Monday, 19 May 2025
COLUMNIST

“ปลอม - เท็จ”!! ระเบิดเวลา ‘สหกรณ์ออมทรัพย์’ คอร์รัปชัน...ไหมครับท่าน ตอนที่ 8

สหกรณ์ออมทรัพย์ เป็นสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร อยู่ภายใต้กฎหมายสหกรณ์ มีกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ รับผิดชอบทำหน้าที่ “นายทะเบียน” ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง

ในด้านดี สหกรณ์ออมทรัพย์เป็นสถาบันการเงินที่เป็นการจัดสวัสดิการภายในให้กับหน่วยงาน เสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้สมาชิก ส่งเสริมการออม และเป็นแหล่งเงินทุนที่มีดอกเบี้ยราคามิตรภาพให้แก่สมาชิก ในขณะที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าตลาดในการระดมเงินฝาก หรือจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับการฝากธนาคาร ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์มีความเป็นอยู่ที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังเกษียณอายุ

แม้ว่าในระยะหลังข่าวคราวของวงการสหกรณ์จะไม่สู้ดี เนื่องจากมีบางสหกรณ์ที่ไม่ทำหน้าที่ตามปรัชญาและอุดมการณ์ของสหกรณ์ จึงเกิดกรณีสลากกินแบ่งรัฐบาล กรณีคลองจั่น กรณีรถไฟ ซึ่งทั้งหมดพัวพันกับการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของคณะกรรมการดำเนินการ ส่วนกรณีทั่วไปที่ไม่เป็นข่าว เช่น การปลอมลายมือชื่อ การโกงของเจ้าหน้าที่ ความเสียหายยังจำกัดวง และสามารถแก้ไขได้ แต่ความน่าเชื่อถือของสหกรณ์นั้น ๆ จะลดลงไปเป็นลำดับ

ในบทบาทหนึ่งของสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้กู้นั้น สหกรณ์มีบทบาทในการส่งเสริมและช่วยเหลือให้สมาชิกมีบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดี สหกรณ์ส่วนใหญ่จึงมักให้สินเชื่อระยะยาวกับสมาชิกที่ซื้อหรือสร้างบ้าน เพื่อให้ผ่อนรายเดือนน้อย ๆ มีการสร้างฐานะและมีสวัสดิการที่ดีขึ้น

ในการกู้ซื้อบ้านพร้อมที่ดินตามโครงการจัดสรรส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีปัญหาเนื่องจากราคาที่ดิน และการปฏิบัติตามกฎหมาย ทำให้เอกสารต่าง ๆ ถูกต้องตามกฎหมายสามารถนำไปยื่นกู้กับสถาบันการเงินได้ และการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยก็ทำให้สมาชิกสหกรณ์ที่มีเครดิตดี มีความสามารถชำระหนี้ ก็เลือกกู้กับสถาบันการเงินหรือธนาคารทั่วไป ในขณะที่สหกรณ์ส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยไม่ยืดหยุ่นนัก และบางแห่งมีอัตราเดียวที่สูงกว่าธนาคารทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ จะเห็นได้ว่า กรณีเช่นนี้จะก่อให้เกิดปัญหาคลาสสิกที่ทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Adverse Selection หรือ การเลือกในทิศทางที่แย่

เรื่อง การเลือกในทิศทางที่แย่ รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ อธิบายไว้โดยใช้ตัวอย่างของระบบประกันภัยหรือประกันสุขภาพ ที่ว่า มีคนสุขภาพดีและคนป่วยอยู่ปนกัน หากบริษัทประกันเก็บเบี้ยประกันราคาเดียวจะทำให้มีแนวโน้มจะได้คนป่วยทำประกันมากกว่าคนสุขภาพดี แต่หากบริษัทประกันเก็บเบี้ยประกันตามความเสี่ยงทางสุขภาพหรือประวัติการขับรถ ก็จะทำให้ไม่เกิดปัญหา การเลือกในทิศทางที่แย่ 

รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ

ดังนั้น สหกรณ์ออมทรัพย์ ที่ทำการปล่อยกู้นั้น จึงต้องคำนึงถึงปัญหาคลาสสิกนี้ เพราะมิเช่นนั้น การที่มีผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง ๆ รวมกันเป็นจำนวนมาก จะทำให้มีความเสี่ยงในการบริหารเงิน และต้องตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญซึ่งกระทบต่อการจ่ายเงินปันผล

ผู้กำกับดูแลสหกรณ์ จึงเคร่งครัดในเรื่องการปล่อยกู้ตามวัตถุประสงค์ และให้กรรมการและฝ่ายจัดการที่เกี่ยวข้องคอยกวดขันการปล่อยกู้ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ รวมถึงให้กรรมการคอยสอดส่องไม่ให้หลักประกันบกพร่อง โดยกำหนดเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการและฝ่ายจัดการ

“มะห์ซูหรี่” (Mahsuri) ตำนาน!! ‘คำสาปแห่งลังกาวี’ 

ผู้อ่านจาก Facebook ดร.โญ มีเรื่องเล่า ‘คุณแจ็คกี้ มวยไทย’ เขียน In Box มาว่า “อยากให้อาจารย์เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามประวัติศาสตร์หน่อยครับ ถึงตำนานแต่ละที่ของประวัติศาสตร์ เช่น คำสาปของเกาะลังกาวี ครับ” ซึ่งผมก็จัดให้เลย และขอมาเล่าเรื่องราวนี้ผ่าน THE STATES TIMES ก่อนนะครับ…

ลังกาวี (Langkawi) หรือ "ลังกาวี อัญมณีแห่งเกอดะฮ์ (Kedah หรือไทรบุรีของราชอาณาจักรสยาม/ไทยในอดีต)" (Langkawi Permata Kedah) เป็นเกาะในทะเลอันดามัน ใกล้ฝั่งทะเลตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซียตะวันตก ขึ้นกับรัฐเกอดะฮ์ ประเทศมาเลเซีย

ลังกาวี ตั้งอยู่ห่างจากเกาะตะรุเตา จังหวัดสตูลของประเทศไทยเพียง 4 กิโลเมตร อยู่ห่างจากเมืองกัวลาปะลิสประมาณ 30 กิโลเมตร และเมืองกัวลาเกอดะฮ์ 51 กิโลเมตร ประกอบด้วยกลุ่มเกาะเขตร้อนจำนวน 99 เกาะ และเป็นที่รู้จักของชาวไทยและมาเลเซียจากตำนานของ มะห์ซูหรี่ สตรีผู้ถูกประหารด้วยความอยุติธรรม โดยนางได้สาปแช่งเกาะลังกาวีไว้ก่อนสิ้นใจ และรัฐบาลมาเลเซียต้องนำทายาทรุ่นที่ 7 ของเธอมาถอนคำสาป

"ลังกาวี อัญมณีแห่งเกอดะฮ์ (Kedah หรือไทรบุรีของราชอาณาจักรสยาม/ไทยในอดีต)" (Langkawi Permata Kedah)

ชื่อของเกาะลังกาวี โดย "ลัง" ย่อมาจากคำว่า "ฮลัง" (Helang) ที่แปลว่า "นกอินทรีสีน้ำตาลแดง" ส่วนนาม "ลังกาวี อัญมณีแห่งเกอดะฮ์" นั้นได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระราชาธิบดีสุลต่านอับดุล ฮาลิม อันเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกส่วนพระองค์ โดยตั้งนามเพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยวว่า ลังกาวีเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ Kedah

กล่าวว่าคำว่า 'ลังกาวี' มีความเกี่ยวข้องกับอาณาจักรลังกาสุกะ 'Langgasu' ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่รัฐ Kedah ในปัจจุบัน ซึ่งเอกสารทางประวัติศาสตร์มีน้อยมาก อย่างไรก็ตามย้อนหลังไปถึง 500 ปีก่อนคริสตกาล ตามบันทึกของราชวงศ์เหลียง อาณาจักรนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษแรกเมื่อกษัตริย์ฮินดู บากัตตา ถวายส่วยจักรพรรดิจีนในสมัยนั้น ชื่อของกษัตริย์ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าในตำนานและเทพนิยายมาเลย์ 'ลังกาวี' จึงหมายถึงอาณาจักรของ 'Langgasu' ที่จัดตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 1

