Sunday, 16 February 2025
COLUMNIST

เปิดเส้นทางมรณะ ‘Dunki Route’ ชาวอินเดียนับหมื่น แห่ลอบเข้าอเมริกา-ยุโรป เสี่ยงตายเพื่อฝัน

ตามข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ณ เดือนพฤษภาคม 2024 จำนวนชาวอินเดียโพ้นทะเลทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 35.42 ล้านคน คิดเป็น 2.53% ของจำนวนพลเมืองอินเดียทั้งประเทศราว 1,400ล้านคน โดย 10 ประเทศที่มีชาวอินเดียอาศัยอยู่มากที่สุดไล่เรียงจากมากไปหาน้อยได้แก่ สหรัฐฯ สหรัฐอาหรับฯ มาเลเซีย แคนาดา ซาอุดิอาระเบีย เมียนมา สหราชอาณาจักร แอฟริกาใต้ ศรีลังกา และคูเวต ซึ่งเป็นการนับรวมทั้งผู้ที่ยังคงถือสัญชาติอินเดียและผู้ที่มีเชื้อชาติอินเดียแต่ไม่ได้ถือสัญชาติอินเดียแล้ว

ตัวเลขดังกล่าว น่าจะไม่ได้นับรวมชาวอินเดียที่ลักลอบเข้าประเทศเหล่านี้อย่างผิดกฎหมายอีกจำนวนมาก ซึ่งชาวอินเดียเหล่านั้นได้ลักลอบเข้าประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศตะวันตกด้วยเส้นทางที่เรียกว่า 'Dunki route' แปลได้ว่า 'ทางลาเดิน' คำนี้มีที่มาจากสำนวนภาษาปัญจาบ 'Dunki' นอกจากแปลว่า 'ลา' แล้วยังแปลว่า “กระโดดจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง” เป็นชื่อเรียกเส้นทางที่ที่เด็ก ๆ หนุ่มสาว จากแคว้น Punjab, Haryana และ Gujarat เป็นเส้นทางผิดกฎหมายที่ผู้คนจำนวนมากใช้เพื่อข้ามพรมแดนออกจากอินเดียไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งเป็นเส้นทางที่อันตรายด้วยมีความเสี่ยงมากมาย เนื่องจากต้องอดอาหารหลายวัน เดินผ่านป่า ข้ามแม่น้ำและทะเล เพื่อหลีกเลี่ยงเจ้าหน้าที่ เส้นทางผิดกฎหมายเหล่านี้ แม้จะว่า มักจะมีภัยคุกคามและจุดจบที่ไม่พึงปรารถนา แต่ก็เป็นที่นิยมในหมู่เยาวชนที่ต้องการชีวิตที่ดีขึ้นและไล่ตามความฝันแบบอเมริกัน (American dream)

ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนของสหรัฐฯ ผู้ย้ายถิ่นฐานจากอินเดียประมาณ 42,000 คนข้ามพรมแดนทางใต้โดยผิดกฎหมายระหว่างเดือนตุลาคม 2022 ถึงกันยายน 2023 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2022 เป็นต้นมาชาวอินเดียประมาณ 97,000 คนพยายามเข้าสู่สหรัฐอเมริกาอย่างผิดกฎหมายและถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ทั้ง ๆ ที่เส้นทางไปสู่ประเทศต่าง ๆ อย่างผิดกฎหมายนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ไม่เพียงแต่ในแง่ของความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายทางการเงินด้วย การเดินทางด้วยลาไปยังสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายระหว่าง 150,000-400,000 รูปี (58,500-156,000) และอาจสูงถึง 700,000 รูปี (273,000) และยิ่งใช้เงินมากเท่าไหร่การเดินทางก็ยิ่งสะดวกสบายมากขึ้นเท่านั้น โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000 รูปีสำหรับโปรตุเกส 250,000 รูปีสำหรับเยอรมนี และ 450,000 รูปีสำหรับสหรัฐอเมริกา

ขั้นตอนแรกของ 'Dunki route' ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากอินเดียไปยังประเทศในละตินอเมริกา เช่น เอกวาดอร์ โบลิเวีย กายอานา บราซิล และเวเนซุเอลา เหตุผลที่เลือกประเทศในละตินอเมริกาเป็นเส้นทางผ่านก็คือการที่ชาวอินเดียจะเข้าประเทศเหล่านี้ได้ง่ายกว่า ประเทศเหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้วีซ่าเมื่อเดินทางมาถึง (Visa on arrival) แก่ชาวอินเดียเท่านั้น แต่ผู้ที่ต้องใช้วีซ่าก่อนเดินทางมาถึงก็สามารถขอวีซ่าท่องเที่ยวในอินเดียได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ นายหน้าที่จัดการการอพยพที่ผิดกฎหมายยังอาศัยอยู่ในประเทศเหล่านี้ซึ่งมี 'ความเชื่อมโยง' กับการค้ามนุษย์ที่ผิดกฎหมาย

เส้นทางอื่น ๆ ในบางกรณี นายหน้าจะจัดเตรียมวีซ่าตรงไปจากดูไบยังเม็กซิโก แต่การเข้าเมืองโดยตรงในเม็กซิโกถือเป็นอันตราย เนื่องจากมีโอกาสที่จะถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ดังนั้น นายหน้าส่วนใหญ่จึงส่งลูกค้าไปยังประเทศในละตินอเมริกาแล้วจึงพาพวกเขาไปที่โคลอมเบีย หลังจากมาถึงโคลอมเบีย ผู้อพยพจะเดินทางเข้าสู่ปานามา ซึ่งเส้นทางต้องข้ามช่องเขาดาริเอน ซึ่งเป็นป่าอันตรายระหว่างสองประเทศ ความเสี่ยง ได้แก่ ขาดน้ำสะอาด สัตว์ป่า และกลุ่มอาชญากร ซึ่งอาจนำไปสู่การปล้นและกระทั่งข่มขืน ในหนึ่งในกรณีที่ถูกรายงานระบุว่า ชาวอินเดียกลุ่มหนึ่งจาก Haryana ถูกขโมยเงิน โทรศัพท์ และแม้กระทั่งเสื้อผ้าและรองเท้า ขณะข้ามป่า พวกเขาต้องเดินเท้าเปล่าท่ามกลางความหนาวเย็นและหิมะ ใช้เวลาเดินทางแปดถึงสิบวัน และหากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นหรือผู้อพยพเสียชีวิต ก็ไม่มีทางที่จะส่งศพกลับบ้านได้

มีเส้นทางอื่นที่ปลอดภัยกว่าจากโคลอมเบีย ซึ่งผู้อพยพจะหลีกเลี่ยงป่าอันตรายในปานามา เส้นทางเริ่มต้นจากซานอันเดรส ซึ่งเรือประมงที่มีผู้อพยพผิดกฎหมายจะมุ่งหน้าไปยังฟิชเชอร์แมนส์เคย์ ซึ่งอยู่ห่างจากซานอันเดรสประมาณ 150 กิโลเมตร จากนั้นจึงเปลี่ยนเรืออีกลำเพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเม็กซิโก จากปานามา ผู้อพยพจะมุ่งหน้าไปยังเม็กซิโกเพื่อเข้าสู่ชายแดนสหรัฐฯ และกัวเตมาลาเป็นศูนย์กลางการประสานงานที่สำคัญในเส้นทางนี้ เม็กซิโกเป็นเส้นทางที่สำคัญในการเดินทาง เนื่องจากต้องหลบซ่อนจากหน่วยงานพิทักษ์ชายแดน พรมแดนสหรัฐฯ และเม็กซิโกที่ยาว 3,140 กิโลเมตรที่กั้นระหว่างสหรัฐฯ และเม็กซิโกออกจากกันมีรั้วกั้น ซึ่งผู้อพยพจะต้องกระโดดข้ามไป และผู้อพยพอื่น ๆ อีกจำนวนมากต้องข้ามแม่น้ำริโอแกรนด์ที่อันตราย อย่างไรก็ตาม ผู้อพยพจำนวนมากถูกจับกุมหลังจากข้ามแม่น้ำริโอแกรนด์ แทนที่จะข้ามรั้วหรือเข้ามาทางทะเล

เส้นทางผ่านยุโรป ผู้อพยพจำนวนมากยังเลือกยุโรปแทนที่จะผ่านประเทศในละตินอเมริกา ถึงแม้ว่าการเดินทางผ่านยุโรปไปยังเม็กซิโกจะง่ายกว่า แต่เส้นทางนี้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยทางการของประเทศต่าง ๆ อย่างเข้มงวด เริ่มจากการบินจากนิวเดลีไปยังฮังการี ซึ่งพวกเขาจะถูกกักขังในห้องเล็ก ๆ เป็นเวลา 10 วัน และได้รับอาหารเพียงขนมปังและน้ำเล็กน้อยพอประทังชีวิต จากฮังการี พวกเขาบินไปฝรั่งเศส จากนั้นไปเม็กซิโกซิตี้ ซึ่งเขาถูกขังไว้ในห้องเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ หลังจากบินอีกเที่ยวและนั่งรถบัสเป็นเวลานาน และถูกพาขึ้นรถกระบะพาพวกเขาไปใกล้ชายแดนสหรัฐฯ และข้ามไปยังมลรัฐแคลิฟอร์เนียในที่สุด หากถูกจับกุมจะถูกนำตัวไปที่ศูนย์ซึ่งจะพบกับผู้ลักลอบเข้าเมืองมากมายหลายชาติที่เคยเดินทางในลักษณะเดียวกัน ผู้อพยพลักลอบเข้าเมืองชาวอินเดียส่วนใหญ่ประมาณ 80% เป็นหนุ่มสาวที่โสด และเข้ามาทางชายแดนเม็กซิโกใกล้รัฐแอริโซนาหลังจากขึ้นเครื่องบินที่ผ่านประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับพลเมืองอินเดีย รายงานในปี 2022 ของสถาบันนโยบายการย้ายถิ่นฐานของสหรัฐฯ (MPI) ได้ระบุว่า “การข่มเหงทางศาสนาและการเมืองต่อผู้ที่ไม่ใช่ชาวฮินดูที่เพิ่มมากขึ้นในอินเดีย” และ “การขาดการบังคับใช้กฎหมายในประเทศ โอกาสทางเศรษฐกิจ" ยังผลักดันชาวอินเดียเดินทางไปสู่ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาด้วย แม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายและเส้นทางที่อันตราย แต่การใช้ 'Dunki route' ถือเป็นวิธีการอพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่นิยมมากที่สุดของผู้ลักลอบเข้าเมืองหนุ่มสาวชาวอินเดีย

