Saturday, 15 March 2025
COLUMNIST

ส่องแนวคิด ‘จรัล ดิษฐาอภิชัย’ กับตรรกะที่ผิดเพี้ยนชู หลังชู ‘อานนท์ นำภา’ เป็นบุคคลแห่งปีทั้งที่ทำผิด กม. ซ้ำซาก

รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 จรัล ดิษฐาอภิชัย โพสต์เสนอชื่อ อานนท์ นำภา เป็นบุคคลแห่งปี 2567 พร้อมชูเขาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาคือ การยกย่องบุคคลที่ถูกตัดสินจำคุก 18 ปีด้วยข้อหาภายใต้มาตรา 116 และ 112 นั้น กำลังสร้างภาพประชาธิปไตยในแบบใด? มันไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งเสรีภาพหรือความเท่าเทียม แต่คือ “รูปปั้นประชาธิปไตยที่หล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย” และรูปปั้นนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานที่มั่นคง แต่มันสั่นคลอนด้วยแนวคิดที่ไม่เคารพหลักนิติรัฐ

มาตรา 116: กติกาที่ปกป้องเสถียรภาพของสังคม
มาตรา 116 เป็นเหมือนรั้วที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านประชาธิปไตย มันไม่ได้มีไว้เพื่อปิดกั้นเสรีภาพในการพูด แต่มันมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คำพูดหรือการกระทำใดๆ ยุยงให้เกิดความไม่สงบในสังคม การที่อานนท์ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ไม่ได้เกิดจากการแสดงความคิดเห็น แต่เพราะเขาจงใจละเมิดกติกานี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในการปลุกปั่นยุยงและการกระทำที่ล้ำเส้นเกินกว่าการใช้เสรีภาพส่วนตัว

18 ปีแห่งการละเมิด: ราคาของการไม่เคารพกฎหมาย
การที่อานนท์ถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีไม่ได้มาจากระบบที่อยุติธรรม แต่มาจากการกระทำผิดซ้ำซากที่ขัดต่อกฎหมายที่ทุกคนยอมรับร่วมกัน การเชิดชูบุคคลที่ละเมิดกฎหมายในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เรื่องของการส่งเสริมประชาธิปไตย แต่มันคือการลดคุณค่าของระบบที่ควรสร้างบนความยุติธรรมและการเคารพกติกา

ประชาธิปไตยหรือการบูชาคนผิด?
สิ่งที่จรัลทำในการยกย่องอานนท์ คือการสร้าง “รูปปั้น” ที่ไม่ได้สะท้อนถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่กลับเป็นการปั้นสัญลักษณ์ของการไม่เคารพกฎหมาย การนำคนที่ทำผิดอย่างต่อเนื่องมาชูเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพ ไม่เพียงแต่ทำให้ประชาธิปไตยเสื่อมเสีย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดว่า ความวุ่นวายและการละเมิดกฎหมายคือสิ่งที่ยอมรับได้

บทสรุป: สัญลักษณ์ที่ไม่ควรมี
ประชาธิปไตยไม่ควรถูกหล่อหลอมจากการกระทำผิดกฎหมาย การสร้างสัญลักษณ์ที่ขัดแย้งกับรากฐานของระบบย่อมไม่ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง หากเรายังคงหล่อรูปปั้นจากความผิดพลาด ประชาธิปไตยในสายตาของคนไทยและนานาชาติจะไม่เหลือคุณค่า นี่ไม่ใช่การสร้างอนาคต แต่มันคือการย้อนกลับไปทำลายรากฐานที่สำคัญที่สุดของสังคม

Globalism: อุดมคติแห่งโลกไร้พรมแดน หรือกับดักที่หลอมรวมความแตกต่าง?

(1 ม.ค. 68) ในยุคที่คำว่า "โลกาภิวัตน์" หรือ Globalism ถูกยกย่องว่าเป็นภาพแทนของอุดมคติร่วมสมัย—โลกที่ไร้พรมแดน การร่วมมือเพื่อเป้าหมายใหญ่ และการเคารพความหลากหลาย—ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยึดถือ แต่เบื้องลึกของแนวคิดนี้กลับซับซ้อนกว่าที่คิด มันเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสังคม และเปิดคำถามสำคัญถึงความหมายที่แท้จริงของ "ความหลากหลาย" และ "สันติภาพ" ที่ Globalism พยายามนำเสนอ

Globalism: อุดมคติแห่งระเบียบโลกใหม่
แนวคิด Globalism ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีจุดเริ่มต้นที่เชื่อมโยงกับช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อโลกกำลังเผชิญกับความขัดแย้งทางอุดมการณ์และอำนาจที่รุนแรง แนวคิดนี้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับความพยายามของบางฝ่ายที่ต้องการสร้าง "ระเบียบโลกใหม่" ที่ทุกประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้บนกฎเกณฑ์เดียวกัน

แนวคิดดังกล่าวเริ่มต้นจากความหวังดี—ความต้องการแก้ไขปัญหาของโลกที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ในระดับประเทศ เช่น ความยากจน โรคระบาด หรือความขัดแย้งระหว่างชาติ แนวคิดเรื่อง "การร่วมมือระดับโลก" จึงถูกนำเสนออย่างจริงจัง เพื่อให้ทุกประเทศทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บางทีอาจเป็นเพราะช่วงเวลานั้น โลกจำเป็นต้องหาทางออกจากความรุนแรงในรูปแบบเดิม

แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป แนวคิด Globalism ได้เปลี่ยนแปลงและขยายตัว กลายเป็นกรอบอุดมคติที่ไม่เพียงเน้นการร่วมมือ แต่ยังรวมถึงการกำหนดมาตรฐานที่เหมือนกันในทุกประเทศ บ่อยครั้ง มาตรฐานเหล่านี้สะท้อนความต้องการของมหาอำนาจบางแห่งมากกว่าความจำเป็นของประเทศที่ถูกบังคับให้ปรับตัวตาม

Global Citizen: พลเมืองโลกในโลกไร้พรมแดน
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของ Globalism คือแนวคิด "Global Citizen" หรือ "พลเมืองโลก" ที่ส่งเสริมให้ผู้คนมองข้ามพรมแดนและอัตลักษณ์ของชาติ โดยอ้างว่าเพื่อความร่วมมือและลดความขัดแย้ง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสร้างเยาวชนที่พร้อมเปลี่ยนวิธีคิดและละทิ้งความเป็นชาติ

กลไกที่ใช้คือกิจกรรมทางการศึกษา เช่น โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ค่ายเยาวชนนานาชาติ หรือทุนการศึกษาระหว่างประเทศ ซึ่งช่วยปลูกฝังให้เยาวชนเหล่านี้มองว่า "โลกคือบ้านของเรา" และลดความสำคัญของ "ชาติ" แนวคิดนี้สร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มุ่งสู่ระเบียบโลกใหม่ มากกว่าการพิทักษ์อัตลักษณ์ของชาติ

เด็ก : เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง
ในโครงสร้างที่เปรียบเหมือน สามเหลี่ยมแห่งการปกครอง ที่ชนชั้นล่างเป็นฐาน ชนชั้นกลางเป็นกลไกขับเคลื่อน และชนชั้นนำเป็นผู้กำหนดทิศทาง Globalism มองว่าเยาวชนคือชนชั้นนำในอนาคต โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวชนชั้นนำ เช่น ลูกหลานนายทุน เจ้าของธุรกิจ หรือผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

ทำไมต้องเป็นพวกเขา? เพราะเยาวชนกลุ่มนี้มีโอกาสกำหนดทิศทางของประเทศในอนาคต การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดของพวกเขาจึง ง่ายกว่าและส่งผลกระทบได้เร็วกว่า การเปลี่ยนแปลงความคิดของชนชั้นกลางหรือล่าง

กิจกรรมที่ใช้ในการปลูกฝัง เช่น การจัดค่ายแลกเปลี่ยน การส่งเสริมแนวคิดโลกนิยม และการลดทอนความเป็นชาติ ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อให้เด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นพร้อมความคิดว่า "การเป็นพลเมืองโลก" สำคัญกว่าการภักดีต่อชาติ

อุดมคติที่ขัดแย้งในตัวเอง
แม้ Globalism จะอ้างว่าสันติภาพเกิดจากการร่วมมือระดับโลก แต่มันกลับสร้างปัญหาใหม่ ความพยายามในการสร้างระเบียบเดียวกันทั่วโลกไม่เคารพความหลากหลายของวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ ท้ายที่สุด Globalism กลับทำให้ประเทศที่มีอัตลักษณ์อ่อนแอสูญเสียความสามารถในการกำหนดอนาคตของตนเอง

BRICS : แนวคิด Multipolarity และสมดุลของโลก
ในขณะที่ Globalism มุ่งเน้นการรวมศูนย์อำนาจ กลุ่ม BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้) เสนอแนวคิด "Multipolarity" หรือ "โลกหลายขั้วอำนาจ" ซึ่งสนับสนุนให้ประเทศต่างๆ รักษาอิสระในการกำหนดอนาคตของตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบที่มหาอำนาจควบคุม

Multipolarity ส่งเสริมความสมดุล โดยเน้นการกระจายอำนาจและเคารพความหลากหลาย เช่น การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐในระบบการค้าโลก และสร้างพันธมิตรในด้านเศรษฐกิจและพลังงาน แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งสร้างระเบียบเดียว แต่สนับสนุนให้แต่ละประเทศพัฒนาในแบบของตัวเอง

บทส่งท้าย: รักษาความหลากหลายเพื่อความยั่งยืน
Globalism อาจดูเหมือนคำตอบสำหรับความท้าทายของโลกยุคใหม่ แต่ในความจริง มันสร้างโลกที่เปราะบางและขัดแย้ง แนวคิด Multipolarity ของ BRICS แสดงให้เห็นว่าโลกไม่จำเป็นต้องมีระเบียบเดียวกันเพื่อความสงบสุข แต่ควรสร้างสมดุลบนพื้นฐานของความหลากหลาย

คำถามสำคัญสำหรับอนาคตคือ เราจะรักษาความเป็นอิสระและความหลากหลายของเราได้อย่างไร ในโลกที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด? เพราะท้ายที่สุด สันติภาพไม่ได้มาจากระเบียบที่เหมือนกัน แต่มาจากการเคารพในความแตกต่างอย่างแท้จริง

‘กบฏบวรเดช’ ประวัติศาสตร์ที่ต้องมองให้รอบด้าน!! หลังมีนักวิชาการ สร้างความเชื่อที่ผิด ทำลายข้อเท็จจริง

‘กบฏบวรเดช’ ประวัติศาสตร์ที่ต้องมองรอบด้าน

ในวงสนทนาทางวิชาการบางท่าน...ก็ มีผู้พยายามแสดงความเห็นว่า "...การพ่ายแพ้ของกบฏบวรเดชในปี 2476 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทยตั้งมั่นอย่างมั่นคง.."