มีการอ้างอิงชื่อเกาะอื่นในหนังสือ The Legends of Langkawi โดย Tun Mohamed Zahir บอกว่า 'ลังกาวี' เป็นการรวมกันของคำภาษาสันสกฤตสองคำคือลังกา (ความงาม) และวี (นับไม่ถ้วน) ตามหนังสือลังกาวี หมายถึงสถานที่แห่งความงามอันยิ่งใหญ่ ข้อมูลอ้างอิงอีกฉบับหนึ่งระบุว่า ลังกาวีหมายถึงเกาะนกอินทรี ตามนั้น คำว่าลังกาวีเป็นการรวมกันของคำสองคำคือ ‘ลัง’ และ ‘กาวี’ โดยที่ 'ลัง' มากจากคำว่า 'Helang' ในภาษามาเลย์ ซึ่งแปลว่านกอินทรี ส่วน ‘กาวี’ ก็มาจาก 'Kawi' ภาษามาเลย์เช่นกัน แปลว่า หินอ่อน เนื่องจากมีการพบทั้งนกอินทรีและหินอ่อนมากมายในลังกาวี สถานที่แห่งนี้จึงอาจได้รับการตั้งชื่อตามข้อเท็จจริง โดยจัตุรัสนกอินทรีที่เกาะนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงชื่อเกาะตามความหมายนัยนี้

แสตมป์สามอัฐ และสี่อัฐประทับตรา Kedah แสดงให้เห็นว่า Kedah (ไทรบุรี) เคยเป็นของสยาม

ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การเมือง สรุปได้ว่า สุลต่าน Kedah เคยปกครองเกาะนี้ ต่อมา Kedah (ไทรบุรี) ถูกสยามยึด ลังกาวีก็ตกไปอยู่ในมือของสยามผู้ปกครอง และด้วยข้อตกลงตามสนธิสัญญาแองโกล-สยาม พ.ศ. 2452 สยามได้โอนอำนาจการปกครองไปให้แก่อังกฤษ ซึ่งยึดครองรัฐนี้เอาไว้จนมาเลเซียได้รับอิสรภาพ ไม่รวมระยะเวลาสั้น ๆ ของการปกครองไทยภายใต้การยึดครองมลายูของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อิทธิพลของไทยยังสามารถเห็นได้ในวัฒนธรรมและอาหารของลังกาวี อันที่จริงแล้ว คนมาเลย์เชื้อสายไทยจำนวนมากบนเกาะนี้ก็เข้าใจภาษาไทยเช่นกัน

มะห์ซูหรี่จึงบอกให้ฆ่าเธอด้วยกริชอาคมของครอบครัว

ตำนานคำสาปแห่งลังกาวี ตามตำนานเล่าว่า มะห์ซูหรี่ (Mahsuri) เป็นธิดาคนที่สามของสามีภรรยาชาวไทยเชื้อสายมลายูที่อพยพมาจากภูเก็ต (Negeri Pulau Bukit) ในสมัยของสุลต่านอับดุลลาห์ มูการ์รัม ชาห์ที่ 2 ผู้ปกครองรัฐ Kedah ระหว่างปี พ.ศ. 2305 ถึง 2343 (ค.ศ. 1762 ถึง 1800) มะห์ซูหรี่เป็นหนึ่งในหญิงที่สวยที่สุดในลังกาวี และได้แต่งงานกับรองสุลต่านที่ชื่อว่า วันดารุส (Wan Darus) น้องชายของ Dato Pekerma Jaya น้องชายของสุลต่านผู้ปกครองเกาะลังกาวี แต่ในเวลาอันไม่นานชีวิตอันสวยงามของพวกเขาก็ต้องจบลง ด้วยวันดารุสต้องออกไปรบกับสยาม ระหว่างที่สามีไม่อยู่ มะห์ซูหรี่บังเอิญได้รู้จักกับเดรามัน (Deraman) ชายหนุ่มคนหนึ่ง ทำให้แม่สามี (บ้างก็ว่า พี่สะใภ้ของสามี ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้าน) ของเธออิจฉาความงามที่เลื่องลือของมะห์ซูหรี่ จึงถือโอกาสที่จะกำจัดเธอ ด้วยการปล่อยข่าวลือว่า มะห์ซูหรี่ไม่ซื่อสัตย์ นอกใจต่อวันดารุส สามีของเธอ โดยมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับเดรามัน

ด้วยเหตุนี้ ข่าวลือจึงแพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน เรื่องนี้ทำให้เธอถูกชาวบ้านทั้งหมดกล่าวหาว่า ลักลอบมีประเวณีกับชายอื่น และถูกตัดสินประหาร มะห์ซูหรี่ปฏิเสธอย่างแข็งขัน แต่ไม่มีใครยอมเชื่อเธอเลย ดังนั้นมะห์ซูหรี่จึงถูกจับมัดไว้กับต้นไม้ (หรือเสา) มะห์ซูหรี่ได้อธิษฐานว่า “หากนางไม่มีความผิด ขอให้โลหิตที่หลั่งออกมาเป็นสีขาวและไม่หลั่งลงพื้นดิน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง” และ “สำหรับความอยุติธรรมนี้ จะไม่เกิดสันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองบนเกาะแห่งนี้ นานถึงเจ็ดชั่วอายุคน” แต่เมื่อเพชฌฆาตลงคมกริชประหาร คมของกริชนั้นกลับไม่ระคายผิวนางเลย หลังจากที่ความพยายามในสังหารเธอทุกครั้งประสบความล้มเหลว เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงบอกกับเพชฌฆาตให้ไปนำกริชอาคมพิเศษของต้นตระกูลจากบ้านของนางมา และเมื่อเพชฌฆาตใช้คมกริชอาคมพิเศษจรดลงไปบนคอของนาง โลหิตสีขาวก็พวยพุ่งขึ้นข้างบนราวกับเป็นร่มโดยไม่ตกลงบนพื้นดินเลย เมื่อเธอถูกแทง เลือดสีขาวก็ไหลออกมาจากบาดแผลของเธอ และฝูงนกก็บินเข้ามาปกคลุมเธอทั้งตัว อันแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของเธอ ด้านพี่ชายของมะห์ซูหรี่ เกรงว่าหลานชายวัย 5 เดือน ทายาทคนเดียวของมะห์ซูหรี่ จะมีภัย จึงนำลงเรือล่องมายังเกาะภูเก็ต และเริ่มตั้งรกรากที่นี่ โดยบุตรของนางเติบโตขึ้นในนามว่า “โต๊ะวัน”

หลุมศพ (กุโบร์) ของมะห์ซูหรี่บนเกาะลังกาวี

ปาดังมาตสิรัต (ซึ่งหมายถึง ‘ทุ่งข้าวไหม้’)

ชาวบ้านจำนวนมากในลังกาวีเชื่อว่า ตำนานดังกล่าวเป็นเรื่องจริง โดยอ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และโศกนาฏกรรมในช่วงหลายทศวรรษหลังการเสียชีวิตของมะห์ซูหรี่ กองทัพสยามสามารถพิชิตรัฐ Kedah และบุกยึดลังกาวีเอาไว้ได้ โดยชาวบ้านจุดไฟเผาไร่นาพืชผลเพื่อหยุดยั้งการบุกของกองทัพสยาม หรือแทนที่จะปล่อยให้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพสยาม จนถึงทุกวันนี้ตามตำนานเล่าว่า หลังจากฝนตกชุก จะเห็นร่องรอยของข้าวไหม้ที่ปาดังมาตสิรัต (ซึ่งหมายถึง 'ทุ่งข้าวไหม้') ที่อยู่ใกล้เคียง แต่ที่สุดแล้วลังกาวีก็ตกเป็นอาณานิคมของสยาม และอังกฤษในเวลาต่อมา 

