Thursday, 8 June 2023
COLUMNIST

บ๊ายบายบางกอก!! ย้อนอดีต 30 ปี เมื่อครั้งจากเมืองไทยสู่อเมริกา ประสบการณ์สุดล้ำค่า กับภาพจำที่ยังชัดเจน

หลังจากที่เขียนบทความทางการเมืองเป็นชิ้นแรก ก็มานั่งคิดดูว่าคอลัมน์ที่เราเขียนนั้นชื่อว่า “เรื่องเล่าจากนิวแฮมเชียร์” แล้วไฉนเราถึงดันไปเล่าเรื่องชาวบ้าน จึงขออนุญาตตั้งต้นใหม่ คราวนี้เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง เล่าจากมุมมองของตัวเอง ต้องขออภัยแต่เนิ่น ๆ ว่าข้อเท็จจริงอาจจะบิดเบือนไปบ้าง เนื่องจากกาลเวลาผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้วที่ขึ้นเครื่องบินมาเพื่อศึกษาต่อ ขอเปลี่ยนชื่อบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในเรื่องเล่า เพื่อปกป้องสิทธิส่วนบุคคลของพวกเขา ไม่อยากให้มีการขุ่นข้องหมองใจเหมือนบล็อกเล่าเรื่องรักหลายเศร้าที่เป็นละครซีรีย์ดังทะลุฟ้าเมื่อหลายปีมาแล้ว ก็อย่างที่เอ่ยมาแล้วข้างต้น มุขปาฐะนั้นมาจากความทรงจำของตนเองล้วน ๆ ไม่ได้อิงอนุทิน เพราะเป็นคนที่เสียนิสัยไม่ชอบจด หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับความบันเทิงและสาระจากงานเขียนไม่มากก็น้อย

ภาพยนตร์ยอดมนุษย์ที่ดังๆของมาร์เวล เช่น แบตแมน ซุปเปอร์แมน หรือ ชางซี เปิดเรื่องโดยอ้างถึงปูมหลังของแต่ละตัวละคร เพื่อให้เข้าใจถึงที่มาและเหตุการณ์ในอดีตที่หล่อหลอมความคิด จุดประสงค์ และความสามารถของตัวละครนั้นๆ แต่ก็มีภาพยนตร์หลายเรื่องที่เริ่มต้นจากฉากที่เร้าใจที่สร้างปมในโครงเรื่อง ซึ่งเทคนิคในการดำเนินเรื่องแบบนี้เรียกว่า In medias res เทคนิคนี้จะใช้ในภาพยนตร์สืบสวนเป็นส่วนใหญ่ เพื่อสร้างความระทึกใจให้แก่ผู้ชม ขอยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจนขึ้น สมมุติว่า ถ้าสโนวไวท์ เปิดเรื่องตอนที่นางกัดแอปเปิลแล้วสลบไป แทนที่จะเริ่มจากตอนที่พ่อนางแต่งงานกับแม่มดจำแลงตอนนางเด็กๆ ก็จะทำให้ผู้อ่านสนใจอยากรู้ว่าทำไมตัวเอกถึงมีคนปองร้ายอยากกำจัดนาง เนื่องจากเราไม่ใช่สโนวไวท์ และไม่ได้อยากให้ท่านผู้อ่านหัวใจเต้นตูมตาม จึงตั้งใจเริ่มเรื่องจากวันที่ออกเดินทางจากประเทศไทยไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา

ทุกวันนี้ยังจำวันที่ออกเดินทางมาเรียนเป็นครั้งแรกได้อย่างกับเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ วันนั้นคือวันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2534 ออกเดินทางแต่เช้าตรู่โดยสายการบิน Northwest ทั้งครอบครัวมาส่งที่สนามบินดอนเมือง สมัยนั้นเวลาออกเดินทางไปต่างประเทศ ผู้ใหญ่มักจะให้พรและคล้องพวงมาลัยให้เป็นสิริมงคล ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ๆคล้องพวงมาลัยให้ ตัวเราเหมือนกับนักร้องลูกทุ่งดังบนเวที เมื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างหนำใจแล้ว ก็ถึงเวลาอำลาอาลัย น้ำตาหยดแหมะๆไปตามกันทั้งคณะ ผู้เขียนเดินจากครอบครัวอย่างใจหาย ไม่แน่ใจว่าเราจะเผชิญอะไรบ้างในอนาคตอันใกล้นี้ 

เมื่ออยู่ในเครื่องบินน้ำตายังไหลพราก ตัวเราก็ต้องควานหาเพลงมากล่อมอารมณ์ ตอนนั้นพกชาวเบาท์ เครื่องเล่นเทปคาสเซ็ทขนาดพึ่งพาและหูฟัง จริงๆแล้วชื่อเต็มๆของเครื่องเล่นเทปนี้คือ ชาวอเบาท์ (Sound about) ตามที่โซนี่ได้เริ่มผลิตในปีค.ศ. 1979 (พ.ศ. 2522) คนไทยก็ติดเรียกกันมาว่าซาวอเบาท์ทั้ง ๆ ที่โซนี่เปลี่ยนชื่อผลิตภัณฑ์เป็น Walkman ในปีถัดมา 

นอกจากนั้นคนไทยยังใช้คำว่าซาวเบาท์กับเครื่องเล่นเทปขนาดพกพาของยี่ห้ออื่นๆที่ไม่ใช่โซนี่อีกด้วย ในแนวเดียวกับเรียกผงซักฟอกว่าแฟบ เนื่องจากเวลาการเดินทางรวมทั้งเปลี่ยนเครื่องบินที่ชิคาโกประมาณ 27 ชั่วโมง ในกระเป๋าถือขึ้นเครื่องจึงหนักอึ้งไปด้วยเทปเพลงทั้งไทยและเทศและถ่านไฟฉายเพื่อไว้ใช้ฟังเพลงฆ่าเวลา

ขณะที่ฟังเพลงเพลิน พนักงานต้อนรับก็มาถามว่าจะรับเครื่องดื่มหรืออาหารอะไร พอเงยหน้าขึ้นไปจะตอบถึงกับผงะเล็กน้อยเพราะเคยชินกับพนักงานต้อนรับของสายการบินไทยสมัยก่อนนั้นอายุไม่เกินสามสิบปี รูปร่างสันทัด และสวยงามเหมือนนางงาม พนักงานต้อนรับของสายการบินต่างประเทศนั้นมีหลากหลายอายุและสัดส่วน สุภาพสตรีที่บริการอาหารและเครื่องดื่มในเที่ยวบินนั้นอายุประมาณเกือบหกสิบ แต่งหน้าเข้ม และท้วม เวลาเธอเข็นรถอาหารเครื่องดื่ม เธอต้องเอียงเข็น ขณะนั้นตัวเราไม่เข้าใจว่าทำไมสายการบินต่างชาติถึงจ้างหญิงสูงอายุและรูปร่างอวบ เมื่อได้มาอยู่ที่อเมริกาถึงเข้าใจว่าเขามีกฎหมายพิทักษ์การจ้างงาน ถ้าหากผู้สมัครสามารถทำงานที่ทางบริษัทกำหนดได้อย่างมาประสิทธิผล ผู้จ้างไม่สามารถเกี่ยงรูปลักษณ์ของผู้สมัครได้

สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ‘จักรวรรดิอิตาลี’ ขยายอำนาจเข้ายึดครอง ‘ลิเบีย’ ตำนานนักต่อสู้ ฉายา ‘สิงโตแห่งทะเลทราย’ จึงเกิด

เมื่อไม่นานมานี้ มีเพื่อนในเฟซบุ๊ก ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ของผม ได้ส่งข้อความมาหาและขอให้ผมเล่าเรื่องราวของจักรวรรดิอิตาลี ยินดีครับ จัดให้เลย กลังจากค้นคว้าหาข้อมูล เรียบเรียง แล้วจึงส่งบทความที่น่าสนใจนี้มาเผยแพร่ใน THE STATES TIMES และสำหรับใครที่สนใจเรื่องอะไร อยากรู้เรื่องไหน สามารถเขียนบอกที่คอมเมนต์ได้เลยครับ

พฤติกรรมหรือนิสัยของฝรั่งโซนยุโรปอย่างหนึ่งที่มีมานานแล้วคือ ‘การล่าเมืองขึ้น’ หรือที่เรียกว่า ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism) เป็นการใช้พลังอำนาจ โดยเฉพาะกำลังทางทหารที่เหนือกว่าไม่ว่าด้วยจำนวนกำลังพลหรือเทคโนโลยีด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ในการเข้าบังคับยึดเอารัฐหรือดินแดนอื่นให้มาอยู่ภายใต้อาณัติ เพื่อกอบโกย (หรือปล้น) ทรัพยากรของรัฐหรือดินแดนนั้นๆ ทั้งทางตรง (ยึดแล้วขนกลับประเทศเลย) และทางอ้อม (ด้วยวิธีการเรียกเก็บภาษีอากรต่าง ๆ)

สาธารณรัฐอิตาลี เดิมคือ ราชอาณาจักรอิตาลี เป็นรัฐอธิปไตยบนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งได้มีการสถาปนาขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๐๔ (ค.ศ. 1861) จากการรวมตัวกันของรัฐอิตาลีหลายๆ รัฐ ภายใต้การนำของราชอาณาจักรซาร์ดิเนีย 

ต่อมาอิตาลีได้ประกาศสงครามต่อออสเตรียในปี พ.ศ. ๒๔๐๙ (ค.ศ. 1866) โดยมีปรัสเซีย (เยอรมนีในอดีต) เป็นพันธมิตรร่วม แม้ว่าอิตาลีจะทำการรบล้มเหลว แต่ชัยชนะของปรัสเซียก็ได้ทำให้อิตาลีได้สิทธิครอบครองเวนิส ต่อมาอิตาลีได้ยกทัพเข้ายึดกรุงโรมในปี พ.ศ. ๒๔๑๓ (ค.ศ. 1870) เป็นการปิดฉากอำนาจการปกครองทางโลกของสมเด็จพระสันตะปาปาที่ต่อเนื่องยาวนานมานับพันปี 

อิตาลีเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑

ต่อมาอิตาลีได้ตอบรับข้อเสนอของ ออทโต้ ฟอน บิสมาร์ค ผู้นำปรัสเซียในการเข้าร่วมกลุ่มไตรพันธมิตรกับเยอรมนีและออสเตรียในปี พ.ศ. ๒๔๓๕ (ค.ศ. 1892) หลังจากที่อิตาลีเกิดความไม่พอใจในการขยายอาณานิคมของฝรั่งเศส อย่างไรก็ดี แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างอิตาลีกับเยอรมนีจะเป็นไปด้วยดียิ่ง แต่ความเป็นพันธมิตรกับออสเตรียกลับอยู่ในลักษณะเป็นทางการเท่านั้น 

ดังนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ (ค.ศ. 1915) อิตาลีจึงได้ตอบรับคำเชิญของสหราชอาณาจักรในการเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ ๑ และชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสงครามครั้งนั้นได้ทำให้อิตาลีก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจ โดยมีที่นั่งถาวรอยู่ในสภาสันนิบาตชาติ และราชอาณาจักรอิตาลีดำรงคงอยู่จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๙ (ค.ศ. 1946) เมื่อประชาชนชาวอิตาลีได้มีการลงประชามติให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบราชอาณาจักรไปสู่ระบบสาธารณรัฐ

จักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลีถูกสร้างขึ้นหลังจากอิตาลีเข้าไปมีส่วนร่วมกับมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ ในการแสวงหาอาณานิคมในต่างประเทศในยุคของ ‘การแย่งชิง/การล่าอาณานิคมในแอฟริกา’ ซึ่งจักรวรรดิอาณานิคมของอิตาลีถูกสร้างขึ้นช้ากว่าหรือยังคงเล็กเกินไปที่จะนำไปเปรียบเทียบกับการครอบครองโพ้นทะเลขนาดใหญ่ของมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ เช่น โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส ซึ่งต่างก็ได้สร้างจักรวรรดิขนาดใหญ่แล้วมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลืออยู่ที่เปิดให้ล่ารัฐหรือดินแดนมาเป็นอาณานิคมก็คือ ดินแดนในทวีปแอฟริกา 

ดังนั้นจักรวรรดิอิตาลีจึงกำเนิดก่อเกิดขึ้นเฉพาะในแอฟริกาตะวันออกและในลิเบีย ในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการที่ประเทศเข้าสู่ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism) ภายใต้การนำของ ‘เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini)’

เรื่องที่น้อยคนจะรู้!! เปิดอีกด้านของมหกรรมกีฬา ‘โตเกียวโอลิมปิก’ งานระดับโลกสุดยิ่งใหญ่ที่ซ่อนปม ‘สินบน-ทุจริต’ เพียบ!!

ไม่รู้ว่าข่าว ‘การทุจริตในโตเกียวโอลิมปิก’ จะมีคนไทยกี่คนที่รู้และเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เพราะสื่อบ้านเราเป็นสื่อที่มักง่าย เลือกนำเสนอข่าวที่หาง่าย ไร้การตรวจสอบ หรือไม่ทำการบ้านใดๆ เลย แต่สำหรับผมแล้ว ข่าว ‘การทุจริตในโตเกียวโอลิมปิก’ นี้ค่อนข้างมีความน่าสนใจ เพราะมีจุดเชื่อมโยงกับรัฐบาลญี่ปุ่น รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ชินโซผู้ล่วงลับ จึงสรุปข่าวนี้ให้เข้าใจได้ง่ายๆ และมาแบ่งปันให้ผู้อ่านได้อ่านกันครับ