นี่คือแนวคิดที่ข้าพเจ้าขอทักท้วง ....
เพราะการมองว่าฝ่ายรัฐบาลในขณะนั้นเป็น "ผู้พิทักษ์ประชาธิปไตย" และฝ่ายบวรเดชเป็น 'ผู้ทำลาย' เป็นการลดทอนความซับซ้อนของบริบทและข้อเท็จจริงในช่วงเวลานั้น

เพื่อให้เข้าใจบริบทของเหตุการณ์นี้อย่างถ่องแท้ เรา จำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาภาพรวมของการได้มาซึ่งประชาธิปไตยในสังคมไทย และความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาทสำคัญในช่วงเวลานั้น

การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 นำโดยกลุ่มคณะผู้ก่อการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งรวมถึงบุคคลสำคัญเช่น พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิอัคเนย์ และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ...อีกทั้งยังต้องนับรวมไปถึงพระองค์เจ้าบวรเดชอีกด้วย นะครับ!!!

บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่มีแนวคิดอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปสู่ระบบรัฐธรรมนูญที่คล้ายคลึงกับประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์และประชาชน อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้กลับถูกสั่นคลอนเมื่อแนวคิดของของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม(อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ )ซึ่งนำเสนอระบบที่ใกล้เคียงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงเดียวกัน ช่วงชิงการนำในวันปฏิวัติ เกิดเป็นประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 นั่นเอง

ความขัดแย้งเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงทักท้วงแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของอาจารย์ปรีดีและแสดงความกังวลในเอกสาร ‘สมุดปกเหลือง’ ทรงเห็นว่าระบบที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจไม่เหมาะสมกับประเทศไทยที่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับประชาธิปไตยและสิทธิหน้าที่ของพลเมือง ข้อทักท้วงเหล่านี้กลับสร้างความตึงเครียดระหว่างกลุ่มผู้นำของคณะราษฎร และแบ่งแยกมุมมองระหว่างทหารและประชาชน จะเห็นได้ว่าคณะราษฎรใน ณ ที่นี้ จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่มีแนวความคิดแบบอังกฤษ กับอีกกลุ่มนึงมีแนวความคิดแบบที่นำลัทธิคอมมิวนิสต์เข้ามาประยุกต์ใช้

ในตอนที่เหตุการณ์การก่อกบฏของพระองค์เจ้าบวรเดชเกิดขึ้นนั้น...
คณะบวรเดชเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้นำทหารที่ไม่พอใจกับแนวทางการบริหารของคณะราษฎร นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชและพระยาศรีสิทธิสงคราม ซึ่งมองว่ารัฐบาลในขณะนั้นเริ่มละเลยหลักการที่ควรจะสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะผู้ประสานงานแห่งชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายคณะราษฎรและฝ่ายคณะบวรเดช ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในนามของพระเจ้าแผ่นดินเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวของตน

การสู้รบที่เกิดขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมืองในท้ายที่สุดส่งผลให้ฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ชนะ แต่ความสูญเสียในครั้งนี้มิได้จำกัดอยู่เพียงในแง่ชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ความขัดแย้งภายในและการต่อสู้ที่อ้างประชาธิปไตยกลับกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้สังคมไทยล้าหลังในเรื่องนี้

ฝ่ายที่ชนะใช้เงื่อนไขที่ชนะกดดันรัชกาลที่ 7 ให้พระองค์ทรงรับผิดชอบกับการกระทำของฝ่ายกบฏโดยอ้างว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุน จากสถาบันฯ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายบวรเดชก็ล้วนเป็นคนสนิทของรัชกาลที่ 7 ทั้งนั้น กลับไม่มีใครฟังพระองค์เลย...

‘บทเรียนจากอดีต’

เหตุการณ์กบฏบวรเดชไม่ได้เป็นเพียงความขัดแย้งทางการเมือง แต่ยังสะท้อนถึงรากเหง้าของปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เร่งรัดเกินไป โดยขาดการเตรียมพร้อมและความเข้าใจร่วมกันในสังคม ความพยายามของทั้งฝ่ายคณะราษฎรและฝ่ายบวรเดชล้วนมีเป้าหมายเพื่อปกป้องชาติในแนวทางที่แตกต่าง แต่การเดินทางสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับถูกบิดเบือนด้วยความขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจ

บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้คือ ประชาธิปไตยไม่สามารถตั้งมั่นได้ด้วยชัยชนะทางการทหารหรือการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือและการสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งในหมู่ประชาชน การละเลยเสียงของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ เช่น รัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงพยายามเตือนถึงความเสี่ยงของความแตกแยกในสังคม กลายเป็นสัญญาณเตือนถึงความล้มเหลวของการบริหารในเวลานั้น

การมองเหตุการณ์กบฏบวรเดชในมิติเดียวว่าเป็น ‘ชัยชนะของประชาธิปไตย’ อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่จะเข้าใจความซับซ้อนของปัญหาในเชิงโครงสร้างที่ยังคงส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยจนถึงปัจจุบัน อดีตไม่ได้มีไว้เพื่อโต้แย้งหรือกล่าวโทษ แต่มีไว้เพื่อเรียนรู้และหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในอนาคต หากเราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง เราต้องฟังและเข้าใจเสียงของทุกฝ่ายในสังคม เพื่อสร้างอนาคตที่สมดุลและยั่งยืน

กรณีของ ‘อานนท์ นำภา’ บทเรียนจากมาตรา 116 สิทธิมนุษยชนที่ไม่คำนึงถึงความสงบเรียบร้อย

คดีของอานนท์ นำภา ซึ่งถูกตัดสินจำคุกกว่า 18 ปีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 และยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจจากองค์กรสิทธิมนุษยชนอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล การเคลื่อนไหวที่สนับสนุนอานนท์และโจมตีกฎหมายดังกล่าวสร้างคำถามที่สำคัญเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเคารพกฎหมาย

มาตรา 116: เสรีภาพที่ต้องอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ
มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญากำหนดบทลงโทษสำหรับการกระทำที่ยุยงปลุกปั่นซึ่งกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ โดยครอบคลุมถึงการปลุกระดมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือกฎหมายโดยวิธีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การยุยงให้เกิดความวุ่นวายในสังคม และการสร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน กฎหมายนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อปิดกั้นเสรีภาพ แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องความสงบเรียบร้อยในสังคม

พฤติกรรมของอานนท์ที่เข้าข่ายมาตรา 116 ไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่กลับแสดงถึงเจตนาที่จะปลุกระดมและกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย การกระทำดังกล่าวไม่เพียงส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ แต่ยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความแตกแยกในสังคมอย่างลึกซึ้ง

สิทธิมนุษยชน: การปกป้องเสรีภาพต้องคู่กับความยุติธรรม
สิทธิมนุษยชนเป็นหลักการที่มีคุณค่าและควรได้รับการเคารพ แต่การปกป้องสิทธิของบุคคลหนึ่งไม่ควรละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมโดยรวม การที่องค์กรอย่างแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลยกกรณีของอานนท์เป็นตัวอย่างในการเคลื่อนไหว อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการกระทำที่ละเมิดกฎหมายและปลุกปั่นความแตกแยกสามารถถูกยอมรับได้ในนามของสิทธิมนุษยชน

ในสังคมที่ต้องการความสงบเรียบร้อย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมายต้องเดินไปด้วยกัน กฎหมายอย่างมาตรา 116 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อปิดกั้นเสียงของประชาชน แต่เพื่อปกป้องสังคมจากการยุยงให้เกิดความวุ่นวายและความแตกแยก

คืนสติ: เสรีภาพต้องมีขอบเขต
ในท้ายที่สุด คดีของอานนท์นำมาซึ่งบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับขอบเขตของเสรีภาพ เสรีภาพไม่ใช่การกระทำตามใจโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้อื่น การเคลื่อนไหวใดๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความสร้างสรรค์ และความเคารพกฎหมาย การอ้างสิทธิมนุษยชนโดยละเลยผลกระทบต่อส่วนรวมไม่เพียงแต่บั่นทอนคุณค่าของสิทธิมนุษยชน แต่ยังสร้างความไม่สมดุลในสังคม

