Thursday, 23 January 2025
COLUMNIST

‘โตเกียวโอลิมปิก’ สัญลักษณ์ล้านความหมาย สะท้อนแรงบันดาลใจแห่งอำนาจ ‘Soft Power’

ในช่วงนี้มหกรรมกีฬาระดับโลกอย่างโอลิมปิกเกมส์ 2020 กำลังแข่งขันกันอย่างเข้มข้น ประเทศไทยเรามีเรื่องให้น่ายินดีกันไปแล้วกับเหรียญทองประวัติศาสตร์เหรียญแรกของกีฬาเทควันโด กับน้องเทนนิส พาณิภัค ซึ่งเป็นการเบิกชัยให้กับทัพนักกีฬาไทยเป็นเหรียญแรกของการแข่งขันอีกด้วย ซึ่งการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ อย่างที่เราทราบกันว่าต้องจัดขึ้นท่ามกลางโรคระบาดอย่างโควิด-19 ประชาชนในประเทศญี่ปุ่นเองก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยในการจัดการแข่งขันครั้งนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เป็นงานมหกรรมกีฬาที่คนทั่วโลกต่างรอคอย และหลาย ๆ คน ยังคงประทับใจจากเมื่อครั้งพิธีปิดโอลิมปิก 2016 ที่ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ที่ช่วงของการส่งต่อการเป็นเจ้าภาพที่นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในปี 2016 ขณะนั้น ได้แต่งตัวเป็นมาริโอ ในเกมชื่อดัง "ซูเปอร์ มาริโอ" ร่วมพิธีปิดเพื่อรับช่วงต่อในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2020 เป็นภาพที่หลาย ๆ คนติดตา และคาดหวังว่าในโอลิมปิกเกมส์ที่โตเกียว เราจะได้เห็นพลัง Soft Power หรือวัฒนธรรมป็อปของญี่ปุ่นในการจัดงาน ทำให้ทุกคนรอคอยการจัดโอลิมปิกของญี่ปุ่นในครั้งนี้ 

นายชินโซะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในพิธีปิดโอลิมปิก 2016

แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 อะไรหลาย ๆ อย่างที่ประเทศญี่ปุ่นได้วางแผนไว้ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไป บรรยากาศของพิธีเปิดอาจจะมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ลดความรื่นเริงหรือการเฉลิมฉลอง แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้หายไปไหน คือความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น คำที่หลาย ๆ คนอุทานในการชมพิธีเปิดในครั้งนี้ และทำให้ผู้เขียนได้นึกถึงเรื่อง “Soft Power” ที่เคยเขียนไว้ เพราะการจัดงานโอลิมปิกครั้งนี้ก็ปฏิเสธได้เลยว่าญี่ปุ่น ได้ดึง Soft Power ที่โดดเด่นของประเทศมาใช้ในการแสดงพิธีเปิดงานโอลิมปิกเกมส์ 2020 เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 23 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา 

เช่น ในช่วง Parade of Athletes ได้นำเพลงจากวิดีโอเกมมาเป็นเพลงเดินเข้าสนามของนักกีฬาในลักษณะเมดเลย์ เช่น Dragon Quest, Final Fantasy, Tales of series, Monster Hunter, Kingdom Hearts, Ace Combat, Sonic the Hedgehog, Winning Eleven (Pro Evolution Soccer) เป็นต้น ในรูปแบบวงออร์เคสตราอย่างยิ่งใหญ่อลังการต้อนรับนักกีฬาแต่ละประเทศ หรือการออกแบบ PLACARDS (ป้ายนำขบวนนักกีฬา) ก็มีการออกแบบเป็นรูป Bubble แบบในมังงะที่เราคุ้นเคยในการอ่านการ์ตูน รวมไปถึงชุดของผู้ถือป้ายนำขบวนแต่ละประเทศที่ออกแบบให้สอดคล้องกับป้าย รวมถึงลำดับการเรียงประเทศที่ใช้ตามตัวอักษรของประเทศญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับเกม หรือการ์ตูนของประเทศญี่ปุ่นที่เค้าไม่ได้มองว่าเป็นสื่อที่สร้างความบันเทิง แต่มันคือ Soft Power ที่แสดงถึงวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่นในการขับเคลื่อนประเทศได้ จึงนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในพิธีเปิดครั้งนี้ 

อีกหนึ่งโชว์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดและคลิปถูกแชร์ส่งต่อไปกันในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก คือการแสดงในช่วง LET THE GAMES BEGIN กับการแสดงชุด The History of Pictograms ที่แสดงให้เห็นถึงที่มาของการใช้ Pictograms ในการแข่งขันกีฬา ซึ่งรูปสัญลักษณ์แทนชนิดกีฬานี้ ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อโอลิมปิกที่โตเกียวในปี 1964 ถือเป็นภูมิปัญญาของประเทศญี่ปุ่นที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องของภาษา เป็นประโยชน์ให้กับนักกีฬา และนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเจ้าภาพแต่ละประเทศก็จะมีการออกแบบในเวอร์ชันของประเทศตนเอง โดยในการแสดงพิธีเปิด ได้เลียนแบบ Pictograms โดยการใช้การแสดงละครใบ้ผสมผสานกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาเป็นแนว Creative Performance ที่แสดงภาพสื่อออกมาเป็นชนิดกีฬาต่าง ๆ ถึง 50 ชนิดกีฬา โดยได้คู่หูนักแสดงที่มาแสดงครั้งนี้คือ MASA and hitoshi (GABEZ) ทำให้คนที่ได้ดูนึกถึงเกมซ่าท้ากึ๋น (Kasou Taisho) ที่สร้างความประทับใจให้กับคนดูในช่วงพิธีเปิดได้เป็นอย่างดี และยังถูกพูดถึงในอีกหลายวัน แม้จะผ่านช่วงพิธีเปิดมาแล้วก็ตาม 

แม้ว่าการแสดงพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 จะมีการปรับลดให้เหมาะสมกับช่วงสถานการณ์ แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ เรายังได้เห็นในอีกหลาย ๆ เรื่องที่ชาวญี่ปุ่นได้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจทั้งผู้เข้าร่วมการแข่งขัน และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งการทำเหรียญมาจากโลหะที่รีไซเคิลจากโทรศัพท์มือถือเก่าและขยะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กอื่น ๆ หรือช่อดอกไม้ที่มอบให้กับนักกีฬาคู่กับเหรียญรางวัล ก็นำมาจากดอกไม้ที่ปลูกในพื้นที่ประสบภัยในแถบตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นที่เคยเจอเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสินามิเมื่อปี 2011 

ความเป็นญี่ปุ่น ที่ใช้ Soft Power ยังปรากฏให้เห็นอีกหลายอย่าง เช่น การนำน้องหมีคุมะมง มาสคอตประจำเมืองคุมาโมโตะ ที่คิวชู แปลงร่างเปลี่ยนสีเป็นน้ำเงินร่วมเชียร์กีฬาโอลิมปิก ซึ่งเป็นสีโทนเดียวกับโลโก้ประจำการแข่งขันครั้งนี้ 

นอกจากการเชียร์กีฬาที่สนุกสนาน เรามารอลุ้นกันว่า การแสดงพิธีปิดจะมีอะไรให้คนดูได้ประทับใจอีกบ้าง เพราะหากจะพูดถึงวัฒนธรรม J POP และ Soft Power ของญี่ปุ่น ยังมีอีกหลายอย่างที่พวกเราอยากเห็นไม่ว่าจะเป็นด้านเพลง การ์ตูน เกม มังงะ การแสดงต่าง ๆ และที่ลืมไม่ได้เลยคือ การส่งใจเชียร์นักกีฬาไทยในการแข่งขันครั้งนี้ต่อไป... 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ปราบเซียนกับ “ความเครียด” ในสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 แบบฉบับรับมือง่าย ๆ

ท่ามกลางสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทั้งแพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยและทุกคนล้วนมีความเครียดและความกังวลใจ ทั้งเรื่องของการแพร่ระบาดอย่างเป็นวงกว้าง ปัญหาเศรษฐกิจภาคครัวเรือน และปัญหาสุขภาพอันเกิดจากความเครียดสะสม ดังนั้น หากสามารถจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นได้ ย่อมทำให้รับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวได้ด้วยความเข้าใจ 

ความเครียดเป็นภาวะที่แสดงออกมาเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม สังคม ภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตใจ รวมถึงสภาพร่างกาย ความเครียดแบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้

ความเครียดระดับต่ำ เป็นความเครียดที่ไม่คุกคามต่อการดําเนินชีวิต อาจมีความรู้สึกเพียงแค่เบื่อหน่าย ขาดแรงกระตุ้น และมีพฤติกรรมที่เชื่องช้าลง

ความเครียดระดับปานกลาง เป็นความเครียดในระดับปกติที่ไม่ก่ออันตรายและไม่แสดงออกถึงความเครียดที่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะสามารถปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติได้เองจากการได้ทํากิจกรรมที่ชื่นชอบ ซึ่งช่วยคลายเครียดได้

ความเครียดระดับสูง เป็นความเครียดที่เกิดจากเหตุการณ์รุนแรง หากปรับตัวไม่ได้จะทําให้เกิดความผิดปกติตามมา ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ ความคิด และพฤติกรรม เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง อารมณ์ฉุนเฉียวง่าย หงุดหงิด พฤติกรรมการนอนและการรับประทานอาหารเปลี่ยนไป จนมีผลต่อการดําเนินชีวิต จึงควรหาใครสักคนคอยอยู่เป็นเพื่อนเพื่อรับฟังปัญหาและระบายความรู้สึก รวมถึงมีผู้ให้คําปรึกษาอย่างใกล้ชิด

ความเครียดระดับรุนแรง เป็นความเครียดระดับสูงและเรื้อรังต่อเนื่องจนทําให้มีความล้มเหลวในการปรับตัวและก่อให้เกิดความผิดปกติและเกิดโรคต่าง ๆ ที่รุนแรง เช่น อารมณ์แปรปรวน มีอาการทางจิต มีความบกพร่องในการดําเนินชีวิตประจําวัน ซึ่งอาจมีอาการนานเป็นสัปดาห์ เดือน หรือปี ควรเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์

>> ความเครียดเป็นกลไกธรรมชาติของมนุษย์

ความเครียดและความกังวลที่เกิดขึ้นเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยให้มนุษย์เตรียมตัว วางแผนและรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าไม่รู้สึกเครียด ไม่กลัวติดเชื้อ ไม่สนใจว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ไม่สนใจประกาศจากรัฐบาล อาจนำพาไปสู่ความเสี่ยงมากมายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ดังนั้นความเครียด ความกังวล ความกลัวและตื่นตระหนกเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ทุกคนขวนขวายหาความรู้เพิ่มเติม มีการวางแผน และเตรียมการอย่างถูกวิธี

>> สัญญาณของความเครียดในสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 

กลัวการติดเชื้อ อาจเกิดความรู้สึกหวาดระแวงคนรอบข้าง คนใกล้ตัว แม้แต่คนที่ดูปกติที่สุด แข็งแรงร่าเริงดีก็สามารถกลายเป็นผู้ติดเชื้อแบบไม่มีอาการและแพร่เชื้อได้โดยง่าย ต้องระแวงแม้แต่ตัวเอง พอมีอาการตัวรุม ๆ หรือคัดจมูกก็เริ่มวิตกจริตว่าควรไปตรวจหาเชื้อหรือไม่

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรายวัน มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น นโยบายรัฐบาลปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เกือบทุกวัน วันนี้อาจไปทำงานปกติ วันรุ่งขึ้นที่ทำงานอาจถูกปิด 