ค่าใช้จ่ายในการจัดโตเกียวโอลิมปิกทั้งหมดนั้นอยู่ที่ 1,432,800 ล้านเยน (1兆4328億円) หรือเทียบเป็นเงินไทยตอนนี้ก็ราวๆ 375,913 ล้านบาท โดยผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดแบ่ง มีดังนี้
1.) ประเทศ 42% 
2.) เมืองโตเกียว 13%
3.) คณะกรรมการจัดการแข่งขัน 45%

โดยประเทศและเมืองโตเกียวนั้น ที่มาของเงินก็คือภาษีจากประชาชนนั่นเอง รวมเป็น 55% คิดเป็นเงิน 783,400 ล้านเยน ส่วนอีก 45% ที่รับผิดชอบโดยคณะกรรมการจัดการแข่งขันนั้นมาจากการรับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ภาคเอกชนนั้นเอง 

จึงสามารถพูดได้ว่าการจัดโตเกียวโอลิมปิกเกินครึ่งหนึ่งเป็นเงินแผ่นดิน แต่กลับมีคนบางกลุ่มหาประโยชน์จากการจัดงานกีฬาระดับประเทศที่ใช้เงินแผ่นดินนั้น ถือเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้น ซึ่งจุดที่มีการค้นพบการทุจริตในครั้งนี้ก็คือ คณะกรรมการจัดการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก เป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคม หรือ Public Interest Incorporated Foundation (公益財団法人) และด้วยเพราะการเป็นองค์กรแบบนี้ กฎหมายญี่ปุ่นจึงไม่ได้บังคับให้ต้องแสดงและเผยแพร่ข้อมูลทางธุรกิจทั้งหมดให้สังคมได้รับทราบ พูดง่ายๆ คือไม่สามารถตรวจสอบการใช้จ่ายขององค์กรด้วยวิธีปกติได้ทั้งหมด 

ตัวละครที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องนี้ในปัจจุบันคือ อดีตหนึ่งในคณะกรรมการจัดการแข่งขันชื่อ ทาคาฮาชิ ฮารุยูกิ (高橋 治之) อดีตดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทเดนท์สุ บริษัทตัวแทนโฆษณาอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ผู้มีฉายาว่าท่านดอนแห่งวงการธุรกิจด้านกีฬา โดยหน้าที่ที่ทาคาฮาชิได้รับในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการจัดการแข่งขันคืออำนาจในการเลือกสปอนเซอร์ ที่จะเป็นเงินทุนให้กับการจัดโตเกียวโอลิมปิกถึง 45% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทำให้เกิดการรับสินบนจากภาคเอกชนที่จะมาเป็นสปอนเซอร์

ณ ปัจจุบัน (26 กันยายน 2565) มีบริษัทที่กำลังถูกสืบสวนการจ่ายสินบนดังต่อไปนี้
1.) บริษัท AOKI บริษัทผลิตเสื้อสูทสำเร็จขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น (ตัวผมก็ซื้อสูทพิธีการตอนสมัยเรียนที่ญี่ปุ่นจากบริษัทนี้) ได้จ่ายเงินสินบน 51 ล้านเยน ทำให้อดีตประธานบริษัทถูกจับกุมแล้ว
2.) บริษัท KADOKAWA บริษัทสื่อบันเทิงของญี่ปุ่น ที่ประเทศไทยอาจคุ้นเคยในสื่อประเภทการ์ตูน อนิเมชั่น นิยาย รวมไปถึงธุรกิจโรงเรียนสอนศิลปะ ได้จ่ายเงินสินบน 76 ล้านเยน ทำให้อดีตประธานบริษัทถูกจับกุมแล้ว
3.) บริษัท Daiko บริษัทสื่อโฆษณา ถูกสำนักงานอัยการตั้งข้อสงสัยว่าอาจจ่ายสินบน 14 ล้านเยน กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน เก็บหลักฐาน
4.) บริษัท Park24 บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นทำธุรกิจให้เช่าที่จอดรถในโตเกียว ถูกสำนักงานอัยการตั้งข้อสงสัยว่าอาจจ่ายสินบนเพื่อให้ได้เป็นสปอนเซอร์ของโตเกียวโอลิมปิก กำลังอยู่ระหว่างการสืบสวน เก็บหลักฐาน

แต่ระดับผู้กว้างขวางในวงการสื่อสารมวลชนของญี่ปุ่น คงไม่ทำอะไรให้โดนจับง่ายๆ ถ้าไม่มีหลักฐานมัดให้ตัวคาหนังคาเขา จากการสืบสวนของสำนักงานอัยการ พบว่าเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับว่าเป็นการติดสินบน นายทาคาฮาชิได้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาชื่อ Commons (コモンズ) เพื่อรับเงินสินบนนั้นในรูปแบบเงินค่าที่ปรึกษา จ่ายเป็นเงินรายเดือน 

นอกจากนี้แล้ว เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่าบริษัทของนายทาคาฮาชิรับค่าที่ปรึกษาจากบริษัทเอกชนที่จะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์เพียงบริษัทเดียว จึงมีการเพิ่มตัวละครที่ชื่อ ฟุคามิ คาซุมาซะ (深見和政) ที่มีบริษัทที่ปรึกษาชื่อ Commons2 (コモンズ2) เข้ามารับเงินค่าที่ปรึกษาให้กับบริษัทเอกชนที่จะเข้ามาเป็นสปอนเซอร์อีกบริษัทหนึ่ง 

จากบริษัทที่ขึ้นลิสต์ข้างต้นไป บริษัท AOKI จ่ายค่าที่ปรึกษาให้กับบริษัทของนายทาคาฮาชิ โดยตรง ส่วนบริษัท KADOKAWA และ Daiko จ่ายค่าที่ปรึกษาให้กับบริษัทของนายฟุคามิ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างนายทาคาฮาชิ และนายฟุคามินั้น มีหลายจุดที่ทำให้สำนักงานอัยการคิดว่าทั้งคู่สมรู้ร่วมคิดกันในการรับสินบนครั้งนี้คือ ทั้งคู่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องสมัยที่ทำงานที่บริษัทเดนท์สุ และบริษัท Commons2 (コモンズ2) ที่นายฟุคามิก่อตั้งในปี 2012 มีนายทาคาฮาชิเป็นกรรมการบริษัท ถึงปี 2013 นอกจากนี้แล้วบริษัท Commons2 รับงานทำ CM โปรโมตโตเกียวโอลิมปิกจากบริษัท AOKI ที่ได้รับการแนะนำจากบริษัท Commons (コモンズ) อีกทอดหนึ่ง 

จากหลักฐานที่สืบสวนได้ ยังสามารถจับกุมได้เพียงนายทาคาฮาชิ, นายฟุคามิ และผู้บริหารบริษัทเอกชนข้างต้นเท่านั้น ยังมีการตั้งข้อสงสัยเพิ่มเติม เนื่องจากโตเกียวโอลิมปิกเป็นการแข่งขันระดับประเทศที่ยิ่งใหญ่ สปอนเซอร์ก็ถูกจัดแบ่งเป็น 4 ระดับ คือ 
1.) Worldwide Olympic Partner
2.) Gold Partner
3.) Official Partner
4.) Official Supporter