บทเรียนจากกรณีนี้คือ เราควรใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีสติ รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบต่อส่วนรวม เพื่อสร้างสังคมที่เคารพซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง

เจ้าชายกำมะลอ โอรสผู้สมอ้าง องค์นโรดมและหม่อมเจ้าหญิงแห่งสยาม

เรื่องของเรื่องที่ผมยกเรื่องนี้มาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันเพลิน ๆ นั้น เกิดขึ้นจากการที่ผมได้หยิบเอาหนังสือ “โครงกระดูกในตู้” ของอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มาอ่านเล่น ๆ อีกคำรบ โดยเฉพาะเรื่องของท่านป้า ม.จ.หญิงฉวีวาด ปราโมช ของท่านอาจารย์ ซึ่งหลายท่านน่าจะทราบว่า ม.จ.หญิงฉวีวาด ทรงหนีไปอยู่เขมร ซึ่งว่ากันว่าการละครในราชสำนักเขมรส่วนหนึ่งก็มาจากพระองค์นำไปเผยแพร่ ซึ่งจะถูกจะผิด จริงเท็จประการใดนั้น ไม่ใช่เนื้อหาในบทความนี้ (ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน “โครงกระดูกในตู้” ผมแนะนำให้ลองหาอ่านดูครับ เล่มเล็ก ๆ ใช้เวลาอ่านไม่นาน) 

เนื้อหาหลักในตอนนี้ก็คือเมื่อครั้ง ม.จ.หญิงฉวีวาด ปราโมช ทรงหนีไปเขมรนั้น มีเรื่องเล่าที่ถ่ายทอดไว้ใน “โครงกระดูกในตู้” ว่าพระองค์ได้เป็นเจ้าจอมอีกองค์หนึ่งในสมเด็จพระนโรดมกษัตริย์เขมรในเวลานั้น ถึงขนาดที่มีพระโอรสร่วมกัน (อ้างตาม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช) แต่ทว่าพระองค์เจ้าในที่นี้เมื่อชันสูตรแล้วก็ไม่ปรากฏว่ามีจริง อีกทั้งเรื่องราวการเป็นเจ้าจอมนั้นก็ไม่เป็นจริง แต่กลับปรากฏพระองค์เจ้ากำมะลอที่อ้างตนเป็นเชื่อพระองค์ชั้นสูงของกัมพูชาพระองค์หนึ่งชื่อว่า “พระองค์เจ้าพานดุรี” (พานดูรี/พานคุลี/พานตุคี) 

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าในช่วงต้นรัชกาลที่ ๗ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงได้รับหนังสือส่วนพระองค์จากพระองค์หญิงมาลิกา ซึ่งในหนังสือนั้นมีเนื้อหาโดยสรุปว่าพระองค์ทรงได้ข่าวว่ามีเจ้านายเขมรเข้ามาตกระกำลำบากอยู่ในหัวเมืองสยาม  จึงใคร่ขอความกรุณาให้สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ให้ทรงช่วยสืบหา หากว่าเป็นจริง ก็จะทรงสงเคราะห์ช่วยเหลือเจ้านายองค์นั้นสืบไป 

สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ก็ทรงช่วยสืบหาเจ้านายที่ว่านั้น ผ่านกระทรวงมหาดไทย ถัดมาอีกสองปีจึงได้รับรายงานจากเจ้าเมืองพิจิตรว่า ได้พบชายเขมรอ้างตัวว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ชื่อ “พระองค์เจ้าพานดุรี” มารดาเป็นเจ้านายสยามพระนามว่า ม.จ.หญิงฉวีวาด จึงนำตัวไปสอบสวนพร้อมถ่ายรูปไว้  ก่อนจะส่งเป็นรายงานมาทูลฯ ถวาย พร้อมกับหนังสือฉบับหนึ่งจาก“พระองค์เจ้าพานดุรี” โดยมีเนื้อหาว่า (ขออนุญาตไม่ปรับเป็นภาษาปัจจุบันนะครับ) 

“ขอพระเดชะ ปกเกล้าปกกระหม่อม ขอพระราชทานกราบถวายบังคมทูลกรมพระดำรงราชานุภาพ ขอทราบใต้ละอองธุลี ข้าพระพุฒิเจ้าขอเล่าความตามต้นเนิ่ม เมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ ๕ หม่อมเจ้าแม่ฉลีวาฏได้ออกจากพระราชอาณาจักรสยามไปที่พึ่งอาไสอยู่ในประเทสเขมร ได้บังเกิดข้าพระพุฒิเจ้าคนหนึ่ง แล้วได้เล่าบอกว่าเป็นพระราชตระกูลในสยาม ตั้งแต่ข้าพระพุฒิเจ้ารู้ความมา ก็ตั้งใจว่าจะทะนุบำรุงชาฏสยามให้อุตตมะชาฏอยู่

บันลุมาถึงรัชการ พระบาทสมเด็จรัชการที่ ๖ ม่อมเจ้าแม่ได้กลับมาอยู่ในสยาม ๑๖ ปีแล้ว ข้าพระพุฒิเจ้าก็ได้ภยายามตามมา หวังใจจะได้พึ่งพระบูรพะโพธิสมภาร ตั้งแต่เกิดมา ข้าพระพุฒิเจ้าเกิดมารู้ตัวว่าพระมารดาเกิดเป็นชาฏสยามก็ตั้งใจจะรักษาชาติสยามให้อุตตะมะชาฏ ที่ข้าพระพุฒิเจ้าเข้ามานี่จะได้แคลงคล้าย ยกเนื้อยกตัวดูถูกพระเจตสะดาพระองค์หนึ่งพระองค์ใดก็หามิได้ ประโยถจะสืบหาพระมาดาให้เห็นเท่านั้น แล้วจะไม่ให้ระคายไนพระราชตระกูลสยามด้วย ค้วนไม่ค้วนก็ตามแต่จะทรงพระกรุณาโปรฏ เพราะข้าพระพุฒิเจ้าเป็นคนเขมรเข้ามาใหม่ แล้วไม่รู่ความผิดชอบ
ลงชื่อ Phantugi”

แต่จริง ๆ แล้ว สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ทรงสืบเรื่องของนายพานดุรีผู้มีนี้มาก่อน เพราะครั้ง ม.จ.ฉวีวาด ทรงกลับมาสยามก็ทรงทราบว่าพระองค์มีบุตรชาย แต่จะเกิดจากผู้ใดไม่ชัดแจ้ง พบแต่เพียงว่าติดคุกอยู่ฝั่งเขมร พอได้เรื่องราวแล้ว สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ จึงได้ทรงส่งหนังสือไปแจ้งแก่พระองค์หญิงมาลิกา เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น สมเด็จกรมพระยาดำรงฯก็ทรงได้รับหนังสือของพระองค์หญิงมาลิกา กราบทูลฯ ตอบมาว่า

“ม.จ.ฉวีวาดเมื่อเสเพลไปอาศัยอยู่ในกรุงกัมพูชา สมเด็จพระนโรดมจะได้เลี้ยง ม.จ.ฉวีวาดเป็นเจ้าจอมหม่อมห้ามก็หาไม่  เมื่อหนีตามนายเวนผึ้ง (นายเวร ชื่อผึ้ง) ไปกัมพูชาแล้ว ม.จ.ฉวีวาดได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนโรดมครั้งหนึ่ง ทรงบอกว่าถ้าจะอยู่ในวังท่านก็จะทรงเลี้ยง แต่ม.จ.ฉวีวาดกราบทูลว่าท่านมีครรภ์กับนายเวนผึ้งแล้ว สมเด็จพระนโรดมก็ทรงอนุมัติตามนั้น ม.จ.ฉวีวาดจึงได้อยู่กินกับนายเวนผึ้ง แบบเป็นเมียน้อยเขา เพราะเขามีเมียอยู่ก่อนแล้วถึงสองคน จึงอยู่กับนายเวนผึ้งได้ไม่เท่าไหร่ ก็วิ่งออกไปได้กับออกญานครบาล(มัน) แล้วเสเพลไปได้ออกญาแสรนธิบดี(ปัล) เจ้าเมืองระลาเปือย เป็นผัวอีกคนหนึ่ง  บังเกิดบุตรชายด้วยกันชื่อ "นุด" ซึ่งตั้งตนเป็น “พระองค์เจ้าพานดุรี” นั่นแหละ เมื่อเด็กชายนุดยังเป็นเด็กอายุ ๖ ขวบ  ม.จ.ปุก (ในเจ้าฟ้าอิศราพงศ์) พระอัครนารีเอาตัวไปเลี้ยงไว้ในพระราชวัง  ให้บ่าวในกรมเรียกลูกชายม.จ.ฉวีวาดว่า "คุณ" คนอื่นๆ ก็เรียกตามๆกันไป ไพล่ไปได้กับพระพิทักราชถาน(ทอง) เป็นผัวอีกคนหนึ่ง  ต่อมาพระพิทักราชถานสิ้นชีพไป   ม.จ.ฉวีวาดได้ผัวใหม่  เป็นที่ขุนศรีมโนไมย อยู่กรมกาวัลเลอรีย์ในสมเด็จพระนโรดม  อยู่ด้วยกันเป็นช้านานหลายปี เจ้านุดบุตรชายของ ม.จ.ฉวีวาดกับเจ้าเมืองระลาเปือยนั้นก็อยู่ด้วยกัน....