น.ส.ศิรินทรา ยายี (Wan Aishah)

มหากาพย์ ‘สงครามกลางเมือง’ (Civil War)

ระยะนี้มีผู้คนที่สังคมให้ค่าว่าเป็นผู้มีการศึกษา แต่พฤติการณ์ พฤติกรรม มีการศึกษาแต่กลับไม่มีปัญญา หยิบยกเอาเรื่องสงครามกลางเมืองมาเป็นประเด็นให้เกิดความขัดแย้งในสังคมให้กลายเป็นความรุนแรงเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คนพวกนี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย เพียงแต่เป็นเหมือนกับพวก เห็บ หมัด ยุง ที่น่ารำคาญ พยายาม กัด ไต่ ตอม สังคมโดยไม่รู้จักลดเลิก ไม่ได้นึกถึงความเป็นจริง ได้แต่เพ้อเจ้อไปวัน ๆ ซ้ำร้ายที่ยังมีคนที่ขาดความรู้ อ่อนด้อยประสบการณ์จำนวนไม่มากนักที่หลงเชื่อ และส่วนหนึ่งกลายเป็นเหยื่อทั้งต้องติดคุก บาดเจ็บ และร้ายแรงที่สุด คือ เสียชีวิต โดยที่พวกที่ปลุกปั่น ยุยง และญาติพี่น้อง ลูกหลาน และพวกพ้องที่ใกล้ชิดไม่เป็นอะไรกันเลย 

สงครามกลางเมือง เป็นสงครามภายในระหว่างกลุ่มคนในสังคม ในชาติเดียวกัน ด้วยประสงค์ในการแย่งชิงอำนาจการปกครอง หรือดินแดน สงครามกลางเมืองอาจถือเป็นการปฏิวัติ (Revolution) รูปแบบหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมืองนั้น ๆ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งองค์การกาชาดสากลให้ความหมายตามมาตรา 9 แห่งสนธิสัญญาเจนีวาไว้ดังนี้ “สงครามกลางเมืองเป็นความขัดแย้งรุนแรงจนถึงมีการใช้อาวุธต่อกันทั้งสองฝ่ายหรือมากกว่านั้น และอาจมีความรุนแรงเหมือนสงครามระหว่างรัฐ แต่เกิดขึ้นภายในประเทศนั้นประเทศเดียว” นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์บางกลุ่มยังได้นับรวมเอาการจลาจล/การก่อการร้าย/การก่อความไม่สงบ เป็นสงครามกลางเมืองด้วย หากมีการสู้รบระหว่างกองกำลังติดอาวุธเต็มรูปแบบ ความแตกต่างระหว่าง "สงครามกลางเมือง" "การปฏิวัติ" และ "การจลาจล" ในปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน ขึ้นอยู่กับบริบท (Context) ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้

การสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วยการใช้ความรุนแรงไม่ได้มีผลดีอะไรกับสังคมและชาติบ้านเมืองเลย ไม่ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ความบอบช้ำเสียหายเกิดขึ้นกับผู้คนในสังคม ในชาติบ้านเมืองโดยรวมเสมอ และต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากมายในการฟื้นฟูเยียวยา ส่วนที่แก้ไขเยียวยายากมากที่สุดคือ บาดแผล หรือความบอบช้ำทางจิตใจ อันเกิดขึ้นกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น ผู้แพ้ ผู้ชนะ หรือผู้ที่เป็นกลาง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยเลย

สงครามกลางเมืองอังกฤษ (Cromwell war) ค.ศ. 1642-1651

ตามประวัติศาสตร์สากลสงครามกลางเมืองที่ถูกบันทึกไว้ มักจะเป็นสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ซึ่งเกิดขึ้นแล้วหลายพันครั้งในเกือบทุก ๆ ชาติ ตั้งแต่ 475 ปีก่อนคริสต์ศักราช เช่น สงครามรวมชาติจีน หรือสงครามนครคาร์เธจ หรือสงครามแห่งรัฐอิสลาม ค.ศ. 656 - 661 หรือสงครามเมืองอังกฤษหลายครั้งคือ The Anarchy ค.ศ. 1135 - 1153 (ยุคไร้สันติสุข) สงครามกุหลาบ (Wars of Roses) ราว ค.ศ. 1455 - 1485 (ระหว่างเจ้านครแห่งแคว้นแลงคาสเตอร์กับเจ้านครแห่งแคว้นยอร์ก) และสงครามกลางเมือง (Cromwell war) ค.ศ. 1642 - 1651 (ระหว่างกษัตริย์กับรัฐสภา) สงครามกลางเมืองอังกฤษมีสาเหตุจากการชิงอำนาจปกครองประเทศ หรือการปกป้องสิทธิของกษัตริย์ หรือการป้องสิทธิของประชาชน เช่น ในสงครามขุนนางครั้งที่ 1 ค.ศ. 1215 - 1217 ระหว่างขุนนางกับพระเจ้าจอห์น ขุนนางสามารถทำให้พระเจ้าจอห์น ทรงลงพระนามในมหาบัตรใหญ่หรือ Magna Carta อันเป็นต้นกำเนิดรัฐธรรมนูญของอังกฤษ และสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา

สำหรับสหรัฐฯ สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1861 - 1865 เมื่อมลรัฐทางใต้ 11 รัฐ เห็นว่า การรณรงค์เลิกทาสของประธานาธิบดี อับราฮิม ลินคอล์นนั้น ขัดต่อผลประโยชน์ทางมลรัฐทางใต้ ซึ่งต้องพึ่งแรงงานทาสผิวสีในการเก็บฝ้าย และทำกสิกรรม จึงประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐฯ สถาปนาเป็นสหพันธรัฐแห่งอเมริกา โดยมีประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สัน เดวิส เป็นผู้นำ และเกิดการรบขึ้นเพื่อแย่งความชอบธรรมแห่งรัฐ เพราะการแยกตัวจากสหรัฐฯ เป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระยะเวลาในการทำสงคราม 4 ปี ทำให้มีผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากสงครามกว่า 1,030,000 คน ทหารเสียชีวิตราว 750,000 คน ค่าใช้จ่ายในการทำสงครามของทั้งสองฝ่ายราว 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ (สามารถติดตามอ่านได้ในคอลัมน์ 12 สงครามที่ ‘แพงที่สุด’ ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา >> https://thestatestimes.com/post/2021082805

นอกจากสงครามกลางเมืองในอังกฤษและสหรัฐฯ ที่ได้กล่าวมาแล้วยังมีสงครามกลางเมืองครั้งสำคัญที่ถูกบันทึกไว้อีก ดังนี้

>> สงครามโบะชิง (3 มกราคม 1868 - 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1869) นักวิชาการบางส่วนเรียกว่า “การปฏิวัติญี่ปุ่น” เป็นสงครามกลางเมืองในประเทศญี่ปุ่นที่รบกัน ระหว่างกำลังของรัฐบาลเอโดะซึ่งปกครองและผู้ที่มุ่งถวายอำนาจการเมืองคืนแก่ราชสำนักจักรพรรดิ ผลคือ ฝ่ายจักรพรรดิชนะ ทำให้รัฐบาลของโชกุนสิ้นสุดยุติบทบาทลง และจักรพรรดิกลับได้ปกครองญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง (จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร) ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตราว 8,500 นาย

‘ยัน ชิชกา และ บาทหลวงฮุสไซต์’ ยืนมองกรุงปรากหลังยุทธการที่เนินวิตคอฟในสงครามฮุสไซต์