กังวลกับทุกเรื่อง นอกจากกลัวติดเชื้อ COVID-19 ยังมีความกังวลในเรื่องต่าง ๆ เช่น ตกงาน ภาวะเศรษฐกิจ การปรับลดจำนวนพนักงาน การปิดโรงเรียน ความไม่เพียงพอของวัคซีน เป็นต้น ทำให้เกิดความกังวลในการใช้ชีวิต ความเครียดจากการติดตามข่าวรายวันอาจสะสมโดยไม่รู้ตัว

ไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้จะจบลงเมื่อไร บางคนพยากรณ์ว่าการระบาดนี้จะยาวนานถึงปีหน้า เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบอีกยาว ปัจจุบันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเหตุการณ์จะแย่ลงอีกหรือไม่ เราเดินทางมาถึงจุดสูงสุดของการระบาดหรือยัง แม้จะมีนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม ปฏิบัติตามรายงานของภาครัฐอย่างเคร่งครัด การแพร่ระบาดก็ยังน่าจะไม่ยุติในระยะเวลาอันใกล้

>> การรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 อย่างเข้าใจ

สุขภาพร่างกาย

ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทำให้หลายออฟฟิศปรับเปลี่ยนมาทำงานแบบ Work From Home คือ สามารถทำงานหรือประชุมผ่านโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์จากที่ใดก็ได้ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง ได้แก่

รับประทานอาหารให้ตรงเวลา หรือ เริ่มต้นทำอาหารง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เช่น หุงข้าว ทอดไข่ เป็นต้น หรือจะสั่งอาหารเดลิเวอรี่บ้างก็ได้ แต่พยายามเลือกชนิดอาหารที่มีความหลากหลายและมีประโยชน์

หมั่นเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ แม้จะ Work From Home ก็ควรตื่นแต่เช้า อาบน้ำ แต่งตัว ออกกำลังกายตามยูทูปแทนการไปฟิตเนส ทำงานบ้าน ทำอาหาร รดน้ำต้นไม้ เดินขึ้นลงบันได ทำท่ากายบริหารง่าย ๆ เป็นต้น

พักสายตาเมื่อใช้สายตาต่อเนื่องนานเกิน 1 ชั่วโมงด้วยการหลับตาสักครู่และมองออกไปยังพื้นที่สีเขียวรอบตัว

ปฏิบัติตามนโยบายเว้นระยะห่างทางสังคม กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการสัมผัส

นอนหลับให้เพียงพอวันละ 7 ชั่วโมง ปิดโทรศัพท์และปิดเสียงเตือนก่อนเข้านอน พยายามผ่อนคลาย สังเกตลมหายใจเข้าและออกก่อนนอน หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

สุขภาพจิตใจ

ด้วยภาวะความเครียดที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ทำให้เกิดภาวะจิตตก หมดหวัง นำไปสู่การตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย เช่น การทำร้ายตัวเอง การฆ่าตัวตาย ภาวะซึมเศร้า การลาออกจากงาน การทะเลาะกับคนใกล้ชิด การกระทบกระทั่งกันในหมู่เพื่อน เป็นต้น อารมณ์ที่ไม่ปกติเหล่านี้สามารถทำให้ตัดสินใจทำสิ่งใด ๆ โดยความไม่รอบคอบ ซึ่งคำแนะนำเบื้องต้น ได้แก่

ปรับทัศนคติ เมื่อเกิดความเครียดหรือความไม่พอใจ อย่าตำหนิตัวเอง ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) เชื่อว่าทุกฝ่ายใช้ความพยายามอย่างมากที่จะทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างดีที่สุด ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการให้กำลังใจกัน ติดตามข่าวสารเท่าที่จำเป็น ลดการเสพโซเชียลมีเดีย ติดตามข่าวสารจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ระมัดระวังข่าวปลอม 

หมั่นสังเกตตัวเอง ทุกครั้งที่มีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้น ต้องมีสติรู้สึกตัว ลองใช้เวลาวันละ 5 นาที สำรวจตัวเองทบทวนความคิด ความรู้สึก หรือการตอบสนองทางร่างกาย

เชื่อมต่อกับผู้คน แม้จะเจอเพื่อนฝูงหรือผู้คนเหมือนก่อนไม่ได้ แต่ยังสามารถเชื่อมต่อ พูดคุยกันได้ โดยใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อถึงกัน เช่น วีดีโอคอลหรือโทรศัพท์ เพราะการแยกตัวโดดเดี่ยวอาจทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น

ทำงานอดิเรกที่ชอบ ลองใช้ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น วาดรูป ทำอาหาร ฟังเพลง เล่นดนตรี ต่อจิ๊กซอว์ ทำงานประดิษฐ์ ฝึกโยคะ เป็นต้น

กลิ่นบำบัด (Aromatherapy) ขณะนั่งจิบกาแฟยามเช้าและไม่ต้องเปิดดูข่าว ไม่ต้องคุยกันเรื่อง Covid-19 ลองสูดดมกลิ่นกาแฟหอม ๆ รับรู้สัมผัสของอุณหภูมิอุ่น ๆ หรือ ขณะอาบน้ำลองสังเกตอุณภูมิของน้ำ รับรู้กลิ่นหอมของแชมพูหรือครีมอาบน้ำ ลองฝึกจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน หยุดความคิดทั้งหมดและโฟกัสอยู่กับกลิ่นและอุณหภูมิของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว

สุขภาพทางการเงิน

จากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอน ทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน ดังนั้นควรรีบวางแผนการใช้เงินให้รัดกุมมากขึ้นด้วยวิธีการเหล่านี้

ลดการใช้จ่ายเกินตัว ซื้อของเฉพาะที่จำเป็นหรืออดทนรอจนกว่าจะเก็บเงินได้ครบก่อนจึงค่อยซื้อ รวมทั้งลดรายจ่ายที่สามารถประหยัดได้ เช่น ค่ากินบุฟเฟ่ต์ ค่าฟิตเนส เป็นต้น

ออมเงินและแบ่งเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น อุบัติเหตุ ออกจากงาน หรือ ต้องใช้เงินแบบเร่งด่วน โดยไม่ต้องไปกู้ยืมจากที่ไหน

เพิ่มรายได้มากกว่า 1 ทาง เช่น งานเขียนบทความ งานแปลภาษา รีวิวสินค้า เป็นต้น ลองมองหาอาชีพเสริมที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง แต่ใช้ความถนัดและความสามารถแทน

หมั่นเช็กสภาพคล่องทางการเงิน ดูรายรับ รายจ่าย ยอดหนี้ แล้วประเมินคร่าว ๆ ว่ายอดหนี้สูงเกินกว่าที่จะจ่ายได้หรือไม่

การทำงาน

แม้ในภาวะปกติ ความเครียดจากการทำงานถือเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีมีข้อควรปฏิบัติดังนี้

ควรเปิดกว้างและมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากยิ่งขึ้น นำประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้มาปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ

เลือกงานหรืออาชีพที่มั่นคงและตรงกับความสามารถของตนเอง เพราะบางงานต้องทำระยะเวลายาวนานไปจนถึงวัยเกษียณ 

หาเวลาพักผ่อนหลังการทำงาน สร้างสมดุลของงานและการใช้ชีวิต 


เอกสารอ้างอิง
อาจารย์วัฒนารี อัมมวรรธน์.(2555). กิจกรรมบำบัดเพื่อประชาชน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แสงดาว
https://www.bangkokhospital.com/content/psychiatric-guidance-on-stress-management-trading-covid-19
https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generalknowledge/general/05142014-1901
https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30321


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“Podcar” ระบบขนส่งอัตโนมัติ ที่เรียกใช้ได้ตามต้องการ

หลายท่านน่าจะได้เคยดูหนังแนววิทยาศาสตร์โลกอนาคต เนื้อหาในเรื่องมียานพาหนะส่วนตัวมารับในเวลาที่ต้องการ และไปจุดหมายตามที่ต้องการโดยอัตโนมัติ ระหว่างทางก็นั่งคุยกันไปโดยไม่ต้องกังวลกับการควบคุมยานพาหนะนั้น ดูเหมือนว่าเรื่องแบบนี้น่าจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต แต่ความเป็นจริงแล้วได้มีระบบขนส่งแบบนี้เปิดใช้งานจริงมานานกว่าสี่สิบปีแล้ว ในชื่อที่เรียกว่า “Podcar”

ในช่วงปี 1950 ประเทศสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาการขยายตัวของเมืองอย่างกระจัดกระจาย คือเกิดชุมชนใหม่ในแถบชานเมือง แต่คนยังต้องเข้ามาทำงานในใจกลางเมืองด้วยการขับรถยนต์ จึงส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัด ทางรัฐบาลจึงได้กำหนดนโยบายส่งเสริมการลงทุนและการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเพื่อใช้แก้ปัญหานี้ และในช่วงนั้นได้มีการวิจัยรูปแบบการขนส่งต่าง ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาจราจร หนึ่งในนั้นก็มีแนวคิดว่าผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ใช่ระบบขนส่งมวลชนเพราะไม่สะดวกและไม่เป็นส่วนตัวเหมือนกับการใช้รถยนต์ จึงมีการพัฒนาระบบขนส่ง Private Public Transit (PRT) ขึ้น

ระบบ PRT เป็นยานพาหนะขนาดเล็กที่จุผู้โดยสารได้ 2-6 คน หากจุผู้โดยสารมากกว่านั้นจะถูกเรียกว่า Group Rapid Transport (GRT) หรือเรียกอีกชื่อว่า Podcar ตามรูปทรงของรถ ระบบของ Podcar ถูกออกแบบมาให้วิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดและจอดตามจุดที่ต้องการโดยอัตโนมัติ และสิ่งที่แตกต่างจากระบบขนส่งสาธารณะทั่วไป คือ สามารถไปถึงจุดหมายโดยไม่ต้องจอดแวะระหว่างทาง จึงใช้ระยะทางเวลาเดินทางน้อยกว่า และระบบยังมีความยืดหยุ่นในการให้บริการ คือ ในช่วงที่ผู้โดยสารใช้บริการมากสามารถกำหนดตารางการเดินรถเหมือนระบบขนส่งสาธารณะทั่วไป และช่วงที่ผู้โดยสารน้อยก็สามารถเรียกรถเพื่อใช้บริการได้ตามต้องการ ระบบเหมือนนี้จึงเหมือนรถแท็กซี่รวมกับระบบรถไฟฟ้า หรือเหมือนกับลิฟท์ส่วนตัวที่วิ่งในแนวราบและไม่ต้องจอดรับส่งระหว่างทาง 

Podcar เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1975 ที่เมือง Morgantown ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากเมืองแห่งนี้ตั้งอยู่เชิงเขาและมีประชากรอยู่ประมาณ 30,000 คน นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนียที่มีนักศึกษาและคนทำงานอยู่จำนวนมาก ด้วยข้อจำกัดของสภาพภูมิประเทศจึงทำให้อาคารเรียนกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่เดิมทางมหาวิทยาลัยจัดรถโดยสารรับส่งนักศึกษาระหว่างอาคารเรียนที่อยู่คนละฝั่งของตัวเมือง แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาสภาพจราจรที่ติดขัด จึงมองว่าแนวคิดของ PRT น่าจะเหมาะกับการแก้ไขปัญหานี้มากกว่าระบบขนส่งอื่น โดยระบบนี้มีทั้งหมด 5 สถานี ระยะทางรวม 13.2 กิโลเมตร รถมีทั้งหมด 73 คัน และถูกออกแบบให้จุผู้โดยสารได้ 20 คน