“นุด” มีบิดาเป็นเจ้าเมืองระลาเปือย ชื่อ “ปัล” เป็นเชื้อเจ๊ก หาเป็นเชื้อเจ้ามิได้ บุตรชาย ม.จ.ฉวีวาดนั้น ในปลายแผ่นดินสมเด็จพระนโรดมติดคุกครั้งหนึ่ง  ออกจากคุกพร้อมกันกับคนโทษด้วยกันหลายร้อยคน เมื่อขณะเปลี่ยนแผ่นดินใหม่...ในแผ่นดินพระศรีสวัดในระหว่างพุทธศักราช ๒๔๖๑-๒๔๖๒ บุตรชาย ม.จ. ฉวีวาดติดคุกอีกครั้งหนึ่ง แต่โทษเป็นประการใดกระหม่อมฉันก็ลืมไป จำได้แน่แต่ว่าติดคุกด้วยตั้งตนเป็นโจรกรรมในครั้งแรก ในครั้งหลังดูเหมือนไปตั้งตนว่าเป็นเจ้า วานนี้ได้รับจดหมายลายพระหัตถ์ของฝ่าพระบาทก็จวนเพลานักแล้ว ไปดูบาญชีคุกไม่ทัน วานนี้และวันนี้เป็นวันกำเนิดพระเยซู กระทรวงหยุดทำงาน” 

พอกระทรวงเปิดทำการพระองค์หญิงมาลิกาจึงได้ส่งหนังสือมาเพิ่มเติมอีกโดยมีความว่า 

“ถวายบังโคมยังใต้ฝ่าพระบาท ทรงทราบ กระหม่อมฉันไปขออนุญาตกระทรวงยุติธรรมค้นหาหนังสือคุก และสารกรมทัณฑ์ ซึ่งตุลาการตัดสินจากโทษนายนุด บุตรชายของหม่อมเจ้าฉวีวาด ซึ่งตั้งตนเป็นพระองค์เจ้าพานดุรีนั้น โทษเมื่อแผ่นดินก่อนและแผ่นดินปัจจุบัน ค้นหายังไม่ภพ ภพแต่สำเนาสารกรมทัณฑ์ ศาลอุทรณ์กรุงภนมเพญ เห็นพร้อมตามศาลพัตตบอง ขาดโทษเมื่อตอนปลายที่สุด สารกรมราชทัณฑ์ ตุลาการเมืองพัตตบอง เลขที่ ๑๙๔ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๖๔”

สรุปคือ “พานดุรี” เคยอ้างตนเป็นเชื้อเจ้าที่เขมรมาแล้ว ตามที่บันทึกไว้คือ ขณะที่ขุนศรีมโนไมย สามีคนสุดท้ายของหม่อมเจ้าฉวีวาดกำลังป่วยหนักด้วยไข้ทรพิษ ความกลัวว่าหมอจะมายึดเรือนแล้วเผาทิ้งสมบัติเพราะติดโรคร้าย จึงรีบขายเรือนสมบัติ จากนั้นก็หนีไปเมืองบาสักในกัมพูชาใต้ ต่อมา “นุด” ก็สมอ้างว่ามีศักดิ์เป็นราชบุตรกษัตริย์นโรดมจนมีคนหลงเชื่อให้เงินทองไปไม่น้อยแล้วก็หนีออกจากบาสัก ไปยังพัตตบองและใช้วิธีเดียวกับที่บาสัก แต่คราวนี้ถูกจับเข้าคุก เป็นครั้งที่ ๒ ข้อหาตั้งตนเป็นราชบุตรกษัตริย์ จนได้รับอภัยโทษปล่อยตัว เมื่อสมเด็จพระนโรดมสวรรคตและผลัดรัชกาล ก็ข้ามมาที่สยามเพื่อตามหาหม่อมแม่ นัยว่าอยากจะได้มรดก แต่ก็ไปถูกจับที่เมืองพิจิตรตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น 

เหตุแห่งการสมอ้างดังที่ได้เล่าไปนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากพานดุรีได้รับการเลี้ยงดูมาจากในวัง ทำให้เข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติ การวางตัวจนมีความน่าเชื่อถือ เมื่อสมอ้างตนว่าเป็นเจ้าชาย จึงทำให้มีผู้หลงเชื่อ แม้ว่าขณะที่นายพานดุรีถูกจับจะมีอาชีพเป็นหมอดูและช่างสักก็ตาม ซึ่งการแอบอ้างตนเป็นเจ้านายเขมรก็ยังมีอยู่อีกหลายกรณี ต่างกรรม ต่างวาระกันออกไป

ลับแลกระจก : บานกระจกที่เชื่อมอดีต และปัจจุบัน พร้อมความลับแห่งประวัติศาสตร์ใน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ

หากคุณได้ชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ฉากหนึ่งที่อาจผ่านตาแต่ไม่ทันสังเกต คือฉากในห้องลับหลังหอสมุดวชิรญาณ ที่ตัวละคร 'ลุงดอน' บรรณารักษ์ผู้เงียบขรึม เก็บกระจกบานใหญ่ไว้ในความมืด หากไม่ได้ใส่ใจ คุณอาจมองข้ามสิ่งที่อาจเป็น 'กุญแจ' ของประวัติศาสตร์อันลึกซึ้ง

กระจกบานนั้นใหญ่โต โดดเด่นด้วยกรอบไม้จำหลักลายพรรณพฤกษาและลายรักร้อยผสมผสานลวดลายแบบตะวันตกอย่างกลมกลืน แต่สิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจยิ่งขึ้นคือ ไม้กางเขนกับมงกุฎ สัญลักษณ์ที่อาจดูเหมือนไม่ใช่ของไทย แต่กลับปรากฏบนงานฝีมือในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ทำให้เกิดคำถาม—กระจกนี้มาจากไหน และมีความหมายอย่างไร?

จากราชมณเฑียร วังหน้า สู่ความลับในห้องสมุด
การสืบค้นประวัติศาสตร์พาเราย้อนกลับไปสู่ราชมณเฑียร วังหน้า ที่ซึ่งกระจกบานนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชมณเฑียรของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กระจกดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะตัว เป็นงานออกแบบที่สะท้อนการพบกันระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก—ลายไทยอันประณีตเคียงคู่กับสัญลักษณ์คริสต์ศาสนาอย่างไม้กางเขนและมงกุฎ สื่อถึงการต่อสู้ การทดสอบ และรางวัลจากสวรรค์ กระจกนี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องตกแต่งพระราชมณเฑียร แต่ยังสะท้อนพระราชรสนิยมและพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ในการนำพาประเทศไทยเข้าสู่โลกสมัยใหม่

แรงบันดาลใจในวรรณกรรมและภาพยนตร์
ความลึกลับของกระจกบานนี้ยังอาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับ ทวิภพ วรรณกรรมเรื่องเยี่ยมที่ตัวเอกใช้กระจกบานใหญ่เป็นช่องทางย้อนเวลา เพื่อสื่อสารและเรียนรู้จากอดีต เช่นเดียวกับบทบาทใน 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ที่กระจกนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงระหว่างอดีตและปัจจุบัน

กระจกในฐานะสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์
ในบริบทของภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ลับแลกระจกไม่ได้เป็นเพียงสิ่งประกอบฉาก แต่แฝงความหมายที่ลึกซึ้ง มันเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย การมองอดีตเพื่อทำความเข้าใจกับปัจจุบัน และความลับที่ถูกเก็บซ่อนไว้ในมุมมืดของประวัติศาสตร์

การปรากฏของลับแลกระจกในภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียดของทีมผู้สร้าง ที่นำสิ่งของทางประวัติศาสตร์มาผสมผสานกับการเล่าเรื่องได้อย่างงดงาม นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวของการปฏิวัติ หากแต่เป็นการชวนให้เรา 'มอง' ประวัติศาสตร์ในแง่มุมใหม่—ผ่านบานกระจกที่สะท้อนความจริงหลายชั้น ทั้งที่เราเคยมองข้ามไปและที่เราไม่เคยรู้มาก่อน

สำหรับใครที่ชมภาพยนตร์ 2475 รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ แล้วเกิดความสนใจใน ลับแลกระจก ที่ปรากฏในฉากของ 'ลุงดอน' และอยากเห็นของจริง คุณสามารถตามรอยประวัติศาสตร์นี้ได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

ตำแหน่งของกระจกในปัจจุบัน
ลับแลกระจกบานนี้ถูกจัดแสดงอยู่ในส่วนหนึ่งของพระที่นั่งบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ซึ่งเดิมเคยเป็นราชมณเฑียรในวังหน้า พระราชวังของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว กระจกบานนี้ยังคงความสง่างาม แม้เวลาจะผ่านไปกว่าร้อยปี ด้วยกรอบไม้จำหลักลายพรรณพฤกษาและลายรักร้อยอันวิจิตรที่สะท้อนถึงความสามารถของช่างฝีมือในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

การเดินทางไปชม
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งอยู่บริเวณถนนหน้าพระธาตุ ใกล้สนามหลวง กรุงเทพมหานคร การเดินทางสะดวกสบายทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารสาธารณะ หรือหากคุณอยู่ใกล้ย่านเมืองเก่า สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าสายสีม่วง (MRT) มาลงที่สถานีสนามไชย และต่อรถหรือเดินเพียงเล็กน้อยก็ถึงสถานที่

สิ่งที่คุณจะได้พบ
เมื่อไปถึง คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศทางประวัติศาสตร์ที่ยังคงอบอวลอยู่ในทุกมุมของพิพิธภัณฑ์ นอกจากลับแลกระจก คุณยังจะได้ชมโบราณวัตถุอื่น ๆ ที่สะท้อนวิถีชีวิต รสนิยม และศิลปะในยุคของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของพระองค์ในประวัติศาสตร์ไทย

