้านการศึกษา คุณแทมมี่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยและอินโดนีเซียและจบชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา, สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีด้านรัฐศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยฮาวายวิทยาเขตมานัว, ปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน และปริญญาเอกสาขาบริการประชาชนจากมหาวิทยาลัยคาเปลลา คุณแทมมี่เดินตามรอยเท้าคุณพ่อด้วยการเข้ารับราชการทหารในกองทัพสหรัฐ 

ในปี พ.ศ. 2535 และเลือกที่จะเป็นนักบินเฮลิคอปเตอร์ และได้เข้าร่วมรบในสงครามอิรักโดยมีหน้าที่ขับเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงยุทโธปกรณ์และนำทหารที่บาดเจ็บจากแนวหน้ามารับการรักษาในแนวหลัง แต่โชคร้ายที่เครื่องเฮลิคอปเตอร์ ที่เธอเป็นนักบินผู้ช่วย ถูกยิงลูกระเบิดเข้ามาในเครื่อง และเกิดระเบิดตรงที่เธอนั่ง ทำให้คุณแทมมี่สูญเสียขาทั้งสองข้างและแขนข้างขวาบาดเจ็บสาหัสทันที อย่างไรก็ตามแพทย์ก็ได้ทำการต่อแขนข้างขวาให้แก่เธอ แต่ก็ทำให้คุณแทมมี่ต้องต้องใช้ขาเทียมทั้งสองข้าง รวมทั้งมีแขนซ้ายที่ใช้การได้ดีเพียงข้างเดียว 

ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน จากเหตุการณ์ที่ต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างไปนี่เองทำให้คุณแทมมี่ เกษียณตัวเองจากตำแหน่งนักบิน แต่ยังคงรับราชการเป็นนายทหารในสังกัดกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิแห่งรัฐอิลลินอยส์ โดยเน้นการทำงานเพื่อทหารผ่านศึกและผันตัวสู่เส้นทางการเมือง ด้วยการลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐอิลลินอยส์ เป็นครั้งแรกในปี 2549 จากนั้นในปี 2552 ได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการทหารผ่านศึกประจำรัฐ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐ ต่อมาในปี พ.ศ. 2559 คุณแทมมี่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสนามใหญ่ และสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐอย่างเต็มภาคภูมิ 

ผลงานอันโดดเด่นและการสร้างประวัติศาสตร์ในฐานะ 'คนแรก' ของคุณแทมมี่นั้นมีอยู่มากมายอาทิเช่น 
- เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตขึ้นกล่าววิพากษ์วิจารณ์นโยบายด้านการทหารและสงครามต่าง ๆ ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช และ ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์หลายครั้ง

- เป็นหนึ่งในสองตัวเลือกสุดท้ายคู่กับกมลา แฮริสในตำแหน่งรองประธานาธิบดีสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน 
- ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ดำรงตำแหน่งรองประธานคณะกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต โดยจะอยู่ในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต
- เป็นตัวแทนวุฒิสมาชิกสหรัฐตั้งคำถามและซักฟอกผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะบริหารของประธานาธิบดีหลายครั้ง โดยล่าสุดก็ได้ทำการซักถามว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พีท เฮ็กเซ็ทที่ได้รับการเสนอชื่อโดยทรัมป์อย่างถึงพริกถึงขิงเรื่องการขาดความรู้เกี่ยวกับกลุ่มประเทศอาเซียนนั่นเอง 
- นอกจากการได้รับเหรียญตราเชิดชูเกียรติมากมายจากทั้งกองทัพและรัฐบาลสหรัฐในฐานะทหารผ่านศึกที่กล้าหาญและการอุทิศตัวทำงานเพื่อส่วนรวมแล้ว คุณแทมมี่ยังได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ชั้นที่ 1 จากรัฐบาลไทยอีกด้วย
- เป็นสุภาพสตรีเชื้อสายไทยคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรสทั้งในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก รวมทั้งเป็นคนแรกที่เกิดในแผ่นดินไทยที่ได้รับการเลือกตั้งเข้าสู่สภาอันมีเกียรติประวัติยาวนานของสหรัฐอเมริกาแห่งนี้ด้วย
- เป็นบุคคลทุพพลภาพคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาคองเกรส และยังนับเป็นผู้พิการอวัยวะมากกว่าหนึ่งอย่างคนแรกอีกด้วย
- เป็นวุฒิสมาชิกคนแรกที่ให้กำเนิดบุตรในขณะที่ดำรงตำแหน่ง