ต่อมาในปี 1979 ได้เริ่มใช้ระบบ PRT แห่งที่สองในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยดุ๊ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นระบบขนส่งที่เชื่อมระหว่างอาคารสองแห่งกับอาคารจอดรถ แต่ต้องยกเลิกการใช้งานและทำลายเส้นทางทิ้งเนื่องจากการขยายอาคารในโรงพยาบาล

หากเป็นระบบ PRT ที่ดูทันสมัยขึ้นมาหน่อยก็คงเป็นเส้นทาง ParkShuttle ที่เปิดให้บริการในปี 1999 ที่วิ่งด้วยรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ บนเส้นทางถนนเฉพาะที่ฝังระบบนำทางไว้ใต้พื้นถนน เชื่อมระหว่างสถานีรถไฟไฟฟ้า Kralingse Zoom กับ Rivium Business Park ในเมืองรอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์โดยมีระยะทางรวม 1.8 กิโลเมตร ระบบนี้มีสถานีทั้งหมด 5 แห่ง และในปี 2021 มีโครงการขยายเส้นทางโดยใช้รถยนต์อัตโนมัติวิ่งบนถนนสาธารณะ

นอกจากนั้นยังมีการนำระบบ PRT มาใช้ในการรับส่งผู้โดยสารในสนามบิน เช่น การรับส่งผู้โดยสารระหว่างอาคารผู้โดยสาร 5 กับอาคารจอดรถของสนามบินฮีทโธรว์ในอังกฤษ โดยใช้ระบบของ ULTra  ที่เป็น Podcar ขนาดเล็กจุผู้โดยสารได้ 4 คน วิ่งไปตามเส้นทางเฉพาะที่มีระยะทางยาว 3.9 กิโลเมตร และสนามบินแห่งใหม่ในนครเชิงตูของจีน ก็ใช้ระบบ PRT ของ ULTra ในการรับส่งผู้โดยสารเองระหว่างอาคารผู้โดยสารสองหลังกับอาคารจอดรถ คาดว่าจะเริ่มใช้งานในปี 2021

ในเกาหลีใต้เองก็นำระบบ PRT มาใช้ในแหล่งท่องเที่ยว โดยระบบ SkyCube ถูกนำมาใช้ในเขตอนุรักษ์ของเมือง Suncheon เนื่องจากต้องการรักษาสภาพแวดล้อมของแหล่งท่องเที่ยวเพราะระบบนี้ไม่มีการปล่อยมลพิษและเสียงรบกวนจากการก็วิ่งน้อยเพราะใช้ล้อยาง รวมถึงออกแบบให้เป็นทางยกระดับเพื่อให้นักท่องเที่ยวเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองข้างทาง

ถ้าระบบขนส่งนี้มีข้อดีหลายอย่าง แต่ทำไมถึงยังมีใช้เพียงแค่ไม่กี่แห่งในโลก นั้นเพราะในอดีตระบบนี้ไม่เหมาะกับการใช้ในเมืองใหญ่หรือมีผู้โดยสารจำนวนมาก เพราะความสามารถในการขนส่งผู้โดยสารต่อชั่วโมงน้อยกว่าระบบขนส่งหลัก เช่น รถไฟฟ้าหรือรถใต้ดิน และหากสร้างในเมืองขนาดเล็กที่มีจำนวนผู้โดยสารเหมาะสมกับการใช้งาน ก็ต้องพบกับปัญหาการลงทุนที่สูงเมื่อเทียบกับการใช้รถเมล์แบบปกติ นอกจากนั้นความยืดหยุ่นและความสะดวกสบายในการใช้งานยังไม่เท่ากับการใช้รถแท็กซี่ที่ให้บริการรับส่งได้ถึงจุดหมายปลายทาง (Door to door) ระบบนี้จึงอาจเหมาะกับการรับส่งระหว่างอาคารในเส้นทางที่ไม่ไกลมากเช่นในสนามบิน

แต่ด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบัน อาจจะนำเทคโนโลยีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมาผสมเข้ากับระบบ PRT เช่น โครงการ ParkShuttle ในเนเธอร์แลนด์ เพื่อทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเส้นทางลดต่ำลง และแนวโน้มการเกิดขึ้นของเมืองใหม่ไร้มลพิษที่มีเป้าหมายให้เป็นเมืองปลอดรถยนต์ อย่างโครงการ Ajman City ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตต์ ที่มีแผนใช้ระบบ PRT เป็นระบบขนส่งรองเชื่อมต่อกับระบบขนส่งหลักเพื่อขนส่งผู้คนไปถึงจุดหมายที่ต้องการ โดยมีโครงข่ายเส้นทางรวมระยะทาง 120 กิโลเมตร รวมถึงแนวโน้วค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนที่สำคัญของระบบขนส่งสาธารณะ จึงอาจส่งผลให้ในอนาคตอันไม่ไกลนี้เราน่าจะได้เห็น PRT หรือ Podcar ใช้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น


ข้อมูลอ้างอิง 
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Personal_rapid_transit
https://transportation.wvu.edu/prt 
https://today.duke.edu/2017/12/remembering-duke%E2%80%99s-railway https://www.2getthere.eu/projects/rivium/
https://newsroom.posco.com/en/koreas-first-personal-rapid-transit-prt-skycube/
https://www.zatran.com/en/technology/personal-rapid-transit-prt/
https://www.bloomberg.com/news/articles/2014-09-19/personal-rapid-transit-is-probably-never-going-to-happen
https://www.wired.com/2008/10/personal-pod-1/
https://www.bloomberg.com/news/articles/2013-01-15/would-more-drivers-use-mass-transit-if-it-mimicked-private-cars


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ประวัติศาสตร์ดำมืดของ “Chinatown” กับการกดขี่ชาวจีนในสหรัฐอเมริกา (ตอนที่ 2)

มาต่อกันกับตอนที่ 2 “ชะตากรรมและจุดพลิกผัน” ของย่าน Chinatown ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ตอนแรกเราได้ทราบกันแล้วว่า ชะตากรรมของคนจีนในสหรัฐอเมริกานั้น ไม่ได้ราบรื่นเหมือนชาวจีนในสยามประเทศเลยแม้แต่น้อย

ทั้งการต้องตกเป็นแพะรับบาปว่าไปแย่งงานคนอเมริกันในช่วงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำ ถูกรังเกียจ ถูกเหยียดเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ (Racism) ดูมองเป็นเผ่าพันธุ์ที่โสโครก ชั่วร้าย ไร้ศีลธรรม ในสายตาคนผิวขาว และจากนี้ก็จะถูกวางแผนขับไล่ให้ออกไปจากที่ดินใน Chinatown 

ก่อนจะกลับมาพลิกผันด้วยวิสัยทัศน์ของชาวจีนที่ต้องการรักษา Chinatown ไว้ ซึ่งในตอนนี้ เราจะมาดูกันว่าเขาจะมีแผนรับมือกับคนผิวขาวอย่างไรบ้าง และทำอย่างไร Chinatown ถึงมาเป็นอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบันได้

ย่าน Chinatown ในเมืองซานฟรานซิสโก ปี 1900

ในปี 1906 คณะกรรมการเมืองซานฟรานซิสโกได้มีแผนให้ทำการย้ายย่าน Chinatown ออกไปอยู่นอกเมืองในเขตห่างไกลจากตัวเมือง แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เช้าวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1906 ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จนทำให้เมืองซานฟรานซิสโกพังพินาศและเกิดเหตุไฟไหม้ไปทั่วทั้งเมือง จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คน

สภาพความเสียหายของเมืองซานฟรานซิสโกและย่าน Chinatown เดิม

ไม่มีใครทราบว่ามีชาวจีนเสียชีวิตไปกี่คน เนื่องจากการนับผู้เสียชีวิตครั้งนั้น ไม่นับรวมชาวจีนที่อยู่ในเขต Chinatown แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้ทำให้ย่าน Chinatown พังพินาศ ซึ่งกลายมาเป็นโอกาสให้แผนการย้าย Chinatown ดูจะเป็นไปได้ด้วยดี 

ถึงขนาดที่ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งได้ทำข่าวว่า “สิ่งที่น่าพึงพอใจอย่างเดียวท่ามกลางความสูญเสียของเมืองซานฟรานซิสโก ก็คือการที่ย่านคนจีนถูกทำลายลง ชุมชนเชื้อโรคนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว”

แต่ในเวลาอีกแค่ 2 สัปดาห์ต่อมา ได้มีการพิจารณาเรื่องการย้ายถิ่นคนจีนออกไปนอกเมืองใหม่อีกรอบ เนื่องจากธุรกิจของชาวจีนเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมด้านเศรษฐกิจของเมืองซานฟรานซิสโก และดีต่อความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐอเมริกาและจีน

อีกทั้งสินค้าจากจีนที่นำเข้ามาค้าขาย ยังทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเมืองซานฟรานซิสโก จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของเมืองที่ต้องการการฟื้นฟูหลังความเสียหายจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่

การค้าระหว่างอเมริกัน-จีน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของเมือง จนทำให้เมืองรอบข้างอย่าง Seattle และ Los Angeles เสนอตัวจะขอรับชุมชนชาวจีนจากเมืองซานฟรานซิสโก หากว่าซานฟรานซิสโกไม่ต้องการชาวจีนในเมืองของตน

Look Tin Eli พ่อค้าชาวจีนในเมืองซานฟรานซิสโก ได้นำเสนอแผนต่อคณะกรรมการเมืองซานฟรานซิสโกเพื่อที่จะให้ย่านคนจีนตั้งอยู่ที่เดิมได้ต่อไป ด้วยการเนรมิตย่านคนจีนขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นำเอกลักษณ์บางอย่างของสถาปัตยกรรมจีนมาใส่ไว้กับตัวอาคาร

Look Tin Eli พ่อค้าชาวจีนผู้นำเสนอแผนปรับปรุง Chinatown

แบบสถาปัตยกรรมของ Chinatown ใหม่นั้น ออกแบบโดยสถาปนิกชาวตะวันตก ซึ่งไม่เคยเห็นสถาปัตยกรรมจีนจริง ๆ แต่เป็นการเห็นจากรูปวาดหรือภาพถ่าย ดังนั้นสถาปัตยกรรมจีนที่เห็นอยู่ถูกสร้างออกมาไม่ได้ตรงตามระบบโครงสร้างหรือการรับน้ำหนักของสถาปัตยกรรมจีนอย่างแท้จริง แต่เป็น “สถาปัตยกรรมจีนที่อยู่ในความรับรู้ของชาวตะวันตก”

ส่วนที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดน่าจะเป็นซุ้มประตูสีแดงและหลังคาแบบจีน ซึ่งเด่นสะดุดตาชาวตะวันตก โดยที่จุดประสงค์ของ Chinatown ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นั้น มีไว้เพื่อเป็น Theme Park สำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวมายังเมืองซานฟรานซิสโก ด้วยเหตุนี้ทำให้ย่าน Chinatown ไม่ถูกย้ายออกไป และยังคงอยู่ในเมืองซานฟรานซิสโกมาจนถึงทุกวันนี้

รูปแบบ Chinatown ที่ซานฟรานซิสโก ได้กลายมาเป็นต้นแบบของ Chinatown ในเมืองต่าง ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาทั้ง New York, Los Angeles, Washington DC และอื่น ๆ

สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่า ประวัติศาสตร์ของ Chinatown ในสหรัฐฯ นั้นเริ่มมาจากแหล่งเสื่อมโทรม และเป็นที่รวมของคนที่ถูกเหยียดเชื้อชาติ เหยียดเผ่าพันธุ์ ก่อนการพลิกผันกลับมาฟื้นฟูเป็น “Chinatown ใหม่” ด้วยวิสัยทัศน์ของพ่อค้าชาวจีน 