ข้อควรทราบ
การเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ควรตรวจสอบเวลาทำการล่วงหน้า โดยทั่วไปเปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 9.00-16.00 น. และปิดทำการในวันจันทร์-อังคาร การซื้อตั๋วเข้าชมสามารถทำได้ที่จุดขายตั๋วบริเวณพิพิธภัณฑ์

นี่คือโอกาสที่คุณจะได้สัมผัสประวัติศาสตร์อย่างใกล้ชิด และชื่นชมความงดงามของลับแลกระจกในสถานที่จริง—การพบกันของอดีตและปัจจุบันผ่านบานกระจกที่สะท้อนความลึกซึ้งของประวัติศาสตร์ไทย

ย้อนประวัติศาสตร์ปฏิบัติการวันคริสต์มาส ภารกิจมนุษยธรรมเพื่อชาวเกาะห่างไกลในแปซิฟิก

ช่วงนี้ยังอยู่ในเทศกาลแห่งความสุข จึงขอนำเรื่องราวดีดี อ่านแล้วมีความสุขมาบอกเล่าให้กับท่านผู้อ่าน TST เป็นความจริงแท้ที่แน่นอนว่า เหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ แม้ว่า ด้านหนึ่งของรัฐบาลสหรัฐฯมักจะมีส่วนร่วมแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับชาติต่าง ๆ ไปทั่วโลกมากมายหลายครั้งหลายหน แต่อีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ โดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติอยู่เป็นนิจเสมอมาคือ ปฏิบัติการด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Operations) อันเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการที่เกี่ยวกับมวลชน และ Operation Christmas Drop ก็เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมของกองทัพสหรัฐฯ

Operation Christmas Drop กลายเป็นปฏิบัติการที่เป็นประเพณีได้เริ่มต้นขึ้นในปี 1952 และนับตั้งแต่นั้นได้กลายเป็นภารกิจของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯที่ดำเนินการมายาวนานที่สุดด้วยการปฏิบัติการเต็มรูปแบบ และเป็นปฏิบัติการบินขนส่งเพื่อมนุษยธรรมที่ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยชุมชนท้องถิ่นในกวม ซึ่งส่วนใหญ่ดำเนินการโดยบุคลากรในฐานทัพอากาศ Andersen กวม และฐานทัพอากาศ Yokota ประเทศญี่ปุ่น และมีหมู่เกาะ Micronesia เป็นเป้าหมาย ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (DOD) ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงปี ค.ศ. 1948-49 กองทัพสหรัฐฯ ก็ได้เปิดปฏิบัติการ Berlin Airlift เพื่อขนส่งอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์ทางอากาศไปยังชาวเบอร์ลินตะวันตก หลังจากที่สหภาพโซเวียตปิดกั้นการจราจรทางรถไฟและทางถนนไปยังเบอร์ลินตะวันตก ()

ปฏิบัติการนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1951 เมื่อลูกเรือของเครื่องบินลาดตระเวนแบบ WB-29 สังกัดฝูงบินลาดตระเวนตรวจอากาศที่ 54 ซึ่งประจำอยู่ ณ ฐานทัพอากาศ Andersen ในกวม กำลังบินปฏิบัติภารกิจไปทางทิศใต้ของเกาะกวมเหนือ บริเวณเกาะปะการังใกล้เกาะ Kapingamarangi ของ Micronesia เมื่อพวกเขาเห็นชาวเกาะกำลังโบกมือให้ พวกลูกเรือจึงรีบรวบรวมสิ่งของที่มีอยู่บนเครื่องบินใส่หีบห่อที่ติดร่มชูชีพ และทิ้งสิ่งของลงไปในขณะที่พวกเขาทำการบินวนอีกรอบ ชาวบนเกาะ Agrigan เล่าว่า “พวกเราเห็นสิ่งเหล่านี้ออกมาจากด้านท้ายของเครื่องบิน และผมก็ตะโกนว่า ‘มีสิ่งของถูกทิ้งลงมา’ “ในตอนนั้น หมู่เกาะเหล่านั้นยังไม่มีไฟฟ้าหรือน้ำประปา และเกาะต่าง ๆ ก็ถูกพายุไต้ฝุ่นพัดถล่มเป็นระยะ ๆ หีบห่อชุดแรกบางส่วนไม่สามารถลงมาถึงที่หมายตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งชาวเกาะจึงว่ายน้ำออกไปเพื่อเก็บสิ่งของบางส่วน ในขณะที่บางส่วนถูกน้ำพัดห่างออกไปหลายไมล์และถูกค้นพบในหลายเดือนต่อมา

Operation Christmas Drop เป็นภารกิจของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องที่สุด ซึ่งยังคงปฏิบัติงานเต็มรูปแบบ และเป็นการบินขนส่งเพื่อมนุษยธรรมที่ยาวนานที่สุดในโลก ในปี 2006 มีการส่งของมากกว่า 800,000ปอนด์ (360,000 กก.) โดยปฏิบัติการดังกล่าวเปิดโอกาสให้กองทัพสหรัฐฯได้ฝึกฝนการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เนื่องด้วยคาดว่า กองทัพสหรัฐฯจะลดปฏิบัติการในอิรักหรือพื้นที่อื่น ๆ ลง ภายหลังการถอนกำลังทหารออกมา โดยอาสาสมัครในฐานทัพอากาศ Andersen รวมถึงฝูงบินเคลื่อนย้ายทางอากาศที่ 734 รวมทั้งลูกเรือและเครื่องบินจากฝูงบิน 36 ฐานทัพอากาศ Yokota ประเทศญี่ปุ่นได้เข้าร่วมในปฏิบัติการด้วย นอกจากนั้นแล้วยังมีสมาชิกของชุมชนต่าง ๆ ในกวมได้ช่วยดำเนินการอีกด้วย โดยได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากกิจกรรมระดมทุนต่าง ๆ อาทิ การแข่งขันกอล์ฟ และการแข่งขันวิ่งการกุศล รวมถึงธุรกิจในท้องถิ่นที่ให้การสนับสนุนสำหรับของขวัญในแต่ละกล่องด้วย ปฏิบัติการในปี 2006 มีการส่งของไป 140 กล่องใน 59 เกาะ และปฏิบัติการในปี 2011 ยังเพิ่มการส่งสารเหลวสำหรับหลอดเลือดจำนวน 25 กล่องไปยังเกาะ Fais เพื่อช่วยในการต่อสู้กับการระบาดของโรคไข้เลือดออกในท้องถิ่น กล่องสิ่งของถูกทิ้งลงในทะเลบริเวณใกล้ชายหาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งของเหล่านั้นตกใส่ผู้คนในพื้นที่

ในปี 2014 กองกำลังทางอากาศสหรัฐฯประจำภาคพื้นแปซิฟิกได้ส่งมอบเสบียง 50,000 ปอนด์ไปยัง 56 เกาะในหมู่เกาะ Micronesia ในปี 2015 กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศของญี่ปุ่น (JASF) และกองทัพอากาศออสเตรเลีย (RAAF) ได้เข้าร่วมในปฏิบัติการร่วมกับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งต่างได้ส่งเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 Hercules ชาติละ 1 ลำ เพื่อเข้าร่วมฝูงกับเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 อีก 3 เครื่องของสหรัฐอเมริกา JASDF และ RAAF ยังได้เข้าร่วมในปฏิบัติการในปี 2016 และ 2017 และธันวาคม 2017 ถือเป็นเหตุการณ์การฝึกปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมครั้งแรกสำหรับเครื่องบินแบบ C-130J จากฐานทัพอากาศ Yokota รวมถึงการแข่งขัน Quad-lateral ครั้งแรกกับ JASDF, RAAF และกองทัพอากาศฟิลิปปินส์ ในปี 2021 กองทัพอากาศสาธารณรัฐเกาหลีได้เข้าร่วมในปฏิบัติการนี้เป็นครั้งแรก และในปี 2023 กองทัพอากาศแคนาดาเข้าร่วมเป็นครั้งแรกเช่นกัน ปัจจุบันประเพณีคริสต์มาสที่ไม่เหมือนใครนี้ ยังคงดำเนินต่อไปด้วยการบริจาคจากผู้อยู่อาศัยและบริษัทธุรกิจของกวม โดยกล่องแต่ละใบที่ถูกทิ้งจากเครื่องบินลำเลียงแบบ C-130 จะมีน้ำหนักราว 400 ปอนด์ (180 กก.) และมีสิ่งของต่าง ๆ เช่น อวนจับปลา วัสดุก่อสร้าง นมผง อาหารกระป๋อง ข้าว ตู้เย็น เสื้อผ้า รองเท้า ของเล่น และอุปกรณ์การเรียน ฯลฯ