เผยความหมายลึกซึ้งของดอกไม้แต่ละชนิด ที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์

รวมความหมายน่าประทับใจของดอกไม้แต่ละชนิดที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์ สำหรับคนที่กำลังมีความรัก วันวาเลนไทน์ก็คงเป็นหนึ่งในวันสำคัญที่จะได้แสดงความรักให้กับคนรักได้รับรู้ และหนึ่งในสิ่งของแทนใจที่คู่รัก (โดยเฉพาะฝ่ายชาย) นิยมมอบให้กันก็คือดอกไม้แสนสวยสีสันสดใสต่าง ๆ ซึ่งดอกไม้แต่ละชนิดนั้นก็ล้วนแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้งเหมาะกับการสื่อสารความในใจโดยที่ไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด โดยมนุษย์เรานั้นได้เริ่มมีการให้ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดและใช้การมอบดอกไม้ให้แก่กันเพื่อสื่อสารความหมายโดยไม่ต้องเอ่ยปากกันมานมนานแล้ว 

การตีความหมายของดอกไม้ หรือภาษาดอกไม้ เกิดขึ้นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1600 ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล กรุงโรม ประเทศอิตาลี จากนั้นในปี ค.ศ. 1716 เลดี้แมรี เวิร์ทลีย์ มอนตากู (Lady Mary Worthley Montagu) เป็นบุคคลแรกที่นำมาเผยแพร่สู่ประเทศอังกฤษ ต่อมาก็ได้เผยแพร่เข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส ผ่านหนังสือชื่อ เลอ ลองแกจ เดส์ เฟลอร์ (Le Langage des Fleurs) หมายความว่า ภาษาแห่งดอกไม้ ที่แปลความหมายของดอกไม้ไว้กว่า 8,000 ชนิด โดยมีการแปลกลับไปเป็นภาษาอังกฤษในสมัยของราชินีวิกตอเรีย

เนื่องในวันแห่งความรักนี้ ใดๆ digest ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดว่าจะมีความหมายใดซ่อนอยู่ เผื่อเป็นแนวทางในการเลือกหาดอกไม้ที่มีความหมายตรงใจที่อยากจะสื่อสารให้คนรักของคุณได้รับทราบกันนะครับ 

โดยขอเริ่มจากดอกไม้อมตะนิรันดร์กาลประจำเทศกาลวาเลนไทน์ได้แก่ราชินีแห่งดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ ดอกไม้ที่มีกลีบเรียงซ้อนกันจนเป็นดอกทรงกลมที่เบ่งบานในด้านบน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จนมีการนำกลิ่นเฉพาะของกุหลาบมาทำเป็นน้ำหอมอย่างแพร่หลาย แต่ดอกกุหลาบ ไม่ได้มีความลึกซึ้งเพียงแค่กลิ่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง ความหมายที่หมายถึงความรักที่ลึกซึ้ง ไม่เพียงเท่านี้กุหลาบแต่ละสีก็ยังซ่อนความหมายที่แสนโรแมนติกไว้ต่างกันอีกด้วย 

กุหลาบแดง:  ฉันรักเธอที่สุด และต้องการเพียงแค่เธอเท่านั้น
กุหลาบขาว: ความรักที่บริสุทธิ์
กุหลาบชมพู: ความรักอันหวานชื่น หรือสื่อถึงความรักที่กำลังสดใส
กุหลาบเหลือง: ความรักอันเป็นมิตรภาพที่ดีตลอดไป 
กุหลาบสีพีช (สีโอรส): ความรักที่อ่อนโยนรักและทะนุถนอมจากใจจริง
กุหลาบสีส้ม: ความรักที่อบอุ่นหัวใจ และยังสื่อถึงความศรัทธาอย่างแรงกล้าได้อีกด้วย 
กุหลาบสีม่วง: รักแรกพบ
กุหลาบสีดำ: การเกิดใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และความรักที่จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ 

ดอกลิลลี่ มีรูปทรงที่สวยงาม กลีบดอกใหญ่แผ่ออกกว้าง สื่อถึงความประทับใจ และความรักที่นุ่มนวล อ่อนหวาน สดใส หรืออีกนัยที่สำคัญคือ ความประทับใจครั้งแรก เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงการแอบรัก แอบมอง แอบส่งความปราถนาดีไปให้โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว

ลิลลี่สีชมพู: เธอคือคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต
ลิลลี่สีส้ม: มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน
ลิลลี่สีขาว: ดีใจที่มีเธออยู่ในชีวิต
ลิลลี่สีเหลือง: ความเป็นห่วงขอให้เธอปลอดภัย
ลิลลี่สีแดง: เธอคือรักแรกของฉัน
ลิลลี่ออฟเดอะแวลเล่ย์: ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความสุขที่หวนคืนมา เพราะด้วยดอกสีขาวสะอาดตา รูปทรงเหมือนระฆังเล็ก ๆ เรียงบนกิ่งก้านบอบบาง มีกลิ่นหอมหวนหวานสนิท และยังแสดงความหมายอันลึกซึ้งได้อีกว่า ความอ่อนหวานของเธอนั้นช่วยเติมชีวิตฉันให้สมบูรณ์

ดอกไฮเดรนเยีย ดอกไม้ทรงพุ่มมีหลายดอกอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มดูน่ารัก สื่อถึง “ความขอบคุณที่เข้าใจกันและยอมรับกันเสมอมา” ดอกไฮเดรนเยียนั้น มีความหมายทั้งทางลบและบวก โดยความหมายที่แท้จริงของดอกไฮเดรนเยียสื่อถึง ‘หัวใจที่ด้านชา’ และเพราะแบบนั้นในอีกนัยหนึ่งคือการมอบดอกไฮเดรนเยียให้กันใช้แทนคำขอบคุณจากผู้ที่มีหัวใจด้านชา สื่อถึงความสำคัญที่หนักแน่นว่า “ขอบคุณที่เข้าใจกัน”

ไฮเดรนเยียสีฟ้า: ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมจะให้อภัยเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ไฮเดรนเยียสีม่วง: เธอช่างล้ำค่าและสูงส่งสำหรับฉัน
ไฮเดรนเยียสีชมพู: เธอคือความอ่อนโยน 
ไฮเดรนเยียสีเขียว: เธอช่างเป็นตัวของตัวเองและเพราะเหตุนั้น เธอจึงงดงาม
ไฮเดรนเยียสีขาว: เธอคือรักที่บริสุทธิ์

ดอกทิวลิป ดอกไม้ที่มีลักษณะกลีบดอกซ้อนกัน 2-3 ชั้น แม้จะไม่ได้มีกลิ่นหอมเท่าดอกอื่นๆ แต่ดอกทิวลิปมีความหมายที่ลึกซึ้ง, อบอุ่นและอ่อนโยนถือเป็นดอกไม้ที่แทนสัญลักษณ์ของรักครั้งแรก มีความหมายถึง การตกหลุมรักอย่างหมดหัวใจ ความหลงใหล และการปกป้อง ซึ่งดอกทิวลิปก็มีหลากสีที่สื่อความหมายหลากหลายเช่นเดียวกัน

ดอกทิวลิปขาว: การพร้อมจะเสียสละทุกอย่างเพื่อคนอันเป็นที่รัก
ดอกทิวลิปแดง: การแอบชอบ, แอบรัก
ดอกทิวลิปเหลือง:  พร้อมดูแลประคับประคองความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น หรือ ความรักที่เปี่ยมไปด้วยความเคารพ
ดอกทิวลิปม่วง:  ความซื่อสัตย์กับคนรักเสมอ

นอกจากความหมายของดอกไม้หลากสีทั้งสี่ชนิดที่คู่รักนิยมมอบให้กันในวันวาเลนไทน์แล้วก็ยังดอกไม้อื่น ๆ ที่ความหมายดี ๆ อีกมากอาทิเช่น 

ดอกโบตั๋น ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ราชาแห่งดอกไม้’ ด้วยรูปลักษณ์ที่อ่อนหวาน งดงาม มีกลิ่นหอมอันเป็นสัญลักษณ์แสดงความหมายถึงความโรแมนติกและความรักที่สมบูรณ์เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และด้วยความหมายอันเป็นมงคลนี่เอง การมอบดอกโบตั๋นให้ใคร จะสื่อถือการอวยพรให้มั่งคั่ง โชคดี มีเกียรติยศ

ดอกทานตะวัน สื่อถึงความรักบริสุทธิ์และมั่นคง การมอบดอกทานตะวันให้ใครจึงหมายถึงความรักที่มีให้จะมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เหมือนที่ดอกทานตะวันเฝ้ามองดวงอาทิตย์เสมอไป และดอกทานตะวันยังสื่อความหมายถึงความร่าเริงสดใสและความสุขได้อีกด้วย

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการเป็นผู้ให้ความรัก และเป็นผู้ได้รับความรักที่เหมาะสมและจริงใจเนื่องในวันแห่งความรักนี้นะครับ ใดๆ digestขอเป็นกำลังใจและร่วมยินดีกับความรักของทุกท่านครับ

‘ทรัมป์’ ปรับโครงสร้าง!! คณะที่ปรึกษาโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าทัพ ย้ำ!! ความแข็งแกร่งของกองทัพ ต้องมาก่อนแนวคิด Woke

(12 ก.พ. 68) ข่าวนี้ถือว่าเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับเพราะว่า สิ่งที่ใน donald trump กำลังทำอยู่นะตอนนี้คือการล้างหน่วยงานความมั่นคงโดยเปลี่ยนรูปแบบมาให้เป็นแบบใหม่โดยการคัดเลือกบุคคลที่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่เลือกความหลากหลาย นับว่าเป็นความคิดที่ฉันฉลาดมาก

ข้าพเจ้าถือว่าเป็นจุดที่เป็นโมเดลที่น่าสนใจผู้ว่าข้าราชการหรือการเมืองก็ควรฟังเพราะโดยหลักการแล้วนะครับ
ไม่ว่าจะเลือก สส. เลือก สสร. ฯลฯ ต้องมีความเหมาะสมในสายวิชาชีพนั้นๆ
"ประชาธิปไตยที่ดี" ต้องเกิดขึ้นจาก "ความเป็นมืออาชีพ"ครับ

ความเป็นมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ หรือคณะกรรมการ กรรมาธิการต่างๆ ควรมีลักษณะเฉพาะเจาะจง มีความเป็นมืออาชีพความชำนาญ ไม่ใช่ความหลากหลายครับ 