ทางด้านชีวิตครอบครัว คุณแทมมี่ได้สมรสกับอดีตเพื่อนทหารผ่านศึกในสงครามอิรักพันตรีไบรอัน ดับเบิลยู โบล์สบีย์ เจ้าหน้าที่กองพลสื่อสาร และมีลูกสาวที่น่ารักด้วยกัน 2 คน 

เรื่องราวชีวิตและผลงานของคุณแทมมี่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมายทั่วโลกโดยเฉพาะผู้พิการและผู้มีสายเลือดไทยทุกคน เธอได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและผลลัพธ์แห่งความพยายามทุ่มเททำงานหนักตามแนวทางอุดมคติแบบ American Dream ว่าเป็นไปได้จริง และที่สำคัญคือในวันนี้คุณแทมมี่ก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยพลังและไฟในการทำงานที่ไม่เคยมอดดับลงไป 

ใดๆ digest ขอร่วมส่งกำลังใจให้เธอพร้อมทั้งเฝ้าติดตามความเป็นไปได้มากมายที่คุณแทมมี่จะสร้างให้เกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยครับ

เมื่อ ‘รัฐบาลญี่ปุ่น’ ฉุนขาด ส่งตัดงบช่วยเหลือองค์กรสิทธิสตรี UN หลังแนะยกเลิกกฎสืบทอดราชสมบัติ ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น

อยู่ ๆ องค์กรสิทธิสตรีก็ไป 'เสือก' เรื่องสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์ญี่ปุ่นซะงั้น... งานนี้มีคำว่า " UN ไม่ใช่พ่อ!" แน่ ๆ เอาจริง ๆ นะ สำหรับข้าพเจ้า งานนี้ดูเป็น case study ได้เลย

รัฐบาลญี่ปุ่นโต้เดือด! ไม่แก้กฎสืบราชบัลลังก์ แม้ CEDAW กดดัน

โตเกียว, 29 มกราคม – รัฐบาลญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ตอบโต้คณะกรรมการเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (CEDAW) อย่างแข็งกร้าว หลังจาก CEDAW แนะนำให้ญี่ปุ่นแก้ไขกฎมณเฑียรบาลที่กำหนดให้การสืบราชสมบัติเป็นสิทธิของฝ่ายชายเท่านั้น

คำแนะนำดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว โดย CEDAW เห็นว่ากฎเกณฑ์นี้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรีและขัดกับหลักความเสมอภาค อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่ากระบวนการสืบราชสมบัติไม่ใช่สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และถือเป็นเรื่องพื้นฐานทางวัฒนธรรมของประเทศที่องค์กรระหว่างประเทศไม่ควรแทรกแซง

"คุณสมบัติในการขึ้นครองราชย์ไม่ได้รวมอยู่ในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้น การจำกัดการสืบราชสมบัติให้เฉพาะฝ่ายชายจึงไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี" รัฐบาลญี่ปุ่นระบุในแถลงการณ์ พร้อมเน้นย้ำว่าแนวปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเอกลักษณ์และความต่อเนื่องของสถาบันจักรพรรดิญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเรียกร้องต่อสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ซึ่งเป็นองค์กรดูแล CEDAW ให้ "ไม่ให้นำเงินที่ญี่ปุ่นบริจาคไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW" พร้อมทั้งยกเลิกกำหนดการเยือนญี่ปุ่นของคณะกรรมการดังกล่าวในปีนี้

ตามข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่นบริจาคเงินให้ OHCHR ปีละประมาณ 20-30 ล้านเยน (ราว 4.8-7.2 ล้านบาท) ซึ่งเงินส่วนนี้ที่ผ่านมาไม่เคยถูกนำไปใช้ในกิจกรรมของ CEDAW อย่างไรก็ตาม การที่ญี่ปุ่นระบุเงื่อนไขไม่ให้ใช้เงินบริจาคในกิจกรรมเฉพาะด้านของสหประชาชาติถือเป็นท่าทีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

การตอบโต้ครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดยืนที่แข็งกร้าวที่สุดของญี่ปุ่นต่อองค์กรระหว่างประเทศ ท่ามกลางกระแสถกเถียงภายในประเทศเกี่ยวกับอนาคตของระบบสืบราชสมบัติ เนื่องจากปัจจุบัน สมาชิกราชวงศ์ฝ่ายชายที่สามารถสืบราชสมบัติมีจำนวนน้อยลง ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพของสถาบันจักรพรรดิในระยะยาว

แม้จะมีแรงกดดันจากประชาคมระหว่างประเทศ แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังคงยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นอำนาจอธิปไตยภายในของประเทศ และจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎมณเฑียรบาลในเร็ว ๆ นี้

อ้างอิง:
NHK News (29 มกราคม 2025)
https://www3.nhk.or.jp/.../20250129/k10014707141000.html...