ในปี 2020 NETFLIX ได้สร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในชื่อเดียวกันคือ Operation Christmas Drop ซึ่งเป็นเรื่องราวของ Erica Miller (Kat Graham) ผู้ช่วย สส. Bradford จาก Washington D.C. ซึ่งได้รับมอบหมายให้มาสืบสวนตรวจสอบฐานทัพอากาศสหรัฐฯแห่งนี้ ด้วยความตั้งใจที่จะหาเหตุผลเพื่อสั่งปิดฐานทัพฯนี้ (โดยเจ้านายของเธอ สส. Bradford วิจารณ์ว่า “เป็นการใช้อุปกรณ์ทางทหารของรัฐบาลเพื่อส่งของขวัญวันคริสต์มาส” แต่ภารกิจนี้มีประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานเช่นกัน เป็นโอกาสในโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับนักบินในการฝึกซ้อมทักษะการบิน ซึ่งต้องใช้ในการสนับสนุนในการปฏิบัติการภาคพื้นดิน) มีเรืออากาศเอก Andrew Jantz (Alexander Ludwig) เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งผู้บังคับการฝูงบินลำเลียง ซึ่งได้รับคำสั่งให้นำ Erica ชมฐานทัพฯ และโน้มน้าวเธอให้เปิดใจให้กว้าง ฐานทัพฯ นี้มีประเพณีประจำปีคือ การส่งของขวัญคริสตมาสให้กับชาวเกาะต่าง ๆ ในช่วงคริสต์มาส Andrew ได้พา Erica ชมรอบ ๆ ฐานทัพฯ และเกาะต่างๆ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ปฏิบัติการอันเป็นประเพณีเช่นนี้มีความคุ้มค่า พร้อมทั้งอธิบายว่า พวกเขารวบรวมอาหารและเงินบริจาคจากคนในท้องถิ่นได้อย่างไร ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าทรัพยากรของฐานทัพ ซึ่งก็คือเงินภาษีของสหรัฐอเมริกาไม่ได้ถูกนำมาใช้ที่นี่ และเมื่อ Erica ได้รับประสบการณ์ในการเข้าร่วมปฏิบัติการดังกล่าว และได้สร้างแรงบันดาลใจจนทำให้เธอมีจิตวิญญาณแห่งคริสต์มาส เธอจึงยอมรับว่า ปฏิบัติการนี้เป็นประเพณีนี้คุ้มค่า และไม่สมควรต้องปิดฐานทัพอากาศแห่งนี้

เพชรสีน้ำเงินกับขนแกะทองคำ : ไขปริศนาใน 2475 วัตถุทรงคุณค่าที่ถูกนำมาสร้างความสับสนกับ ‘คดีเพชรซาอุ’

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ได้ดูภาพยนตร์ 2475: Dawn of the Revolution คุณอาจจำฉากหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษได้ ฉากที่หนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่อย่างเรียบง่ายบนโต๊ะ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ คุณจะเห็นว่าหน้าหนึ่งหนังสือมีภาพผู้หญิงและเพชรสีน้ำเงิน ซึ่งแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งและเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ในระดับสากล

เพชรสีน้ำเงินนั้นคือ The Wittelsbach Diamond เพชรที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของราชวงศ์ Wittelsbach แห่งบาวาเรีย เพชรนี้ไม่ใช่แค่เพชรธรรมดา แต่เป็นส่วนหนึ่งของ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ (Order of the Golden Fleece) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและอำนาจในยุโรปยุคโบราณ

จุดพิเศษของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชิ้นนี้
สิ่งที่ทำให้เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้มีความพิเศษอย่างยิ่งคือ "ขนแกะสีทอง" ที่ปรากฏอยู่ด้านล่าง เพชร Wittelsbach ทำหน้าที่เป็นจุดศูนย์กลางบนยอดของเครื่องราชฯ ขณะที่ขนแกะทองคำด้านล่างถูกออกแบบมาอย่างประณีตเพื่อสื่อถึงตำนานกรีกโบราณเกี่ยวกับขนแกะทองคำ (Golden Fleece) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความรุ่งเรือง

การออกแบบที่ซับซ้อนและความสำคัญทางสัญลักษณ์ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ ทำให้มันเป็นสมบัติที่ยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ยุโรป โดยเฉพาะราชวงศ์ Wittelsbach ซึ่งใช้เพื่อแสดงสถานะและอำนาจในยุคนั้น

การบิดเบือนในประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ภาพของ The Wittelsbach Diamond เคยถูกใช้ผิดบริบทโดยสื่อบางสำนักในประเทศไทย โดยนำมาเชื่อมโยงกับ คดีเพชรซาอุ ในลักษณะที่บิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งปล่อยข่าวลือที่มีเจตนาใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ ความเข้าใจผิดนี้สะท้อนถึงการใช้ภาพลักษณ์ของวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เพื่อสร้างความเข้าใจผิดในเชิงการเมือง

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ยิ่งสับสนไปกว่านั้นคือ เพชรซาอุ ที่ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในเวลานั้น แท้จริงแล้วไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของมันเลย ไม่มีภาพถ่ายหรือหลักฐานชิ้นใดที่ระบุได้ชัดเจนว่าเพชรดังกล่าวมีรูปลักษณะอย่างไร แต่ภาพที่ถูกนำมาใช้เพื่อประกอบข่าวในช่วงนั้นกลับเป็นภาพของอัญมณีที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับคดี

หนึ่งในภาพที่ถูกหยิบมาใช้คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ ที่มีเพชร Wittelsbach ประดับอยู่ด้านบน โดยสื่อบางสำนักนำภาพนี้มาเผยแพร่ในฐานะตัวแทนของเพชรซาอุ ทั้งที่มันเป็นสมบัติของราชวงศ์ Wittelsbach แห่งบาวาเรีย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องดังกล่าวเลย

นอกจากนี้ ยังมีการหยิบยกภาพของ Hope Diamond ซึ่งเป็นเพชรบลูไดมอนด์อีกเม็ดหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเองมาประกอบข่าวเช่นกัน Hope Diamond เป็นเพชรสีน้ำเงินที่โด่งดังจากความงดงามและเรื่องเล่าถึงคำสาป 

หนึ่งในเจ้าของที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Hope Diamond คือ Evelyn Walsh McLean สตรีผู้มั่งคั่งในสังคมชั้นสูงของอเมริกา ซึ่งได้รับเพชรนี้จาก Pierre Cartier ในปี 1911 Evelyn มักสวมเพชรนี้ในงานสังคม ทำให้มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและเอกลักษณ์ แต่ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรม เช่น การสูญเสียลูกชายและสามี รวมถึงปัญหาหนี้สิน ซึ่งหลายคนเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับคำสาปของเพชร

แต่อย่างไรก็ตาม Hope Diamond นั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด การเผยแพร่ภาพเหล่านี้สร้างความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน และทำให้เกิดการจดจำภาพผิด ๆ จนกลายเป็นเรื่องโกหกที่ถูกกล่าวซ้ำไปซ้ำมา

การบิดเบือนลักษณะนี้สะท้อนถึงวิธีการของผู้ไม่หวังดีที่ใช้ความไม่รู้หรือความคลุมเครือของข้อมูลเพื่อสร้างความเสียหายแก่สถาบันหรือบุคคลสำคัญ แม้ว่าความจริงจะถูกเปิดเผยในภายหลัง แต่ภาพจำผิด ๆ ก็ยังคงอยู่และถูกนำมาใช้ในวาระต่าง ๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองหรือเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์ไทย

เหมือนดั่งในบทสนทนาของ 'ลุงดอน' ตัวละครในภาพยนตร์ 2475 มีคำพูดที่โดดเด่นว่า "เรื่องโกหกแม้ว่าจะถูกพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว แต่ก็ยังมีคนหยิบเอามาพูดถึงเรื่อย ๆ" ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการอุปมาอุปไมยโดยหยิบยกกรณีคดีเพชรซาอุ  เพื่ออธิบายความเท็จในเนื้อหาบางส่วนที่ปรากฏในประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ซึ่งบิดเบือนภาพลักษณ์ของพระมหากษัตริย์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475...

ซึ่งทุกคน ณ เวลานั้นก็ทราบดีว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเท็จแต่ก็มีการหยิบยกประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1ขึ้นมาพูดถึงเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาโดยตลอด

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ในภาพยนตร์ 2475: Dawn of the Revolution ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงนำเสนอเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งสำคัญของประเทศไทย แต่ยังแฝงไว้ด้วยรายละเอียดที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์โลกและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง

ข้าพเจ้ายังมั่นใจว่ามีอีกหลายฉาก หลายสัญลักษณ์ที่รอให้เราได้ค้นพบและตีความ หากทุกท่านสนใจ ข้าพเจ้าจะค่อย ๆ หยิบยกมาเล่าในครั้งต่อ ๆ ไป เพราะทุกฉากในภาพยนตร์นี้เหมือนหน้าหนังสือที่มีเรื่องเล่าซ่อนอยู่ พร้อมรอให้เราเปิดอ่าน

ดังนั้น ข้าพเจ้าขอเชิญชวนทุกท่านที่หลงใหลในประวัติศาสตร์หรือสนใจในแง่มุมที่ลึกซึ้งของเรื่องราวในอดีต มาร่วมติดตามกันต่อ เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่รอการเปิดเผย และข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะเล่าให้ฟังอย่างถึงแก่นในครั้งหน้า

‘ยุให้แตกแยกแล้วปกครอง’ กลยุทธ์เก่า!! ตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน ที่ยังใช้ได้ผลอยู่เสมอ ข้อมูลคือกระสุน ความระแวงคือเป้าหมาย และความสามัคคีคือ ‘เกราะสุดท้าย’ ของเรา

(22 ธ.ค. 67) การสร้างความแตกแยก : กลยุทธ์เก่าในสงครามใหม่ที่คมกริบ รับปี2025

ในยุคที่โลกหมุนไปตามข้อมูลและเทคโนโลยี การต่อสู้ที่เคยอาศัยกองทัพและสนามรบกลับแปรเปลี่ยนเป็นสงครามในพื้นที่สาธารณะเสมือนจริง บนจอโทรศัพท์ และผ่านข้อความไม่กี่บรรทัด หลักการ ‘สร้างความแตกแยก’ ซึ่งถูกใช้มาตั้งแต่อาณาจักรโรมัน กลับมาทรงพลังขึ้นในรูปแบบที่ซับซ้อนและยากจับต้องยิ่งขึ้น