>> สงครามฮุสไซต์ (Hussite wars) (ราว ค.ศ. 1419 - 1437) หรือ สงครามโบฮีเมีย หรือ การปฏิวัติฮุสไซต์ เป็นการสู้รบระหว่างฝ่ายฮุสไซต์ที่นับถือคำสอนของยัน ฮุสกับฝ่ายโรมันคาทอลิก นำโดยจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงการสู้รบกันเองในหมู่นักรบฮุสไซต์ สงครามนี้เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ความแตกแยกหลายเหตุการณ์ระหว่างผู้นับถือคำสอนของฮุสกับผู้ปกครองที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก เช่น การเผาทั้งเป็นฮุส, เหตุบัญชรฆาตในกรุงปราก และการสวรรคตของพระเจ้าเวนเซลแห่งชาวโรมัน ในปี ค.ศ. 1424 ผลของสงคราม ฝ่ายฮุสไซต์ชนะ ทำให้ (1) ศาสนจักรฮุสไซต์เป็นอิสระจากพระสันตะปาปา (ต่อมาภายหลังฝ่ายฮุสไซต์สายกลางได้ร่วมมือกับฝ่ายโรมันคาทอลิก รบกับฝ่ายฮุสไซต์หัวรุนแรง ทำให้ฝ่ายฮุสไซต์หัวรุนแรงพ่ายแพ้และต้องหลบซ่อน) (2) ฝ่ายโรมันคาทอลิกยอมรับฝ่ายฮุสไซต์สายกลาง (3) จักรพรรดิซีกิสมุนด์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย และ (4) มีการลงนามในสัญญาบาเซิลเพื่อยุติสงคราม ไม่ปรากฏข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิต

“บอนสี” ราชินีไม้ใบ!! ไม้ประดับเงินล้าน ปลูกยังไงให้แตกต่าง และสร้างมูลค่าสูง!!

ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงได้ทราบข่าวการซื้อขายพืชไม้ประดับชนิดหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์พิเศษ คือ มีสีสันสวยงามหลากหลาย มีรูปทรงของใบที่สวยงาม เป็นพืชที่มีการปลูกใช้เป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน มาเป็นเวลานานแล้ว นั่นก็คือบอนสี ทั้งนี้ตั้งแต่ผู้เขียนจำความได้ในสมัยเด็ก ๆ พี่สาวจะปลูกไว้เต็มบ้านเป็นสวนเลย โดยลักษณะของสีและรูปทรงของใบในแต่ละต้นที่สวยงาม ทำให้เกิดจินตนาการในวัยเด็กได้เป็นอย่างดี แต่ไม่เคยคาดคิดว่าไม้ประดับชนิดนี้จะมีราคาแพงขึ้นมาแบบน่าตกใจมากในยุคการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้มีราคาตั้งแต่ราคาหลักพันจนกระทั่งถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งข่าวล่าสุดที่เป็นเรื่องฮือฮา ก็คือสามารถใช้แลกกับรถยนต์ราคาเป็นล้านได้เลยทีเดียว 

ในขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวเรื่องการปั่นราคาของพ่อค้าเพื่อจะให้มีการซื้อขายในราคาสูง แต่สุดท้ายราคาก็จะอาจตกลงมา จนกลับไปสู่ที่เดิมได้ โดยราคาหรือความมีค่าของพืชชนิดนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะรูปทรง และสีของใบที่มีความหลากสีและสวยงามแตกต่างกันไป ยิ่งต้นไหนที่มีความแปลกใหม่กว่าต้นอื่นที่ไม่มีใครเหมือนได้ ก็จะทำให้ราคากระโดดไปสูงหลายเท่าตัวเลยทีเดียว ทั้งนี้ ตามธรรมชาติทั่วไปใบไม้จะมีสีเขียว แต่ลักษณะของบอนจะมีสี หรือมีความด่างและรูปทรงของใบที่แตกต่างกันไป

สำหรับในวันนี้ เราจะมาดูรายละเอียดของพืชชนิดนี้ ทำยังไงให้มีความแตกต่าง โดยดูจากปัจจัยหรือองค์ประกอบที่ทำให้บอนสีมีรูปทรงและสีสันที่แตกต่างกันครับ “บอนสี” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caladium bicolor เป็นสายพันธุ์ในสกุลบอน ที่มีต้นกำเนิดมาจากลาตินอเมริกา และแพร่หลายในยุโรป มักถูกปลูกเป็นต้นไม้ประดับ เนื่องจากใบขนาดใหญ่มีรูปหัวใจหรือรูปหอกที่มีสีเขียว ขาว ชมพู หรือแดงที่โดดเด่น ซึ่งบอนสีนั้นมีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ 

สำหรับในประเทศไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440 ได้ทรงนำบอนสีกลับเข้ามาปลูกในพระบรมมหาราชวัง สร้างความนิยมให้กับเจ้านายฝ่ายใน เป็นอย่างมาก ทั้งนี้สาเหตุที่บอนสีมีลักษณะของสีที่แตกต่างกันออกไปนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดหรือพันธุกรรมของบอนสีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชได้แก่ 

>> ปัจจัยที่ 1 การได้รับแสงแดดที่แตกต่างกัน แสงแดดมีส่วนสำคัญในการที่พืชใช้ในการปรุงอาหาร และสร้างสารที่เรียกคลอโรฟิลล์ ที่มีส่วนทำให้ใบของพืชมีสีเขียว ที่แตกต่างกันไป 

ทั้งนี้ สังเกตได้ง่าย ๆ เวลาเราปลูกพืชในที่มีแสงแดดเยอะ ๆ กับบริเวณที่มีแสงแดดน้อย ลักษณะสีของใบพืช ถึงแม้ว่าจะเป็นพืชชนิดเดียวกันก็ตาม ก็จะมีสีที่แตกต่างกัน โดยพืชที่ได้รับแสงแดดที่เพียงพอใบของพืชก็มักจะมีสีเขียวที่เข้มกว่าพืชที่ได้รับแสงแดดน้อย หรือปลูกในที่ร่ม หรือพืชบางชนิดถ้าไม่ได้รับแสงแดดก็จะไม่เจริญเติบโต เห็นได้ง่ายจากวัชพืช เช่นหญ้า หรือพืชขนาดเล็กจะไม่เกิดในบริเวณที่เป็นร่ม เช่น ใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นต้น 

สู้ภัยโควิด!! หนาวนี้ มีสุขภาพดีได้อย่างไร?

ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากมวลอากาศเย็นพัดผ่านลงมาทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ส่งผลให้อากาศหนาวเย็นลง โดยจะหนาวเย็นมากที่สุดในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากภัยหนาว ร่างกายปรับตัวไม่ทันต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง 

ในทางการแพทย์ได้นิยามคำว่า “ภัยหนาว” ว่าเป็นภัยที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บจากอุณหภูมิ ในสิ่งแวดล้อมที่ลดลงต่ำกว่าปกติมากเป็นเวลานาน ๆ โดยอาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ความเร็วลม ความชื้น การออกกำลังกายหนักเกินไป การใช้ยาเสพติด และการดื่มสุรา โดยเฉพาะความเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดอันตรายจากภัยหนาวเพิ่มมากขึ้น

โรคที่มากับภัยหนาว มีดังนี้

1.) โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ (เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ) 
ปัจจุบันพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ในหลายจังหวัด หากเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่อาจทำให้แยกอาการจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ได้ยาก เนื่องจากไข้หวัดใหญ่มีการแพร่ระบาดง่ายในฤดูนี้และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ ดังนั้น การเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด และไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) และโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ได้

2.) โรคติดต่อระบบทางเดินอาหารและน้ำ (โรคอุจจาระร่วง) 
มีอาการถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไปใน 1 วัน อาจมีไข้หรืออาเจียนร่วมด้วย เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนเชื้อโรค ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยการดูแลสุขอนามัย ดื่มน้ำสะอาด และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด

3.) โรคหัด
โรคหัดติดต่อได้ทางลมหายใจ เกิดจากการหายใจเอาเชื้อไวรัสจากการไอจามของผู้ป่วย หรือพูดคุยกันในระยะใกล้ อาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา มีไข้สูง ตาแดงและตาแฉะ มีผื่นนูนแดงขึ้นติดกันเป็นปื้น ๆ โดยมักพบการระบาดในฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-มกราคม) มีระยะฟักตัวประมาณ 8-12 วัน ปัจจุบันไม่มียารักษา

