ปลดล็อกการค้าสร้างเศรษฐกิจสยามเฟื่องฟู ไม่ผูกขาดดังคำปดของคนรุ่นใหม่
ในช่วงเวลาแห่งการปกครองโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า นั้น ประเทศสยามได้ผ่านความยุ่งยากของการสร้างบ้านแปงเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ผ่านยุครุ่งเรืองแห่งวรรณกรรม ภาษา การฟื้นฟูวัฒนธรรม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และแม้ว่าในยุครัชกาลที่ ๓ จะมีสงครามอยู่บ้าง อาทิ สงครามข้างเจ้าอนุวงศ์ สงครามพิพาทกับทางข้างญวณ แต่ในยุคของพระองค์เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งการค้าขายและ Cross Culture โดยแท้
พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ที่เกิดจากเจ้าคุณจอมมารดาเรียม (สถาปนาเป็นที่ 'สมเด็จกรมพระศรีสุลาลัย' ในรัชกาลที่ ๓) ด้วยความที่พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์โต อีกทั้งทรงละม้ายคล้ายในหลวงรัชกาลที่ ๑ จึงได้รับพระเมตตาเป็นอย่างยิ่ง กอรปกับพระองค์ทรงมีความสามารถ เฉลียวฉลาดสามารถช่วยราชกิจของพระราชบิดาได้อย่างหลากหลาย จนเมื่อมีการตั้งเจ้านายเพื่อทรงกำกับราชการกรมสำคัญ ๆ ในการบริหารราชการส่วนกลางโดยมีฐานะเป็นผู้กำกับกรมคู่ไปกับเสนาบดีเดิม รัชกาลที่ ๓ ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็น 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' พระองค์ได้ทรงกำกับดูแลกรมสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของสยามในเวลานั้นเลยทีเดียว เริ่มจากทรงกำกับ 'กรมพระคลังมหาสมบัติ' ดูแลทรัพย์ที่เป็นเส้นเลือดหลัก จากนั้นก็เพิ่มเติมไปกำกับ 'กรมท่า' ซึ่งดูแลหัวเมืองชายทะเลทั้งหลาย กำกับการติดต่อกับชาวต่างชาติ และกำกับการแต่งเรือสำเภาไปค้าขายเรียกได้ว่าไม่เก่งทำไม่ได้
'เจ้าสัว' ของพ่อ ความเก่งกาจฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่เลื่องลือ ทั้งข้าราชบริพาร และพระประยูรญาติ ทราบถึงคำชมเชยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๒ ได้กล่าวถึงโอรสพระองค์นี้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทรงกำกับราชการกรมท่า พระองค์ได้ทรงแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายในต่างประเทศ ทำให้สยามมีรายได้เพิ่มขึ้นในท้องพระคลังเป็นอย่างมาก จนพระราชบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า 'เจ้าสัว'
จากการที่ทรงกำกับหน่วยงานสำคัญจึงเป็นปัจจัยให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบรมราชชนกได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็ทรงเก่งสุด ๆ อาวุโสได้ ที่สำคัญคือได้รับการยอมรับจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ เหล่าขุนนางทั้งหลาย ให้ขึ้นครองราชย์ที่เรียกว่า “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” โดยหลังจากทรงครองราชย์แล้วก็ทรงปรับปรุงการค้าขาย การเก็บภาษี กฎหมาย พัฒนาสยามไปในหลายทาง
กอบกู้เศรษฐกิจด้วยการค้า ปรับปรุงระบบภาษี ส่งเงินเข้าพระคลังหลวง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ต้องยอมรับว่าในเวลานั้น สยามยังอยู่ในภาวะขาดแคลนทรัพย์ เนื่องจากครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการสร้างบ้านแปงเมือง ประกอบกับการปราบปรามอริราชศัตรูให้ราบคาบ เมื่อเป็นดังนี้เมื่อบ้านเมืองเริ่มสงบการหาทรัพย์มาเพื่อเป็นทุนสำรองของบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเป็นดังนี้พระองค์จึงได้ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีขึ้นมาเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังหลวง จากเดิมที่ระบบภาษีทั้ง จังกอบ อากรฤชา ส่วย ภาษี เงินค่าราชการจากพวกไพร่ เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน ยังเก็บได้ไม่ชัดเจน พระองค์จึงทรงเริ่มปรับปรุงการเก็บภาษีอากรจากรูปของสินค้า และแรงงานให้กลายมาเป็นการชำระด้วยเงินตรา พร้อมกำหนดรายการภาษีใหม่ ๓๘ รายการ