นี่คือสงครามที่ศัตรูไม่ต้องใช้กำลัง แต่สร้างศัตรูในใจเราแทน พวกเขาใช้ข้อมูลเป็นกระสุน ปลุกปั่นความคิด ขยายความขัดแย้ง และสร้างความหวาดระแวงในสังคม หลายคนอาจมองไม่เห็นว่าอาวุธชนิดนี้อยู่ตรงหน้า เพราะมันไม่ได้แหลมคมเหมือนหอกดาบ แต่แฝงตัวในคำพูด การเล่าเรื่อง และการแบ่งแยกความคิดผ่านหน้าจอ

‘เมื่อสังคมแตกแยก ความสามัคคีที่เคยเป็นเกราะกำบังย่อมพังทลาย’ และนี่คือยุคของสงครามข้อมูลข่าวสาร หรือ Hybrid Warfare ที่ผสานการใช้เทคโนโลยี บิดเบือนข้อมูล และการบ่อนทำลายจิตใจ ด้วยการสร้างศัตรูในที่ที่ควรมีความไว้เนื้อเชื่อใจ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึก 7 กลยุทธ์ที่สร้างความแตกแยกในยุคดิจิทัล และยกระดับเป็นเครื่องมือทางการเมืองและสงครามที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

จาก ‘การสร้างความไม่ไว้วางใจ’ ขยายความแตกต่างเป็นปัญหา สู่การปลุกปั่นผู้คนผ่าน ‘ไมโครอินฟลูเอนเซอร์’ ผู้ทำงานอยู่เงียบ ๆ แต่ทรงอิทธิพลเกินคาด คุณจะเห็นชัดว่า การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลและเฉียบคม

ในโลกที่สงครามสนามรบถูกแทนที่ด้วยการต่อสู้ทางความคิดและข้อมูล ‘การรู้เท่าทัน’ คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด เพราะไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม ‘หากบ้านเราแตกแยกจากภายใน ประตูชัยย่อมเปิดกว้างให้ศัตรูภายนอกเสมอ’

บทความนี้จะพาคุณไปดูกลยุทธ์หลักที่ถูกขัดเกลาให้เหมาะกับยุคดิจิทัล ตั้งแต่การสร้างไมโครอินฟลูเอนเซอร์ผู้เงียบเชียบแต่ทรงอิทธิพล ไปจนถึงการบิดเบือนข้อมูลที่ใช้โจมตีสถาบันหลักในประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ ผลลัพธ์ก็คือ ‘ความแตกแยก’ ที่ฝังรากลึกอย่างไม่ทันตั้งตัว

• ความไม่ไว้วางใจที่ถูกหว่านลงผ่านข้อมูลเท็จ
ข้อมูลเท็จ ข่าวปลอม หรือการบิดเบือนความจริงถูกปล่อยออกไปอย่างมีเป้าหมาย เพื่อสร้างความสงสัยและระแวงในหมู่ประชาชน ทำให้ความเชื่อใจที่เคยมีต่อกันและสถาบันหลักถูกกัดกร่อนไปทีละน้อย จนในที่สุด ความไม่มั่นคงทางความคิดก็กลายเป็นความขัดแย้งในระดับสังคม

• ความแตกต่างเล็ก ๆ ที่ถูกขยายให้กลายเป็นขั้วความขัดแย้ง
ความแตกต่างทางความคิด ชนชั้น ศาสนา หรือภูมิภาค ที่เคยอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ ถูกหยิบยกขึ้นมาขยายความ ให้กลายเป็น ‘ประเด็นใหญ่’ จนประชาชนแบ่งฝ่าย และมองอีกฝ่ายเป็น ‘ศัตรู’ อย่างไม่รู้ตัว

• ผลประโยชน์ที่ถูกบิดเบือนให้เป็นเชื้อไฟของความไม่พอใจ
การจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่เท่าเทียมถูกนำมาเป็นเครื่องมือปลุกปั่น โดยบิดเบือนให้เห็นว่า ‘มีใครบางคนได้มากกว่า’ หรือ ‘นี่คือความไม่ยุติธรรม’ ทำให้ฝ่ายหนึ่งรู้สึกถูกเอาเปรียบและเกิดความไม่พอใจ กลายเป็นเชื้อไฟที่พร้อมลุกลาม

• ตัวแทนปลอมที่ถูกส่งมาบ่อนทำลายจากภายใน
คนกลุ่มนี้มักถูกสร้างภาพให้ดูเหมือนเป็น ‘ผู้นำ’ หรือ ‘ตัวแทนของประชาชน’ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่ปลุกปั่นความขัดแย้ง บ่อนทำลายความสามัคคี และสร้างความวุ่นวายจากภายในสังคมทีละน้อย

• ไมโครอินฟลูเอนเซอร์: นักรบยุคใหม่ในสนามความคิค
อย่าคิดว่าใครจะต้องมีชื่อเสียงระดับประเทศถึงจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะในสงครามยุคนี้ ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ หรือผู้มีอิทธิพลขนาดเล็ก ถูกสร้างขึ้นมาเป็นหัวหอกในการปลุกปั่นความคิด พวกเขาทำงานเงียบ ๆ แต่สร้างกระแสความแตกแยกได้อย่างทรงพลัง ด้วย 4 ขั้นตอนที่แยบยลสุดขีด

1. การสร้างผู้นำความคิดเห็นแบบแฝง ดูเหมือนเป็นกลาง แต่แท้จริงกำลังชี้นำสังคมให้เดินตามแผนที่ถูกวางไว้

2. ปลุกปั่นผ่านข่าวลือ ข่าวเท็จและข้อมูลบิดเบือนถูกแพร่กระจาย ราวกับโรคระบาดที่หยุดไม่อยู่

3. ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ขุดคุ้ยเรื่องราวส่วนตัวมาขยายผล กลายเป็นเครื่องมือทำลายชื่อเสียงอย่างไร้ความปรานี

4. สร้างความหวาดระแวงและแบ่งขั้ว เมื่อคนเริ่มไม่เชื่อใจกันเอง สังคมก็ไม่ต่างจากเรือที่รั่วรอวันจม

‘แบ่งแยกแล้วปกครอง’ : ตำราที่ใช้ได้เสมอ

หากย้อนกลับไปในยุคโรมัน จักรวรรดิเคยทำให้ชนเผ่าต่าง ๆ แยกจากกันได้อย่างไร? 

คำตอบคือการบ่มเพาะความหวาดระแวงและความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเล็ก ๆ ไม่ให้มีใครรวมพลังกันได้ นั่นคือ ‘Divide and Rule’ กลยุทธ์แสนคลาสสิกที่ยังคงถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเวทีการเมืองโลก

หลายพันปีผ่านไป เครื่องมือในการแบ่งแยกอาจเปลี่ยนจากคำสั่งทหารเป็น ‘คำพูด’ และ ‘ข่าวสาร’ แต่เป้าหมายยังเหมือนเดิม คือทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาตั้งแง่ระแวงซึ่งกันและกัน ขัดแย้งกันเองโดยไม่ต้องรบสักนัด ลองสังเกตดูสิว่า ทุกครั้งที่สังคมเกิดประเด็นร้อน ๆ ทำไมเราถึงรีบจัดฝ่าย จัดขั้ว ยืนอยู่ตรงข้ามกันอย่างรวดเร็วราวกับถูกวางหมากเอาไว้?
พวกเขาอาจสร้างศัตรูขึ้นมาสักคน สร้างปัญหาขึ้นมาสักอย่าง และชี้นิ้วว่า ‘นั่นแหละคือสาเหตุ’ เราเองก็หลงติดกับดัก ด่าทอกันจนลืมไปว่า ศัตรูที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่เป็นคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างแยบยล

ที่เจ็บปวดยิ่งกว่า คือการบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นสายใยผูกพันให้สังคมมั่นคงกลับกลายเป็นเครื่องมือสร้าง ‘ความเกลียดชัง’ นำเรื่องเล่าผิด ๆ มาเติมเชื้อไฟจนผู้คนหันมารบราฆ่าฟันกันเอง ทั้งที่เราควรเรียนรู้จากอดีต แต่กลับถูกหลอกใช้ให้ทำลายอนาคตของตัวเอง

สงครามสมัยใหม่ : การต่อสู้ที่มองไม่เห็น
สงครามไฮบริดในปัจจุบันผสมผสานการบ่อนทำลายจากภายใน ผ่านจิตวิทยาและเทคโนโลยี ยกตัวอย่างเช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย หรือกลยุทธ์แบบ Hun Sen Model ที่ใช้การควบคุมกองทัพและแทรกแซงสถาบันหลักในประเทศ คุณจะเห็นชัดว่า การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หากแต่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างแยบยลและเฉียบคม

นี่ไม่ใช่สงครามที่มีรถถังประจันหน้า หรือเสียงปืนดังสนั่น แต่มันคือสงครามที่เล่นกับความคิดของเราโดยไม่รู้ตัว เราไม่ได้กำลังต่อสู้กับทหารที่ยกพลมาหน้าประตูเมือง แต่กำลังเผชิญกับเกมจิตวิทยาผ่านข่าวปลอม โพสต์ที่ชวนขบคิด และการปลุกปั่นให้สังคมแตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

สงครามไฮบริดในปัจจุบันคือการสอดแทรกความขัดแย้งในทุกมิติ จากเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงความเชื่อและวัฒนธรรม สิ่งที่เราเห็นไม่ใช่ควันปืน แต่คือความร้าวฉานที่แผ่กระจายไปทั่ว ราวกับไฟลามทุ่งที่ไม่มีใครหยุดได้