4.) ภัยสุขภาพ (การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว)
ส่วนใหญ่เกิดจากร่างกายปรับตัวไม่ทันต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ดังนั้นควรเตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาว และงดการดื่มแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งดูแลร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

5.) ปัญหาทางระบบผิวหนัง เช่น ผิวหนังแห้ง ผื่นผิวหนังอักเสบและคัน
ในฤดูหนาว อากาศแห้ง และมีความชื้นในอากาศน้อย หากอาบน้ำอุ่นจัดจะชะล้างไขมันที่ผิวหนังออกไป ส่งผลให้ผิวหนังแห้งและคันได้ ดังนั้นควรใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ไม่อาบน้ำนาน ๆ ควรทาโลชันหรือน้ำมันทาผิวหลังอาบน้ำ และเช็ดตัวหมาด ๆ ทุกครั้งเพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายควรใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทที่ใช้กับผิวเด็กอ่อนและควรทาวันละหลายครั้ง เพราะสารเคลือบผิวจะหลุดออกได้เมื่อเวลาผ่านไป ในกรณีที่มีปัญหาริมฝีปากแตก ไม่ควรเลียริมฝีปาก แนะนำให้ทาด้วยลิปสติกมันบ่อย ๆ

‘ค้อน - เคียว’ (Hammer & Sickle) สัญลักษณ์ของ ‘ลัทธิคอมมิวนิสต์’ ไม่ใช่ประชาธิปไตย!!

ได้เห็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่อ้างว่าเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่บ้านเมืองก็มีอยู่ในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีการเลือกตั้งตัวแทนจนครบทุกระดับแล้ว จึงน่าสงสัยว่า บ้านนี้เมืองนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยตรงไหน ซ้ำร้ายกลุ่มเคลื่อนไหวที่อ้างว่าเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย ยังกับเอาสัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” (Hammer & Sickle) อันเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่เป็นเผด็จการสังคมนิยมมาใช้เสียอีก ดังนั้นจึงมั่นใจว่า กลุ่มเคลื่อนไหวดังกล่าวคงแยกไม่ออกระหว่างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยกับแบบคอมมิวนิสต์เป็นแน่เชียว

ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องราวของสัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” ขออธิบายเรื่องความต่างของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยกับแบบคอมมิวนิสต์ให้ทราบพอสังเขป โดยระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอธิบายง่าย ๆ คือ ระบอบการปกครองที่ประกอบด้วยอำนาจที่ใช้ในการดูแลจัดการกิจการของบ้านเมืองสามส่วนได้แก่ (1) บริหาร (2) นิติบัญญัติ และ (3) ตุลาการ

สำหรับระบอบประชาธิปไตยในบ้านเรา คือ มีการเลือกตั้งในส่วนของ (2) นิติบัญญัติเพื่อทำหน้าที่ออกกฎหมาย และเลือก (1) บริหารเพื่อบริหารจัดการบ้านเมือง ทั้งสองส่วนต่างมีอำนาจในการตรวจสอบและคานอำนาจหน้าที่กัน จากการที่ (2) นิติบัญญัติสามารถตรวจสอบด้วยการอภิปรายและลงมติ (1) บริหารในสภาได้ และ (1) บริหารก็สามารถใช้อำนาจในการยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง (2) นิติบัญญัติขึ้นมาใหม่ได้ ส่วน (3) ตุลาการทำหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีความต่าง ๆ ตามกฎหมายที่ออกโดย (2) นิติบัญญัติ โดย (1) บริหาร มีหน้าดูแล และบังคับใช้กฎหมาย ส่งตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดย (3) ตุลาการเป็นผู้พิจารณาตัดสินตามกฎหมาย และหาก (1) บริหาร และ (2) นิติบัญญัติ กระทำความผิด ก็จะเข้าสู่ กระบวนการยุติธรรมโดย (3) ตุลาการ เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป

แต่กับระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ อำนาจที่ใช้ในการดูแลจัดการกิจการของบ้านเมืองสามส่วน ได้แก่ (1) บริหาร (2) นิติบัญญัติ และ (3) ตุลาการ ล้วนแล้วแต่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งสมาชิกของพรรคฯ มาจากการคัดสรร ไม่ใช่การเลือกตั้ง ตามแต่คณะกรรมการของพรรคฯ ในระดับต่าง ๆ จะเห็นชอบ โดย (1) บริหารจะมาจากคณะกรรมการกลางของพรรคที่เรียกว่า โปลิตบูโร (Politburo) หมายถึง คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ (เช่น อดีตสหภาพโซเวียต โปลิตบูโรจะประกอบด้วยเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (The General Secretary of the Communist Party of the Soviet Union) และบุคคลสำคัญรองลงมา เช่น ประธานาธิบดี และนายกรัฐมนตรี) อำนาจที่ใช้ในการดูแลจัดการกิจการของบ้านเมืองสามส่วน ได้แก่ (1) บริหาร (2) นิติบัญญัติ และ (3) ตุลาการ ล้วนแล้วแต่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์ โดยที่ประชาชนไม่มีสิทธิ ไม่มีส่วนอะไรเลยในอำนาจดังกล่าว

สำหรับสัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” เป็นสัญลักษณ์หลักอย่างหนึ่งของลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมักใช้เพื่อเป็นเครื่องหมายของลัทธิคอมมิวนิสต์ พรรคคอมมิวนิสต์ หรือรัฐคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ทั่วโลก โดยปกติแล้วมักทำเป็นรูปค้อนและเคียวไขว้กัน เครื่องหมายทั้งสองอย่างนี้ คือ สัญลักษณ์บุคคลในชนชั้นกรรมาชีพและชนชั้นชาวนา (เกษตรกร) การนำสัญลักษณ์ทั้งสองอย่างมารวมกัน จึงหมายถึงเอกภาพของแรงงานในภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม อันถือเป็นรากฐานที่สำคัญของสังคมในระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ สัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” เป็นที่รู้จักกันดีจากการที่นำสัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” ไปใช้ในธงชาติสหภาพโซเวียต ควบคู่ไปกับรูปดาวแดง และยังถูกนำไปใช้ในธงและตราสัญลักษณ์ต่าง ๆ อีกจำนวนมาก โดย สัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” เป็นสัญลักษณ์ที่มี Unicode : "☭"

Vladimir Lenin

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ซึ่งรัสเซียถอนตัวออกในปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917)) และระหว่างสงครามกลางเมืองรัสเซีย (สงครามปฏิวัติบอลเชวิก) สัญลักษณ์ “ค้อนและเคียว” ถูกใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้นในฐานะสัญลักษณ์ของแรงงานในสหภาพโซเวียต และเพื่อความสามัคคีของชนชั้นกรรมาชีพระหว่างประเทศ ในปี ค.ศ. 1917 Vladimir Lenin และ Anatoly Lunacharsky ได้จัดการแข่งขันเพื่อสร้างสัญลักษณ์ของสหภาพโซเวียต การออกแบบที่ชนะคือค้อนและเคียวบนยอดลูกโลกในแสงแดด ล้อมรอบด้วยเมล็ดธัญพืชและภายใต้ดาวห้าแฉก พร้อมคำจารึกว่า "ชนชั้นกรรมาชีพของโลก สามัคคี!" ในหกภาษา (รัสเซีย ยูเครน เบลารุส จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจัน) เดิมมีดาบเป็นจุดเด่นด้วย แต่ถูก Lenin คัดค้านอย่างรุนแรง ด้วยไม่ชอบในความหมายแฝงที่มีนัยรุนแรง นักออกแบบที่ชนะคือ Yevgeny Ivanovich Kamzolkin 