พระองค์ทรงตั้งระบบการเก็บภาษีโดยให้เอกชนประมูลรับเหมาผูกขาด ไปเรียกเก็บภาษีจากราษฎรเอง เรียกว่า “เจ้าภาษี” หรือ “นายอากร” ซึ่งส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้ประมูลได้ การเก็บภาษีด้วยวิธีการนี้ ทำให้เกิดผลดีหลายประการ โดยเฉพาะด้านตัวเลขเพราะมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี เกิดการค้าขายที่มีระบบมากขึ้นเพราะมีกำหนดอัตราตามค่าเงิน ทำให้สามารถเก็บเงินเข้าพระคลังมหาสมบัติได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังส่งผลดีทางด้านการเมือง เพราะทำให้เจ้าภาษีนายอากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวจีนนั้นมีความผูกพันกับสยามในฐานะข้าราชการมีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และแผ่นดินสยามอย่างยิ่งยวด
เปิดประเทศค้าขายต่อเนื่อง ยกเลิกการผูกขาด
นอกจากรายได้จากการเก็บภาษีแล้ว รายได้เข้ารัฐยังมาจากการค้าขายกับต่างประเทศ โดยนำระบบภาษีหลายชั้นมาใช้ในขาเข้าคือภาษีเบิกร่อง และภาษีขาออก ในเริ่มแรกก่อนครองราชย์มาจนช่วงต้นของการครองราชการค้ากับต่างชาติยังมีสินค้าบางอย่างที่ยังผูกขาดอาทิ ครั่ง ไม้ฝาง งาช้าง การบูร และพริกไทย อีกทั้งผูกขาดในส่วนของสินค้าที่ใช้บรรทุก ในสําเภาหลวงจํานวนมากทำให้การค้าขายยังจำกัด
ด้วยความเชี่ยวชาญในการส่งเรือสินค้ามาตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็น พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึงทรงยกเลิกนโยบายผูกขาดสินค้า ปล่อยให้มีการค้าเสรี โดยการตัดสินใจเป็นของพระองค์เอง มิได้ทรงผูกพันกับสนธิสัญญาใด ๆ ดังที่มีนักวิชาการฝรั่งหลายคนเคยกล่าวไว้ ซึ่งสอดคล้องกับจดหมายของชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งมีไปถึงนายครอว์เฟิร์ดที่สิงคโปร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ความว่า
“ทันทีที่เจ้านายพระองค์นี้เสด็จขึ้นสู่ราชบัลลังก์ พระองค์ก็ได้ทรงพระกรุณาสั่งอนุญาตให้ทุกชาติที่มาเยี่ยมสยามได้ขายและซื้อ นําออก และนําเข้า กับประชาราษฎรทุกคนที่ตนคิดว่าสมควร โดยไม่มีข้อขัดขวาง เพียงแต่ต้องจ่ายภาษีศุลกากรเท่านั้น สิ่งนี้ได้ทําไปโดยไม่มีการวิวาทกับ พวกขุนนางเลย” (ยกเว้นขุนนางบางตระกูลที่เสียผลประโยชน์จากการยกเลิกการผูกขาดอาจจะมีการมองค้อนแต่ทำอะไรไม่ได้)
ซึ่งการค้าเสรีนี้ได้สร้างเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพมั่นคง และรายได้นี้ได้นำไปใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมือง การป้องกันประเทศ การศาสนา และด้านอื่นๆ ทั้งยังเป็นทุนสำรองของสยามทั้งในรัชสมัยของพระองค์เองและในรัชสมัยต่อ ๆ มา โดยรายได้ของแผ่นดินในรัชกาลที่ ๓ สูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยบางปีมีรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังมากกว่า ๒๐ ล้านบาท
สนธิสัญญาเบอร์นี เปิดโอกาสชาติอื่นร่วมค้าขาย