สิ่งที่น่ากลัวคือ เราทุกคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสงครามนี้อย่างไม่รู้ตัว เพียงแค่แชร์โพสต์ ปล่อยความเกลียดชังให้แพร่กระจาย หรือเลือกยืนขั้วใดขั้วหนึ่งโดยไม่ทันได้คิดว่า 

‘แล้วสุดท้ายใครได้ประโยชน์’

สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่การชนะสงครามในสนามรบ แต่คือการเห็น ‘เราต่อสู้กันเองจนหมดแรง’ แล้วในวันที่ความสามัคคีของเราสูญสิ้น นั่นแหละคือ ‘วันที่พวกเขาชนะอย่างสมบูรณ์แบบ’

บทสรุป : แพ้หรือชนะขึ้นอยู่กับความตื่นรู้ของเราเอง
‘การแตกแยกจากภายใน’ เป็นจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ หากประชาชนไม่ตระหนักรู้และร่วมกันสร้างภูมิคุ้มกันทางความคิด การล่มสลายของชาติย่อมไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะในสงครามยุคนี้ ‘ข้อมูลคือกระสุน ความระแวงคือเป้าหมาย และความสามัคคีคือเกราะสุดท้ายของเรา’

ถ้าเรารู้เท่าทัน ตื่นตัว และไม่ปล่อยให้ใครมาปลุกปั่นความเกลียดชังได้ง่าย ๆ ความสามัคคีก็จะกลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

รู้จัก ‘สำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ (D.O.G.E.)’ หน่วยงานระดับกระทรวงล่าสุดภายใต้รัฐบาล Trump ชุดใหม่

ประธานาธิบดี Donald Trump มีกำหนดจะเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา Trump ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ตั้งแต่ปี 2017 ถึง 2021 มีกำหนดจะเข้ารับตำแหน่งหลังจากที่เขาเอาชนะ Kamala Harris รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 โดยชนะทั้งคะแนนนิยม (Popular vote) และคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral college) เมื่อเข้ารับตำแหน่ง เขาจะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่สองในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ที่ดำรงตำแหน่งไม่ติดต่อกันต่อจากอดีตประธานาธิบดี Grover Cleveland ในปี 1893 และเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีที่มีอายุมากที่สุด (78 ปี) ทั้งยังเป็นคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งหลังจากถูกฟ้องร้องเพื่อถอดถอนและเป็นคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา

ความแปลกและแตกต่างจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอื่น ๆ ที่ผ่านมาของประธานาธิบดี Donald Trump ด้วยพื้นฐานภูมิหลังจากการเป็นนักธุรกิจและทำงานด้านสื่อมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน กอปรกับประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้วหนึ่งสมัย ทำให้เกิดคำมั่นสัญญาในการหาเสียงของประธานาธิบดี Trump ที่จะลดการใช้จ่าย ลดขนาด และการขาดดุลการคลังของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ โดยแนวคิดในการตั้งคณะทำงานที่เรียกว่า ‘สำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ (Department of Government Efficiency : D.O.G.E.)’ เกิดขึ้นระหว่างการพูดคุยหารือระหว่าง Elon Musk ผู้บริหาร TESLA และประธานาธิบดี Trump โดย Musk ได้เสนอแนวคิดในการตั้งสำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐในเดือนสิงหาคม 2024 ประธานาธิบดี Trump ได้กล่าวในการหาเสียงว่า หากเขาได้รับการเลือกตั้ง เขาจะให้ Musk รับตำแหน่งที่ปรึกษาเสริมสร้างประสิทธิภาพในรัฐบาล และเพื่อตอบสนองต่อเรื่องนี้ Musk ได้เขียนโพสต์บน X ระบุว่า "ผมเต็มใจที่จะให้บริการ" พร้อมกับภาพของเขาที่สร้างโดย AI ซึ่งยืนอยู่หน้าแท่นปราศรัยที่มีข้อความว่า "สำนักงานเสริมสร้างประสิทธิภาพในภาครัฐ" ต่อมาประธานาธิบดี Trump ได้เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวและให้ Musk และ Vivek Ramaswamy (ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Roivant Sciences CEO ของ OnCore Biopharma และ Arbutus Biopharma) เป็นผู้รับผิดชอบ

Musk ระบุว่า D.O.G.E. จะสามารถช่วยลดงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การลดความสูญเปล่า การยกเลิกหน่วยงานที่ซ้ำซ้อน และการจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง Ramaswamy ยังระบุด้วยว่า D.O.G.E. อาจจะยุบหน่วยงานของรัฐบาลกลางทั้งหมด และลดจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางลงได้มากถึง 75% และ Musk ยังเสนอให้รวมหน่วยงานของรัฐบาลกลางจากมากกว่า 400 หน่วยให้เหลือต่ำกว่า 100 หน่วย ซึ่ง Musk ได้อธิบายว่าการยกเลิกและปรับปรุงกฎระเบียบเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปสู่โครงการตั้งอาณานิคมบนดาวอังคารของ SpaceX และให้สัญญาว่าเขาจะ "ทำให้รัฐบาลไม่ต้องแบกรับภาระและเงินของประชาชนอีกต่อไป" 

สำนักงานนี้จะมีลักษณะเป็นคณะทำงานซึ่งคล้ายกับความพยายามก่อนหน้านี้ อาทิ คณะกรรมาธิการ Keep ในสมัยอดีตประธานาธิบดี Theodore Roosevelt หรือคณะกรรมาธิการ Grace ในสมัยอดีตประธานาธิบดี Ronald Reagan และคณะกรรมาธิการ National Partnership for Reinventing Government ของอดีตรองประธานาธิบดี Al Gore และ 14 พฤศจิกายน 2024 Musk ได้เชิญชวนให้บุคคลที่สนใจเข้าทำงานให้กับ D.O.G.E. โดยสามารถส่ง CV ไปยังบัญชี X ของ D.O.G.E. บนโซเชียลมีเดีย และแม้จะเรียกว่า ‘กระทรวง (Department)’ แต่ก็ไม่ใช่หน่วยงานบริหารระดับรัฐบาลกลางซึ่งจะต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาก่อนจึงจะจัดตั้งหน่วยงานนี้ได้ แต่จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ปรึกษาที่ปฏิบัติงานนอกรัฐบาลแทน โดยหน่วยงานนี้อาจดำเนินงานภายใต้รัฐบัญญัติคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับรัฐบาลกลาง (The Federal Advisory Committee Act)

แม้ว่า D.O.G.E ไม่น่าจะมีอำนาจในการควบคุมใด ๆ ด้วยตัวเอง แต่แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่าหน่วยงานแห่งนี้สามารถมีอิทธิพลต่อฝ่ายบริหารชุดใหม่และมีกระบวนการกำหนดงบประมาณได้ ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่าหน่วยงานดังกล่าวจะช่วย “ปรับปรุงแก้ไข ยุบเลิกระบบรัฐการ ลดกฎระเบียบที่มากเกินไป ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย และปรับโครงสร้างหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลกลาง” นอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกว่ามัสก์และรามาสวามีจะทำงานร่วมกับสำนักงานบริหารจัดการและงบประมาณเพื่อจัดการกับสิ่งที่เขาเรียกว่า "การฟุ่มเฟือยและการฉ้อโกงครั้งใหญ่" ในการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2024 Musk ได้เสนอให้ยุบสำนักงานคุ้มครองทางการเงินผู้บริโภค (The Consumer Financial Protection Bureau) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ 1,600 นาย ใช้งบประมาณปีละราว 600ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แนวคิดของ Musk และ Ramaswamy เป้าหมายสูงสุดของ D.O.G.E. คือการมีประสิทธิภาพมากพอที่จะขจัดความจำเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุด และมีการกำหนดวันสิ้นสุดการทำงานของ D.O.G.E ไว้ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของ Ramaswamy ที่ว่าโครงการของรัฐบาลส่วนใหญ่ควรจะต้องมีวันสิ้นสุดโครงการที่ชัดเจน สอดคล้องกับประธานาธิบดี Trump ที่กล่าวว่างานของ D.O.G.E. จะ "เสร็จสิ้น" ไม่เกินวันที่ 4 กรกฎาคม 2026 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 250 ปีการลงนามในคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาตรงกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 250 ปีของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดี Trump เรียกผลลัพธ์ที่เสนอโดย D.O.G.E. ว่าเป็น "ของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับอเมริกา" จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจในอันที่จะเห็นว่า D.O.G.E. จะทำให้ภารกิจของกระทรวงต่าง ๆ ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

สำหรับบ้านเราแล้ว มีหน่วยงานในลักษณะนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ 22 ปีก่อน จากการปฏิรูประบบราชการเมื่อปี พ.ศ. 2545 ซึ่งส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนกระบวนการบริหารงานและการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการในทุกกระทรวง ทบวง กรม ครั้งใหญ่ อันเป็นผลมาจากพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 และ พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ทำให้เกิดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ส่วนราชการระดับกรม ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ ริเริ่ม ผลักดัน และเสนอแนะนโยบายต่อคณะรัฐมนตรีในเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติราชการ และการพัฒนาระบบราชการ ผ่านกลไกต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (Good Governance) เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่พี่น้องประชาชนคนไทย ผลงาน 22 ปีของสำนักงาน ก.พ.ร.ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของหน่วยราชการตามที่เราท่านได้ใช้บริการและประสบพบเจอในปัจจุบันทุกวันนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top