ซึ่งการสร้าง Chinatown ใหม่นั้น เป็นความพยายามในการเอาตัวรอด เพื่อให้คนจีนสามารถอยู่ต่อไปได้ในเมืองของคนผิวขาว อีกทั้งยังเป็นการทำเพื่อรักษาอัตลักษณ์และความเป็นตัวตนของตนเองไว้ 

ในกรณีสถาปัตยกรรมของ Chinatown จึงเป็น “เครื่องมือต่อรอง” ในทางการเมืองของชาวจีนกับผู้มีอำนาจผิวขาวในสหรัฐฯ ในเวลานั้น ด้วยการนำเสนอ Chinatown ที่สามารถสร้างรายได้และเศรษฐกิจให้กับเมืองได้ จนทำให้พวกเขาอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สำรวจ !! โอกาสในวิกฤต กับความร่วมมือของทุกภาคส่วน ในภาวะโคโรน่า 2019

วิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 นั้น จัดได้ว่าเป็นวิกฤตที่ทำลายธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคนทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่ การติดต่อผ่านทางละอองฝอย และการเปื้อนเชื้อบนพื้นผิว ทำให้ต้องใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ตรวจค้นโรค กักตัว รักษาผู้ป่วย ซึ่งเป็นมาตรการระยะสั้นทั้งสิ้น มาตรการทางระยะยาวขึ้นอยู่กับการมีวัคซีน การปลอดเชื้อ และการป้องกันเชื้ออย่างถาวร ในอดีตผู้รู้หลายท่านเปรียบเปรยว่า การป้องกันโรคอย่างถาวรของไวรัสโคโรน่า 2019 นั้น ต้องทำให้คล้ายกับถุงยางอนามัยที่ป้องกันการติดเชื้อเฮชไอวี แต่กระนั้น การป้องกันเชื้ออย่างถาวรกรณีไวรัสโคโรน่า 2019 ที่เป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ทำได้ไม่ง่ายนักเพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมไม่สอดคล้องกับเกราะป้องกันเชื้อเท่าไรนัก การป้องกันเชื้ออย่างถาวรจึงขึ้นอยู่กับการปฏิบัติวิถีใหม่ และความสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคน เทคโนโลยี และการมีภูมิคุ้มกันหมู่เป็นสำคัญ

ผมถือโอกาสนี้ในการพูดถึงโอกาสสี่เรื่องในวิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยผ่านทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวในการบริหารจัดการในวิกฤตนี้ และเรากำลังเผชิญกับภูเขาน้ำแข็งก้อนโตที่ด้านล่างโตกว่าสิ่งที่เห็นเสียอีก โอกาสที่ผมพูดถึงนี้ จะช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากผู้มีอำนาจนำไปปรับใช้อย่างถูกวิธี

โอกาสที่หนึ่ง โอกาสของการแพทย์แผนไทย และห่วงโซ่อุปทานของสมุนไพร

เป็นที่ทราบกันดีว่า การรักษาโรคติดเชื้อโคโรน่า 2019 นั้น เป็นการรักษาตามอาการ และมีวิธีและทิศทางในการรักษาที่มีหลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยอาการหนักต้องพึ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงห้องปลอดเชื้อความดันลบ และกระบวนการที่ป้องกันบุคลากรทางการแพทย์เมื่อทำการรักษาโรคอื่นที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงติดเชื้อโคโรน่า 2019 แต่ในผู้ป่วยติดเชื้อที่มีอาการไม่หนัก ไม่มีอาการ การรักษาโดยการแพทย์แผนไทยเป็นทางเลือกที่เข้าถึงได้ของประชาชน เหมาะสำหรับผู้ป่วยรอการรักษา รอเตียง กักตัว หรือทำการกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) การแพทย์แผนไทยและสมุนไพรนั้น ไม่จำกัดแต่เพียง “ฟ้าทะลายโจร” แต่ยังรวมถึงสมุนไพรอื่น ๆ เช่น รากทั้งห้า สัตตโกฐ ยาเขียว และยาอื่น ๆ ที่ขึ้นทะเบียนตำรับยา หรือภูมิปัญญาพื้นบ้าน แบบยาสุม การรมสมุนไพร เป็นต้น การรักษาทางเลือกในระหว่างรอเตียงหรือกักตัวนั้น หากทำอย่างถูกวิธี นอกจากจะทำให้ต้นทุนในการรักษาโรคที่มาจากไวรัสโคโรน่า 2019 อยู่ในระดับที่เข้าถึงได้แล้ว ยังเสริมภูมิคุ้มกันในกรณีของผู้สัมผัสกลุ่มเสี่ยงอีกด้วย โดยอาจใช้แนวทางทานอาหารเป็นยา ตามข้อมูลเผยแพร่ของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ และอีกหลายสถานพยาบาล เป็นต้น 

การใช้สมุนไพร หรืออาหารเป็นยานั้น มีห่วงโซ่อุปทานที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงที่พืชผักหรือธัญญาหารมีปัญหาด้านราคาผันผวน อันเนื่องมาจากความต้องการสินค้าเพื่อการบริโภคลดลง ในขณะที่ความต้องการยาหรือสมุนไพรมีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากการป้องกัน การเก็งกำไร ก็ตาม สิ่งที่ภาครัฐต้องทำก็คือ 

(1) ทำอย่างไรให้ทุกคนในห่วงโซ่อุปทานนี้ได้รับการกระจายผลตอบแทนที่เป็นธรรม เพราะการที่ราคาของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรทะยานขึ้นมาถึงกิโลกรัมละ 1 พันบาทนั้น ผู้ปลูกอาจไม่ได้ผลตอบแทนที่เป็นธรรมเท่าไรนัก 

(2) มีมาตรฐานของสมุนไพรที่ขึ้นทะเบียน และมีการตรวจสอบการปนเปื้อนโลหะหนักของสมุนไพรบรรจุขวด และ/หรือ แคปซูล เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ต้องทำเพื่อผู้บริโภค เพราะนอกจากต้องจ่ายแพงในภาวะเช่นนี้แล้ว การรับประทานสมุนไพรปนเปื้อนจะส่งผลร้ายต่อผู้บริโภคมากกว่า

(3) ประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่องการปลูกสมุนไพรที่มีคุณภาพและการผลิตที่ปลอดภัย เพื่อให้ผู้ซื้อผู้ขายวัตถุดิบได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม 

(4) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการสกัดสารออกฤทธิ์สำคัญในพืชสมุนไพร หรือตำรับยารับรองในกรณีการปรุงยาแบบภูมิปัญญาท้องถิ่น 

(5) ส่งเสริมการวิจัยและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรในลักษณะที่ชุมชนสามารถร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจได้ ในกรณีนี้จะช่วยสร้างรายได้ของชุมชนและผู้เกี่ยวข้องกับการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ในขณะเดียวกันก็ป้องกันการผูกขาดในธุรกิจสมุนไพร

(6) การขึ้นทะเบียน การจดลิขสิทธิ์ การจดความลับทางการค้า จะช่วยให้การดำเนินการพัฒนาสมุนไพรนั้น มีความยั่งยืนมากขึ้น และป้องกันการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา และ

(7) การสนับสนุนการวิจัยเชิงคลินิกของการใช้ตำรับยาแผนไทยในผู้ป่วยจริง

โอกาสที่สอง เสริมสร้างสถาบัน “บวร” 

บ้าน วัด โรงเรียน เป็นสามสถาบันที่เข้ามาเกี่ยวพันในภาวะวิกฤตโคโรน่า 2019 ในภาวะล็อกดาวน์นั้น หากบ้านไหนไม่มีผู้ติดเชื้อ ก็มีโอกาสอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่หากบ้านไหนมีผู้ติดเชื้อและไม่สะดวกในการกักตัวที่บ้านเนื่องจากความแออัด การใช้โรงเรียน สนามกีฬา ค่ายลูกเสือ ศูนย์ประชุม ห้องจัดเลี้ยง มาเป็นส่วนเสริมในการแยกผู้ติดเชื้อออกจากผู้ไม่ติดเชื้อจะทำให้การจัดการง่ายขึ้น เสริมกับ การให้คำปรึกษาและติดตามพัฒนาการทางไกล และระบบจัดส่งร่วม ทั้งเวชภัณฑ์ และอาหาร สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ การล็อกดาวน์ในสภาวการณ์แออัดของที่อยู่อาศัย และการไม่ปลอดเชื้อในที่อยู่อาศัยนั้น กลับเป็นตัวเร่งในยอดผู้ติดเชื้อและทำลายระบบสาธารณสุข

ดังนั้น การใช้โรงเรียน สนามกีฬา ค่ายลูกเสือ ศูนย์ประชุม ห้องจัดเลี้ยง และจ้างผู้ที่เกี่ยวข้อง/ผู้ที่ว่างงานจากการปิดกิจการมาดำเนินการ “การกักตัวแบบบริหารจัดการ” จะสามารถจ้างงานตรงเป้า บรรเทาการติดเชื้อ และชะลอความรุนแรงของระบบสาธารณสุขที่กำลังเปราะบาง

ในส่วนของ “วัด” ซึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้ายของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นั้น บางวัดดำเนินการเผาศพฟรี ก็จำเป็นที่ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณลงไปช่วย เพราะหากที่เผาศพ มีปัญหา จะทำให้ความเดือดร้อนฝังรากลึกเกินเยียวยา และนโยบายเผาศพฟรีนั้น เป็นการช่วยครอบครัวผู้สูญเสียได้ตรงเป้าที่สุด และไม่รั่วไหล

โอกาสที่สาม ปรับแนวทางการบริหารจัดการแบบใช้ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และสื่อสารอย่างถูกต้อง

ในวิกฤตครั้งนี้ หากติดตามข้อมูลเป็นระยะจะพบว่า มีการกักตุนหน้ากากอนามัยทั้งที่เป็นสินค้าควบคุม กักตุนแอลกอฮอล์ กักตุนชุด PPE กักตุนน้ำยาตรวจหาเชื้อ กักตุนชุดตรวจเชื้อ เก็งกำไรเครื่องวัดออกซิเจน เก็งกำไรสารฆ่าเชื้อ เก็งกำไรยาฟ้าทะลายโจร การอมวัคซีนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ฯลฯ สิ่งที่ผู้มีอำนาจควรทำก็คือ ดำเนินการบริหารจัดการอย่างโปร่งใสเพื่อลดปัญหาเหล่านี้ในอนาคต และมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน มุ่งเป้า อาศัยข้อมูลผ่านทางนโยบายที่เกี่ยวข้อง และระบบเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อให้การดำเนินการโดยรัฐเปิดเผยและโปร่งใสมากที่สุด ในขณะเดียวกัน การบังคับใช้กฎหมายก็จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อสร้างมาตรฐานทางสังคมและสร้างสังคมที่ไม่สนับสนุนและอดทนต่อการคอร์รัปชัน

หลังจากล็อกดาวน์ 14 วันในพื้นที่สีแดงเข้ม สิ่งที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการคือ 