ทั้งสี่บริษัทล้วนเป็นเพียง Official Supporter ระดับล่างสุดของสปอนเซอร์โตเกียวโอลิมปิกเท่านั้นหรือ? แล้วระดับสูงขึ้นไปจะมีการรับสินบนหรือไม่? นั้นเป็นสิ่งที่สำนักงานอัยการกำลังสืบสวนเพิ่มเติม ถ้าได้ผลอย่างไร จะนำมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ

ถอดบทเรียนวิกฤตศรัทธาพา ‘ปอนด์’ ป่วย สู่ 3 ทางรอดค่าเงินบาท ที่ไม่ควรเดินตามรอย

ถือเป็นการปรับลดค่าเงินปอนด์อย่างรุนแรงเป็นผลโดยตรงจากนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังคนใหม่ ตามที่นายกฯ Liz Truss ได้หาเสียงไว้ว่าจะทั้งเพิ่มเงินกู้อย่างมหาศาล และจะปรับลดภาษีพร้อมกัน ท่ามกลางความกดดันที่มีอยู่เดิมจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งอังกฤษขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่แล้วถึง 8% ของ GDP และอาจจะเพิ่มเป็น 10% ได้ด้วยนโยบายของนายกฯ คนใหม่ ในขณะที่หนี้สาธารณะอยู่ที่กว่า 100% ของ GDP อยู่แล้ว

วันนี้เงินปอนด์อยู่ที่ประมาณ 1.08 ต่อดอลลาร์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อ่อนค่าที่สุดเป็นประวัติศาสตร์เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สาเหตุคือวิกฤติศรัทธา นักลงทุนสูญเสียความไว้วางใจในนโยบายรัฐบาล นี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ไทยเราเองกำลังจะเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้ง คือเข้าสู่ช่วงลดแลกแจกแถม เราจึงต้องตระหนักในความรับผิดชอบทางการคลัง 

วันนี้เราเป็นประเทศที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยที่กว้างมากที่สุดในอาเซียนเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยของอเมริกา หากทำอะไรให้เกิดวิกฤติศรัทธาขึ้นมาเราจะเสี่ยงที่จะถูกตลาดเงินกดดันให้ต้องเพิ่มดอกเบี้ยอย่างแรง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับผู้ประกอบการและประชาชนที่เป็นหนี้ อย่าคิดว่าทำอะไรก็ได้ เราเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลกที่วันนี้เปราะบางมาก ความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ศึกเลือกตั้ง ‘เมืองคอน’ ส่อแววระอุ ‘วิทยา’ ดันลูกชายลงชิงเก้าอี้ เขต 1 แข่ง พปชร.

การเมืองนครศรีฯสนุกแล้วครับ

ปรากฏโฉมขึ้นมาอีกรายเพื่อท้าชิงเก้าอี้ ส.ส.เขต 1 นครศรีธรรมราช คือ ‘พูน แก้วภารดัย’ ลูกชายของพี่น้อย ‘วิทยา แก้วภารดัย’ที่สไลด์ตัวเองออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปอยู่ร่วมหัวจมท้ายกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

พี่น้อยโพสต์ด้วยตัวเองว่า พูน-ลูกชายจะลงสมัคร ส.ส.เขต 1 นครศรีธรรมราช ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค มีแนวทางชัดเจนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

แต่เอกนัฐ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรคยืนยันว่า พรรคจะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคเป็น ‘แคนดิเดต’ นายกรัฐมนตรี

กล่าวถึงพูน เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคลุงกำนัน รวมพลังประชาธิปไตย ที่เวลานี้เปลี่ยนมาเป็นพรรครวมพลัง

ปัจจุบันพูนอยู่ในทีมที่ปรึกษาของ ดร.โจ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช แต่น่าแปลกใจว่า ทำไมพี่น้อยให้ลูกชายลงเขต 1 ทำไมไม่ไปลงเขตปากพนัง หัวไทร ซึ่งพี่น้อยมีฐานคะแนนอยู่ เป็น ส.ส.อยู่หลายสมัย จนอาจจะพูดได้ว่า ‘ผูกขาด’ เพิ่งมาพลาดให้กับ ดร.สัญหพจน์ สุขศรีเมือง จากพรรคพลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมานี้เอง และพี่น้อยมีดีกรีเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

เข้าใจว่า พี่น้อย และพูนเองหวังการสนับสนุน ช่วยเหลือจาก ดร.โจ ที่ชนะการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีด้วยคะแนนล้นหลาม เอาชนะอภิชาติ ศักดิเศรษฐ์ ไปได้อย่างเกินความคาดหมาย

แต่การเปิดตัวช้าของพูนมันจะช้าไปหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ ดร.โจ เดินพาน้องติ๊ก-จรัญ ขุนอินทร์ นายธนาคารจาก ธกส. ศิษย์เก่าเบญจมราชูทิศ และปัจจุบันเป็นนายกสมาคมศิษย์เก่าเบญจมะอยู่ด้วย ออกแนะนำตัวมานานพอสมควรแล้ว ‘ฝากด้วย น้องผม’ ซึ่งน้องติ๊กจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคภูมิใจไทย

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ดร.โจจะช่วยเหลือใคร การเมืองเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยนได้ ดร.โจจะช่วยที่ปรึกษา หรือจะช่วยเหลือทีมร่วมสถาบัน

แต่เท่าที่รู้ สมนึก เกตุชาติ อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลนครนครศรีธรรมราชหลายสมัย และเป็นพ่อของ ดร.โจ ช่วยเหลือ ‘ราชิต สุดพุ่ม’ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ลงสมัครเขต 1 เหมือนกัน เพราะลุงนึกกับราชิตเป็นญาติกัน เป็นคนถิ่นหัวไทรด้วยกันและน่าสังเกตว่า รูปพูนที่พี่น้อยนำมาลง เป็นรูปที่พูนใส่เสื้อสีเหลือง และปักที่หน้าอกว่า ‘ทีม ดร.โจ’

วาระที่โลกจับตา เดินหน้าสู่เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ความคืบหน้าที่ต้องจับตาใน APEC 2022

ภายหลังจากที่ APEC เริ่มยกระดับการประชุมสู่กลไกการตัดสินใจร่วมกันของที่ประชุมสุดยอดผู้นำ หรือ APEC Summit ที่เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในปี 1993 เมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำครั้งแรก ณ Blake Island ในรัฐวอชิงตัน การผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจสมาชิกก็ดูจะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น

ตามประเพณีของ APEC เขตเศรษฐกิจที่ได้รับเกียรติให้ทำหน้าที่ประธานในแต่ละปี จะเกิดขึ้นจากฉันทามติของที่ประชุม APEC โดยจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันระหว่างเขตเศรษฐกิจในทวีป สลับกับเขตเศรษฐกิจในภาคพื้นแปซิฟิก 

