ประชากรกว่าเจ็ดพันล้านคนบนโลกใบนี้ ส่วนใหญ่แล้วไม่รู้ว่า ชะตากรรมของโลกขึ้นอยู่กับกระเป๋าเพียงสองใบ ใบแรกคือ “Football” อีกใบคือ “Cheget” ครั้งนี้จึงขอเล่าเรื่องราวของกระเป๋ามหาประลัยที่กุมชะตาชีวิตของชาวโลกทั้งสองใบนี้!!
“Football” (Nuclear Football) เป็นชื่อเรียก กระเป๋าฉุกเฉินติดตั้งปุ่มสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นกระเป๋าเอกสารซึ่งจะใช้โดยประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา เพื่ออนุญาตให้มีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ในขณะที่อยู่ห่างจากศูนย์บัญชาการคงที่ เช่น ทำเนียบขาว ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านอุปกรณ์เคลื่อนที่ในระบบการป้องกันทางยุทธศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำพาและรักษาโดยนายทหารคนสนิทประจำตัวประธานาธิบดีฯ
จากข้อมูลของเว็บไซต์ businessinsider.com ได้อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ Bill Gulley เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวที่เคยผ่านงานอารักขาและการรักษาความปลอดภัยในทำเนียบขาว ซึ่งเปิดเผยว่า กระเป๋าสีดำที่ทั่วโลกเฝ้าสงสัยใบนี้คือสิ่งสำคัญที่ส่งมอบให้ประธานาธิบดีคนแล้วคนเล่าเพื่อใช้มันในภาวะฉุกเฉินและประกอบด้วยของสำคัญ 4 อย่างคือ
1.) หนังสือปกสีดำจำนวน 75 หน้า ซึ่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับนิวเคลียร์ และเงื่อนไขสำหรับการตอบโต้ในกรณีฉุกเฉิน โดยรายละเอียดจะถูกพิมพ์ด้วยหมึกสีดำและแดง
2.) หนังสือสีดำอีกหนึ่งเล่มที่รวบรวมรายชื่อสถานที่หลบภัยที่มีการป้องกันระดับสูงสุดซึ่งเข้าได้เฉพาะประธานาธิบดีสหรัฐฯ เท่านั้น
3. เอกสารจำนวน 10 หน้า ที่อธิบายเกี่ยวกับการวางตัวของประธานาธิบดีเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมทั้งสิ่งที่ควรสื่อสารเมื่อทำการถ่ายทอดสดแบบฉุกเฉินด้วยตัวเอง
4. การ์ดสำหรับเข้าถึงข้อมูลรหัสระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง (‘Biscuit’ การ์ดพลาสติกขนาด 3 คูณ 5 นิ้ว ซึ่งมีรหัสลับเพื่อยืนยันตัวตนประธานาธิบดี)
นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าอีกแบบหนึ่งที่มีเสาอากาศยื่นออกมา ซึ่งมีคำกล่าวอ้างว่า กระเป๋าใบนั้นมีอุปกรณ์สื่อสารระดับสูงติดอยู่ และภายในมีคำสั่งยิงนิวเคลียร์ติดอยู่ด้วย และเพื่อความปลอดภัยสูงสุด กระเป๋าใบนี้จึงไม่ได้ถูกถืออยู่ในมือของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยตรง แต่จะมีนายทหารติดตามรับหน้าที่ดูแลกระเป๋าใบนั้นแทน และคนที่จะมารับตำแหน่งนี้ได้ ก็ต้องผ่านฝึกงานด้านอารักขามาโดยเฉพาะ และต้องมีทักษะพิเศษที่สามารถดำเนินการยิงนิวเคลียร์ภายใต้คำสั่งของประธานาธิบดีภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
Football มาจากรหัสปฏิบัติการสงครามนิวเคลียร์ ‘Operation Dropkick’ เพราะการ Dropkick ต้องใช้ Football เป็นอาวุธ กระเป๋าหนังใบนี้จะอยู่กับทหารองครักษ์ของประธานาธิบดี ซึ่งต้องเดินเป็นเงาตามตัวตลอดเวลาเมื่อออกนอกสถานที่ ทั้งในเครื่องบินประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Air Force One, เฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่งประธานาธิบดี Marine One และการเดินทางด้วยพาหนะอื่น ๆ โดยนายทหารติดตามนี้จะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามกำหนดครบถ้วน
Nuclear Football เริ่มมีใช้ตั้งแต่สมัย ประธานาธิบดี John F. Kennedy ในช่วงวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา Football รุ่นปัจจุบันเป็นกระเป๋าโลหะ Zero-Halliburton หนัก 20 กิโลกรัม หุ้มด้วยหนังสีดำ กระเป๋านี้เปลี่ยนมาหลายใบแล้ว Nuclear Football ที่ปลดระวางแล้วจะนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ Smithsonian’s National Museum of American History ในวอชิงตัน เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นถึงอำนาจและความรับผิดชอบของประธานาธิบดี
ประธานาธิบดี George W. Bush และ Donald H. Rumsfeld รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในขณะนั้นเดินออกศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (National Military Command Center) ณ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อ 23 มีนาคม พ.ศ. 2546