ในหลวง เสด็จฯ เชียงใหม่ ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา สะท้อนสัมพันธ์แนบแน่นสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

รู้หรือไม่? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงสืบสานประเพณีแห่งล้านนา ในการเสด็จประพาสเชียงใหม่

การเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปยังจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568 เป็นเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงการบริหารจัดการพระราชกิจและการสืบสานประเพณีสำคัญของชาติ ทั้งยังตอกย้ำความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และเจ้านายฝ่ายเหนือ

พิธีบายศรีทูลพระขวัญ: การแสดงออกถึงความจงรักภักดีของเจ้านายฝ่ายเหนือ

หนึ่งในจุดเด่นของการเสด็จฯ ครั้งนี้คือพิธีบายศรีทูลพระขวัญ ซึ่งถือเป็นประเพณีที่เจ้านายฝ่ายเหนือจัดขึ้นอย่างวิจิตรเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระมหากษัตริย์ พิธีนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของล้านนา แต่ยังแสดงถึงความจงรักภักดีและความผูกพันของเจ้านายฝ่ายเหนือที่มีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะศูนย์รวมจิตใจของชาติ

พิธีบายศรีที่จัดขึ้นครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากเจ้านายฝ่ายเหนือซึ่งนำขบวนรำบายศรีด้วยความสง่างาม สื่อถึงบทบาทอันสำคัญของเจ้านายฝ่ายเหนือในฐานะผู้สืบทอดประเพณีและตัวแทนความภาคภูมิใจของล้านนา การรำบายศรีไม่เพียงเป็นการต้อนรับพระมหากษัตริย์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันแนบแน่นที่สืบทอดจากอดีตถึงปัจจุบัน เจ้าวงศ์สักก์ ณ เชียงใหม่ ประมุขสายสกุล ณ เชียงใหม่ และเจ้าอาวรเทวี ณ ลำพูน เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ผูกข้อพระหัตถ์ขวาและซ้ายในหลวงและพระราชินี

บทเรียนจากประวัติศาสตร์: ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และล้านนา
เหตุการณ์นี้ชวนให้นึกถึงการเสด็จประพาสเชียงใหม่ในอดีต เช่น รัชกาลที่ 7 เมื่อปี พ.ศ. 2469 ซึ่งพระองค์ได้รับการต้อนรับด้วยขบวนช้างจำนวน 80 เชือกที่ตกแต่งอย่างวิจิตร พร้อมการแสดงรำและดนตรีพื้นบ้านล้านนา เจ้านายฝ่ายเหนือในเวลานั้นได้มีบทบาทสำคัญในการต้อนรับและแสดงความจงรักภักดีแด่พระมหากษัตริย์แต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

ความสำคัญของการจัดการประเพณีที่ยั่งยืน การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการกิจกรรมและประเพณีอย่างยั่งยืน ไม่เพียงเพื่อธำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันล้ำค่าของล้านนา แต่ยังตอกย้ำถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างเจ้านายฝ่ายเหนือกับพระมหากษัตริย์ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นปึกแผ่นของชาติ

ดังนั้น การเสด็จประพาสเชียงใหม่ครั้งนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสืบสานประเพณีและความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่มีมายาวนาน ทั้งในด้านวัฒนธรรม ความจงรักภักดี และการบริหารจัดการกิจกรรมสำคัญของชาติ

‘I love you to the moon and back’ ความหมายสุดลึกล้ำที่ซ่อนไว้ในหนังสือนิทาน

วลีนี้ถูกค้นพบจากหนังสือนิทานภาพ 'Guess how much I love you' เขียนโดย Sam McBratney และวาดภาพประกอบโดย Anita Jeram