ในปี 1994 ประเทศอินโดนีเซียซึ่งอยู่ในฟากฝั่งทวีปเอเชียจึงได้รับเกียรติให้เป็นประธานการประชุมต่อจากสหรัฐอเมริกัน ซึ่งถือเป็นสมาชิกทางภาคพื้นแปซิฟิก โดยรัฐบาลอินโดนีเซียเลือกที่จะจัดการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC ขึ้นที่เมือง Bogor ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ลงไปประมาณ 60 กิโลเมตรจากกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศ

ในการประชุมครั้งนั้น สาระสำคัญที่สุดที่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของการประชุมในกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นคือ ผู้นำ APEC ได้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายระยะยาวในการสร้าง ‘เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก’ หรือที่ประชุมใช้คำว่า Free and Open Trade and Investment in the Asia-Pacific และได้กำหนดเป็น ‘เป้าหมาย’ หรือ ‘Bogor Goals’ ที่ตั้งเอาไว้ว่า “สำหรับเขตเศรษฐกิจที่มีรายได้ระดับสูงและมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจแบบพัฒนาแล้ว จะเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนกับสมาชิก APEC ภายในปี 2010 และให้แต้มต่อกับเขตเศรษฐกิจที่มีรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำ และมีระดับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจในระดับกำลังพัฒนาให้มีการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนในปี 2020”

หลังจากนั้น ก็ได้มีการตั้งคณะที่ปรึกษาภาคเอกชนขึ้นมาเป็นกลไกสำคัญในการให้ข้อเสนอแนะในมิติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเสรีและความร่วมมือในมิติอื่นๆ กับการประชุมของภาครัฐและผู้กำหนดนโยบาย โดยสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก (APEC Business Advisory Council) หรือ ABAC ได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1995 และได้ทำหน้าที่ประชุมควบคู่กันไปกับการประชุมของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ Asian Financial Crisis หรือที่พวกเราชาวไทยนิยมเรียกว่า ‘วิกฤตต้มยำกุ้ง’ ต่อเนื่องกระแสที่ตกต่ำลงของการประชุมเพื่อเปิดเสรีการค้าในระดับพหุภาคีขององค์การการค้าโลก ที่ล้มเหลวในการเปิดการเจรจารอบ Millennium Round ในปี 1999 และความล่าช้าของการเจรจาในรอบ Doha Development Round ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2001 นั้น ได้ทำให้การเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในกรอบใหญ่ๆ ดูเหมือนจะหยุดชะงักลง และหลายๆ ประเทศทั่วโลกก็มาให้ความสำคัญกับการเจรจาเพื่อเปิดเสรีการค้าในระดับทวิภาคี และในระดับภูมิภาค นั่นจึงทำให้การเจรจาการค้าในกรอบ APEC ดูจะซบเซา

อย่างไรก็ตามในปี 2007 แนวคิดที่จะปัดฝุ่นการเปิดเสรีการค้าและการลงทุนในกรอบ APEC ก็ได้ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีกครั้ง โดยการผลักดันอย่างแข็งแกร่งจากภาคเอกชน ABAC นั่นจึงเป็นการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งของความร่วมมือที่ต่อจากนี้ไปจะถูกเรียกว่า เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia-Pacific) หรือ FTAAP (อ่านว่า เอฟ-แท็บ) 

ด้านสำนักเจรจาการค้าพหุภาคี กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้มีการทำสรุปประเด็นการก่อกำเนิดของ FTAAP ไว้อย่างน่าสนใจในปี 2009 เอาไว้ว่า ผลการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่น่าสนใจคืองานศึกษาของเกาหลีใต้ที่ได้รวบรวมมาจากงานวิจัยของนักวิชาการต่างๆ โดยรายงานการศึกษาได้ยกคำถามรวมทั้งความเห็นต่อคำถามเหล่านั้นไว้ให้สมาชิกเอเปก หารือกันต่อ คำถามหลัก ๆ อาทิ... 

1.) ทำไมต้องมี FTAAP
2.) FTAAP มีประโยชน์หรือไม่
3.) การจัดทำ FTAAP เป็นไปได้หรือไม่
4.) การจัดตั้ง FTAAP จะใช้วิธีใด
5.) เอเปกควรศึกษาประเด็นใดเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการจัดตั้ง FTAAP เป็นต้น

>> ‘ทำไมต้องมี FTAAP?’ 
นักวิชาการต่างเห็นว่า เหตุผลสำคัญที่ FTAAP จะเป็นหนึ่งในหลายทางเลือกในเชิงนโยบายสำหรับสมาชิกเอเปกและโลก คือความล่าช้าในการดำเนินงานเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายโบกอร์ (Bogor Goals) ปัญหา Spaghetti bowl จากความซับซ้อนของการจัดทำ FTA / RTA ของสมาชิกเอเปก รวมทั้งความล้มเหลวในการเปิดเสรีรายสาขาโดยสมัครใจของเอเปกในช่วงที่ผ่านมา

>> ‘FTAAP มีประโยชน์หรือไม่?’ 
ผลจากงานวิจัยได้แสดงผลกระทบด้านความกินดีอยู่ดีในเชิงปริมาณว่า การจัดทำ FTAAP จะเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกเอเปกและเศรษฐกิจโลกโดยรวม หากเอเปกไม่เลือกปฏิบัติต่อประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก (Unilateral Open Regionalism Approach) โดยจะสร้างความแข็งแกร่งแก่การเปิดเสรีการค้าในระดับพหุภาคี อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่แต่ละสมาชิกจะได้รับนั้นจะแตกต่างกันตามระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

>> ‘การจัดทำ FTAAP เป็นไปได้หรือไม่?’ 
ในรายงานได้กล่าวอย่างระมัดระวัง โดยยอมรับถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณา FTAAP ว่าเป็นหนึ่งนโยบายทางเลือกในการดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนของเอเปก โดยคงไว้ซึ่งนโยบายการเปิดกว้างในภูมิภาค (Open Regionalism) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเอเปกยังขาดแรงผลักดันทางการเมือง (Political Will) ที่จะส่งเสริมการจัดทำ FTAAP ภายในเอเปก รวมทั้งมีข้อจำกัด/อุปสรรคเฉพาะในบางเรื่องในการจัดตั้ง Regional Trade bloc ของตน เช่น การดำเนินงานของเอเปกอยู่บนหลักของความสมัครใจ (voluntary) เป็นต้น

ในห้วงเวลานั้น สมาชิกเอเปกกำลังทำการบ้านกันอย่างขะมักเขม้นเพื่อศึกษาประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ FTAAP เช่น ศึกษาผลกระทบจากการจัดทำ FTAAP ทางเศรษฐกิจต่อสมาชิกเอเปกและโลก ศึกษาวิเคราะห์กลไกในการจัดทำ FTAAP ศึกษาความเหมือน/แตกต่างของข้อบทต่าง ๆ ในความตกลงการค้าเสรีของสมาชิกเอเปก (เช่น Market Access, Rules of Origin, Customs Procedures, Technical Barriers to Trade) และศึกษาเรื่องถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) เป็นต้น

เช็คความพร้อม 'ประชาธิปัตย์' นครศรีธรรมราช เตรียมเปิดตัวผู้สมัคร 9 เขต มั่นใจกวาดยกจังหวัด

"นครศรีธรรมราชไม่เงียบนะ" เป็นคำตอบมาจาก 'แทน-ชัยชนะ เดชเดโช' ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ รองเลขาธิการพรรค

"พรรคเตรียมเปิดตัวผู้สมัครทั้ง 9 เขต ในเดือนพฤศจิกายน ขณะเราได้ตัวผู้สมัครแล้ว 8 คน 8 เขต อีก 1 เขตรอการทำโพลล์"

8 คนที่ได้ตัวผู้สมัครแล้ว เป็น ส.ส.ปัจจุบัน 4 คน และเลือดใหม่ 4 คน ประกอบด้วย...