ค้อนและเคียวบนยอดลูกโลกในแสงแดด ล้อมรอบด้วยเม็ดธัญพืชและภายใต้ดาวห้าแฉก พร้อมคำจารึกว่า "ชนชั้นกรรมาชีพของโลก สามัคคี!" ในหกภาษา (รัสเซีย ยูเครน เบลารุส จอร์เจีย อาร์เมเนีย และอาเซอร์ไบจัน)

โลกยุคใหม่ "Real Size Beauty" รูปร่างไม่สำคัญ! เท่าความงามทางความคิด

เพิ่งผ่านการประกวด Miss Universe Thailand 2021 ไปไม่ถึงหนึ่งเดือน มีหลาย ๆ สื่อพร้อมใจกันพาดหัวข่าวว่า "มงลงไม่พลิกโผ" สำหรับ... “แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส” ที่มาพร้อมกับ “Power of Passion” ซึ่งเธอ คือผู้เข้าประกวดที่นอกเหนือจากความเก่งรอบด้าน ทั้งความสามารถด้านการเรียน กีฬา การทำงานแล้ว นอกจากนี้เธอยังมาพร้อมกับความภูมิใจในรูปร่างของตนเอง กับคอนเซปต์ "Real Size Beauty" ซึ่งเป็นการเปลี่ยนมุมมองของนางงามในรูปแบบใหม่ ๆ และเป็น Power of Passion ที่สร้างแรงกระเพื่อมให้กับผู้ที่ได้ติดตามไม่น้อยเลย โดยเฉพาะในโลกโซเชียล หรือแม้กระทั่งความนิยมในวันที่มีการถ่ายทอดสดรอบตัดสินทางช่อง PPTV ตัวเลขเรตติ้งช่วงที่สูงที่สุดขึ้นไปถึง 1.774 โดยมีเรตติ้งรวมทั้งประเทศ 0.959 ถือเป็นรายการที่สร้างเรตติ้งในลำดับแรก ๆ ของทางช่อง PPTV ได้ในช่วงของสมรภูมิรายการทีวีที่ดุเดือด 

แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส Miss Universe Thailand 2021

ผู้เขียนได้เปิดประเด็นเรื่องของการประกวด MUT 2021 ในรายวิชา MEDIA CRITICISM AND SOCIAL CONTEXT ของนิสิตปริญญาโทที่วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่ผู้สอนเขียนได้มีโอกาสสอนในเทอมนี้ จึงได้ทราบว่า การประกวดนางงามไม่ได้เป็นที่สนใจเฉพาะสาว ๆ เท่านั้น แต่มีหนุ่ม ๆ ที่สนใจดูการประกวดด้วยเช่นกัน ด้วยความน่าสนใจคือเรื่องของการนำเสนอ และการตอบคำถามของผู้เข้าประกวด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสวยบนเวทีการประกวดต้องมาพร้อมกับความเก่ง ทั้งในด้านบุคลิกภาพ การแสดงออก และอีกหนึ่งอย่างที่ตัดสินกันบนเวทีหน้างานคือการตอบคำถาม 

เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราในฐานะผู้ติดตามการประกวดจะได้เห็นอีกมิติหนึ่งของนางงาม ทั้งในด้านความคิด ทัศนคติ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ ซึ่งการตอบคำถามของผู้เข้าประกวดในแต่ละปีมีความน่าสนใจที่แตกต่างกันไปในแต่ละปี โดยคำถามแต่ละปีจะมีการเชื่อมโยงประเด็นต่าง ๆ ในสังคมอีกด้วย และไม่ใช่แค่เวทีในประเทศ แต่รวมถึงเวทีระดับโลกที่มีการเชื่อมโยงกับประเด็นต่าง ๆ ในสังคมเช่นเดียวกัน 

นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันประเด็นต่าง ๆ ในสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง อย่างกรณีของ “แอนชิลี” กับการผลักดันเรื่อง "Real Size Beauty" และความภาคภูมิใจในตัวเอง ความเป็นธรรมชาติของเธอที่สามารถเอาชนะใจกรรมการและคนไทยที่ติดตามชมอยู่ได้อย่างไม่ยากเลย และประเด็นที่แอนนำเสนอ ก็สามารถขับเคลื่อนความคิดในระดับปัจเจกบุคคลไปสู่ความคิดในระดับสังคมได้อีกด้วย กับการเริ่มต้นการรักตัวเอง เป็นสิ่งที่เราทำได้ก่อนจะออกมาสู่สังคมในระดับประเทศ 

นอกจากการจุดประกายประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดจากตัวนางงามในมุมระดับปัจเจก อีกหนึ่งมิติที่เราได้เริ่มเห็นจากตัวนางงามในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา คือ การเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) ในประเด็นต่าง ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง สิทธิ เสรีภาพ เป็นต้น 

สานฝัน ณ ‘ซานดิเอโก’ (San Diego) เมืองทะเลใกล้ LA ที่ต้องไปเยือน!!

อเมริกาเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วย 50 รัฐ ซึ่งหลายรัฐเมื่อเทียบขนาดแล้วก็พอ ๆ กันหรือใหญ่กว่าประเทศไทย ส่วนใหญ่คนไทยรู้จักเพียงไม่กี่รัฐ หนึ่งในนั้นคือแคลิฟอร์เนีย โดยเมืองซึ่งขึ้นชื่อมาก ก็คือ ‘ลอสแอนเจลิส’ แต่แคลิฟอร์เนียมีดีมากกว่านั้น มีเมืองและสถานที่สวยงามน่าสนใจอีกมากมายนับไม่ถ้วน 

เมืองท่องเที่ยวซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งคนอเมริกันด้วยกันเองและคนต่างชาติ คือ เมืองพักร้อนตากอากาศริมทะเลฝั่งแปซิฟิกนาม “ซานดิเอโก” (San Diego) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย อยู่เกือบสุดปลาย ใกล้ชายแดนประเทศเม็กซิโก

เนื่องจากพิกัดอยู่ตอนใต้และติดทะเล ดังนั้นสภาพอากาศจึงค่อนข้างเอื้อต่อการอยู่อาศัยและมาพักผ่อน ไม่ร้อนหรือหนาวจัด ความชื้นฝนฟ้าก็ไม่มากด้วย จึงมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ถือว่าเป็นเมืองที่เหมาะมากสำหรับทั้งคนที่มาเที่ยวคนเดียว เป็นคู่ หรือครอบครัวที่พาลูก ๆ มาด้วย เพราะมีสถานที่และกิจกรรมหลากหลายให้ไปชมและทำกันนั่นเอง

ข้อดีอย่างแรกของซานดิเอโก ก็คือมีสนามบินนานาชาติขนาดกะทัดรัด (พอ ๆ กับสนามบินเชียงใหม่) และตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง การเข้าเมืองจึงง่ายและสะดวกรวดเร็ว มีเที่ยวบินของบางสายการบิน เช่น เจแปนแอร์ไลนส์ บินจากไทยมาลงที่นี่ (เปลี่ยนไฟลต์ที่นาริตะ) เมื่อมาถึงไม่ต้องเสียเวลาเบียดเสียดต่อแถวยาวที่ช่องตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ได้ซักถามมากความเหมือนที่เคยได้ยินกิตติศัพท์เลื่องลือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแห่งสนามบินลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสนามบินขนาดใหญ่กว่ามาก ความเสี่ยงที่จะโดนเจ้าหน้าที่เขาปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศจึงน้อยกว่ามาก ระเบียบของประเทศนี้ก็คือแม้จะมีวีซ่าอยู่ในพาสปอร์ตแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้การันตีว่าจะได้เข้าประเทศ เพราะยังคงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตรวจคนเข้าเมืองเขาล่ะ หรือหากจะเดินทางมาจากลอสแอนเจลิสก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขับรถส่วนตัวกันมาบนทางด่วนใช้เวลาแค่ราว 2-3 ชั่วโมง หรือโดยสารรถบัสรถไฟก็สะดวกมากเช่นกัน คล้ายขับรถจากกรุงเทพไปหัวหินประมาณนั้น

สำหรับที่พักนั้น คนมีสตางค์ก็จองและเข้าพักตามโรงแรมหรือโมเต็ลกันตามสะดวก แต่นักเดินทางแบกเป้ รวมถึงมนุษย์โลโซอาจจะมีทางเลือกน้อยกว่า อเมริกาไม่ได้มีวัฒนธรรมโฮสเทลหรือเกสต์เฮาส์เหมือนประเทศอื่นใดบนโลกใบนี้ ซึ่งแทบทุกประเทศล้วนมีอ็อปชันราคาย่อมเยานี้กันแทบทั้งนั้น ยังดีที่เมืองซานดิเอโกยังพอจะมีโฮสเทลอยู่แห่งสองแห่งให้นักท่องเที่ยวทุนต่ำเลือกพักบ้าง

‘Exercise Malabar’ ปฏิบัติการซ้อมรบ กระตุกหนวดมังกร!!