(1) การเยียวยาทางเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรม โดยที่มุ่งเป้ากลุ่มเปราะบาง โดยอาศัยฐานข้อมูลที่หลากหลายเชื่อมต่อกัน 
(2) แนวทางที่ชัดเจนในการได้มาซึ่งวัคซีน ทั้งด้านการทูต ความช่วยเหลือ และการแลกเปลี่ยนทางธุรกิจที่เป็นธรรม 
(3) แนวทางเศรษฐกิจหลังจากโควิด-19 ที่เป็นรูปธรรม โดยอาศัยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาการท่องเที่ยวแบบเดิม หาโอกาสสร้างการท่องเที่ยวแนวใหม่ ที่เน้นการลดการทำลายทรัพยากรและการกระจายรายได้สู่ชุมชนไปพร้อมกัน และ 
(4) ปรับรูปแบบการสื่อสารโดยเน้นความเข้าอกเข้าใจ การสร้างจิตสำนึกสาธารณะร่วมกัน และการสื่อสารแบบเอื้ออาทร

โอกาสที่สี่ เอาตัวรอดในภาวะ “หนี้”

วิกฤตนี้ยังมีผลกระทบอีกเรื่องที่ผมบอกว่าเป็นฐานของภูเขาน้ำแข็งซึ่งใหญ่กว่าที่เรามองเห็นยอดภูเขาน้ำแข็งมากนัก สิ่งนั้นคือ ภาวะ “หนี้” ซึ่งหน่วยงานรัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยก็พยายามรับมือและแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหา “หนี้” จะแก้ได้อย่างถาวรนั้น ผู้ก่อหนี้มีส่วนสำคัญมาก ๆ ในการทำให้ปัญหาเบาบางลง สำคัญที่สุดคือ ต้องเข้าใจว่าปัญหานั้นคืออะไร หากเป็นปัญหาการก่อหนี้จากพฤติกรรมส่วนตัวที่ชอบใช้จ่ายเกินตัว ก็จำเป็นต้อง ลด ละ เลิก พฤติกรรมที่จะสร้างปัญหาในอนาคต โครงการแก้หนี้และคลินิกแก้หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นทางออกหนึ่งที่สำคัญของการแก้ปัญหาภูเขาน้ำแข็งที่จะมาหลังจากฝุ่นควันโควิด-19 เริ่มจางลง

การเอาตัวรอดในภาวะ “หนี้” นั้น จำเป็นต้องประกอบอาชีพสุจริตและพยายามสร้างรายได้จากศักยภาพของตน และคิดเหมือนนักธุรกิจว่ากระแสเงินสดที่เป็นรายได้นั้นควรมาจากหลายช่องทาง มากกว่าพึ่งพารายได้ทางเดียว การพยายามหาอาชีพเสริมรายได้หลัก เป็นสิ่งที่ควรทำ และรู้จักบริหารการเงินส่วนบุคคล ซึ่งผู้ที่อยู่ในกับดักหนี้นั้นจำเป็นต้องมีกลไกช่วยให้หลุดพ้นจากภาวะนี้ รวมไปถึงการออกกฎหมายการฟื้นฟูการเงินส่วนบุคคล ที่คล้ายกับการฟื้นฟูกิจการ เพราะการปล่อยให้ภาวะ “หนี้” บีบคนที่พอมีศักยภาพในการสร้างประโยชน์ให้ประเทศหนำซ้ำบีบให้ไปทำผิดกฎหมายเพื่อมาชำระหนี้นั้น นับเป็นความสูญเสียของประเทศในอีกทางหนึ่ง

หากจะขออะไรในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างโอกาสที่ดีของเรื่องนี้ คือ ขอวิชาความรู้การเงินพื้นฐาน ให้ถูกบรรจุในการเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ผ่านบทเรียน ผ่านการ์ตูนสำหรับเด็ก เน้นเรื่องการค้าขาย การประกอบสัมมาอาชีพ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในสังคม การก่อหนี้ที่เป็นประโยชน์ และการไม่ก่อหนี้ที่จะสร้างปัญหา โอกาสในการให้เด็กเรียนรู้การเงินพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาว และแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบในสังคม ที่มีให้เห็นจำนวนมากในช่วงวิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 

ในการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน การป้องกันการติดเชื้อ การตรวจคัดกรอง และวัคซีน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถย่อหย่อนได้เพราะวิกฤตไวรัสโคโรน่า 2019 ก่อผลกระทบในวงกว้าง ทั้งครอบครัว เศรษฐกิจ และสังคม แต่เราจะเห็นได้ว่าในวิกฤตยังมีโอกาส และแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หากแต่เพียงผู้ที่เกี่ยวข้องจะมองเห็นและใช้โอกาสในทางที่ถูกที่ควร การเห็นปัญหาเป็นเรื่องที่ดี และการหาทางออกแบบยั่งยืนเป็นการใช้โอกาสในวิกฤตซึ่งต้องอาศัยทุกภาคส่วนในการผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน 


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เปิดใจ ไป “ลาปาซ” (La Paz) เมืองหลวงที่สูงที่สุดในโลก !! บนความแตกต่างของโบลิเวีย

“ที่สุดในโลก” ต้องยกให้ลาปาซ คือการรั้งตำแหน่งเมืองหลวงที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 3,650 เมตรจากระดับน้ำทะเล นครบนเทือกเขาแอนดีสแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของโบลิเวีย ประเทศหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์เคยตกอยู่ภายใต้อาณานิคมสเปนอย่างยาวนานหลายร้อยปี เฉกเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ในโลกซีกนี้ ร่องรอยแห่งยุคล่าเมืองขึ้นยังปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปผ่านทางสิ่งก่อสร้าง ศาสนา ภาษา สิ่งตกค้างทางวัฒนธรรมด้านอาหาร ดนตรี การเต้นรำ และเทศกาลต่าง ๆ

“ลาปาซ” (La Paz) เป็นชื่อเรียกภาษาสเปน มีความหมายว่า “สันติภาพ” ฟังแล้วไพเราะ หากมองเมืองนี้แต่ผิวเผินด้วยสายตานักท่องเที่ยวก็คงเห็นด้วย เพราะโดยรวมขณะไปเยือนและอยู่ที่นั่นก็สามารถสัมผัสถึงความสงบสุขมีชีวิตชีวามากทีเดียว ทว่า หากย้อนกลับไปคุ้ยค้นประวัติศาสตร์และสภาพปัญหาที่หยั่งรากลึก ณ ปัจจุบันนี้ก็เริ่มเห็นภาพการพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชาวเมืองนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะว่าไปไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใดสำหรับประเทศ “กำลังพัฒนา” ทั้งหลาย (รวมเมืองไทยด้วยไหม?)

อาจจะโชคดีที่ผมไม่ได้สิงสถิตนานมากพอ จึงได้แต่บอกเล่าสิ่งละอันพันละน้อยเกี่ยวกับมนต์เสน่ห์ของเมืองหลวงแห่งเทือกเขาแอนดีสนี้ โดยไม่อาจล้วงลึกถึงแก่นปัญหาสังคม ซึ่งมองในแง่หนึ่งก็ทำให้รื่นรมย์ชื่นชมเมืองในขณะเป็นแขกเหรื่อชั่วคราวที่นั่นได้มากทีเดียว เพราะภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกและอารมณ์ขุ่นมัวนั่นเอง 

เนื่องจากเป็นเมืองที่ขยายตัวออกค่อนข้างกว้าง แถมตึกรามบ้านช่องยังปลูกสร้างกันบนไหล่เขาลดหลั่นเสียขนาดนั้น ในฐานะนักท่องเที่ยว หากจะตั้งต้นทำความรู้จักลาปาซ ก็คงต้องเริ่มกันที่จุดศูนย์กลาง ในที่นี้ คือย่านเมืองเก่าคาสโกเวียโฮซึ่งมีทุกอย่างพร้อมสรรพสำหรับทัวริสต์ เปรียบเทียบก็คงคล้ายพื้นที่โดยรอบคูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร ผับบาร์ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ และทุกสิ่งทุกอย่างที่นักท่องเที่ยวพึงประสงค์ 

แน่นอน ย่านนี้ได้รับการบูรณะอย่างดี ถนนปูด้วยก้อนหินคนเดินเหยียบย่ำกันทุกวันจนสึกกร่อนมันเลื่อม สินค้าที่ระลึกอาจจะแปลกตาสำหรับคนต่างชาติต่างภาษา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ งานถักทอจักสาน แม้กระทั่งเจ้าก้อนหินซากฟอสซิลก็มีจำหน่าย ซึ่งซากหอยโบราณที่พบบนเทือกเขาแอนดีสความสูงตั้งหลายพันเมตรเหล่านั้นก็มีอายุอานามพอ ๆ กับหินเก่าแก่ประเภทเดียวกันที่พบบนเทือกเขาหิมาลัยด้วยเช่นกัน เช่นนี้แล้วก็น่าสนใจมากในแง่ที่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วน้ำเคยท่วมทั้งโลกตามที่คัมภีร์โบราณตะวันออกกลางได้บันทึกไว้นั้นมีมูลความจริงหรือไม่

ระยะที่ห่างออกจากตัวเมืองเก่าเพียงเล็กน้อยแค่ระยะเดินถึง สามารถสำรวจตลาดใหญ่ขายทุกอย่างชนิดสำเพ็ง เยาวราช ประตูน้ำ บางลำพูรวมกันอาจไม่สามารถเทียบได้ เดินสำรวจตรวจตราและถ่ายรูปไปพลางอาจหอบหายใจถี่เพราะปริมาณออกซิเจนต่ำกว่าค่าปกติที่อยู่บนพื้นที่สูงเกือบสี่พันเมตรเช่นนี้ แต่สนุก เพราะมีสีสันและมีชีวิตชีวา คล้ายตลาดสดของประเทศในแถบเอเชียซึ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย พวกฝรั่งมังค่าอาจจะตื่นตา ทว่าคนไทยอาจจะรู้สึกถึงความคุ้นเคยบางประการแม้จะจากบ้านเมืองตัวเองมาไกลค่อนโลกเช่นนี้ ต้องเรียกว่าเป็นความเหมือนแบบ same same but different ล่ะ เพราะสีสันฉูดฉาดที่แตกต่าง กลิ่นที่จมูกรับสัมผัสก็ไม่ใช่กลิ่นแบบเอเชีย สิ่งที่เหมือนคือความวุ่นวายขวักไขว่และไร้ระเบียบนั่นแหละ 

คนดั้งเดิมอาศัยอยู่กันมาก่อนพวกสเปนจะมารุกรานคือชนเผ่าอินคาหลากหลายชาติพันธุ์ เทียบกับเมืองไทยก็คงเหมือนชนเผ่าบนดอย ไม่ว่าจะเป็นอาข่า ลีซู ปวากะญอ ลาหู่ และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่โบลิเวียนั้นคนท้องถิ่นเชื้อสายหลักคือ คนไอยมารา และเกชัว คนเหล่านี้มีผิวสีน้ำตาล ผมดำ และโครงหน้าคล้ายคนอินเดียนแดงทางอเมริกาเหนือ สันนิษฐานว่าน่าจะมีความเกี่ยวโยงกันทางพันธุกรรม และน่าจะมีบางอย่างเชื่อมโยงกับคนเอเชียด้วย หากพิจารณาเฉพาะในตัวเมืองลาปาซแล้วจะพบว่าประชากรราว 80% เป็นคนท้องถิ่นดั้งเดิม มีคนขาวซึ่งเป็นลูกหลานชาวยุโรปซึ่งตกค้างมาจากสมัยล่าอาณานิคมอยู่เพียงเล็กน้อย นัยหนึ่งก็คือโบลิเวียเป็นประเทศซึ่งมีความเป็นชาตินิยมสูง แม้กระทั่งประธานาธิบดีก็เป็นคนที่ปกครองยาวนานมากที่สุดคนหนึ่ง คือโมราเลส ก็เป็นคนเผ่าไอยมารา แถมยังมีนโยบายแข็งกร้าวต่อท่าทีของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องพืชโคคา เป็นที่ทราบกันดีว่าใบโคคานั้นนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นร่วมกับการผลิตยาเสพติดร้ายแรงโคเคน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโคคาเป็นพืชประจำถิ่นบนเทือกเขาแอนดีสและผู้คนก็เคี้ยวใบโคคาแห้งกันมายาวนานหลายศตวรรษ เรียกว่าเป็นวัฒนธรรมอินคาอย่างหนึ่งก็ว่าได้ โบลิเวียเป็นประเทศเดียวในอเมริกาใต้ที่ออกกฎหมายอนุญาตให้มีการขายใบโคคาแห้งในตลาดร้านค้าได้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมาก ทั้งนี้ก็เพราะมองกันคนละมุมนั่นเอง

ในตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย ส่วนใหญ่ผู้หญิงหลังแต่งงานไปจนถึงวัยกลางคนมักเริ่มกลายสภาพเป็น “ตุ่มเคลื่อนที่” เพราะรูปร่างและน้ำหนักตัวของพวกเธอ ด้วยเอกลักษณ์เครื่องแต่งกายเฉพาะไม่ซ้ำแบบหรือพยายามตามกระแสโลกปัจจุบันที่นิยมหญิงร่างบางสูงโปร่ง ผู้หญิงโบลิเวียปล่อยให้ร่างท้วมฉุเพราะเชื่อว่าคือความอุดมสมบูรณ์ สามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ได้ดีกว่า อีกทั้งแฟชั่นเครื่องแต่งกายก็ยังคงเป็นการนุ่งกะโปรงจับจีบคล้ายสุ่มไก่สีสันฉูดฉาด พร้อมกับสวมหมวกทรงคาวบอยหรือหมวกนักมายากล อันที่จริง ผู้หญิงโบลิเวียแข็งแกร่งกว่าที่คิดมาก เพราะมีกีฬามวยปล้ำที่เรียกว่าโชลิตา ซึ่งนักกีฬาจะต่อสู้กันในสังเวียน อาจจะเป็นผู้หญิงสู้กับผู้หญิงด้วยกันเอง หรือผู้หญิงต่อกรกับผู้ชายอกสามศอกก็ได้ ดังนั้น ถ้าจะให้ดี อย่าได้ริต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงประเทศนี้จะดีที่สุด  

แม้ศาสนาตะวันตกจะมีบทบาทในสังคม แต่คนโบลิเวียจำนวนมากยังคงเหนียวแน่นในจารีตและความเชื่อดั้งเดิมแห่งบรรพบุรุษ ยังคงเชื่อถือโชคลางและผีสาง ยังมีการบนบานสานกล่าว สังเกตได้ง่ายจากย่านหนึ่งใกล้คาสโกเวียโฮที่เต็มไปด้วยร้านขายเครื่องเซ่นไหว้ รวมถึงของบวงสรวงอย่างเช่นรกและตัวอ่อนสัตว์ประเภทลามาขายเป็นสินค้าปกติ นั่นก็อีกหนึ่งความน่าสนใจในลาปาซ 

หากอยากเห็นเมืองในมุมกว้างและสูง ชนิดตื่นตาตื่นใจ ด้วยสนนราคาถูก ก็ต้องนั่งกระเช้าไฟฟ้าอันเป็นขนส่งสาธารณะชั้นเยี่ยม เพราะมีเครือข่ายครอบคลุมแทบทั่วทั้งเมือง และยังคงมีการขยายมากขึ้นไปอีก เทียบแล้วก็คงคล้ายกับระบบรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินในเมืองใหญ่ทั้งหลาย รวมทั้งกรุงเทพมหานครที่พยายามเชื่อมทั้งเมืองเข้าด้วยกัน แต่ลาปาซไม่สามารถใช้ระบบรถไฟฟ้า เพราะเมืองตั้งอยู่บนไหล่เขาลาดชันมาก กระเช้าไฟฟ้าจึงเป็นวิธีที่สมเหตุสมผลมากกว่าโดยประการทั้งปวงนั่นเอง นอกจากจะได้ชมทั้งเมืองแล้ว ในวันฟ้าเปิดยังมองเห็นภูเขาหิมะในระยะไกลออกไปอีกด้วย

จะได้ “สัมผัส” สิ่งละอันพันละน้อยในเมืองใหญ่ลาปาซมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเวลาที่มี กับความกว้างของใจของผู้ไปเยือนที่เปิดออก ...ไหน ๆ ก็ยากเย็นกว่าจะไปถึงแล้ว ก็อยู่ให้นานหน่อย เปิดใจให้กว้าง ๆ เพื่อรับทราบเรียนรู้ และซึมซับความประทับใจที่เมืองนี้สามารถหยิบยื่นให้ได้ ดีไหม?    


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้” (Shanghai marriage market) เมื่ออยากช่วยลูก ’สละโสด’ !! พ่อแม่จีนจึงโปรดให้...

เรื่องของการมีครอบครัว มีชีวิตคู่ ถือเป็นเรื่องใหญ่ของชาวโลกตะวันออก โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งครอบครัวมักห่วงอาทรในเรื่องของมีชีวิตคู่ของบุตรหลานอยู่เสมอ จึงทำให้เกิด “ตลาดนัดหาคู่ นครเซี่ยงไฮ้ (Shanghai marriage market)” ขึ้น จึงขอนำมาเล่าในบทความประจำสัปดาห์นี้ครับ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นสถานที่จัดขึ้นเพื่อหาคู่แต่งงาน ณ People's Park ในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยผู้ปกครองของหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานต่างก็แห่แหนกันไปยังสวนสาธารณะ People's Park ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ตั้งแต่เที่ยงวันถึงห้าโมงเย็น เพื่อนำเสนอ แลกเปลี่ยน ข้อมูลเกี่ยวกับบุตรหลานของตน ซึ่งยังครองตัวเป็นโสดอยู่

ตลาดนัดคนโสด ณ People's Square มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 มีค่าใช้จ่ายประมาณ $3.20 USD สำหรับโฆษณาที่แสดงเป็นเวลาห้าเดือน และมีนายหน้าหาคู่แต่งงานโดยสามารถเข้าถึงหมายเลขโทรศัพท์อย่างเต็มรูปแบบ โดยมีค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน $16.00 ตลาดนัดคนโสดที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2547 ณ สวนสาธารณะ Longtan กรุงปักกิ่ง ผู้เกษียณที่ไปสวนสาธารณะเพื่อออกกำลังกายตอนเช้ามักพบว่าในการสนทนามีเด็กที่ยังไม่แต่งงานในวัยยี่สิบกลางถึงปลาย ด้วยความกระวนกระวายที่จะแต่งงานกับลูก ๆ ของพวกเขา ผู้อาวุโสเริ่มจัดงานจับคู่ที่พวกเขานำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับลูก ๆ ของพวกเขา และมองหาการจับคู่ที่เป็นไปได้ ตั้งแต่นั้นมา สวนสาธารณะในเมืองใหญ่ ๆ เช่น เซินเจิ้น หวู่ฮั่น เซี่ยงไฮ้ หางโจว และเทียนจิน ก็กลายเป็นสถานที่จับคู่อย่างไม่เป็นทางการ

ตลาดนัดหาคู่ เป็นการรวมตัวของคนโสด แต่ส่วนมากจะเป็น พ่อ แม่ ที่กังวลว่า ลูกชาย ลูกสาวของตนจะไม่มีคู่ จึงมารวมตัวกัน จับคู่ หาคู่แต่งงานให้กับลูก ๆ ของตน มีการตั้งป้าย บอกคุณลักษณะ รูปร่างหน้าตา ฐานะ การศึกษา การงาน ไม่ต่างจากโปรไฟล์ที่พบเห็นตามเว็ปไซต์นัดเดทเลยแม้แต่น้อย 

ป้ายบอกคุณลักษณะในตลาดนัดหาคู่

เป้าหมายหลักในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ คือ ให้พ่อแม่หาคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับลูก ๆ ของตน มาตรฐานในการหาคู่ที่ใช่อาจขึ้นอยู่กับ (แต่ไม่จำกัดเฉพาะ) อายุ ส่วนสูง งาน รายได้ การศึกษา ค่านิยมของครอบครัว ราศีจีน และบุคลิกภาพ ผู้สูงอายุที่เกิดระหว่างปี 1950 ถึง 1960 มักจะเป็นพ่อค้า แม่ค้า ของตลาดนัดแห่งนี้ ผู้สูงอายุเหล่านี้ต่างพากันโฆษณาคุณสมบัติของลูก ๆ ที่ยังไม่แต่งงาน ซึ่งเกิดในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1990 โดยในตลาดนี้ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกเขียนไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง ซึ่งจากนั้นจะแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ 

ป้ายโฆษณานำเสนอบุตรหลานแขวนไว้บนเชือกสายยาวท่ามกลางโฆษณาบรรดาบุตรหลานของผู้ปกครองคนอื่น ๆ

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้นตรงข้ามสวน People's Park ผู้ปกครองเดินไปรอบ ๆ เพื่อพูดคุยกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ เพื่อดูว่า หนุ่มสาวมีความเหมาะสมคล้องจองกันหรือไม่ หลังจากที่มาตรฐานของลูก ๆ หนุ่มสาวตรงกันแล้วก็จะมีการนัดเจอกัน

โฆษณานำเสนอบุตรหลานยังติดอยู่ตามถุงกระดาษ ติดตามต้นไม้ ติดกับร่ม หรือวางบนพื้น

ตลาดนัดคนโสดมีสองโซนหลัก : เขตปลอดอากร และ โซนจับคู่สมัครเล่น 

เขตปลอดอากร เป็นที่ซึ่งผู้ปกครองของหนุ่มสาวมองหาคู่ที่มีเหมาะสมสำหรับลูกชายหรือลูกสาวคนเดียวของพวกเขา นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหญ่บางคนซึ่งกำลังมองหาคู่ของตัวเอง ภายในเขตปลอดอากรมีโซนย่อยมากมายที่ผู้ปกครองสามารถติดโปสเตอร์ของบุตรหลานได้ โซนย่อยบางโซนจะแบ่งตามปีเกิด เช่น โซนทศวรรษ 1970, 1980 และ 1990 โซนอื่น ๆ ได้แก่ โซนต่างประเทศ โซน “เซี่ยงไฮ้ใหม่” เขตหย่าร้าง โซนมุสลิม และโซนภูมิภาค 

เขตจับคู่สมัครเล่น ผู้จับคู่มืออาชีพหรือแบบสมัครใจจะแบ่งปันรายชื่อผู้สมัครที่มีเหมาะสมให้กับผู้ปกครองที่เข้าร่วม มีนักจับคู่มืออาชีพในตลาดที่คิดค่าธรรมเนียมการให้คำปรึกษา 100-200 หยวนสำหรับหญิง และไม่มีค่าธรรมเนียมสำหรับชาย กล่าวกันว่า ความไม่สมดุลนี้เกิดจากหญิงในตลาดคนโสดมีมากกว่า ตามรายงานของสื่อท้องถิ่น นักจับคู่มืออาชีพเหล่านี้มักจะกลายเป็นนักเล่นกลที่หายตัวไปหลังจากได้รับค่าธรรมเนียมจากเหล่าบรรดาผู้ปกครองที่ต้องการหาคู่ให้กับลูก ๆ ของตน