ส.ส.4 คน ประกอบด้วย ชัยชนะ เดชเดโช, ชินวรณ์ บุณยเกียรติ์, ประกอบ รัตนพันธ์ และพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล' ซึ่งใครลงเขตไหนยังระบุชัดไม่ได้ เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่ประกาศเขตเลือกตั้งออกมา 

ส่วนเลือดใหม่ 4 คน ประกอบด้วย ราชิต สุดพุ่ม, พิทักษ์เดช เดชเดโช, อวยพรศรี เชาวลิต และ ลูกชายของชินวรณ์

ส่วนอีก 9 คน เพราะ ส.ส.นครศรีธรรมราชมี 9 คน คือ โซนหัวไทร ชะอวด เชียรใหญ่ อยู่ระหว่างเตรียมการทำโพลล์ เนื่องจากมีผู้เสนอตัวลงสมัครมากกว่า 1 คน พรรคจึงต้องทำโพลล์ เป็นการทำโพลล์ระหว่าง 'ยุทธการ รัตนมาศ' อดีตรองนายกฯอบจ.นครศรีธรรมราช นายกสมาคมกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช กับ 'พงศ์สิน เสนพงศ์' น้องชายของเทพไท เสนพงศ์ เคยลงสมัครเมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อม เขต 3 คือพื้นที่โซนนี้แหละ แต่แพ้ให้กับอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ ก็คิดว่า เวลาในการพบปะแนะนำตัวเหลือน้องลงทุกวัน

ไม่ว่าจะเป็นพงศ์สิน หรือยุทธการ ในมุมมองของ #นายหัวไทร เชื่อว่า มีฐานเสียงเดียวกัน คือโซนชะอวด ฐานเสียงโซนหัวไทรจะเบาบางทั้งคู่

"เรามีวิธีในการเรียกคะแนนจากประชาชน ขอให้สนามเลือกตั้งเปิดก่อน" เป็นคำยืนยันจาก 'ชัยชนะ'

'แทน-ชัยชนะ' ยังเชื่อมั่นว่า เลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนพรรคประชาธิปัตย์จะชนะยกจังหวัด 9 ที่นั่ง

ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงสำหรับสถานการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ แต่ก็ต้องเชื่อในฝีมือของ ส.ส.แทน กับปัจจัยเกื้อหนุน แต่ก็ไม่ควรปรามาสคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งจากพรรคพลังประชารัฐที่เขามีอยู่ครึ่งหนึ่งของจังหวัดนครศรีธรรมราช 4 ที่นั่ง ทั้ง ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ, สายัณห์ ยุติธรรม, อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และสัญหพจน์ สุขศรีเมือง ที่พวกเขาฝ่าด่านมาได้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา รวมถึงเลือกตั้งซ่อมด้วย และไม่ควรมองข้ามพรรคภูมิใจไทยที่กระแสดี มีผลงาน “พูดแล้วทำ” เขากำลังจัดทัพสู้เต็มที่เหมือนกัน ปัจจัยพร้อม กระสุนดินดำมี ถ้าได้ผู้สมัครที่มีชื่อชั้น ก็จะมีราคามาต่อรองกับพรรคประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐได้เช่นกัน

ส.ส.แทน คงจะประเมินในสถานการณ์ที่ชินวรณ์ และพิมพ์ภัทรา ยังยืนหยัดสู้อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่มีกระแสข่าวหนาหูว่าทั้งสองคนถูกพรรคอื่นทาบทาม ซึ่งในสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงแย่งฐานภาคใต้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสองคนจะถูกแซะจากพรรคคู่แข่ง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของทั้งสองคน และขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์ว่าจะให้บทบาทให้ความสำคัญกับทั้งสองคนแค่ไหนในระดับไหน

ด้วยรักและศรัทธา การจาริก ‘Arba'een’ พิธีกรรมทางศาสนาประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากพลังศรัทธาของชาวชีอะห์มุสลิมที่มีต่อ ‘อิหม่ามฮุเซน’

เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา มีพิธีการจาริก Arba'een หรือ Arba'een Walk เป็นการแสวงบุญหรืองานชุมนุมทางศาสนาสาธารณะประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับมีคนรู้จักการแสวงบุญนี้น้อยเป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีผู้คนมากกว่า ๒๐ ล้านคน เดินเท้าอย่างสงบระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส เพื่อทำการจาริกแสวงบุญ Arba'een ไปยังสถานที่ฝังเรือนร่างของท่านอิหม่ามฮุเซน ผู้เป็นหลานรักของท่านศาสดามูฮำหมัด (ศ็อลฯ) ณ ดินแดน Karbala ประเทศอิรัก

การจาริก Arba'een เริ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาไว้ทุกข์ ๔๐ วันหลังวันอาชูรออ์ (ASURA) อันเป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิหม่ามฮุเซน บิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในดินแดน Karbala เมื่อวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ฮ.ศ. (ฮิจเราะห์ศักราช) ๖๑ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยอิหม่ามฮุเซนและครอบครัวพร้อมกับบรรดาสาวกจำนวน ๗๒ คนได้ร่วมเดินทางไปยังเมือง Kufa ประเทศอิรัก (ปัจจุบันรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Najaf) เนื่องจากประชาชนที่ Kufa ได้ร้องเรียกให้อิหม่ามฮุเซนมาโค่นล้มบัลลังก์ของราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ ผู้ปกครองในยุคนั้น 

โดยระหว่างการเดินทาง กองคาราวานของอิหม่ามฮุเซน ได้ไปหยุดอยู่ที่เขตที่เรียกว่า Karbala คาราวานของเขาเดินทางไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกทหารของฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์จำนวนหลายหมื่นคนได้ทำการปิดกั้น และที่สุดก็ได้สังหารอิหม่ามฮุเซนและบรรดาสาวกจนหมด 

ชาวชีอะห์มุสลิมจะไว้อาลัยอิหม่ามฮุเซนในวันอาชูรออ์ โดยการจัดพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องอิหม่ามฮุเซนจากประวัติศาสตร์ การขอดุอาอ์ การเลี้ยงอาหารและน้ำแก่คนยากจน สถานที่จัดคือที่มัสยิดฮุซัยนียะห์