Exercise Malabar 2021 ระยะที่สองพึ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีการซ้อมรบร่วมของกองทัพเรือสี่ชาติ อันประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 13-15 ตุลาคม สำหรับระยะแรก คือ 25-29 สิงหาคม พ.ศ. 2564 Exercise Malabar 2021 เป็นครั้งที่ 25 นับแต่ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2535 เป็นการซ้อมรบร่วมทางทะเลของชาติพันธมิตรที่ล้วนแล้วแต่มีความเป็นปฏิปักษ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน

Exercise Malabar เป็นการซ้อมรบทางทะเลของกองทัพเรือ สหรัฐอเมริกา อินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ในฐานะหุ้นส่วนถาวรด้านความมั่นคง Exercise Malabar ประจำแต่ละปี ประกอบด้วยการฝึกซ้อมปฏิบัติการทางทหารที่หลากหลาย ตั้งแต่การฝึกซ้อมปฏิบัติการรบจากเรือบรรทุกเครื่องบิน ไปจนถึงปฏิบัติการป้องกันการปิดกั้นทางทะเล สงครามต่อต้านเรือดำน้ำ ปฏิบัติการกู้ภัยใต้น้ำ ปฏิบัติการสะเทินน้ำสะเทินบก ปฏิบัติการต่อต้าน - ปราบปรามโจรสลัด การฝึกลงจอดเฮลิคอปเตอร์บนเรือรบ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการฝึกทำในทะเลฟิลิปปินส์ นอกชายฝั่งของญี่ปุ่น อ่าวเปอร์เซีย ในอ่าวเบงกอล และทะเลอาหรับ

Exercise Malabar เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2535 (ค.ศ. 1992) ตามแนวชายฝั่ง Malabar ของอินเดีย ในตอนนั้นยังเป็นการฝึกซ้อมทวิภาคีระหว่างอินเดียกับสหรัฐอเมริกา ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 มี ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เข้ามาร่วม ญี่ปุ่นกลายเป็นหุ้นส่วนถาวรของการฝึกนี้ในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ออสเตรเลียกลับเข้าร่วมการฝึกอีกครั้งในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โดยจุดมุ่งหมายในการซ้อมรบจะรวมถึงการทำงานร่วมกันที่มากขึ้นระหว่างกองทัพเรือของชาติซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ Exercise Malabar

ห้วงการฝึกของ Exercise Malabar มีตั้งแต่ 1 ถึง 11 วัน ในภาคทะเล ความซับซ้อนของแบบฝึกหัดในการซ้อมรบเพิ่มขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา แบบฝึกหัดมีทั้งบนบก ในทะเล และบนอากาศ การซ้อมรบประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน (USS Nimitz, Kitty Hawk, Ronald Reagan, George Washington, John S. McCain, INS Vikramaditya, Viraat), เรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ (JS Kaga, Izumo, Ise, Hyūga), เรือรบ, เรือดำน้ำ (ดีเซลไฟฟ้าและนิวเคลียร์) เรือพิฆาต เรือขีปนาวุธนำวิถี เรือลาดตระเวน เรือสะเทินน้ำสะเทินบก และเรือสนับสนุนการรบ เช่น เรือบรรทุกน้ำมัน เรือยามชายฝั่ง เครื่องบินที่ร่วม ได้แก่ เครื่องบินปราบเรือดำน้ำ เครื่องบินลำเลียง เครื่องบินรบแบบต่าง ๆ อาทิ P3C Orion, Poseidon P8I, Tupolev Tu-142, Kawasaki P-1, ShinMaywa US-2, F/A 18 Super Hornets, Jaguars, Sea Harrier และเฮลิคอปเตอร์แบบ Sea King ตลอดจนกองกำลังพิเศษของชาติต่าง ๆ ที่เป็นหุ้นส่วนก็เข้าร่วมใน Exercise Malabar ด้วย

Exercise Malabar ครั้งแรกระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกาจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 เป็นการซ้อมรบตามแนวชายฝั่ง Malabar ของอินเดีย นครโคชิน อันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการนาวิกโยธินเขตใต้ของอินเดีย ในระดับพื้นฐานด้วยเรือรบสี่ลำ มีการซ้อมรบอีกสองครั้งก่อนปี พ.ศ. 25441 (ค.ศ. 1998) และฝ่ายอเมริกันก็ระงับการฝึกหลังจากที่อินเดียได้ทำการทดลองอาวุธนิวเคลียร์

Exercise Malabar 1992 การฝึกครั้งแรก โดยกองทัพเรือ 2 ชาติ คือ  อินเดีย สหรัฐอเมริกา บริเวณชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย เรือรบอินเดียที่เข้าร่วมได้แก่ INS Gomati, INS Ranjit ฝ่ายเรือรบอเมริกันที่เข้าร่วม ได้แก่ USS Vandegrift, USS David R. Ray เป็นการซ้อมรบขั้นพื้นฐาน การฝึกซ้อมการค้นหาและกู้ภัย Exercise Malabar 1995 การฝึกครั้งที่สอง ระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกา พื้นที่การฝึกบริเวณอ่าวเปอร์เซีย การฝึกครั้งที่ 3 Exercise Malabar 1996 ระหว่างอินเดียและสหรัฐอเมริกา พื้นที่การฝึกบริเวณชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย และระงับไปอันเนื่องมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่พอใจต่อการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของอินเดีย

ยุทธการกวาดให้เรียบ!! ‘Operation All Clear’ ปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดของ ‘กองทัพภูฏาน’

เรื่องราวที่ดูน่าเหลือเชื่อที่ประเทศเล็ก ๆ ที่ดูสงบสุขอย่าง “ภูฏาน” ซึ่งมีกองทัพขนาดเล็ก มีกำลังพลจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นนาย ได้เปิดยุทธการทางทหารที่ต้องใช้กำลังพลเกือบหมดทั้งกองทัพในการปราบปรามกลุ่มต่อต้านรัฐบาลอินเดียซึ่งมีที่มั่นในดินแดนภูฏาน

สมเด็จพระราชาธิบดี Jigme Khesar Namgyel Wangchuck กับนายทหารระดับสูงของกองทัพภูฏาน

Operation All Clear เป็นปฏิบัติการทางทหารที่ดำเนินการโดยกองกำลังของกองทัพภูฏาน เพื่อต่อสู้กับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนอัสสัมของอินเดียในภาคใต้ของภูฏาน ระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ถึง 3 มกราคม พ.ศ. 2547 ถือเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งแรก ครั้งเดียว และเป็นครั้งใหญ่ที่สุดที่กองทัพภูฏานยุคใหม่ได้ปฏิบัติการ!! 