ร่มสำหรับโฆษณา ผู้ปกครองหลาย ๆ คนไม่ได้รับความยินยอมจากลูก ๆ ให้เข้าร่วมงานนี้ และได้รับการอธิบายว่า ใช้บริการ "match.com จะตรงใจกว่า" ด้วยอัตราความสำเร็จต่ำ ในสายตาของผู้ปกครองหลาย ๆ คน การรวมตัวเพื่อจับคู่ลูก ๆ ของพ่อแม่ เช่น ตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ เป็นวิธีเดียวที่จะรักษารูปแบบการออกเดทแบบดั้งเดิมสำหรับลูก ๆ ของพวกเขาในประเทศจีนสมัยใหม่ ประเพณีในอุดมคติอันยาวนานของจีนในการสืบสานสายเลือดของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากในวัฒนธรรมจีนตามนโยบายลูกคนเดียว เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยแต่งงานทั่วไป "ตลาดหาคู่" ของจีนจึงมีเสถียรภาพที่สั่นคลอน โดยเฉพาะสำหรับชายในจีน มหาวิทยาลัย Kent คาดการณ์ว่าภายในปี 2021 ชายจีนราว 24 ล้านคนจะยังไม่ได้แต่งงานและไม่สามารถหาภรรยาได้

โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ

รูปแบบของตลาดนัดหาคู่ ตลาดเหล่านี้ไม่มีผู้จัดงานอย่างเป็นทางการ โดยทั่วไปแล้ว ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จะรวมตัวกันด้วยความสมัครใจ อย่างไรก็ตาม ตลาดนัดหาคู่มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ประการแรก อัตราส่วนทางเพศมักเป็นการจะมองหาฝ่ายชายมากกว่า แม้ว่าในประเทศจีนจะมีจำนวนประชากรชายมากกว่าประชากรหญิงก็ตาม ในสวนจงซานของปักกิ่ง ผู้ปกครอง 80% มองหาสามีสำหรับลูกสาวคนเดียวของพวกเขา ฝ่ายหญิงที่ถูกส่งเข้าร่วมหาคู่ในตลาดส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวที่มีการศึกษาระดับวิทยาลัย ซึ่งมีงานทำ และเติบโตในเซี่ยงไฮ้ สาว ๆ ในเมืองเหล่านี้เป็นตัวแทนของชนชั้นกลางคนใหม่ของจีน แต่มักถูกจัดอยู่ในประเภท "หญิงสาวที่เหลือ" ในตลาดนัดหาคู่ ผู้ปกครองจะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการทำการตลาดให้บุตรหลานของตน เช่น ทักษะที่มี การบริการลูกค้า และการเจรจาต่อรองที่ดี การออกแบบ ป้าย โปสเตอร์ อย่างรอบคอบ และการแต่งกายที่ดีเพื่อแสดงถึงการอบรมเลี้ยงดูที่ดี

แม้ว่าจะไม่มีข้อกำหนดที่เป็นทางการสำหรับการโฆษณาในตลาด แต่ลักษณะบางอย่างถือเป็นที่ต้องการมาก สำหรับฝ่ายหญิง คือ อายุน้อย รูปร่างหน้าตาดี การศึกษาดี หัวอ่อน เชื่อฟัง จะเป็นที่ต้องการ สำหรับชาย การมีระดับการศึกษาที่สูงขึ้น การงานที่ดี และรายได้สูง เป็นสิ่งสำคัญ ด้วยคาดว่า ฝ่ายชายจะเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์และรถยนต์ การมีทะเบียนบ้านในเซี่ยงไฮ้ (Hukou) มีความสำคัญอย่างมากสำหรับผู้เข้าร่วมในตลาดนัดหาคู่ทุกคน

ตัวอย่างข้อความโฆษณา “สาวสวย เกิดปี พ.ศ. 2524 สูง 162 เซนติเมตร จบการศึกษาปริญญาตรี ทำงานเป็น Project director ของบริษัทต่างชาติ เงินเดือนมากกว่า 10,000 หยวน (ราว 52,000 บาท) ต้องการหาชายที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517-2526 จบปริญญาตรีหรือสูงกว่า และเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว”

การวิจัยชาติพันธุ์วิทยาเพื่อศึกษาแรงจูงใจของผู้ปกครองในการเข้าร่วมตลาดนัดหาคู่ในนครเซี่ยงไฮ้ พบว่า ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้มีอัตราความสำเร็จต่ำ และผู้ปกครองส่วนใหญ่ยอมรับว่าไม่น่าจะพบคู่ที่ตรงกัน แต่ผู้ปกครองมักจะกลับมาที่ตลาดเพื่อโฆษณาบุตรหลานของตนต่อไป งานวิจัยชิ้นหนึ่งอธิบายว่าตลาดตอบสนองต่อความวิตกกังวลโดยรวมของสังคมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกิดในปี 1950 และ 1960 ผู้คนรุ่นนี้เป็นพ่อแม่ของลูกคนเดียว เพื่อที่จะรักษาทะเบียนบ้านในเขตเมือง หลายคนยังคงเป็นโสดในวัยสามสิบ เมื่อพวกเขากลับบ้านเกิด รัฐต้องเข้าไปแทรกแซงจัดการนัดพบเพื่อแก้ปัญหานี้ แหล่งที่มาของความวิตกกังวลของผู้ปกครองอีกประการหนึ่งคือ ความรู้สึกที่ครอบคลุมถึงความผันผวนและความไม่มั่นคงตั้งแต่การปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศจีน ผู้ปกครองกังวลเรื่องความมั่นคงทางการเงินของบุตรหลาน ที่พักอาศัยในย่านใจกลางเมืองที่มีราคาแพงอย่างรวดเร็ว เช่น นครเซี่ยงไฮ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีระบบสวัสดิการสังคมที่แข็งแกร่งในการจัดหาที่อยู่อาศัยและความมั่นคง 

ด้วยเหตุนี้ ผู้ปกครองเหล่านี้จึงกังวลว่า ลูกเพียงคนเดียวของพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตที่ยากลำบาก และมีชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข ตลาดนัดหาคู่จึงเป็นช่องทางสำหรับผู้ปกครองที่จะแบ่งปันความกังวลส่วนตัวของพวกเขาในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมเห็นว่า ไม่เหมาะสมในสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ดังนั้น หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้ แรงจูงใจอื่น ๆ ในการไปตลาดนัดหาคู่รวมถึงการเน้นที่การรักร่วมเพศ เนื่องจากผู้ปกครองจำนวนมากพิจารณาเฉพาะผู้สมัครที่มีภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น และความสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของลูกของตนในการหาคู่ครองที่เหมาะสม

หน้าที่หลักของตลาดคือ การสร้างการชุมนุมทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุเพื่อแบ่งปันความกังวลร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงของนครเซี่ยงไฮ้

การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแต่งงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ หญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงในประเทศจีน ต่างก็ไม่รีบร้อนที่จะแต่งงาน พวกเธอมีทางเลือกมากกว่าหญิงในรุ่นก่อน ๆ และไม่กลัวที่จะให้ความสำคัญกับอาชีพของตนเป็นอันดับแรก การเปลี่ยนแปลงในอุดมคติในการแต่งงานทำให้หญิงอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า และมีอำนาจทางสังคมมากขึ้นจากเดิมที่ชายเคยครอบงำตามประเพณี ปัจจุบันมีหญิงจำนวนมากขึ้นที่พยายามหาชายที่มีความรับผิดชอบและมีความซื่อสัตย์ แทนที่จะเป็นแค่งานที่ได้ค่าตอบแทนสูง

อัตราการแต่งงานในจีนมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะหญิงที่มีการศึกษาดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคง

เช่นกันมาตรฐานของชายหลายคนเปลี่ยนไปตามความก้าวหน้าของสถานภาพของหญิงตามหน้าที่การงานเช่นกัน พวกเขาคาดหวังจะได้ภรรยาเป็นหญิงที่ได้รับการศึกษาและอยู่ในเส้นทางอาชีพที่ดี แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือมุมมองของคนรุ่นก่อนในเรื่องนี้ พวกเขาเห็นด้วยกับคนรุ่นใหม่ โดยคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสองประการในภรรยาคือ "ความสง่างามและเส้นทางอาชีพที่ดี" ค่อนข้างเปลี่ยนจาก "ความขยันหมั่นเพียรและความตั้งใจเป็น แบกรับภาระแห่งชีวิต"

ตลาดนัดหาคู่ในเซี่ยงไฮ้ยังเป็นการตอบสนองต่อความเป็นปัจเจกบุคคลอย่างรวดเร็วในประเทศจีนตั้งแต่ยุคปฏิรูปตลาด การเปิดตลาดและการถอนตัวของรัฐจากบริการทางสังคมจำนวนมากทำให้เกิดความจำเป็นในการขัดเกลาทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงอายุในรุ่นนั้น ดังนั้นตลาดนัดหาคู่จึงเป็นการตอบสนองต่อความวิตกกังวลทางสังคมของชาวจีนที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เปิดมุมมองการลงทุนอย่างยั่งยืน ในโลก ‘การเงินสีเขียว’

ในมุมมองของนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ตระหนักถึงการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อสังคม การตัดสินใจลงทุนและการพิจารณาผลตอบแทนที่ต้องการจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในรูปของตัวเงินและความมั่งคั่งสูงสุดเท่านั้น หากแต่มีวัตถุประสงค์ของการลงทุนเพื่อผลตอบแทนในระยะยาวและสร้างผลกระทบเชิงบวก หรือลดผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ด้วยการลงทุนตามแนวคิดการลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainable Investment) ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม หรือ หุ้นกู้สีเขียว หรือ กรีนบอนด์ (Green Bond) 

ตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นตราสารทางการเงินที่มุ่งเน้นระดมเงินทุนเพื่อใช้ในโครงการที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้การส่งเสริมจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 

(1) ลดและแก้ไขปัญหามลภาวะ 

(2) ส่งเสริมอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ 

(3) ลดและแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ 

โดยมีมาตรฐานตราสารหนี้ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 3.0 (Climate Bond Standard) เพื่อรับรองว่าตราสารหนี้จะให้เงินทุนสำหรับโครงการที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกันโดยสมบูรณ์กับหลักการตราสารหนี้เพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Bond Principles)

ประเภทของกรีนบอนด์ ประกอบด้วย 

1.) Standard Green Bond ได้แก่ Green Bond ที่มุ่งตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ถือตราสารหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ออกตราสารหนี้ชําระหนี้และจ่ายผลตอบแทนตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกัน

2.) Green Revenue Bond ได้แก่ Green Bond ที่มีกระแสเงินสดเป็นหลักประกันการชําระหนี้ เช่น รายได้ ค่าธรรมเนียม ภาษีจากโครงการเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เงินที่จะได้รับจากการออกตราสารหนี้ลักษณะนี้จะนําไปใช้ในโครงการที่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดนั้นเองหรือโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมอื่นด้วยก็ได้

3.) Green Project Bond ได้แก่ Green Bond ที่ออกเพื่อระดมทุนให้แก่โครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะโครงการเดียวหรือหลายโครงการซึ่งผู้ลงทุนเป็นผู้รับความเสี่ยงโดยตรงในผลสำเร็จของโครงการนั้น

4.) Green Securitized Bond ได้แก่ Green Bond ที่มีการนําโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อมโครงการเดียว หรือหลายโครงการมาเป็นหลักประกัน เช่น Covered Bonds Asset-Backed Securities และ Mortgage-Backed Securities โดยการออกตราสารหนี้ดังกล่าวนั้นต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่มุ่งตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมด้วย

ตลาดกรีนบอนด์ในไทยในปีนับจากปี 2562 มีมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยที่ผ่านบริษัทมหาชนจำกัดที่ประสบความสำเร็จจากการจำหน่ายกรีนบอนด์ อาทิเช่น 

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ออกและเสนอขายกรีนบอนด์ อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.25% ต่อปี มูลค่า 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ลงทุนในโครงการเพื่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ โครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและลดภาวะโลกร้อน เพื่อดูแลป่าในระยะยาว และศูนย์เรียนรู้ของสถาบันปลูกป่าและระบบนิเวศ ปตท. 

บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ออกและเสนอขายกรีนบอนด์ ชนิดไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มูลค่าของหุ้นกู้ที่จะเสนอขายรวม 5,000 ล้านบาท เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ในพัฒนาโครงการไฟฟ้าสะอาดสู่ความยั่งยืน ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และโครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร (Waste-to-Energy) 

บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ออกและเสนอขายกรีนบอนด์ 3 ครั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไป ใช้ลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนด้วยพลังงานไฟฟ้า ลดการใช้รถยนต์ และจะช่วยลดการปล่อยมลภาวะในเขตกรุงเทพมหานคร

โดยการประเมินผลตอบแทนในกรีนบอนด์ จะคำนึงถึง “Greenium” (การผสมคำระหว่าง Green และ Premium) หรือผลต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้สีเขียว (Green Bond) กับตราสารหนี้ทั่วไป (Conventional Bond) ทั้งนี้ผลจากศึกษาที่ผ่านมา พบว่ามีทั้งในกรณีที่ที่สูงกว่า และ ต่ำกว่า) ตราสารหนี้ทั่วไป


ข้อมูลอ้างอิง 

https://www.setsustainability.com/page/sustainable-investment

http://www.pddf.or.th/upload/article/file_200921095754.pdf


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เมื่อ​ 'ประกันชีวิต'​ ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

เชื่อเถอะครับว่า​ นาทีนี้คำว่าประกันชีวิต คงไม่ใช่เรื่องไกลตัวพวกเราอีกต่อไป 

หลาย ๆ​ คนมีวัตถุประสงค์ ในการทำประกันชีวิตแตกต่างกัน เช่น... 

- เพื่อคุ้มครองเวลาจากไป​ คนข้างหลังจะได้ไม่ลำบาก 
- เพื่อออมเงิน 
- เพื่อลดหย่อนภาษี 
- เพื่อลงทุน 
- หรือเพื่อช่วยเหลือเพื่อน 

สำหรับผมแล้ว การได้เข้ามาสู่ธุรกิจประกันชีวิตเมื่อ​ 20​ ปีก่อน ภาพลักษณ์ของธุรกิจช่างแตกต่างกับตอนนี้มาก 

สมัยนั้นเทคโนโลยีต่าง ๆ​ ก็ไม่มีอะไรมา​ Support มากนัก หลาย ๆ​ ครั้งต้องอธิบายแบบประกันด้วยการวาดแบบบนกระดาษ​ A4 พกเอกสารนำเสนอเป็นตั้ง 

แต่สมัยนี้ ipad เครื่องเดียวสามารถทำได้ทุกอย่าง 

การพบลูกค้าสมัยนั้นก็ต้องโทรนัด เปิดกระบวนการขาย แต่สมัยนี้ส่งเอกสารทางไลน์ ลูกค้าตัดสินใจ ตัวแทนส่งเอกสารไปให้เซ็น ลูกค้าถ่ายรูปบัตรประชาชน กับ เซลฟี่รูปตัวเอง และเซ็นเอกสารกลับมา แล้วรอรับกรมธรรม์ที่บ้านได้เลย 

ยุคสมัยเปลี่ยน เทคโนโลยีเข้ามาแทน คนเข้าถึงความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์มากขึ้น ​ทำให้ง่ายต่อการตัดสินใจ 

แน่นอนว่าหลาย ๆ​ คนอาจถามว่า แล้วจะหาลูกค้าจากไหน? 

คำตอบสมัยก่อน กับสมัยนี้ คงไม่ต่างกัน คือ เริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน คนในครอบครัว คนรู้จัก เพื่อน และลูกค้าแนะนำ หรือถ้าใครรู้จักคนเยอะ​ ก็ยิ่งง่าย

เช่นเดียวกันกับตัวผม ด้วยความที่ตัวเราเองเป็นนักกิจกรรมตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้เรารู้จักคนเยอะ และท่านผู้อ่านก็คงคิดว่า งานง่ายละสิ...แต่เปล่าเลยครับ!! อาชีพนี้แปลก!!

หลาย ๆ​ ครั้งเราไม่กล้าเปิดปากว่าเราทำอะไรอยู่ จึงทำให้พลาดอะไรไปหลาย ๆ​ อย่าง ซึ่งในส่วนของผมนั้น​ จำนวนลูกค้ากลุ่มแรก คือ​ กลุ่มเพื่อนที่เป็นนักกิจกรรมต่างมหาวิทยาลัยที่พวกเรารวมตัวกัน และได้สนิทติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้

เราตั้งชื่อว่า​ 'กลุ่มหัวจุก'​ ครับ แต่ผมคงไม่ขอลงรายละเอียด​ เพราะว่าถ้าบอกชื่อไปท่านผู้อ่านคงรู้แน่ ๆ​ ว่าเป็นใครบ้าง เพราะหลาย ๆ​ ท่านตอนนี้ เป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคมครับ (^^)​

เพื่อนกลุ่มนี้ เราได้​ Support ซึ่งกันและกันมาตลอดครับ เอาเป็นว่าในตอนถัดไป ผมจะเล่าประสบการณ์ขายประกันให้กับเพื่อน หรือคนที่รู้จักให้อ่านกันครับ ว่ามีอะไรน่าตื่นเต้นบ้าง

หลาย ๆ​ ครั้งได้รับการตอบรับดี แต่หลายๆ​ ครั้งก็โดนปฏิเสธ 

พบกันตอนหน้าครับ กับเรื่องเล่าสนุก ๆ ของคนขายประกัน

ส่วนครั้งนี้ขออนุญาตมาแนะนำตัวก่อนครับ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ความจริงอีกครึ่ง!! เผย​ราคาจริง 'วัคซีน​ Moderna'​ เมื่อ​ 584 บาท​ คือ​ ราคาขายในสหรัฐฯ

มีคำกล่าวว่า...

"ข่าวที่มีความจริงครึ่งเดียวนั้น น่ากลัวกว่าข่าวเท็จ"

เพราะคนที่กระจายข่าวที่มีความจริงครึ่งเดียวนั้น มักไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้กระจายความเข้าใจผิดเหล่านั้นไป 

ยิ่งเป็นคนมีชื่อเสียง​ ยิ่งทำให้ข่าวที่มีความจริงครึ่งเดียวนั้นมีความน่าเชื่อถือขึ้น จนส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสังคมมาก 

วันนี้ผมจะขอนำ​ 'ความจริง'​ อีก 'ครึ่งหนึ่ง'​ มานำเสนอให้ลองคิดพิจารณาดูครับ

จากกระแสข่าวที่ว่าวัคซีนโมเดอร์นา​ (Moderna)​ ควรจะมีราคา 584 บาทต่อโดส แต่องค์การเภสัชฯ ได้นำเข้ามาขายในราคา 1,100 บาทต่อโดส >> นี่คือการเก็บภาษี 100% ของรัฐตามที่ผู้ให้ข่าวบอกนั้น!!

ตัวผมเองไม่ได้เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เก่งกาจเหมือนกับท่าน แต่ก็เห็นความผิดปกติ จากที่ท่านทำคลิปวีดีโอบอกว่า "มันเป็นราคาที่ส่งในประเทศอเมริกาเอง และส่งภายในยุโรป เป็นราคารวมค่าขนส่งแล้ว" 

ผมเลยลองหาข่าวยืนยันข้อความอันกล่าวโดยท่าน แต่จะหาข่าวภาษาไทย ก็คงจะยากเพราะสื่อไทยเองก็มีปัญหาเลือกข้าง เลยขอหาจากสื่อญี่ปุ่น ประเทศที่นำเข้าวัคซีนโมเดอร์นาใช้เป็น 1 ใน 3 วัคซีนหลักของประเทศ และตัวผมสามารถอ่านรู้เรื่อง

จากเนื้อข่าว (https://www.businessinsider.jp/post-233036)​ พบว่า...ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 ถึงเดือนมีนาคม 2021 ระยะเวลา 4 เดือน บริษัทโมเดอร์นาได้ขายวัคซีนไปแล้ว 116 ล้านโดส (ไม่รวมส่งไปทดสองกับสถานวิจัย BARDA อีก 4 ล้านโดส) 

โดยเป็นการส่งมอบวัคซีนในประเทศอเมริกา 102 ล้านโดส และส่งออกต่างประเทศไป 14 ล้านโดส ทั้งที่เดือนกุมภาพันธ์ เพิ่งส่งออกเพียง 3 ล้านโดส มีอัตราส่วนระหว่างส่งในประเทศกับส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 4 ต่อ 1

จากเอกสารบอกอีกว่า ราคาวัคซีนของโมเดอร์นาที่ขายในประเทศสหรัฐอเมริกากว่า 88 ล้านโดสมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 15.4 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,650 เยน) ในขณะที่บริษัทคู่แข่งที่ทำสัญญากับรัฐบาลสหรัฐฯ​ อย่างบริษัทไบโอเอ็นเทคกับวัคซีนไฟเซอร์ที่ขายในราคา 2 โดส 39 ดอลลาร์ ราคาของวัคซีนโมเดอร์นา​ 

>> จึงถูกกว่าที่ราคา 2 โดส 32 ดอลลาร์ 

และในเอกสารยังบอกอีกว่า ในไตรมาสแรกของปี 2021 ราคาขายในอเมริกาเฉลี่ยต่ำสุดที่ 2 โดส 30.8 ดอลลาร์

ในขณะที่ราคาสำหรับการส่งออก 14 ล้านโดสนั้น มีราคาอยู่ระหว่าง 22-37 ดอลลาร์ต่อโดส ขึ้นอยู่กับปริมาณสั่งซื้อในแต่ละสัญญา ส่วนราคาขายในยุโรปนั้น จากสื่อของเบลเยี่ยม (เป็นข้อมูลหลุดจากทวิตเตอร์) ได้บอกราคาไว้ที่ 1 โดส 18 ดอลลาร์

จากข่าวที่ผมหาได้ ก็ทำให้ได้ทราบว่า การขายวัคซีนโมเดอร์นา​ ถูกแบ่งออกเป็นสามรูปแบบ​ ดังนี้... 

>> ขายในประเทศอเมริกาเอง จะถูกสุดถึง 15.4 ดอลลาร์ต่อโดส (504.5 บาท) 
>> ขายในยุโรปที่ 22 ดอลลาร์ต่อโดส (589.7 บาท) 
>> และขายประเทศอื่น ๆ 22-37 ดอลลาร์ต่อโดส (720 - 1212 บาท) ขึ้นอยู่กับปริมาณที่สั่งต่อสัญญา 

เพราะฉะนั้นแล้ว​ ราคาขายในไทยคงไม่สามารถขายได้ในราคา 22 ดอลลาร์อย่างแน่นอน เนื่องจากเขาขายแต่ในยุโรปเท่านั้น!! 

ปัญหา คือ องค์การเภสัชทำสัญญากับโมเดอร์นา อยู่ที่เท่าไหร่ เพราะถ้าอิงจากราคาที่ตั้งคือ 1,100 บาทแล้ว องค์การเภสัชน่าจะซื้อมาด้วยราคา 32 ดอลลาร์ บวกกับภาษี 7% จะได้ใกล้เคียงกับ 1,100 บาทที่สุด 

แค่นี้แหละครับที่ผมอยากจะบอก!! 

ความจริงอีกครึ่ง!! 


ข้อมูลอ้างอิง
https://www.businessinsider.jp/post-233036


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top