'เฮนรี เบอร์นี' ทูตชาวอังกฤษได้เดินทางเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๘ เพื่อเจรจาปัญหาทางการเมืองและการค้าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทางด้านการค้า รัฐบาลอังกฤษประสงค์ขอเปิดสัมพันธไมตรีทางการค้ากับรัตนโกสินทร์ และขอความสะดวกในการในการค้าได้โดยเสรี ซึ่งการเจรจาได้ผลสำเร็จอันดี โดยมีการลงนามในสนธิสัญญากันเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙
สนธิสัญญาเบอร์นี ประกอบด้วย สนธิสัญญาทางพระราชไมตรี ๑๔ ข้อ และสนธิสัญญาทางพาณิชย์ แยกออกมาอีกฉบับหนึ่ง รวม ๖ ข้อ ที่เกี่ยวกับการค้า อาทิ ข้อ ๕ ให้สิทธิพ่อค้าทั้งสองฝ่ายค้าขายตามเมืองต่างๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเสรีตามกฎหมาย ข้อ ๖ ให้พ่อค้าทั้งสองฝ่ายเสียค่าธรรมเนียมของอีกฝ่าย ข้อ ๗ ให้สิทธิแก่พ่อค้าจะขอตั้งห้าง เรือน และเช่าที่โรงเรือนเก็บสินค้าในประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมการเมือง ข้อ ๑๐ ว่าด้วยการทำการค้าในบางดินแดนของกลุ่มคนในสังกัดของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อจำกัด เป็นต้น
ส่งออกเติบโต เรือเทียบเต็มท่า
นอกจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษเพื่อการเปิดเสรีทางการค้าแล้วนั้น สยามยังมีการติดต่อกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป มีการลดค่าปากเรือลง จากวาละ ๑,๗๐๐ บาท เหลือ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเอาใจใส่ของไทยสยามในการสนับสนุนการค้าของชาวต่างชาติให้รุ่งเรืองในประเทศทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นมีการเก็บค่าปากเรือสูงถึง ๒,๒๐๐ บาท ทำให้การค้าระหว่างพ่อค้าตะวันตกและไทยเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเรือกําปั่น เข้ามาจอดที่บางกอกเพื่อนําสินค้าของสยามออกไปขาย ในพ.ศ. ๒๓๘๕ มีรายงานว่ามีเรือกําปั่นเข้าเทียบท่า ไม่น้อยกว่า ๕๕ ลํา โดยส่วนใหญ่ เป็นเรือกําปั่นที่ชักธงอังกฤษ ในจํานวนนี้มีอยู่ ๙ ลําที่เข้าเทียบท่าบางกอกเป็นประจําทุกปี และถ้าไม่นับที่มาจากอังกฤษโดยตรง ๓-๔ ลําแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเรือกําปั่นมาจากบอมเบย์ สิงคโปร์ หรือจีน ซึ่งส่วนใหญ่ก็บรรทุกน้ำตาลออกไป ซึ่งปริมาณการส่งออกในช่วงปีนั้นมีมากถึง ๑๑๐,๐๐๐ หาบทั้งนี้ยังไม่รวมการส่งออกโดยเรือพาณิชย์ของรัฐกว่า ๑๔ ลำ รวมไปถึงเรือพาณิชย์ของขุนนางกว่า ๑๐ ลำ
แต่ต้องยอมรับนอกเหนือไปจากการลงนามทางการค้าในสนธิสัญญาเบอร์นี่แล้วนั้น การค้าในฟากของชาติตะวันตกนั้นยังแฝงไปด้วยเรื่องทางการเมือง การล่าอาณานิคม และการเข้าแทรกแซงกิจการอื่น ๆ เพราะประเทศรอบข้างสยามในขณะนั้นกำลังเริ่มถูกคุกคาม ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมิได้ส่งเสริมการงานฟากตะวันตกอย่างเอิกเกริกนัก ทั้งยังทรงระแวดระวังมิให้สยามตกอยู่ในฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทั้งการค้า และการเมืองดังที่ได้พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งไว้ว่า
“การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีก็อยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียท่าแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสกันทีเดียว”
เพราะนอกเหนือจากการค้าเสรีที่เฟื่องฟูในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ แล้ว การล่าอาณานิคมที่ไม่เสรีก็ตามติด ๆ มาในอีกไม่นานหลังจากนั้น