ด้วยในปี พ.ศ. 2533 กองทัพอินเดียได้เปิดยุทธการ Rhino และ Bajrang เพื่อปราบปรามกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธอัสสัมกลุ่มต่าง ๆ เมื่อเผชิญกับการกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง กลุ่มติดอาวุธอัสสัมหลายกลุ่มก็ได้ย้ายที่มั่นไปเข้ายังดินแดนของภูฏาน

ชาว Lhotshampa ในค่ายผู้อพยพ

ในปี พ.ศ. 2533 กลุ่ม United Liberation Front of Assam (ULFA) และ National Democratic Front of Bodoland (NDFB) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธอัสสัมถูกกล่าวหาว่ามีส่วนช่วยเหลือรัฐบาลภูฏานในการขับไล่ชาว Lhotshampa ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในภูฏาน 

ปัจจุบันเฉพาะมลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกามีผู้อพยพชาว Lhotshampa ราว 20,000 คน

ชาว Lhotshampa เป็นชาวภูฏานเชื้อสายเนปาล มีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของภูฏาน จึงถูกเรียกขานกันว่า ‘ชาวใต้’ ในปี พ.ศ. 2550 ชาว Lhotshampas ซึ่งผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่ได้รับการย้ายถิ่นฐานไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร และประเทศในยุโรปอื่น ๆ ปี พ.ศ. 2564 ปรากฏว่า จำนวนชาว Lhotshampa ในเนปาลนั้นต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ ที่ได้ตั้งถิ่นฐานใหม่อย่างมีนัยสำคัญ ชาว Lhotshampa เริ่มตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของภูฏานในคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ถูกต่อต้านและผลักดันออกจากดินแดนภูฏาน จนปัจจุบันเฉพาะมลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา มีผู้อพยพชาว Lhotshampa มากกว่า 20,000 คน

ในปี พ.ศ. 2539 รัฐบาลภูฏานตระหนักถึงค่ายที่มั่นจำนวนมากบริเวณชายแดนทางใต้ที่ติดกับอินเดีย ค่ายเหล่านี้จัดตั้งขึ้นโดยขบวนการแบ่งแยกดินแดนอัสสัม 4 กลุ่ม ได้แก่ ULFA (United Liberation Front of Asom), NDFB (National Democratic Front of Boroland), BLTF (Bodo Liberation Tigers Force) และ KLO (Kamtapur Liberation Organisation) และยังมีค่ายกบฏแบ่งแยกดินแดนของสภาสังคมนิยมแห่งชาตินาคาแลนด์ (NSCN) และกองกำลังพยัคฆ์ตริปุระทั้งหมด (ATTF) ค่ายต่าง ๆ ถูกจัดตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกอบรมนักรบ และจัดเก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ในขณะที่ป่าทึบในภูมิภาคนี้ทำให้กลุ่มติดอาวุธสามารถลักลอบเข้าสู่ดินแดนของอินเดียเพื่อปฏิบัติการทางทหารได้อย่างง่ายดาย

สมาชิกของกลุ่มกบฏ NDFB

อินเดียจึงได้ใช้ความพยายามกดดันทางการทูตต่อภูฏาน โดยให้การสนับสนุนในการกำจัดองค์กรกบฏกลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นภัยต่ออินเดียให้ออกจากดินแดนของภูฏาน รัฐบาลภูฏานจึงได้เริ่มดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ โดยเปิดการเจรจากับกลุ่มติดอาวุธในปี พ.ศ. 2541 มีการเจรจากับกลุ่มกบฏ ULFA 5 ครั้ง กับกลุ่มกบฏ NDFB อีก 3 ครั้ง แต่กลุ่มกบฏ  KLO เพิกเฉยต่อคำเชิญทั้งหมดที่ส่งมาจากรัฐบาลภูฏาน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2544 กลุ่มกบฏ ULFA ตกลงที่จะปิดค่ายสี่แห่ง อย่างไรก็ตามรัฐบาลภูฏานก็ตระหนักดีว่า ค่ายทั้ง 4 นั้ที่ถูกปิดนั้นพึ่งถูกโยกย้ายถ่ายเทคนและอาวุธยุทโธปกรณ์ออกไป

สมาชิกของกลุ่มกบฏ KLO ในปัจจุบัน (ต้นปี พ.ศ. 2564)

นอกจากนี้กลุ่มกบฏ KLO ยังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มเหมาของเนปาลกับกองกำลังพยัคฆ์ภูฏาน ซึ่งเป็นองค์กรติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลภูฏาน สิ่งนี้ช่วยเสริมเหตุผลให้กับรัฐบาลภูฏานในการเริ่มปฏิบัติการทางทหาร

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 สมาชิกรัฐสภาภูฏานได้เสนอให้เพิ่มจำนวนกองทหารอาสาสมัครของกองทัพภูฏาน โดยแนะนำการฝึกทหารอาสาสมัครแบบสวิสสำหรับพลเมืองทุกคนที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 50 ปี แต่ถูก ‘จิ๊กมี ทินลีย์’ รัฐมนตรีต่างประเทศ และนาย ‘พลโท บาตู เชอริง’ ผู้บัญชาการกองทัพปฏิเสธ 

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2546 กลุ่มติดอาวุธมากกว่า 15 คน ได้เข้าโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏ ULFA ในเมืองคินโซ ส่งผลให้สมาชิกของกลุ่มกบฏ ULFA เสียชีวิต 2 คน ผู้โจมตีหลบหนีไปหลังจากที่กองกำลังของกลุ่มกบฏ ULFA ยิงตอบโต้กลับ วันรุ่งขึ้นกลุ่มติดอาวุธราว 10 ถึง 12 คน โจมตีสมาชิกของกลุ่มกบฏ ULFA ที่อาศัยอยู่ในบ้านร้างในเมืองบาบัง กลุ่มติดอาวุธ 4 คน และนักรบของกลุ่มกบฏ ULFA หนึ่งนายเสียชีวิตระหว่างการปะทะ โฆษกหญิงของกลุ่มกบฏ ULFA กล่าวว่า การโจมตีมาจากทหารรับจ้างและนักรบของกลุ่ม SULFA ที่ได้รับการว่าจ้างจากรัฐบาลอินเดีย เจ้าหน้าที่อินเดียอ้างว่าการปะทะดังกล่าวเป็นเรื่องของความขัดแย้งระหว่างกลุ่มกบฏด้วยกันเอง

ปฏิบัติการทางทหารใน ภูฏาน อินเดีย และเมียนมาร์ ในห้วงเวลาดังกล่าว

ในช่วงปี พ.ศ. 2546 ภูฏานได้จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาใหม่ วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2546 กองทหารอาสาสมัครภูฏานประกอบด้วยอาสาสมัคร 634 นาย ถูกส่งไปประจำการยังภาคใต้ของประเทศ หลังจากผ่านการฝึกฝนอบรมเป็นระยะเวลา 2 เดือน กองทหารอาสาสมัครของภูฏานมีบทบาทสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารในช่วงความขัดแย้งในปี 2546 นั่นเอง หลังจากการเจรจาล้มเหลวไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่สำคัญใด ๆ วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 การแทรกแซงทางทหารได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา และวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2546 รัฐบาลภูฏานได้ยื่นคำขาดแก่กลุ่มกบฏออกจากดินแดนภูฏานภายในเวลาสองวัน วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2546 หลังจากคำขาดสิ้นสุดลง จึงเกิด Operation All Clear ซึ่งเป็นปฏิบัติการทางทหารครั้งแรกของกองทัพภูฏานยุคใหม่

วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2546 ตามคำให้การของผู้บัญชาการของกลุ่มกบฏ ULFA นายทหารระดับสูงแห่งกองทัพภูฏานได้ไปเยือนค่ายที่มั่นของกลุ่มกบฏ ULFA โดยอ้างว่า กษัตริย์ของภูฏานกำลังวางแผนที่จะเสด็จเยือนอย่างเป็นมิตรในวันรุ่งขึ้น แต่ปฏิบัติการที่ตามมาก็สร้างความประหลาดใจให้กับกลุ่มติดอาวุธโดยสิ้นเชิง

สมาชิกของกลุ่มกบฏ ULFA
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top