ลองฟังข่าวนี้ดูครับ

วอชิงตัน – ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศปรับโครงสร้างคณะที่ปรึกษาของโรงเรียนนายร้อยทุกเหล่าทัพของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น West Point, Annapolis, Colorado Springs และ Coast Guard พร้อมให้เหตุผลว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นไปเพื่อฟื้นฟูหลักการดั้งเดิมของกองทัพ และขจัดอิทธิพลของแนวคิดที่มุ่งเน้นความหลากหลายโดยไม่ได้คำนึงถึงประสิทธิภาพ

ทรัมป์เน้นย้ำว่า "กองทัพอเมริกันต้องกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง" โดยเขาเห็นว่าการคัดเลือกบุคลากรเพื่อดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ควรยึดหลักความสามารถและความเหมาะสม มากกว่าการกำหนดโควต้าตามเชื้อชาติ เพศ หรืออัตลักษณ์อื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อสมรรถนะโดยรวมขององค์กร
ยกเลิก DEI – กระทรวงกลาโหมเตรียมปรับโครงสร้างครั้งใหญ่

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon) กำลัง ยุตินโยบาย Diversity, Equity, Inclusion (DEI) ที่สนับสนุนการจัดสรรโควต้าให้กับกลุ่มที่หลากหลายภายในองค์กรของรัฐ ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนมองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยให้กองทัพมีความครอบคลุมมากขึ้น แต่ฝ่ายที่คัดค้าน โดยเฉพาะทรัมป์และผู้สนับสนุนของเขา มองว่า การแต่งตั้งบุคลากรควรยึดตามความสามารถมากกว่าการกำหนดโควต้า

รัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ได้กล่าวย้ำในที่ประชุมเจ้าหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมว่า "ความแข็งแกร่งของกองทัพไม่ได้เกิดจากความแตกต่าง แต่เกิดจากความเป็นหนึ่งเดียว" พร้อมชี้ให้เห็นว่า การนำแนวคิด Woke มาใช้ในกองทัพอาจส่งผลต่อขีดความสามารถของหน่วยงานด้านความมั่นคง

นอกจากนี้ เฮกเซธยังให้การสนับสนุนการตรวจสอบหน่วยงานด้านกลาโหม โดยให้ Department of Government Efficiency (DOGE) ภายใต้การดูแลของ อีลอน มัสก์ เข้าตรวจสอบงบประมาณและประสิทธิภาพของกองทัพ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่ทรัมป์ต้องการผลักดัน

‘อีลอน มัสก์’ หั่นอิทธิพล Deep State สหรัฐฯ ปฏิบัติการรุกหนักเปลี่ยนเกมข้อมูลสู่ยุคใหม่

อีลอน มัสก์ จุดกระแสร้อนแรงอีกครั้ง หลังออกมาสนับสนุนให้ปิด Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) และ Voice of America (VOA) ซึ่งเป็นสองสื่อที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยมัสก์ให้เหตุผลว่า "ไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว ใช้งบภาษีไปปีละ 1 พันล้านดอลลาร์แบบไร้เหตุผล"

เรื่องนี้เริ่มจากโพสต์ของ ริชาร์ด เกรเนลล์ (Richard Grenell) อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติยุครัฐบาลทรัมป์ ที่โจมตี RFE/RL และ VOA ว่า "เป็นเครื่องมือของ Deep State เต็มไปด้วยอคติทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้าย" ซึ่งมัสก์ตอบกลับทันทีว่า "ถูกต้อง ควรปิดมันไปเลย"

RFE/RL - VOA: เครื่องมือ Deep State ที่มัสก์ต้องการโค่น ต้องเข้าใจก่อนว่า RFE/RL และ VOA ไม่ใช่แค่สื่อธรรมดา แต่มันคือ 'กระบอกเสียง' ของ Deep State สหรัฐฯ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแทรกแซงต่างประเทศมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

RFE/RL ก่อตั้งในปี 1950 เพื่อเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลอเมริกัน ในการต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต

VOA ก่อตั้งในปี 1942 เพื่อตอบโต้โฆษณาชวนเชื่อของนาซีเยอรมนี และต่อมาได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้แทรกแซงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

ทั้งสององค์กรนี้ ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลกลาง และอยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ Deep State ใช้ควบคุมวาระข่าวสารระดับโลก

แม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปแล้ว แต่สื่อเหล่านี้ยังคงอยู่ เพราะ Deep State ยังต้องการมีเครื่องมือที่ใช้ควบคุมข้อมูลในเวทีระหว่างประเทศ

การโค่น USAGM: ภารกิจหินที่แม้แต่ทรัมป์ยังทำไม่สำเร็จ
การจะล้มองค์กรที่อยู่ภายใต้ United States Agency for Global Media (USAGM) ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเคยมีอำนาจเต็มมือ ก็ยังไม่สามารถรื้อถอนมันได้

ทรัมป์เคยพยายามปรับโครงสร้าง USAGM ในสมัยดำรงตำแหน่ง โดยแต่งตั้ง Michael Pack เป็นผู้อำนวยการ USAGM และออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนที่ควบคุมสื่อเหล่านี้ แต่สุดท้าย Pack กลับถูกเล่นงานจากภายใน และถูก Joe Biden ปลดออกหลังเข้ารับตำแหน่ง

การล้ม USAGM เป็นมากกว่าการปิดหน่วยงานรัฐ แต่มันหมายถึงการรื้อถอนเครื่องมือหลักของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงโลกมาเกือบศตวรรษ นี่เป็นงานใหญ่ที่ต้องเผชิญแรงต้านมหาศาลจากนักการเมือง ข้าราชการระดับสูง และเครือข่าย Deep State ภายในรัฐบาลเอง

มัสก์อาจมีอำนาจทางเทคโนโลยีและเงินทุน แต่เขาไม่มีอำนาจรัฐ ต่างจากทรัมป์ที่เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น การผลักดันให้ปิด RFE/RL และ VOA อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของสงครามใหญ่ที่รออยู่

มัสก์กำลังลดอิทธิพล Deep State และเปลี่ยนมืออำนาจสื่อ
สิ่งที่มัสก์ทำ ไม่ใช่แค่เรื่อง 'ภาษีประชาชน' แต่มันคือ การล้างไพ่กระดานข่าวสารระดับโลก และตัดแขนตัดขาของกลุ่ม Deep State อเมริกัน

1. Deep State สูญเสียเครื่องมือสำคัญ – สื่อของรัฐบาลอเมริกันเหล่านี้ เคยเป็นช่องทางหลักในการแทรกแซงข่าวสารของประเทศอื่นๆ หากปิดตัวลง Deep State จะสูญเสียอำนาจทางข้อมูลขนาดใหญ่

2. แพลตฟอร์มใหม่จะขึ้นมาครองเวที – มัสก์เองถือครอง X (Twitter) ซึ่งกำลังกลายเป็นแหล่งข่าวหลักของประชาชนทั่วโลก นี่อาจเป็นหมากสำคัญของเขาในการเปลี่ยนอำนาจจากสื่อดั้งเดิมมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์

3. สหรัฐฯ ยุคใหม่อาจไม่มี Deep State คุมเกมข่าวสาร – มัสก์ไม่ใช่แค่กำลังเปลี่ยนมือสื่อ แต่เขากำลังผลักดันให้สหรัฐฯ เข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบ Deep State ในการครอบงำข้อมูลอีกต่อไป

ไทยต้องเรียนรู้อะไรจากเกมนี้?
สิ่งที่มัสก์กำลังทำ สะท้อนให้เห็นว่า อเมริกาไม่ได้แค่กำลังลดบทบาทของสื่อเก่า แต่มันคือสัญญาณของ 'การเปลี่ยนอำนาจ' ภายในสหรัฐฯ เอง

1. Deep State ไม่เคยถอนกำลัง เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการ – ตั้งแต่สงครามเย็นจนถึงปัจจุบัน สหรัฐฯ ใช้เครื่องมือสื่อและข้อมูลเพื่อแทรกแซงประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด แม้ RFE/RL และ VOA จะถูกปิด แต่พวกเขาจะหาทางใช้ช่องทางอื่นแทน

2. อเมริกาจะยังแทรกแซงไทย แต่เปลี่ยนรูปแบบ – อย่าคิดว่าอเมริกาจะเลิกสนใจไทย เพียงเพราะพวกเขาปิดสื่อแบบเดิม ในอนาคต การแทรกแซงอาจมาในรูปแบบแพลตฟอร์มโซเชียล อินฟลูเอนเซอร์ หรือ AI แทน

3. ไทยต้องหยุดมองโลกสวย – อเมริกาไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อ 'ลดอำนาจ' ของตัวเอง แต่เป็น การเปลี่ยนยุทธศาสตร์ เราต้องตามเกมให้ทัน

อเมริกายุคใหม่: ใครควบคุมข้อมูล ใครกำหนดวาระโลก?
อย่าคิดว่าการปิด RFE/RL และ VOA เป็นแค่เรื่องเล็กๆ แต่นี่คือ 'การเปลี่ยนเกมข้อมูลระดับโลก' Deep State กำลังถูกท้าทาย และพยายามปรับตัว

มัสก์กำลังสร้างระบบข่าวสารใหม่ ที่อาจอยู่ในมือของแพลตฟอร์มเอกชน
สหรัฐฯ จะยังมีบทบาทในโลก แต่ในรูปแบบใหม่

สุดท้ายแล้ว การควบคุมข้อมูลข่าวสารยังคงเป็นอำนาจสำคัญของโลกยุคปัจจุบัน อเมริกาอาจลดบทบาท Deep State แต่ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะเลิกควบคุมข้อมูล เพียงแต่ มือที่ถือไพ่ อาจเปลี่ยนไปอยู่ในกลุ่มคนที่พร้อมเล่นเกมใหม่แทน

‘ชาวเมียวดี’ ชุมนุมต่อต้านไทย!! หลังมาตรการ ‘ตัดไฟ-ตัดน้ำมัน’ เตรียมรับมือปัญหาต่อไป ‘การลักลอบเข้าเมือง-การค้า-สาธารณสุข’

ตามที่รัฐบาลไทยใช้ปฏิบัติการปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยการเน้นไปที่การตัดไฟ ตัดน้ำมันและอินเทอร์เนตนั้น เอย่ากล่าวแล้วในบทความก่อนว่าการตัดไฟนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่กลุ่มสแกมเมอร์เลย เพราะพวกนั้นไม่ได้ซื้อขายผ่านระบบที่ถูกต้องอยู่แล้วทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน คนที่เดือดร้อนคือชาวบ้านที่เมียวดีและชาวบ้านริมชายแดนที่ได้รับอานิสงส์จากการซื้อขายไฟต่างหากเป็นผู้ได้รับผลกระทบ