นิทานเรื่องนี้ดำเนินเรื่องผ่านพ่อลูกกระต่ายคู่หนึ่ง โดยกระต่ายน้อยกับพ่อจะมีการเล่นอยู่อย่างหนึ่งระหว่างกัน คือการแข่งกันบอกรัก ลูกกระต่ายจะบอกรักพ่อไปเรื่อย ๆ แล้วพ่อกระต่ายก็จะตอบกลับด้วยประโยคเดียวกันแต่เพิ่มการลงท้ายให้รู้สึกมากกว่า 

มีอยู่คืนหนึ่งเมื่อกระต่ายน้อยและพ่อกำลังจะเข้านอน แต่ลูกกระต่ายยังไม่อยากนอน จึงชวนพ่อกระต่ายคุย และถามว่า “ทายซิ ทายซิ หนูรักพ่อมากแค่ไหน?” พ่อกระต่ายก็ทำเหมือนทุกทีด้วยการบอกรักลูกกระต่ายกลับ และก็เพิ่มการลงท้ายให้รู้สึกมากกว่าเหมือนเช่นทุกครั้ง ทั้งคู่บอกรักกันไปเรื่อย ๆ จนลูกกระต่ายเริ่มง่วง และก่อนที่จะเข้านอนนั้นก็ได้บอกกับพ่อว่า “หนูรักพ่อเท่ากับต้องเดินทางไปพระจันทร์เลย” พ่อกระต่ายจึงตอบกลับมาว่า “โอ้ มากขนาดนั้นเชียวหรือ นั่นไกลมากเลยนะ ถ้าอย่างนั้น สำหรับพ่อ พ่อก็รักลูกมากเท่ากับเดินทางไป-กลับพระจันทร์นั่นแหละ” หรือ “ I love you right up to the moon and back” ซึ่งก็กลายมาเป็น “I love you to the moon and back” นั่นเอง 

อีกทฤษฎีหนึ่งที่มีการคำนวณอย่างจริงจังก็คือ ใน 1วัน หัวใจของมนุษย์จะสามารถผลิตพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนรถบรรทุกได้ 20 ไมล์ ดังนั้นถ้ายึดตัวเลขนี้ใน 1 ปีหัวใจจะผลิตพลังงานคิดเป็นระยะทางได้ 7,300 ไมล์ หากมนุษย์มีอายุขัยเฉลี่ยที่ 70 ปี เท่ากับว่าในชั่วอายุขัยของคนคนหนึ่งหัวใจจะผลิตพลังงานได้สำหรับการเดินทางราว 511,000 ไมล์ การเดินทางไป-กลับดวงจันทร์เป็นระยะทาง 477,710 ไมล์ ดังนั้นการบอกใครสักคนด้วยประโยคนี้ก็อาจแปลได้ว่า เราจะรักคนๆนั้นจนหัวใจสูบฉีดพลังงานจนหมด หรือรักไปจนชั่วชีวิตนั่นเอง 

หากมีใครพูดประโยคนี้กับคุณแล้วคุณตอบกลับไปว่า “to the moon & never back” นั่นคือการตอบรับรักและสัญญาว่าจะไม่แยกจากกันนั่นเอง

จมในละอองฝุ่นและหมอกควันพิษ ภาพสะท้อนจากอดีต ด้วยความคิดเอาแต่ได้

ในวันที่ผมนั่งพิมพ์เรื่องจริง เรื่องนี้อยู่ กรุงเทพฯ และหลาย ๆ จังหวัดในประเทศไทยคงพ้นจากวิกฤติฝุ่น PM2.5 กันไปบ้างแล้วหลังจากเผชิญหน้ากันมาเกือบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากอิทธิพลของลมกำลังแรงพัดมาจากด้านตะวันออกเฉียงเหนือทำให้อุณหภูมิลดลง และฝุ่นพิษถูกพัดไปทางด้านประเทศเมียนมา 

ในประวัติศาสตร์ โลกของเราได้เผชิญปรากฏการณ์จากละอองฝุ่นควันพิษมาแล้วหลายครั้ง โดยฝุ่นและควันพิษเหตุแรก ๆ นั้นเกิดขึ้นจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงด้วยวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น บันทึกของชาวบาบิโลเนียนกว่า 2,500 ปี ระบุว่าพวกเขาเผาน้ำมันแทนไม้ ชาวจีนในช่วง 1,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นชนชาติแรกที่ทำเหมืองถ่านหินและขุดบ่อก๊าซธรรมชาติ แต่ชาติที่ต้องเผชิญมหันตภัยจากฝุ่นพิษอย่างหนักหน่วงที่สุดชาติแรกในโลกคือ สหราชอาณาจักร 