จำนวนผู้เข้าร่วมแสวงบุญประจำปีมากกว่า ๒๕ ล้านคน บนเส้นทางแสวงบุญมีอาหาร ที่พัก และบริการอื่นๆ ให้บริการฟรีโดยอาสาสมัคร ผู้แสวงบุญบางคนเดินทางจากที่ต่างๆ และจากต่างประเทศ เช่น อิหร่าน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด พิธีกรรมนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น “การแสดงความเชื่อและความเป็นปึกแผ่นอันทรงพลังอย่างท่วมท้น” 

การจาริก Arba'een ตามแบบปัจจุบันเริ่มขึ้นในปี ฮ.ศ. ๑๓๑๙ ( ค.ศ.๒๔๔๔) โดยนักวิชาการศาสนาหลายคน และ Marja ยังคงรักษาแนวทางเดียวกันในการจาริก Arba'een จนถึงสมัยของประธานาธิบดีซัดดัม การจาริกแสวงบุญจึงถูกห้ามตลอดระยะเวลาภายใต้การปกครองของเขา ด้วยตัวซัดดัมเป็นชาวสุหนี่มุสลิม และฟื้นคืนมาหลังจากการโค่นล้มซัดดัมในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีผู้แสวงบุญราว ๒๕ ล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๕๙

เพื่อไทย ปาดเหงื่อ!! สนามใหญ่เลือกตั้งถิ่นปทุมธานีหนหน้า เมื่อ เกียรติศักดิ์ ตีจาก 'บิ๊กแจ๊ส' หนีไปซบอก 'ลุงป้อม'

แค่เห็นบริบทแรกของการเมืองแห่งเมืองปทุมธานี ก็ดูท่าจะสนุกแล้ว หลังจากเดิมสนามแห่งนี้พรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าอยู่ แต่อาจจะมีพรรคโน้นพรรคนี้แซมเข้ามาบ้าง พรรคละคนอะไรประมาณนี้!!

หลังจาก “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้มีวันนี้เพราะพี่ให้ ได้รับเลือกเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 'การใหญ่ก็แว่บขึ้นมา'  เพราะลูกชายก็ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีนครรังสิตด้วยอีกคน 

การใหญ่ที่ว่าคือสนามเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยต้องยึดทั้งจังหวัด

บิ๊กแจ๊สขอจัดทีมเอง และเลือกคนของตนเองลงสมัครเป็นส่วนใหญ่ นั่นจึงทำให้ ส.ส.เก่าบางคนก็ไม่ได้รับการพิจารณาส่งลงสมัครรับเลือกตั้ง ทัพจึงเริ่มแตก โดยมี “เกียรติศักดิ์ ส่องแสง” อดีต ส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนแรกๆ ที่เดินออกมาจากทีมบิ๊กแจ๊ส

“ผมตัดสินใจแล้วครับ 
ยอมตายในดาบหน้า 
แพ้เท่ากับศูนย์ เสมอได้กำไร 
ชนะคือกำไรมหาศาล
ไม่มีอะไรจะต้องเสียไปมากกว่านี้แล้วครับ”

“ผมขอเดินทางไปกับพรรคที่ให้เกียรติผม ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ได้คิดถึงเขาเลย ผมขอขอบคุณ พรรคที่ให้เกียรติผม (พปชร.) แต่บางคนในพรรคที่ผมอยากไปอาศัยชายคาด้วย ไม่ให้ราคากันบ้างเลย

“ผมขอพิสูจน์ครับ ผมขอน้อมรับครับ ผมขอเกาะไปกับขบวนตู้ท้ายนี้แล้วครับ ถึงจะเปลี่ยนผู้โดยสารคนสุดท้ายให้ใหม่ ผมมิอาจรอได้จริงๆ”

กล่าวถึงเกียรติศักดิ์ ส่องแสง สมัยอยู่ประชาธิปัตย์ ถือว่าเป็น ส.ส.ที่ขยันลงพื้นที่ต่อเนื่อง แม้จะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็แจ้งเกิดในสนามยากได้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน การเมืองเปลี่ยน เกียรติศักดิ์หันหัวเรือไปยังพรรคเพื่อไทยกับกระแสแลนด์สไลด์ แต่เมื่อเข้าไปแล้วเจอตอ ก็ต้องถอยออกมาดีกว่าให้เรืออับปาง หรือเดินออกมหาสมุทรแล้วเจอหินโสโครก ที่ไม่อาจรู้อนาคตได้ พายุใหญ่ก่อตัวอยู่กลางมหาสมุทรใหญ่ด้วย

พลันที่ เกียรติศักดิ์ เดินออกจากเพื่อไทย ฟาก “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก็อ้าแขนรับเข้าสู่อ้อมอกอันอบอุ่น ในสนามเลือกตั้ง “แพ้-ชนะ” ว่ากันในอีก 7 เดือนข้างหน้า

เลือกตั้งครั้งหน้าปทุมธานี จึงเป็นอีกสนามเลือกตั้งที่น่าจะฟาดฟันกันดุเดือด ไม่ว่าจะเป็น ทีมก้อย พรพิมล ธรรมสาร ที่ถีบตัวออกจากเพื่อไทยอีกคน และมีคนพร้อมจะลุยสู้ศึก เปิดหน้าลุยกันอยู่แล้ว ย่านลาดสวาย ลำลูกกา ก็มี “โอม-จิรชาติ” เจ้าของแนวคิดลาดสวายโมเดล ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ก็พร้อมขึ้นเวทีตะบันหน้ากับทุกพรรค แม้คราวที่แล้วโอมจะลงสมัครในนามพรรคพลังประชารัฐและก้าวไม่ถึงฝัน แต่ประสบการณ์และความขยันลงพื้นที่คลุกคลีชุมชน ก็น่าจะเรียกคะแนนได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมในนามพรรคสร้างอนาคตไทย เรียกว่าเป็นอีกเขตพื้นที่สุดท้าทายเพื่อไทยไม่น้อยกับฝันยึดจังหวัดของบิ๊กแจ๊ส

ยังไม่พูดถึงเขตอื่นที่พรรคภูมิใจไทยก็จ่อจ้องเข้ามาเบียดแทรกอยู่เหมือนกัน อย่าลืมว่าสนามเล็กอย่างคลองหลวง เด็กบิ๊กแจ๊สก็แพ้ให้กับ “เอกพจน์ ปานแย้ม” นักร้องลูกทุ่งดังในอดีตมาแล้วกับตำแหน่งนายกเทศมนตรีคลองหลวง เพราะดีกรีอดีต ส.ส.ของเอกพจน์ก็ยังมีอยู่

ก่อนหน้านี้ เมื่อเกียรติศักดิ์ เข้ามาอยู่พรรคเพื่อไทยใหม่ ๆ ก็เจอแรงต้านจากเจ้าของพื้นที่เดิมตั้งแต่ก้าวแรกแล้ว