และนั่นก็ทำให้เหตุวันนี้เกิดขึ้น โดยวันนี้เวลา 9.00 น. ชาวเมียวดีมาชุมนุมเรียกร้องให้ปิดการค้าขายทั้งหมดทั้งสะพานและท่าข้ามต่าง ๆ จากไทยและแบนการใช้สินค้าไทยทั้งหมดเพื่อตอบโต้ที่ไทยปฏิบัติการที่ไทยจัดการสแกมเมอร์แต่ชาวบ้านเดือดร้อน

เอย่าได้กล่าวไปแล้วว่าการตัดไฟ ตัดน้ำมัน เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและจะสร้างผลเสียหายต่อไทยโดยเฉพาะการค้าชายแดน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะลุกลามเป็นกระแสการแบนสินค้าไทยในเมียนมาด้วย 

การค้าชายแดนที่ผ่านมาหากนับแค่การค้าผ่านด่านการค้าชายแดนก็มีมูลค่านับพันล้านบาทต่อเดือน โดยหากดูมูลค่าส่งออกเดือนธันวาคม อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาทไม่รวมการส่งออกตามท่าข้ามต่าง ๆ

แม้จนถึงตอนนี้จะมีรายงานว่ามีประชาชนมาชุมนุมยังไม่มากดังที่แผนที่เขาววางไว้ว่าจะมาชุมนุมถึง 3000 คนก็ตามแต่หากความเดือดร้อนนี้ยังคงอยู่ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งอันนำผลมาสู่ปัญหาชายแดนนอกจากเรื่องการค้าแล้ว การลักลอบเข้าเมืองจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งปัญหาเรื่องสาธารณสุขที่จะกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นจะข้ามมารักษาตัวที่ไทย  แล้วใครคือผู้ได้รับผลกระทบจริง ๆ กลุ่มคอลเซนเตอร์หรือคนไทย...?

เปิดโปงความเชื่อมโยง!! ‘USAID – CIA - UNHCR’ ปฏิบัติการลับ!! แทรกแซงทางการเมือง ในต่างประเทศ

หนังสือพิมพ์ The Express Tribune ได้เผยแพร่บทความเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเขียนโดย อิมเตียซ กุล หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านความมั่นคงแห่งอิสลามาบัด โดยบทความดังกล่าวตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง USAID (องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ), CIA (หน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ) และ UNHCR (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) โดยระบุว่าองค์กรเหล่านี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือแฝงสำหรับปฏิบัติการข่าวกรองและแทรกแซงทางการเมืองในต่างประเทศ

ข้อกล่าวหาต่อ USAID และ CIA

ตามรายงานของ The Express Tribune บทบาทของ USAID ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ยังเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของ CIA ในการดำเนินปฏิบัติการลับ โดยอ้างถึง ไมค์ เบนซ์ อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยว่า USAID ใช้งบประมาณกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี และบางส่วนถูกนำไปใช้ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับข่าวกรอง

บทความยังยกตัวอย่างกรณีของ โครงการ Population Profiling Vulnerability and Response (PPVR) ที่ได้รับเงินทุนจาก USAID ผ่านองค์กร BEFARe ในปากีสถาน ซึ่งเริ่มต้นในปี 2009 เพื่อสำรวจประชากรอัฟกันในพื้นที่ชายแดน แต่ภายหลังถูกปรับเปลี่ยนเป็น โครงการ PPV ในปี 2011 โดยขยายขอบเขตการเก็บข้อมูลไปยังพื้นที่สำคัญ เช่น อับบอตตาบัด ชิตรัล และสวัต ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ โอซามา บิน ลาเดน ถูกลอบสังหารในปีเดียวกัน

มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่สำรวจได้ เก็บพิกัด GPS ของประชากรในพื้นที่ ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และทำให้เกิดข้อสงสัยว่าโครงการนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการข่าวกรองของ CIA โดยบทความตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมโดย UNHCR ในโครงการนี้ ไม่ได้ถูกแบ่งปันให้กับรัฐบาลปากีสถานอย่างโปร่งใส

UNHCR กับบทบาทที่ถูกตั้งคำถาม

The Express Tribune ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบทบาทของ UNHCR โดยระบุว่าองค์กรนี้ได้รับงบประมาณจำนวนมากจาก USAID และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ การเก็บรวบรวมข้อมูลประชากรในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยข่าวกรอง ตัวอย่างเช่น ในกรณีของปากีสถาน UNHCR ได้ดำเนินโครงการร่วมกับ BEFARe เพื่อสำรวจประชากร แต่ข้อมูลบางส่วนกลับ ถูกปิดกั้นจากรัฐบาลปากีสถาน ขณะที่ CIA อาจเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ บทความยังยกตัวอย่างกรณีของ โครงการฉีดวัคซีนปลอมของ Dr. Shakeel Afridi ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นปฏิบัติการของ CIA ซึ่งใช้เครือข่ายด้านสาธารณสุขในการ รวบรวมข้อมูล DNA ของประชากรในพื้นที่ชนเผ่า (FATA) เพื่อติดตามเครือข่ายของโอซามา บิน ลาเดน โดยกรณีนี้สร้างความไม่ไว้วางใจต่อองค์กรช่วยเหลือต่างชาติในปากีสถาน

บทบาทของทรัมป์และอีลอน มัสก์ในการเปิดโปงเครือข่ายนี้

The Express Tribune รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ SpaceX และ X (Twitter) ได้มีบทบาทสำคัญในการเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่าง USAID และ CIA โดยเฉพาะการแฉว่า USAID ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนปฏิบัติการข่าวกรองและการแทรกแซงการเมือง

ล่าสุด มีรายงานว่า โครงการของ USAID หลายโครงการถูกยุติ หรือถูกลดงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการระงับเงินทุนของสื่อบางสำนัก เช่น BBC, Reuters และ Politico ที่เคยได้รับเงินสนับสนุนจาก USAID

บทสรุปของรายงาน 

บทความของ The Express Tribune ชี้ให้เห็นว่า

1. USAID อาจมีบทบาทมากกว่าการเป็นองค์กรช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของ CIA

2. UNHCR อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยข่าวกรอง โดยเฉพาะในประเทศเป้าหมายที่สหรัฐฯ มีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์

3. CIA ใช้โครงการช่วยเหลือเป็นฉากบังหน้าในการดำเนินปฏิบัติการลับ ซึ่งรวมถึงการเก็บข้อมูลประชากร การแทรกแซงทางการเมือง และการติดตามบุคคลเป้าหมาย

4. โดนัลด์ ทรัมป์ และอีลอน มัสก์ เป็นบุคคลสำคัญที่เปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรเหล่านี้ นำไปสู่การลดบทบาทของ USAID ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า องค์กรที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่าง USAID และ UNHCR เป็นเพียงองค์กรด้านมนุษยธรรมหรือเป็นเครื่องมือทางการเมืองของสหรัฐฯ กันแน่?

‘สารตะกั่ว’ คร่าชีวิตมนุษย์มหาศาลมากกว่าสงครามโลกทั้ง 2 ครั้งรวมกัน

30 ปีก่อน น้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในยานพาหนะไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เรือยนต์ และเครื่องบิน ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของ ‘สารตะกั่ว’ ซึ่งเป็นสารเคมีประเภทโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องของการคร่าชีวิตมนุษย์ที่เกิดขึ้นด้วยความไม่รู้จนกลายเป็นความสมัครใจของประชาชนพลโลกทั้งหลาย การที่รถยนต์ซึ่งใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งทำงานด้วยการระเบิดหรือเผาไหม้ส่วนผสมของเชื้อเพลิง โดยทั่วไปคือน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศที่เกิดขึ้นภายในเครื่องยนต์ แล้วเกิด Oxidizing กระทั่งมีการขยายตัวจนแตกตัวภายในห้องเผาไหม้ ทำให้แรงระเบิดจากการเผาไหม้จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน ซึ่งเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในได้พลังงานจากการระเบิดดังกล่าวมาใช้ขับเคลื่อนตัวรถยนต์ แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1920 เมื่ออุตสาหกรรมรถยนต์เฟื่องฟู รถยนต์กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคตแห่งความก้าวหน้าและความเป็นอิสระ แต่เครื่องยนต์ในยุคนั้นกลับมีปัญหาอย่างหนึ่งเกิดขึ้น นั่นก็คือเครื่องยนต์มักจะเดินสะดุดจนมีอาการน็อคบ่อย ๆ เมื่อเกิดปัญหานี้ขึ้นอย่างต่อเนื่องจึงทำให้เครื่องยนต์สึกหร่อเร็วขึ้น ประหยัดน้ำมันน้อยลง และทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกรำคาญ

ในปี 1921 Thomas Midgley Jr. นักเคมีของบริษัท General Motors ค้นพบว่า การเติม ‘สารตะกั่ว’ (Tetraethyl Lead) ลงในน้ำมันเบนซินสามารถช่วยในเรื่องของการลดการสึกหรอ โดยเฉพาะบริเวณบ่าวาล์ว ช่วยเพิ่มออกเทน และที่สำคัญคือ เป็น 'สารป้องกันการน็อค' ช่วยลดปัญหาการชิงจุดระเบิดหรือ Knocking GM ทำให้แก้ไขปัญหาเครื่องยนต์น็อคได้ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานราบรื่นขึ้น ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของรถยนต์โดยเฉพาะสมรรถนะของเครื่องยนต์ ความก้าวหน้าครั้งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นการปฏิวัติวงการรถยนต์ในขณะนั้นเลยทีเดียว แต่สารตะกั่วกลับกลายเป็นมลพิษโดยเฉพาะกับเด็ก ๆ การใช้สารตะกั่วในน้ำมันเบนซินทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์เป็นอย่างมาก ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์จากน้ำมันเบนซินผสม ‘สารตะกั่ว’ เนื่องจากไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงความเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ความกังวลเหล่านี้จึงลดลงไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปี 1969 มีการศึกษาทางคลินิกครั้งแรกซึ่งแสดงให้เห็นว่า สารตะกั่วมีผลกระทบทางลบต่อมนุษย์อย่างมาก จากนั้น หลักฐานที่เกี่ยวกับขอบเขตของการได้รับพิษจาก ‘สารตะกั่ว’ และความเชื่อมโยงกับประสิทธิภาพทางปัญญาที่ไม่ดีในเด็กก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาพิษจากสารตะกั่วในเด็กได้สรุปไว้ว่า “แนวคิดในการเติมสารตะกั่วลงในน้ำมันเบนซินใช้เวลาเพียง 2 ปี แต่ต้องใช้เวลาถึง 60 ปีในการเลิกเติมสารตะกั่วในน้ำมันเบนซิน” 