ต้องยอมรับก่อนว่าในฤดูหนาวนั้นสหราชอาณาจักรค่อนข้างสาหัสพอสมควร การเผาเพื่อสร้างความอบอุ่นหรือประโยชน์ในด้านพลังงานอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น จนกระทั่งพวกเขาได้มารู้จักถ่านหินซึ่งให้ความร้อนสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่น ๆ แต่ใช่ว่าในเบื้องแรกพวกเขาจะไม่ตระหนักถึงหมอกควันที่เกิดจากการเผาถ่านหิน เพราะมีบันทึกว่าในปี ค.ศ. 1272 ได้มีประกาศจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 1 ห้ามเผาถ่านหินเนื่องจากหมอกและควันที่เกิดขึ้นนั้นสร้างมลภาวะให้เกิดขึ้นกับชาวลอนดอน โดยคาดโทษถึงประหารชีวิต แต่นั่นก็ไม่สามารถควบคุมได้จริง เพราะประชาชนจำนวนมากไม่มีทางเลือกอื่น 

จนมาในศตวรรษที่ 19 สหราชอาณาจักร ได้กลายมาเป็นผู้ผลิตถ่านหินรายใหญ่ของโลก เพราะในการปฏิวัติอุตสาหกรรม ถ่านหินคือพลังงานปัจจัยหลักที่อยู่ในเกือบทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องจักรไอน้ำ เป็นแหล่งกำเนิดกระแสไฟฟ้า อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชนไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหาร เครื่องทำความร้อนในบ้าน ผสมกับภาพปกติของกรุงลอนดอนนั้นมักจะถูกหมอกปกคลุมทั่วเมืองเป็นที่คุ้นเคย ยิ่งอากาศหนาวเย็นลงเท่าไหร่ บ้านเรือนต่าง ๆ ก็โหมใช้ถ่านหินมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะการนำเอาถ่านหินคุณภาพต่ำมาใช้กันเป็นวงกว้าง ซึ่งถ่านหินเหล่านี้มีส่วนประกอบของซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่ในปริมาณสูง และยังมีคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ รวมไปถึงสารพิษต่างๆ เมื่อหมอกผสานกับละอองฝุ่นพิษจึงไม่เป็นที่สนใจหรือระแวดระวัง เพราะมันค่อย ๆ สะสมที่ละเล็กน้อยยังไม่เห็นเป็นภาพใหญ่อย่างชัดเจน อีกทั้งละอองฝุ่นและหมอกควันพิษตามปกติก็จะลอยไปในอากาศ ก่อนจะถูกลมพัดพาไปที่อื่น 

จนมาถึงในวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1952 ลอนดอนในเวลานั้นต้องเผชิญกับภาวะความกดอากาศสูง 'anticyclone' ก่อให้เกิดความผกผันของอุณหภูมิ อากาศร้อนถูกดันขึ้นด้านบน แทนที่ด้วยอากาศเย็นที่ควบแน่นไอน้ำเกิดเป็นหมอก ปกคลุมกรุงลอนดอนเหมือนถูกครอบด้วยโดมขนาดใหญ่ ด้านบนก็ไม่มีลมพัด ทำให้อากาศและสารพิษต่างๆ ถูกกดกักไว้ ไม่สามารถลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าด้านบน ทำให้เกิดอนุภาคคงค้างอยู่ในอากาศผสมกับหมอกปกติเกิดเป็นหมอกฝุ่นพิษสีอมเหลืองที่เรียกว่า 'หมอกซุปถั่ว' (Pea-Soupers) ที่สร้างปัญหาทางระบบหายใจให้ผู้คนในลอนดอน อีกทั้งยังเกิดเป็นหมอกปกคลุมจนลดวิสัยทัศน์เหลือเพียงแค่การมองเห็นเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 9 ธันวาคม ค.ศ. 1952 เพียงแค่ 5 วัน แต่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากถึง 12,000 คน เหตุการณ์นี้ได้ชื่อว่า 'Great Smog of London' ซึ่งส่งผลกระทบต่อสหราชอาณาจักรมาอีกหลายปี 