ด้าน นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวนายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง อดีตส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ ขนทีมงานร่วม 80 ชีวิต มาสมัครเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกมองว่าอาจจะเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งสมัยหน้า เรื่องนี้ทำให้พี่น้องประชาชนจังหวัดปทุมธานี สับสน เดิมทีนายเกียรติศักดิ์ เคยเป็นส.ส.ปทุมธานี พรรคประชาธิปัตย์ เคยเคลื่อนไหวสมัยการชุมนุมกลุ่มกปปส. เคยขึ้นเวทีด่า นายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างเสียหาย ทำให้ต่อมาเกิดการรัฐประหารจากพล.อ.ประยุทธ์ และชาวบ้านเองก็ไม่ยอมรับ คนที่สนับสนุนให้เกิดการรัฐประหาร ไม่รู้ว่าทาง ผู้ใหญ่ในพรรคได้ทราบประเด็นตรงนี้หรือไม่ ในเวลาต่อมานายเกียรติศักดิ์ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้าน ทราบมาว่า การเดินทางมาสมัครของนายเกียรติศักดิ์ ได้รับการทาบทามจาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายอบจ.ปทุมธานี

นายชัยยันต์ กล่าวว่า กรณีนี้เหมือนเป็นการบีบตน พยายามทำให้เห็นว่า มีความขัดแย้งกับพรรค เป็นพวกงูเห่า สุดท้ายทนไม่ได้จึงต้องหนีไป ทั้งที่ยังไม่มีความคิดจะย้ายพรรค ยังรักอุดมการณ์พรรคเพื่อไทย ยังยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย ไม่เอาลุงตู่ อยากให้ทางพรรคเข้ามาจัดการ แก้ปัญหา เพราะชาวบ้านเองคงไม่ยอมรับแน่ ในการนำคนที่เคยสนับสนุนรัฐประหาร ขึ้นเวทีโจมตีนายทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาอยู่กับพรรค รวมทั้งอาจเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองอื่นเข้ามาแทรกแซงได้อีกด้วย

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯนครสงขลา ‘สมศักดิ์-วันชัย’ วัดดวง ‘นิพนธ์’ จะเชียร์ใคร

เรื่อง : นายหัวไทร

เมื่อตำแหน่งนายกเทศมนตรีนครสงขลาว่างลงจากการที่นายศรัญ บิลพัฒน์ นายกเทศมนตรีนครสงขลา ถูกศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี พร้อมค่าจัดการเลือกตั้งอีก 2 ล้านกว่าบาท ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

สัญญาณแรกที่ผมได้ยินจากต้นสายโทรศัพท์คือ ‘วันชัย ปริญญาศิริ’ สส.เขต 1 สงขลา พรรคพลังประชารัฐ จะลาออกจาก ส.ส.มาลงสมัครชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลาด้วยคนหนึ่ง

เป็นช่วงจังหวะปะเหมาะพอดี ถ้าลาออกจาก ส.ส.หลังวันที่ 24 กันยายนนี้ กกต.ไม่ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ว่า ถ้าอายุของสภาเหลือไม่ถึง 180 วัน ไม่ต้องจัดเลือกตั้งใหม่ ‘วันชัย’ จึงมีช่องทางโล่ง ไม่ถูกวิจารณ์เรื่องลาออก และต้องเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ

ไม่ต้องมีสัญญาณอะไร เชื่อว่า ‘สมศักดิ์ ตันติเศรณี’ อดีตนายกเทศมนตรีนครสงขลา จะต้องลงชิงแชมป์คืนแน่นอน เพราะคราวที่แล้ว ‘สมศักดิ์’ แพ้ให้กับ ‘ศรัญ’ แค่ 42 คะแนนเท่านั้นเอง ออกแรง เพิ่มพลังอีกหน่อยก็น่าจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น เพียงแต่ว่าคะแนนที่เพิ่มขึ้นจะเอาชนะ ‘วันชัย’ ได้หรือไม่

สนามเลือกตั้งท้องถิ่นเกี่ยวโยงกับสนามเลือกตั้งระดับชาติด้วย คราวเลือกตั้งปี 2562 วันชัย เอาชนะ สรรเพชญ บุญญามณี ลูกชายของนิพนธ์ บุญญามณี แต่การทำหน้าที่ ส.ส.ของวันชัย สามปีครึ่งที่ผ่านมาไม่โดดเด่นมากนัก จึงหันหัวเรือมาลงท้องถิ่น ด้วยอาจจะเห็นว่า นิพนธ์ ลาออกจาก ส.ส.มาลงชิงนายกฯอบจ.ก็สำเร็จ ไพร พัฒโน ลาออกจาก ส.ส.มาลงชิงนายกฯนครหาดใหญ่ก็สำเร็จ

ศึกชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลา ปัจจัยชัยชนะไม่ได้อยู่แค่ตัวบุคคลที่ลงสมัครเพียงด้านเดียว ต้องจับตาว่า นิพนธ์ บุญญามณี จะสนับสนุนใครระหว่าง ‘สมศักดิ์ กับ วันชัย’ มีคนตั้งข้อสังเกตว่า สมศักดิ์เข้าออกบ้านนิพนธ์ย่านเขารูปช้างทุกเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งสมศักดิ์อาจจะได้รับการสนับสนุนจากนิพนธ์ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนว่า สมศักดิ์ต้องช่วยสรรเพชญ ในเดือนพฤษภาคมนี้ เพื่อให้มีคะแนนชนะ ‘นายกฯแบน’ ประสงค์ บุรีรักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองเขารูปช้าง ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 1 สงขลา ในนามพรรคภูมิใจไทย ซึ่งหมายถึงแข่งกับสรรเพชญนั้นเอง

แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือการที่วันชัย ปริญญาศิริ ลาออกจาก ส.ส.ไปลงชิงนายกเทศมนตรีนครสงขลา เป็นการเปิดทางให้ ‘สรรเพชญ’ กับข้อแลกเปลี่ยน ‘น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า’ หรือเปล่า นิพนธ์ช่วยวันชัย วัยชัยก็หลีกทางให้สรรเพชญ และช่วยสรรเพชญให้ถึงฝั่งฝันของพ่อด้วย

กล่าวสำหรับ ‘วันชัย-สมศักดิ์’ จะเป็นคู่แข่งที่คู่คี่สูสีกันมาก สมศักดิ์ได้ในแง่การอยู่กับท้องถิ่นสงขลามายาวนาน เคยเป็นรองนายกเทศมนตรี จนมาเป็นนายกเทศมนตรีต่อจาก ‘พีระ ตันติเศรณี’ ที่ถูกลอบสังหารกลางเมืองสงขลาในแง่ปัจจัยสมศักดิ์ก็พร้อม มีธุรกิจอู่ต่อเรือทั้งฝั่งเมือง และฝั่งสิงหนคร ส่วนวันชัยก็คลุกคลีกับการเมืองมายาวนาน ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หลายครั้ง เพิ่งมาสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งปี 2562 ธุรกิจในสงขลาก็มี ชื่อเสียงคนรู้จัก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top