เพื่อตอบสนองต่อปัญหานี้ ในช่วงทศวรรษปี 1970 หลายประเทศจึงเริ่มเลิกใช้น้ำมันเบนซินผสมตะกั่ว ตัวอย่างเช่น สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกาได้ออกแนวปฏิบัติเพื่อลดปริมาณตะกั่วในปี 1983 แต่กว่าที่ญี่ปุ่นจะได้เป็นประเทศแรกที่ห้ามใช้สารตะกั่วทั้งหมดก็ต้องรอจนถึงปี 1986 ซึ่งเป็นเวลาหกทศวรรษหลังจากที่ได้มีการเติมสารตะกั่วในน้ำมันเบนซิน และในปี 2021 สามทศวรรษครึ่งต่อมา แอลจีเรียได้กลายเป็นประเทศสุดท้ายที่ห้ามใช้สารตะกั่วในน้ำมันเบนซิน ดังนั้น ปัจจุบันทุกประเทศบนโลกใบนี้ได้เลิกใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่วหมดแล้ว ตลอดระยะเวลาการใช้น้ำมันเบนซินที่เติม ‘สารตะกั่ว’ แต่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เลือกที่จะเพิกเฉยทั้ง ๆ ที่สารตะกั่วเป็นสารพิษต่อระบบประสาทตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การใช้น้ำมันเบนซินผสมสารตะกั่วอย่างแพร่หลายส่งผลให้มีการปล่อยไอตะกั่วจำนวนมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศ เด็ก ๆ เป็นกลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษ โดยเด็ก ๆ หลายล้านคนต้องทนทุกข์ทรมานจากความบกพร่องทางสติปัญญา ความล่าช้าในการพัฒนา และปัญหาด้านพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัส ‘สารตะกั่ว’ คนหลายชั่วอายุคนได้สูดดมควันพิษจากสารตะกั่วเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

ปัญหาการตกค้างของมลพิษจากสารตะกั่วเป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังยาวนาน ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรได้เลิกการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ที่เติม ‘สารตะกั่ว’ อันเป็นแหล่งที่มาหลักของสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อมช่วงศตวรรษที่ 20 ตั้งแต่ปี 1999 แล้ว แต่การค้นพบในบทความวิจัย ‘Strong evidence for the continued contribution of lead deposited during the 20th century to the atmospheric environment in London of today‘ พบว่า แม้ผ่านมาแล้วเกินกว่า 20 ปี ยังคงมีอนุภาคของสารตะกั่วในอดีตหลงเหลืออยู่ในอากาศของมหานครลอนดอนจนถึงปัจจุบัน สำหรับประเทศไทยได้ยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินชนิดที่มีสารตะกั่วทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1996 (พ.ศ. 2539) เป็นต้นมา 

แม้ว่าจะมีการยกเลิกการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ที่เติมสารตะกั่วแล้วก็ตาม แต่ยังโลกก็ยังคงเผชิญพิษภัยจาก ‘สารตะกั่ว’ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ทุกปี จะมีผู้เสียชีวิตจากพิษของ ‘สารตะกั่ว’ ประมาณ 1 ล้านคน และล้มป่วยอีกหลายล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็ก การสัมผัสกับตะกั่วแม้ในระดับต่ำจะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตลอดชีวิต รวมทั้งโรคโลหิตจาง ความดันโลหิตสูง พิษต่อภูมิคุ้มกัน และความเป็นพิษต่อระบบสืบพันธุ์ ผลกระทบต่อระบบประสาทและพฤติกรรมจากตะกั่วอาจไม่สามารถกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ องค์การอนามัยโลกได้แนะนำว่า ควรระบุแหล่งที่มาของการสัมผัสตะกั่ว และดำเนินการเพื่อลดและยุติการสัมผัสสำหรับบุคคลที่มีระดับตะกั่วในเลือดมากกว่า 5ug/dl ไม่มีระดับการสัมผัสสารตะกั่วที่ปลอดภัยจึงเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพของเด็ก องค์การยูนิเซฟประมาณการว่า เด็ก 1 ใน 3 คน หรือประมาณ 800 ล้านคนทั่วโลก มีระดับสารตะกั่วในเลือดอยู่ที่ 5 µg/dl ขึ้นไป และจำเป็นต้องดำเนินการทั่วโลกทันทีเพื่อแก้ไขปัญหานี้ 

สารตะกั่วเป็นพิษต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายหลายระบบ รวมถึงระบบประสาทส่วนกลางและสมอง ระบบสืบพันธุ์ ไต ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ประมาณการว่า ความพิการทางสติปัญญาที่ไม่ทราบสาเหตุร้อยละ 30 โรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 4.6 และโรคไตเรื้อรังร้อยละ 3 เกิดจากการรับสารตะกั่วเข้าไปในร่างกาย โดยมีแหล่งรับสารตะกั่วจำนวนมากในสถานประกอบการอุตสาหกรรม เช่น การทำเหมืองและการหลอมโลหะ การรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรด ระบบประปา และกระสุนปืน และในสถานที่ที่อาจทำให้เด็กและวัยรุ่นได้รับสารตะกั่วได้โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา นอกจากนี้ การสัมผัสสารตะกั่วยังสามารถเกิดขึ้นได้ในสถานที่ที่ไม่ใช่อุตสาหกรรม เช่น สีตะกั่วที่พบได้ใน บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาล และสนามเด็กเล่น เด็ก ๆ อาจกลืนเอาเศษและฝุ่นจากของเล่นหรือพื้นผิวที่เคลือบตะกั่ว หรือสัมผัสสารตะกั่วผ่านเซรามิกเคลือบตะกั่ว ยาแผนโบราณและเครื่องสำอางบางชนิด แหล่งการสัมผัสสารตะกั่วที่สำคัญ ได้แก่ การปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมจากการรีไซเคิลแบตเตอรี่ตะกั่ว-กรดและจากการทำเหมืองและหลอมตะกั่วที่ควบคุมได้ไม่ดี การใช้สารรักษาแบบดั้งเดิมที่มี ‘สารตะกั่ว’ เคลือบเซรามิกที่มีสารตะกั่วที่ใช้ในภาชนะบรรจุอาหาร ท่อน้ำที่มีสารตะกั่วและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่มีสารตะกั่วในระบบจ่ายน้ำ และสีที่มี ‘สารตะกั่ว’ องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า สารตะกั่วเป็นสารเคมี 1 ใน 10 ชนิดที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพสาธารณะ ซึ่งประเทศสมาชิกจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อปกป้องสุขภาพของคนงาน เด็ก และสตรีวัยเจริญพันธุ์ และได้เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ห้ามใช้สีที่มี ‘สารตะกั่ว’ ให้มีการระบุและกำจัดแหล่งที่มาของสารตะกั่วทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารตะกั่วในทางที่ผิด และป้องกันการรับพิษจาก ‘สารตะกั่ว’ 

สำหรับประเทศไทย มีการดำเนินงานการเฝ้าระวังสารตะกั่วอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเด็ก ๆ ในพื้นที่เสี่ยง เช่น พื้นที่ภาคกลางดำเนินงานในกลุ่มเด็กพื้นที่คลิตี้ จังหวัดกาญจนบุรี กลุ่มอาชีพหล่อพระพุทธรูป จังหวัดสมุทรสาคร พื้นที่จังหวัดระยอง ดำเนินงานในศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่ภาคเหนือ การปนเปื้อนตะกั่วจากหม้อแบตเตอรี่ พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในกลุ่มประกอบอาชีพคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ ทำรางน้ำฝน หรือพื้นที่ภาคใต้ในกลุ่มเด็กเล็กที่ผู้ปกครองประกอบอาชีพมาดอวน เป็นต้น โดยมีการเก็บตะกั่วบนพื้นผิวในบ้าน เจาะเลือดเด็กเพื่อเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งลักษณะการดำเนินงานเป็นการดำเนินงานเชิงรุก ซึ่งสำนักงานป้องกันควบคุมโรค (สคร.) ร่วมกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และหน่วยบริการสุขภาพภายใต้กระทรวงสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ได้เข้าไปดำเนินการ ทำให้พบว่า มีเด็กในวัย 0-5 ปีราว 29% สัมผัสปัจจัยเสี่ยง ‘สารตะกั่ว’ โดยส่วนใหญ่การสัมผัสจากแหล่งภายนอกบ้าน

ปัจจัยหลักในการรับสัมผัสสารตะกั่วของเด็ก ๆ ในสิ่งแวดล้อมเกิดจากการที่นำอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับตะกั่วเข้ามาใกล้ตัวเด็ก ๆ การที่ทำงานของผู้ใกล้ชิดเด็ก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตะกั่วโดยไม่ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการรับสัมผัสตะกั่ว เช่น การไม่เปลี่ยนชุดทำงาน อาบน้ำเมื่อเลิกงาน การเก็บสิ่งของที่ปนเปื้อนตะกั่วในที่พักอาศัย และอีกปัจจัยสำคัญ คือ พฤติกรรมของเด็กที่เสี่ยงต่อการรับสัมผัสตะกั่ว เช่น การชอบดูดนิ้ว จับสิ่งของเข้าปาก ไม่ล้างมือ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ตะกั่วเข้าสู่ร่างกายได้โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ดังนั้นจึงต้องมีการให้ความรู้ในการป้องกันและลดการรับสัมผัสตะกั่วเข้าสู่ร่างกายสำหรับประชาชนทั่วไป ผู้ปกครอง ครู/ครูพี่เลี้ยง และการจัดอบรมหลักสูตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน และการลดการรับสัมผัสตะกั่วของเด็ก ๆ ในสิ่งแวดล้อม ตลอดจนมีการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเด็กเล็ก เน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อจัดการไม่ให้ตะกั่วที่อยู่รอบตัวเข้าสู่ร่างกายของเด็ก ๆ ได้อีกต่อไป

Flowers of Manchester ครบรอบ 67 ปี โศกนาฏกรรมที่เปลี่ยนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและฟุตบอลไปตลอดกาล

หากคุณได้มีโอกาสไปเยือนสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่มีฉายาว่าโรงละครแห่งความฝัน (Theater of Dreams) และได้ไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงอัฒจันทร์ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้คุณจะพบกับแผ่นป้ายจารึกรายชื่อขนาบข้างด้วยดอกไม้แสดงความเคารพและการไว้อาลัย รูปภาพของนักฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในยุคอดีต อยู่เคียงข้างกับนาฬิกาเก่าเรือนหนึ่งที่เข็มนาฬิกาหยุดนิ่งอยู่ที่เวลา 15.03 และเหมือนกับว่ามันไม่เคยเดินอีกเลยนับจากนั้น 

6 กุมภาพันธ์ของทุกปี คือวันแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่ไม่เพียงแต่สโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเท่านั้นหากแต่เป็นการสูญเสียที่โลกฟุตบอลทั้งใบต้องจดจำ 

เนื่องในโอกาสครบรอบ 67 ปีแห่ง 'โศกนาฏกรรมมิวนิค 1958' ใด ๆ digest ขอพาทุกท่านย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์แห่งความสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์นี้ วันที่ทุกพื้นที่ 'สีแดง' สีประจำสโมสรของ 'ปีศาจแดง' แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะถูกฉาบให้เป็น 'สีดำ'

บัสบี้ เบ็บส์

ในช่วงทศวรรษที่ 1950 เป็นช่วงเวลาที่อังกฤษเพิ่งผ่านความบอบช้ำจากสงครามโลกมาหมาด ๆ และเป็นช่วงเวลาที่ทีมต่างๆกำลังช่วงชิงตำแหน่งอันดับหนึ่งกันอย่างเข้มข้น และมีหลายทีมที่พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างน่ากลัว หนึ่งในนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งผู้ที่กุมบังเหียนทีมในตอนนั้นคือ อเล็กซานเดอร์ แม็ทธิว บัสบี้ หรือในชื่อแฟนบอลคุ้นเคยว่า แม็ตต์ บัสบี้ ก่อนที่จะได้บรรดาศักดิ์ท่านเซอร์ในเวลาต่อมานั่นเอง โดยแทบจะทันทีที่แม็ตต์ บัสบี้เข้ามาคุมทีม เขาก็ได้เพิ่มศักยภาพให้ยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่มีลุ้นในการเป็นแชมป์แห่งอังกฤษ ในช่วง 5 ปีแรกของการคุมทีมนั้น บัสบี้พาทีมเป็นรองแชมป์ได้ถึง 4 ครั้ง ก่อนที่จะประสบความสำเร็จได้แชมป์เอฟเอ คัพในปี 1948 ตามมาด้วยแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1951-52 

แต่ปีถัดมาบัสบี้กลับเลือกทำในสิ่งที่แฟนบอลในสมัยนั้นต้องเกาหัวด้วยความงง เมื่อเขาเลือกจะทำการถ่ายเลือดผู้เล่นครั้งใหญ่ ด้วยการโละนักเตะเก่า ๆ ทิ้ง และดันเด็กเยาวชนขึ้นมาเป็นตัวหลักแทนเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาสามารถที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยนักเตะอายุน้อย ๆ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ 'บัสบี้ เบ็บส์' และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวทางการปั้นเยาวชนของสโมสรที่อเล็กซ์ เฟอร์กูสันในวันที่ยังไม่ได้ยศอัศวินจะนำมาใช้ต่อในอีกสามทศวรรษให้หลัง นักเตะหลายคนถูกผลักดันมาจาก 'แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จูเนียร์ แอธเลติก คลับ' ศูนย์ฝึกเยาวชนในสมัยนั้น และยูไนเต็ด เดินหน้าคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 2 ปีซ้อน ในฤดูกาล 1955-1956 และ 1956-57 ด้วยอายุเฉลี่ยนักเตะเพียง 22 ปี และยูไนเต็ดกลายเป็นทีมที่เป็นที่ครั่นคร้ามของคู่แข่งไปทั่วทั้งเกาะอังกฤษและทั่วแผ่นดินยุโรป

โศกนาฏกรรมมิวนิค

6 กุมภาพันธ์ 1958 ยูไนเต็ด บุกไปยันเสมอกับ เรดสตาร์ เบลเกรด ทีมจากยูโกสลาเวีย 3-3 ผ่านเข้าสู่รอบตัดเชือกยูโรเปี้ยนคัพ ไปรอดวลกับ 'ปีศาจแดงดำ' เอซี มิลาน

ขากลับจากยูโกสลาเวียทีมงานสตาฟฟ์และผู้เล่นของยูไนเต็ดเดินทางด้วยเครื่องบิน ไฟลท์ BE609 ของสายการบิน British European Airways และต้องแวะเติมน้ำมันที่สนามบินมิวนิค เยอรมัน แต่พอเติมน้ำมันเสร็จแล้ว นักบินกลับไม่สามารถนำเครื่องขึ้นได้ตามปกติเนื่องจากทัศนวิสัยที่ย่ำแย่ ทำให้กัปตันพยายามนำเครื่องขึ้นบินถึงสองครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และในความพยายามครั้งที่สามนี่เองเครื่องยนต์ที่เร่งมาด้วยความเร็วกว่า 194 กม/ชม. เกิดลื่นไถลตรงปลายสุดของรันเวย์และชนเข้ากับรั้วของสนามบิน ก่อนตัวเครื่องจะหลุดข้ามถนนออกไป โชคร้ายที่อีกฟากหนึ่งนั้นมีบ้านหลังหนึ่งอยู่พอดี ปีกซ้ายของเครื่องบินหมุนฟาดเข้ากับตัวบ้านอย่างแรงจนพังยับ ส่วนหางของเครื่องถูกฉีกออกไปก่อนที่ด้านซ้ายของเครื่องบินจะฟาดเข้ากับต้นไม้ ด้านขวาของเครื่องเข้าไปกระแทกอย่างแรงกับห้องเก็บของซึ่งมียางรถยนต์และน้ำมันอยู่เต็มจนเกิดการลุกไหม้ เกิดไฟลุกท่วมบ้านที่มีสมาชิกหกราย โชคยังดีที่ผู้เป็นแม่กับลูก ๆ อีกสามรายหนีตายจากแรงระเบิดออกมาได้ทัน ส่วนพ่อและลูกสาวคนโตออกไปข้างนอกพอดีเลยรอดตาย

แต่อีก 23 ชีวิตบนเครื่องไม่โชคดีขนาดนั้น ซึ่งรวมถึง 8 นักเตะของยูไนเต็ด และทีมสตาฟฟ์อีก 3 คนไม่ได้กลับบ้านอีกเลยตลอดกาล 21 ชีวิตจบชีวิตลงทันที อีกสามรายอาการยังโคม่า น่าเศร้าที่ เคนเน็ธ เรย์เมนท์ นักบินที่สองทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจลงในอีกสามสัปดาห์ต่อมา ส่วนดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ปีกดาวรุ่งตัวความหวังของยูไนเต็ดและทีมชาติอังกฤษยังฟื้นได้สติ แต่ห้าวันต่อมาอาการของเอ็ดเวิร์ดส์ทรุดหนักลง คณะแพทย์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยื้อชีวิตของเขา แต่ก็ไม่สำเร็จ เวลาตีสองสิบห้านาทีของวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1958 ร่างกายของ ดันแคน เอ็ดเวิร์ดส์ ก็ทนรับสภาพไม่ไหวหลังจากยื้อมานานกว่า 15 วัน เขาสิ้นใจลงในโรงพยาบาลท่ามกลางความโศกเศร้าของแฟนบอลทั่วโลก

ภายหลังจากโศกนาฏกรรม
แม็ตต์ บัสบี้ เป็นหนึ่งในผู้ที่รอดชีวิต แต่ก็ต้องนอนโรงพยาบาลนานถึงสองเดือน เขาเคยคิดจะเลิกคุมทีมจากสภาพร่างกายและจิตใจที่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก แต่ก็ได้รับกำลังใจจากภรรยา ครอบครัว และแฟนบอลนี่เองที่ฉุดบัสบี้ออกมาจากโลกแห่งความเศร้า เขากลับไปยังแมนเชสเตอร์และปรากฏตัวต่อหน้าฝูงชนเป็นครั้งแรกในนัดชิงชนะเลิศของเอฟเอ คัพ ปี 1958 ที่ยูไนเต็ดได้เข้าชิงกับโบลตัน ด้วยการขาดกำลังหลักไปพร้อมกันทีเดียว ผลงานในลีกจึงตกต่ำลงทันที หลังจากเหตุการณ์ที่มิวนิค ทีมเก็บชัยชนะได้อีกเพียงครั้งเดียวในฤดูกาลที่เหลือเหนือซันเดอร์แลนด์ในเดือนเมษายน อันดับร่วงไปจบที่ 9 ส่วนในเอฟเอ คัพ ผลงานดีกว่า เกมที่พบกับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ นัดแรกหลังจากโศกนาฏกรรม ลงเอยด้วยชัยชนะ 3-0 และในถ้วยใบนี้พวกเขาทำผลงานได้ดีจนได้เข้าชิงชนะเลิศ

สุดท้าย แม็ตต์ บัสบี้ กลับมาคุมทัพและพาทีมกลับมาเป็นแชมป์ลีกได้อีกครั้ง ด้วยขุนพลรุ่นใหม่อย่าง จอร์จ เบสต์, น็อบบี้ สไตล์ส, ไบรอัน คิดด์ บวกกับ ชาร์ลตัน และโฟลค์ ที่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของทีมชุดก่อน

เป็นเวลา 10 ปีพอดีนับจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิค แม็ตต์ บัสบี้ และนักเตะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดชุดที่เกรียงไกรที่สุดชุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ นำโดยหนึ่งในผู้ประสบเหตุที่มิวนิคแต่รอดชีวิตมาได้อย่าง บ็อบบี้ ชาน์ลตัน พวกเขาผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1968 และเป็นทีมแรกของอังกฤษที่ทำได้

จากวันนั้นถึงวันนี้ ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี จะมีพิธีร่วมรำลึกถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าว โดยทุกคนจะใช้คำเรียกขานถึงผู้ที่จากไปและเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้นว่า 'Flower Of Manchester' ซึ่งมีที่มาก็จากวงดนตรีพื้นเพจากเมืองแมนเชสเตอร์ชื่อ The Spinner ที่แต่งเพลง Flower Of Manchester เพื่อแสดงความเคารพและรำลึกถึงนักเตะยูไนเต็ดในยุคนั้น 

จากวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 67 ปีเต็มพอดี แต่เรื่องราวของเหล่าบัสบี้ เบ็บส์ยังได้ถูกส่งต่อไปยังรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่เคยสิ้นสุด พวกเขาไม่เป็นเพียงแค่ความภาคภูมิใจของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเท่านั้น แต่คือเกียรติยศของฟุตบอลอังกฤษในการส่งมอบมิตรภาพและความยอดเยี่ยมของฟุตบอลอังกฤษให้ชาวยุโรปได้รู้จักถึงความเป็นนักสู้ที่ไม่ยอมแพ้และแพสชันในฟุตบอลที่ไม่เคยเลือนหาย

เวลาของนาฬิกาเรือนอื่น ๆ จะหมุนเดินต่อไป แต่สำหรับ 15.03 ของวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 นาฬิกาเรือนเก่าที่ตั้งอยู่ข้างรูปภาพของเหล่าบัสบี้ เบ็บส์บนกำแพงที่สนามโอล์ดแทรฟฟอร์ดนี้จะหยุดนิ่งอยู่ตลอดไปเช่นเดียวกับลมหายใจของทั้ง 23 ชีวิตที่จากไป แต่จิตวิญญาณของพวกเขาไม่ได้หายไปไหน พวกเขายังคงเล่นฟุตบอลด้วยความสนุกสนานและจะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของทุกชีวิตที่รักในฟุตบอลตลอดไป

ด้วยจิตคารวะจาก ใดๆdigest ต่อดวงจิตทุกดวงในนาม Flowers of Manchester

‘อีลอน มัสก์’ เปิดศึก ‘โซรอส – Deep State’ หลังแฉตระกูลโซรอสใช้เงินปั่นการเมืองทั่วโลกรวมถึงไทย

หรือว่า!? Elon Musk เดินหน้าชน! เปิดศึกตระกูลโซรอส – เผยเครือข่ายทุนที่เชื่อมโยงถึงไทย 

'Yeah.' คำสั้น ๆ จาก Elon Musk ที่เหมือนเป็นเพียงการตอบโพสต์ของ Mario Nawfal แต่อาจเป็นสัญญาณเปิดฉากศึกใหญ่ ระหว่างเขากับ Deep State ที่มี George Soros และเครือข่าย Open Society Foundations (OSF) อยู่เบื้องหลัง

โพสต์ที่ Musk ตอบนั้นเปิดโปงว่า Soros และลูกชาย Alex Soros ไม่จำเป็นต้องลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพวกเขาสามารถ ควบคุมการเมืองจากเบื้องหลัง ผ่านการให้ทุนสนับสนุนพรรคการเมือง นักกฎหมาย สื่อมวลชน และ NGO ทั่วโลก

Soros กับบทบาทการปั่นเกมการเมืองทั่วโลก

George Soros คือเจ้าพ่อกองทุนที่ใช้ Open Society Foundations เป็นเครื่องมือสำคัญในการแทรกแซงการเมืองระดับโลก ตั้งแต่ Color Revolutions (ปฏิวัติเสื้อสี) ในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ไปจนถึงการสนับสนุนอัยการ นักการเมือง และนักเคลื่อนไหวสายซ้ายในสหรัฐฯ

อิทธิพลของ Soros ที่แทรกซึมเข้าไทย โซรอสมีบทบาทในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 ที่ค่าเงินบาทถูกโจมตีโดยกองทุนเก็งกำไร ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจล่มสลาย การสนับสนุนเครือข่าย NGO และสื่อที่มีแนวทางเสรีนิยมสุดโต่ง Color Revolution ฉบับไทย ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว เพื่อต่อต้านมาตรา 112 และพยายามเปลี่ยนแปลงสถาบันหลักของชาติ

Prachatai: เครื่องมือของ Soros ในไทย?

หนึ่งในองค์กรที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคือ Prachatai (ประชาไท) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส มาอย่างต่อเนื่อง

หลักฐานที่เชื่อมโยง Prachatai กับ Soros
การสนับสนุนทางการเงินจาก OSF ต่อ Prachatai ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการเปิดโปงผ่าน การแฮ็กฐานข้อมูลของ OSF โดยเว็บไซต์ DCLeaks ซึ่งพบว่ามีเงินไหลเข้ามาสนับสนุนประชาไทมากถึง 1.7 ล้านบาทต่อปีตั้งแต่ปี 2548

เรื่องนี้ถูกขยายความโดย เทพชัย หย่อง อดีตบรรณาธิการเครือเนชั่น ที่รายงานเรื่องนี้ผ่าน The Nation พร้อมย้ำว่า Prachatai ยอมรับว่าได้รับเงินจาก Soros แต่ปฏิเสธว่าเงินนี้ไม่มีผลต่อแนวทางการนำเสนอข่าว

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า Prachatai มักมีแนวทางที่กระทบกระเทียบสถาบันพระมหากษัตริย์ และเน้นสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม 3 นิ้ว ซึ่งอยู่ในแนวทางเดียวกับขบวนการที่ Open Society สนับสนุนทั่วโลก

อ้างอิง 
https://www.bangkokbiznews.com/news/714023#google_vignette
https://www.nationtv.tv/news/378513810#google_vignette

Deep State และการแทรกแซงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
อีกประเด็นที่สำคัญคือ การแทรกแซงของเครือข่ายทุน Soros ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ Soros และองค์กรเครือข่ายของเขา ให้ทุนสนับสนุนกลุ่ม NGO ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนภาคใต้ ซึ่งหลายครั้งถูกตั้งคำถามว่า ให้ความชอบธรรมกับกลุ่มที่ขัดแย้งกับฝ่ายรัฐ มากกว่าที่จะสนับสนุนความมั่นคงของประเทศ

แนวทางของ NGO ที่ได้รับทุนจาก OSF มักเน้นไปที่ การลดบทบาทของรัฐไทย ในพื้นที่ชายแดน ขณะที่เปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มที่มีแนวคิดแยกตัว โดยใช้วาทกรรมเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือ

Elon Musk: คู่ต่อกรตัวจริงของ Soros และ Deep State
Musk ไม่ใช่แค่เจ้าพ่อเทคโนโลยี แต่กำลังกลายเป็น ศัตรูตัวฉกาจของเครือข่ายทุนโลกาภิวัตน์ เขาเคยแฉว่า Soros ต้องการทำลายอารยธรรมตะวันตก เขายกเลิกโครงการของ USAID ซึ่งเป็นแขนขวาของ Deep State ที่ใช้แทรกแซงต่างประเทศ

ล่าสุดเขาเปิดโปง เครือข่าย Open Society Foundations และนักการเมืองสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับ Alex Soros

Deep State กำลังถูกเปิดโปง – ศึกนี้จะลงเอยอย่างไร?
นี่ไม่ใช่แค่เกมการเมืองของสหรัฐฯ แต่เป็นการต่อสู้ระดับโลก เครือข่ายทุนเงา ที่เคยกำหนดทิศทางของประเทศต่างๆ กำลังเผชิญหน้ากับคู่ต่อกรที่ท้าทายอำนาจของพวกเขาโดยตรง สิ่งที่คนไทยควรจับตามองคือ NGO และสื่อในประเทศที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก Open Society Foundations ของโซรอส กำลัง ปั่นกระแสอะไร และ สร้างวาทกรรมอะไร ในสังคม ศึกนี้ยังไม่จบ และ Elon Musk กำลังเข้าสู่บอสไฟต์ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา!

ปลดล็อกการค้าสร้างเศรษฐกิจสยามเฟื่องฟู ไม่ผูกขาดดังคำปดของคนรุ่นใหม่

ในช่วงเวลาแห่งการปกครองโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาเจษฎาราชเจ้า นั้น ประเทศสยามได้ผ่านความยุ่งยากของการสร้างบ้านแปงเมือง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ผ่านยุครุ่งเรืองแห่งวรรณกรรม ภาษา การฟื้นฟูวัฒนธรรม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และแม้ว่าในยุครัชกาลที่ ๓ จะมีสงครามอยู่บ้าง อาทิ สงครามข้างเจ้าอนุวงศ์ สงครามพิพาทกับทางข้างญวณ แต่ในยุคของพระองค์เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งการค้าขายและ Cross Culture โดยแท้ 

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  รัชกาลที่ ๒ ที่เกิดจากเจ้าคุณจอมมารดาเรียม (สถาปนาเป็นที่ 'สมเด็จกรมพระศรีสุลาลัย' ในรัชกาลที่ ๓) ด้วยความที่พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์โต อีกทั้งทรงละม้ายคล้ายในหลวงรัชกาลที่ ๑ จึงได้รับพระเมตตาเป็นอย่างยิ่ง กอรปกับพระองค์ทรงมีความสามารถ เฉลียวฉลาดสามารถช่วยราชกิจของพระราชบิดาได้อย่างหลากหลาย จนเมื่อมีการตั้งเจ้านายเพื่อทรงกำกับราชการกรมสำคัญ ๆ ในการบริหารราชการส่วนกลางโดยมีฐานะเป็นผู้กำกับกรมคู่ไปกับเสนาบดีเดิม รัชกาลที่ ๓ ในขณะที่พระองค์ยังทรงเป็น 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' พระองค์ได้ทรงกำกับดูแลกรมสำคัญที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจของสยามในเวลานั้นเลยทีเดียว เริ่มจากทรงกำกับ 'กรมพระคลังมหาสมบัติ' ดูแลทรัพย์ที่เป็นเส้นเลือดหลัก จากนั้นก็เพิ่มเติมไปกำกับ 'กรมท่า' ซึ่งดูแลหัวเมืองชายทะเลทั้งหลาย กำกับการติดต่อกับชาวต่างชาติ และกำกับการแต่งเรือสำเภาไปค้าขายเรียกได้ว่าไม่เก่งทำไม่ได้ 

'เจ้าสัว' ของพ่อ ความเก่งกาจฉลาดปราดเปรื่องเป็นที่เลื่องลือ ทั้งข้าราชบริพาร และพระประยูรญาติ ทราบถึงคำชมเชยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๒ ได้กล่าวถึงโอรสพระองค์นี้อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทรงกำกับราชการกรมท่า พระองค์ได้ทรงแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปค้าขายในต่างประเทศ ทำให้สยามมีรายได้เพิ่มขึ้นในท้องพระคลังเป็นอย่างมาก จนพระราชบิดาทรงเรียกพระองค์ว่า 'เจ้าสัว' 

จากการที่ทรงกำกับหน่วยงานสำคัญจึงเป็นปัจจัยให้พระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบรมราชชนกได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็ทรงเก่งสุด ๆ อาวุโสได้ ที่สำคัญคือได้รับการยอมรับจากบรรดาเชื้อพระวงศ์ เหล่าขุนนางทั้งหลาย ให้ขึ้นครองราชย์ที่เรียกว่า “อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ” โดยหลังจากทรงครองราชย์แล้วก็ทรงปรับปรุงการค้าขาย การเก็บภาษี กฎหมาย พัฒนาสยามไปในหลายทาง 