'Great Smog of London' เกิดขึ้นในยุคของนายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิล (Winston Churchill) ว่ากันว่าก่อนจะเกิดเหตุ เอกสารรายงานที่เตือนถึงสถานการณ์ไม่ได้ถูกส่งถึงเชอร์ชิล แต่กลับถูกส่งไปยังผู้นำฝ่ายค้านโดยหนึ่งในทีมงานเลขาที่เปหนอนบ่อนไส้ของเชอร์ชิล เพื่อหวังจะใช้โจมตีเขาให้ลงจากตำแหน่ง ขณะนั้นเขาอายุ 78 ปีแล้ว แต่ยังกุมอำนาจการบริหารไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ การเอาสถานการณ์นี้มาใช้ลดแรงสนับสนุนจึงเป็นอาวุธสำคัญ เพื่อไม่ให้นายกรัฐมนตรีเฒ่าแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกทาง ซึ่งมันก็ได้ผล เพราะนักการเมืองในสภา บุคลากรทางสาธารณสุข ประชาชนบางส่วน เริ่มตั้งคำถามซ้ำเติมด้วยการโจมตีของสื่อ และนักการเมืองฝั่งตรงข้าม ว่าตัวเขาน่าจะแก่จนทำให้เชื่องช้า เงอะงะ เกินกว่าจะมาแก้ไขสถานการณ์แล้วกระมัง 

แต่มีเรื่องเล่ากันว่าหลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปอยู่หลายวัน เจ้าหน้าที่หลายคนของเชอร์ชิลได้หายหน้าไปจากบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง ซึ่งเขาได้ทราบว่าเจ้าหน้าที่หลายคนต้องไปโรงพยาบาลเนื่องจากป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ และบางคนได้ประสบอุบัติเหตุจากสภาพวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ทีมเลขาของเขาที่ต้องเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุ เขาจึงได้เดินทางไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง เพื่อไปให้เห็นกับตาว่าเจ้าฝุ่นพิษจากหมอกควันที่เขามองว่าธรรมดานั้นเป็นตัวการก่อให้เกิดมหันตภัยกับผู้คนจริงหรือไม่? 

นับว่าการตัดสินไปโรงพยาบาลของเชอร์ชิลในครั้งนั้นได้ตอบคำถามให้กับเขา เพราะเขาได้ไปพบความโกลาหลของแพทย์ พยาบาล ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทางตรงจากการสูดละอองฝุ่นพิษเข้าไป และผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากอุบัติเหตุ การปล้นจี้ ทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงร่างของผู้เสียชีวิตที่มีอยู่จำนวนมาก จากภาพที่ประสบต่อหน้า ทำให้เขาตัดสินใจแถลงข่าวในทันที โดยเขาได้สั่งการให้เพิ่มงบประมาณและจำนวนบุคลากรภายในสถานพยาบาล ยุติการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อลดการปล่อยฝุ่นควันสู่อากาศชั่วคราว ปิดโรงเรียน และหยุดสถานประกอบการในบางส่วนเพื่อให้ลดการสูญเสีย 

อ่านกันเพลิน ๆ เหมือน วินสตัน เชอร์ชิล จะเป็นฮีโร่ ซึ่งในข้อมูลหลายชุดก็ไม่ได้ชี้ชัดว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษท่านนี้รู้หรือไม่รู้ถึงปัญหา ถ้าไม่รู้ก็น่าจะพิจารณาได้จากปัญหาอยู่ตรงหน้า แต่กลับเลือกที่จะเมินเฉยเพราะมองว่าสถานการณ์ไม่ได้รุนแรง ถ้ารู้ซึ่งผมเชื่อว่าคนระดับนี้เขาน่าจะรู้เรื่องของละอองฝุ่นและหมอกควันพิษมาตั้งแต่เริ่ม แต่กำลังดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากไปแก้ไขแล้วแก้ไม่ถูกจุด แก้ไม่ได้ก็อาจจะทำให้เขากลายเป็นเป้าของนักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเอาสุขภาพของประชาชนมาเป็นตัวประกัน หรือถ้าสถานการณ์มันคลี่คลายไปก่อนที่เขาจะทำอะไร ก็เท่ากับไปสร้างปัญหากับเรื่องธรรมดาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ สรุปคือเมื่อเวลาสุกงอมจนได้ที่เขาก็เลยมาจัดการปัญหา ซึ่งปัญหาที่เขาจัดการคือเรื่องของ 'จิตใจ' ที่จัดการด้วยธรรมชาติไม่ได้ ไม่ใช่ 'ละอองฝุ่นและหมอกควันพิษ' ที่เขาน่าจะรู้แล้วว่า 'ลม' จะมาจัดการให้หายไป 

หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้รัฐบาลอังกฤษได้ออกกฎหมาย Clean Air Act (1956) เพื่อควบคุมการปล่อยควันจากโรงงานอุตสาหกรรมและส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดขึ้น มีการกำหนดมาตรการควบคุมการใช้ถ่านหิน จำกัดการเผาถ่านหินในเขตเมือง ส่งเสริมการให้เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติและพลังงานทางเลือก แต่กระนั้นผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็สั่นคลอนเสถียรภาพด้านสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักรมาอีกหลายปี

จากเศรษฐกิจพอเพียงของ ร.9 สู่ ‘ลากอม - สวีเดน บทเรียนแห่งความพอดีของโลกตะวันออกและตะวันตก

(27 ม.ค. 68) ในปัจจุบันมีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ชอบแอบอ้างแนวคิดสังคมนิยมของสวีเดนมาใช้เป็นเครื่องมือทางวาทกรรม โดยกล่าวหาว่าแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นสิ่งที่ไม่ทันสมัยและไม่สามารถอยู่ร่วมกับสังคมยุคใหม่ได้ แต่สิ่งที่พวกเขาเลือกจะมองข้าม คือรากฐานสำคัญของสวีเดนเองที่สะท้อนความพอเพียงอย่างชัดเจนผ่านแนวคิด "ลากอม" (Lagom) ซึ่งสอดคล้องอย่างมากกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ลากอม : พื้นฐานของความสมดุลในสังคมสวีเดน
"ลากอม" เป็นวิถีชีวิตของชาวสวีเดนที่มุ่งเน้นความพอดีในทุกด้าน ไม่มากไป ไม่น้อยไป ซึ่งถือเป็นหัวใจของความสำเร็จในระบบสังคมนิยมของสวีเดนเอง แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการกระจายความมั่งคั่ง แต่ยังรวมถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและสิ่งแวดล้อม

คำว่า "ลากอม" (Lagom) มีรากฐานทางภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ซึ่งช่วยอธิบายว่าทำไมแนวคิดนี้จึงฝังรากลึกในชีวิตของชาวสวีเดนมาตั้งแต่โบราณ

รากของคำว่า "ลากอม" ต้นกำเนิดจากภาษาสวีเดนโบราณ คำว่า "ลากอม" มาจากคำว่า “laget om” ในภาษาสวีเดนยุคเก่า ซึ่งหมายถึง "รอบวง" หรือ "แบ่งปันในกลุ่ม" แนวคิดนี้เกิดจากประเพณีการแบ่งปันทรัพยากรในสังคมยุคก่อน เช่น เมื่อสมาชิกในชุมชนดื่มจากแก้วเดียวกัน ทุกคนจะต้องดื่มในปริมาณที่พอดี เพื่อให้ทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมและได้รับอย่างเท่าเทียม

วิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรม ในอดีต สวีเดนเป็นสังคมเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติและทรัพยากรอย่างจำกัด การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าจึงเป็นเรื่องสำคัญ การใช้ชีวิตแบบ "ลากอม" จึงเกิดขึ้นจากความจำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น การเพาะปลูก การล่าสัตว์ และการเก็บเกี่ยวที่ต้องใช้วิจารณญาณและความพอดี

รากฐานทางจิตวิญญาณและศาสนา แนวคิด "ลากอม" ยังมีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดทางศาสนาคริสต์ในยุโรปเหนือ ซึ่งสอนเรื่องการหลีกเลี่ยงความโลภ (Greed) และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ชาวสวีเดนถูกปลูกฝังให้เชื่อว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้มาจากการสะสมทรัพย์สิน แต่คือการพอใจกับสิ่งที่ตนมี

การเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ธรรมชาติที่รุนแรงในสวีเดน เช่น ฤดูหนาวอันยาวนาน ทำให้คนในอดีตต้องวางแผนการใช้ทรัพยากรและสร้างสมดุลในชีวิต การไม่ใช้เกินความจำเป็นเป็นส่วนหนึ่งของการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย

ลากอม : รากฐานในวัฒนธรรมร่วมสมัย
ในยุคปัจจุบัน แนวคิดลากอมยังคงมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมสวีเดน โดยสะท้อนผ่านหลายด้านของชีวิต เช่น:

การออกแบบ (Design): สไตล์สแกนดิเนเวียนที่เรียบง่าย เน้นความพอดีและประโยชน์ใช้สอย
การทำงาน: วัฒนธรรมองค์กรในสวีเดนให้ความสำคัญกับการมีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
การบริโภค: การลดการใช้ทรัพยากรอย่างไม่จำเป็น และสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
บทเรียนจากรากของลากอม สิ่งที่ลากอมสอนเราไม่ใช่แค่การใช้ชีวิตแบบพอประมาณ แต่ยังสอนเรื่อง การคำนึงถึงผู้อื่นและส่วนรวม ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของการสร้างสังคมที่สมดุลและยั่งยืน การแบ่งปัน การใช้ชีวิตอย่างมีสติ และการเคารพทรัพยากรธรรมชาติ เป็นหัวใจของแนวคิดที่ช่วยให้ชาวสวีเดนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

ดังนั้น "ลากอม" ไม่ใช่แค่คำพูดหรือแนวคิดในตำรา แต่คือการปฏิบัติจริงที่เชื่อมโยงระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อสร้างชีวิตที่สมดุลและยั่งยืนทั้งในระดับบุคคลและสังคมโดยรวม

ตัวอย่างของลากอมในชีวิตประจำวันของชาวสวีเดน ได้แก่:

การบริโภคอย่างยั่งยืน : ชาวสวีเดนมุ่งเน้นการซื้อเฉพาะสิ่งที่จำเป็นและลดของเสีย
การทำงานสมดุลกับชีวิตส่วนตัว : มีการจัดเวลาเพื่อครอบครัวและสุขภาพจิต
ความรับผิดชอบต่อสังคม : ช่วยเหลือเพื่อนบ้านและสนับสนุนการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจพอเพียงและลากอม : เส้นทางที่มาบรรจบกัน
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มีความคล้ายคลึงกับลากอมในหลายแง่มุม โดยเน้นการพึ่งพาตนเอง การวางแผนชีวิตที่ไม่เกินตัว และการสร้างความสมดุลในชีวิตและธรรมชาติ ความแตกต่างอยู่ที่เศรษฐกิจพอเพียงมีรากฐานจากสังคมเกษตรกรรมและการพัฒนาชุมชน ขณะที่ลากอมเน้นบริบทของสังคมเมืองที่พัฒนาแล้ว แต่ทั้งสองแนวคิดล้วนยึดหลักการเดียวกัน: ความพอดีเพื่อความยั่งยืน

คำเตือน : การบิดเบือนข้อเท็จจริง
สิ่งที่น่ากังวลคือ การที่บางกลุ่มพยายามแอบอ้างสวีเดนในแง่ของสังคมนิยม โดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อโจมตีเศรษฐกิจพอเพียง พวกเขาเลือกเน้นเฉพาะเรื่องของรัฐสวัสดิการ แต่กลับละเลยว่าความสำเร็จของสวีเดนนั้นมีรากฐานจากแนวคิดลากอมซึ่งส่งเสริมความพอเพียงในระดับปัจเจก

การละเลยลากอมในวาทกรรมนี้จึงเป็นการมองสวีเดนเพียงด้านเดียว โดยไม่เข้าใจว่าความยั่งยืนของประเทศนี้ไม่ได้มาจากการแจกจ่ายทรัพยากรเพียงอย่างเดียว แต่คือการสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนรู้จักพอประมาณในทุกด้าน

บทสรุป
การยกเอาสวีเดนเป็นตัวอย่างในเรื่องระบบสังคมนิยม จำเป็นต้องเข้าใจถึงรากฐานทางวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวสวีเดน ซึ่งสะท้อนผ่านแนวคิดลากอม แนวคิดนี้ไม่ได้ต่างจากเศรษฐกิจพอเพียงของไทยในแก่นแท้ หากเราเปิดใจเรียนรู้และมองสิ่งเหล่านี้อย่างสมดุล จะพบว่าทั้งสองแนวคิดล้วนชี้ให้เราเห็นถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างพอดีและรับผิดชอบ

"ความพอเพียงไม่ได้ถูกผูกขาดโดยชนชั้นหรือชาติใด แต่คือความจริงที่ทุกสังคมควรเรียนรู้และยึดถือร่วมกัน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top