กอบกู้เศรษฐกิจด้วยการค้า ปรับปรุงระบบภาษี ส่งเงินเข้าพระคลังหลวง 
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๖๗ ต้องยอมรับว่าในเวลานั้น สยามยังอยู่ในภาวะขาดแคลนทรัพย์ เนื่องจากครั้งสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ในการสร้างบ้านแปงเมือง ประกอบกับการปราบปรามอริราชศัตรูให้ราบคาบ เมื่อเป็นดังนี้เมื่อบ้านเมืองเริ่มสงบการหาทรัพย์มาเพื่อเป็นทุนสำรองของบ้านเมืองจึงเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อเป็นดังนี้พระองค์จึงได้ปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีขึ้นมาเพื่อหาเงินเข้าท้องพระคลังหลวง จากเดิมที่ระบบภาษีทั้ง จังกอบ อากรฤชา ส่วย ภาษี เงินค่าราชการจากพวกไพร่ เงินค่าผูกปี้ข้อมือจีน ยังเก็บได้ไม่ชัดเจน พระองค์จึงทรงเริ่มปรับปรุงการเก็บภาษีอากรจากรูปของสินค้า และแรงงานให้กลายมาเป็นการชำระด้วยเงินตรา พร้อมกำหนดรายการภาษีใหม่ ๓๘ รายการ

พระองค์ทรงตั้งระบบการเก็บภาษีโดยให้เอกชนประมูลรับเหมาผูกขาด ไปเรียกเก็บภาษีจากราษฎรเอง เรียกว่า “เจ้าภาษี” หรือ “นายอากร” ซึ่งส่วนใหญ่ชาวจีนจะเป็นผู้ประมูลได้ การเก็บภาษีด้วยวิธีการนี้ ทำให้เกิดผลดีหลายประการ โดยเฉพาะด้านตัวเลขเพราะมีการกำหนดไว้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี เกิดการค้าขายที่มีระบบมากขึ้นเพราะมีกำหนดอัตราตามค่าเงิน ทำให้สามารถเก็บเงินเข้าพระคลังมหาสมบัติได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งยังส่งผลดีทางด้านการเมือง เพราะทำให้เจ้าภาษีนายอากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวจีนนั้นมีความผูกพันกับสยามในฐานะข้าราชการมีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ และแผ่นดินสยามอย่างยิ่งยวด 

เปิดประเทศค้าขายต่อเนื่อง ยกเลิกการผูกขาด
นอกจากรายได้จากการเก็บภาษีแล้ว รายได้เข้ารัฐยังมาจากการค้าขายกับต่างประเทศ โดยนำระบบภาษีหลายชั้นมาใช้ในขาเข้าคือภาษีเบิกร่อง และภาษีขาออก ในเริ่มแรกก่อนครองราชย์มาจนช่วงต้นของการครองราชการค้ากับต่างชาติยังมีสินค้าบางอย่างที่ยังผูกขาดอาทิ  ครั่ง ไม้ฝาง งาช้าง การบูร และพริกไทย อีกทั้งผูกขาดในส่วนของสินค้าที่ใช้บรรทุก ในสําเภาหลวงจํานวนมากทำให้การค้าขายยังจำกัด 

ด้วยความเชี่ยวชาญในการส่งเรือสินค้ามาตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศเป็น พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึงทรงยกเลิกนโยบายผูกขาดสินค้า ปล่อยให้มีการค้าเสรี โดยการตัดสินใจเป็นของพระองค์เอง มิได้ทรงผูกพันกับสนธิสัญญาใด ๆ ดังที่มีนักวิชาการฝรั่งหลายคนเคยกล่าวไว้ ซึ่งสอดคล้องกับจดหมายของชาวโปรตุเกสผู้หนึ่ง ซึ่งมีไปถึงนายครอว์เฟิร์ดที่สิงคโปร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๗ ความว่า

“ทันทีที่เจ้านายพระองค์นี้เสด็จขึ้นสู่ราชบัลลังก์ พระองค์ก็ได้ทรงพระกรุณาสั่งอนุญาตให้ทุกชาติที่มาเยี่ยมสยามได้ขายและซื้อ นําออก และนําเข้า กับประชาราษฎรทุกคนที่ตนคิดว่าสมควร โดยไม่มีข้อขัดขวาง เพียงแต่ต้องจ่ายภาษีศุลกากรเท่านั้น สิ่งนี้ได้ทําไปโดยไม่มีการวิวาทกับ พวกขุนนางเลย” (ยกเว้นขุนนางบางตระกูลที่เสียผลประโยชน์จากการยกเลิกการผูกขาดอาจจะมีการมองค้อนแต่ทำอะไรไม่ได้) 

ซึ่งการค้าเสรีนี้ได้สร้างเศรษฐกิจของประเทศให้มีเสถียรภาพมั่นคง และรายได้นี้ได้นำไปใช้ในการทำนุบำรุงบ้านเมือง การป้องกันประเทศ การศาสนา และด้านอื่นๆ ทั้งยังเป็นทุนสำรองของสยามทั้งในรัชสมัยของพระองค์เองและในรัชสมัยต่อ ๆ มา โดยรายได้ของแผ่นดินในรัชกาลที่ ๓ สูงขึ้นเป็นอย่างมาก โดยบางปีมีรายได้เข้าสู่ท้องพระคลังมากกว่า ๒๐ ล้านบาท

สนธิสัญญาเบอร์นี เปิดโอกาสชาติอื่นร่วมค้าขาย
'เฮนรี เบอร์นี' ทูตชาวอังกฤษได้เดินทางเข้ามายังกรุงรัตนโกสินทร์ใน พ.ศ. ๒๓๖๘ เพื่อเจรจาปัญหาทางการเมืองและการค้าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทางด้านการค้า รัฐบาลอังกฤษประสงค์ขอเปิดสัมพันธไมตรีทางการค้ากับรัตนโกสินทร์ และขอความสะดวกในการในการค้าได้โดยเสรี ซึ่งการเจรจาได้ผลสำเร็จอันดี โดยมีการลงนามในสนธิสัญญากันเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙

สนธิสัญญาเบอร์นี ประกอบด้วย สนธิสัญญาทางพระราชไมตรี ๑๔ ข้อ และสนธิสัญญาทางพาณิชย์ แยกออกมาอีกฉบับหนึ่ง รวม ๖ ข้อ ที่เกี่ยวกับการค้า อาทิ ข้อ ๕ ให้สิทธิพ่อค้าทั้งสองฝ่ายค้าขายตามเมืองต่างๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเสรีตามกฎหมาย ข้อ ๖ ให้พ่อค้าทั้งสองฝ่ายเสียค่าธรรมเนียมของอีกฝ่าย ข้อ ๗ ให้สิทธิแก่พ่อค้าจะขอตั้งห้าง เรือน และเช่าที่โรงเรือนเก็บสินค้าในประเทศอีกฝ่ายหนึ่งได้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรมการเมือง ข้อ ๑๐ ว่าด้วยการทำการค้าในบางดินแดนของกลุ่มคนในสังกัดของทั้งสองฝ่ายที่จะต้องเป็นไปโดยไม่มีข้อจำกัด เป็นต้น 

ส่งออกเติบโต เรือเทียบเต็มท่า 
นอกจากการทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษเพื่อการเปิดเสรีทางการค้าแล้วนั้น สยามยังมีการติดต่อกับประเทศอื่น ๆ ทั้งในทวีปเอเชียและยุโรป มีการลดค่าปากเรือลง จากวาละ ๑,๗๐๐ บาท เหลือ ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเอาใจใส่ของไทยสยามในการสนับสนุนการค้าของชาวต่างชาติให้รุ่งเรืองในประเทศทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นมีการเก็บค่าปากเรือสูงถึง ๒,๒๐๐ บาท ทำให้การค้าระหว่างพ่อค้าตะวันตกและไทยเพิ่มปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเรือกําปั่น เข้ามาจอดที่บางกอกเพื่อนําสินค้าของสยามออกไปขาย ในพ.ศ. ๒๓๘๕ มีรายงานว่ามีเรือกําปั่นเข้าเทียบท่า ไม่น้อยกว่า ๕๕ ลํา โดยส่วนใหญ่ เป็นเรือกําปั่นที่ชักธงอังกฤษ ในจํานวนนี้มีอยู่ ๙ ลําที่เข้าเทียบท่าบางกอกเป็นประจําทุกปี และถ้าไม่นับที่มาจากอังกฤษโดยตรง ๓-๔ ลําแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นเรือกําปั่นมาจากบอมเบย์ สิงคโปร์ หรือจีน ซึ่งส่วนใหญ่ก็บรรทุกน้ำตาลออกไป ซึ่งปริมาณการส่งออกในช่วงปีนั้นมีมากถึง ๑๑๐,๐๐๐ หาบทั้งนี้ยังไม่รวมการส่งออกโดยเรือพาณิชย์ของรัฐกว่า ๑๔ ลำ รวมไปถึงเรือพาณิชย์ของขุนนางกว่า ๑๐ ลำ 

แต่ต้องยอมรับนอกเหนือไปจากการลงนามทางการค้าในสนธิสัญญาเบอร์นี่แล้วนั้น การค้าในฟากของชาติตะวันตกนั้นยังแฝงไปด้วยเรื่องทางการเมือง การล่าอาณานิคม และการเข้าแทรกแซงกิจการอื่น ๆ เพราะประเทศรอบข้างสยามในขณะนั้นกำลังเริ่มถูกคุกคาม ทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวยังมิได้ส่งเสริมการงานฟากตะวันตกอย่างเอิกเกริกนัก ทั้งยังทรงระแวดระวังมิให้สยามตกอยู่ในฝ่ายเพลี่ยงพล้ำทั้งการค้า และการเมืองดังที่ได้พระราชทานพระราชกระแสรับสั่งไว้ว่า

“การศึกสงครามข้างญวนข้างพม่าก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีก็อยู่แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดีอย่าให้เสียท่าแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะเรียนเอาไว้ก็เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสกันทีเดียว” 

เพราะนอกเหนือจากการค้าเสรีที่เฟื่องฟูในสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ ๓ แล้ว การล่าอาณานิคมที่ไม่เสรีก็ตามติด ๆ มาในอีกไม่นานหลังจากนั้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top