มีข้อมูลระบุอีกว่า จริง ๆ แล้ว Nuclear Football มีทั้งหมดสามใบ หนึ่งอยู่ที่ประธานาธิบดี ใบที่สองอยู่กับรองประธานาธิบดี และสามอยู่ที่ทำเนียบขาว เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เมื่อมีเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้มาตรการตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดจะออกคำสั่งและส่งรหัสบนการ์ด Biscuit ไปยังศูนย์บัญชาการทหารแห่งชาติ (National Military Command Center) ณ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (อาคาร Pentagon) โดยมีหน้าที่เฝ้าระวังภัยคุกคามนิวเคลียร์จากทั่วโลก
จากนั้นรหัสนี้จะส่งไปยังกระทรวงกลาโหม (สามารถทำการตัดสินใจแทนได้ในกรณีที่ประธานาธิบดีถูกลอบสังหาร) ตามด้วยศูนย์บัญชาการฐานทัพอากาศในมลรัฐ Nebraska และตามกฎ Two-man rule ของสหรัฐฯ ผู้ดำเนินการยิงขีปนาวุธต้องยืนยันรหัสว่า รหัสที่ประธานาธิบดีส่งมาตรงกับรหัสที่เก็บรักษาไว้ โดยการยิงขีปนาวุธนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถสั่งให้ยิงไปยังเป้าหมายศัตรูทั้งหมด หรือเลือกยิงเป็นบางเมืองได้ เช่น กรุงเปียงยาง กรุงปักกิ่ง และกรุงมอสโคว์
เหล่าบรรดานายทหารที่ทำหน้าที่ถือกระเป๋า ล้วนแต่ถูกฝึกมาให้สามารถเปิดคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ได้ภายในระยะเวลา 2-3 นาทีเท่านั้น!!! Robert Patterson อดีตนายทหารระดับสูงที่เคยถือกระเป๋าฟุตบอลให้กับประธานาธิบดี Bill Clinton ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Associated Press ว่า “คุณจะเหมือนว่ามีความกังวลอยู่ตลอด บางครั้งผมก็เปิดมันขึ้นมาเพื่อดูว่ามันมีอะไรอยู่ภายใน เพื่อความแน่ใจ และเป็นการ Refresh ตัวเองเท่านั้น ที่สำคัญราวกับเป็นการเตรียมตัวและฝึกซ้อม เมื่อถึงสถานการณ์ฉุกเฉินที่ท่านประธานาธิบดีต้องตัดสินใจบางเรื่องสำคัญ คุณสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ” เพราะฉะนั้นกระเป๋าฟุตบอลนี้จะอยู่ติดตัวกับท่านประธานาธิบดีตลอด บนเครื่องบินลำเดียวกัน รถคันเดียวกัน และพออยู่ในทำเนียบขาว ก็จะอยู่ในตู้ลับปลอดภัยที่เก็บล็อกเอาไว้อย่างแน่นหนา!!! ตามคำบอกเล่าของ Patterson เขาเคยต้องถือกระเป๋านี้วิ่งไปรอบ ๆ ทำเนียบขาว เพราะประธานาธิบดี Clinton มักจะวิ่งออกกำลังกายรอบ ๆ ทำเนียบขาว เป็นภาพที่ทุลักทุเลพอสมควรเลยทีเดียว
ด้วยประธานาธิบดีสหรัฐฯ จำเป็นและต้องการอำนาจการสั่งยิงหัวรบอย่างรวดเร็ว และได้ยกเรื่องนี้ขึ้นในที่ประชุมของประเทศ กระเป๋าใบนี้ จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงแสนยานุภาพทางการทหาร และหัวรบนิวเคลียร์ ที่ติดตามประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจากรุ่นสู่รุ่นไปในทุก ๆ ที่ คนทั่วไปก็คงจะนึกว่าเป็นกระเป๋าเอกสาร หรือของใช้อะไรพวกนั้น ไม่คิดเลยว่า กระเป๋าใบนี้จะสำคัญขนาดนี้ ประมาทสิ่งของเล็ก ๆ ไม่ได้จริง ๆ ถึงจะเป็นของประจำตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะติดตามตัวไปในทุกที่ เพราะอย่างน้อยเมื่อเดินทางกลับบ้าน กระเป๋าใบนี้จะยังคงถูกเก็บไว้ในทำเนียบขาว และถูกคุ้มกันเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ ไม่เคยมีใครเปิดเผยว่า กระเป๋าใบนี้ถูกเก็บเอาไว้ที่ไหน?
Cheget (ชีเกท) หรือกระเป๋าใส่รหัสยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตัวประธานาธิบดีรัสเซีย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 25 มกราคม ปี พ.ศ. 2538 เจ้าหน้าที่เรดาร์ของรัสเซียที่ Olenegorsk กับงานอันน่าเบื่อในการนั่งจ้องมองกับจอเรดาร์ทั้งวันทั้งคืน แต่ทว่าวันนี้แตกต่างจากวันอื่น ๆ ที่ผ่านมา เพราะสัญญาณเตือนบางอย่างแสดงขึ้นมาให้เห็นบนจอเรดาร์ว่า มีการตรวจพบวัตถุบางอย่างกำลังเคลื่อนที่เข้ามาด้วยความเร็วสูงในทะเล Barents และมันกำลังมุ่งหน้าตรงดิ่งเข้ามาทางภาคเหนือของรัสเซีย
เมื่อพบสัญญาแจ้งการมาของวัตถุบางอย่างบนจอเรดาร์ เจ้าหน้าที่เรดาร์ของรัสเซียที่เข้าเวรอยู่ในเวลานั้น ทำการวิเคราะห์ถึงลักษณะของวัตถุและที่มาของมัน ใช้เวลาไม่นานนัก พวกเขาก็ทราบว่า วัตถุลึกลับนั้นมันคือ Missile ไม่ทราบประเภทและขนาดของมัน ข้อสันนิษฐานแรกในวินาทีนั้นของรัสเซีย พวกเขาเชื่อว่า เจ้า Missile นี้มันน่าจะถูกยิงมาจากเรือดำน้ำของกองทัพเรืออเมริกัน ที่มักจะเข้ามาลาดตระเวนในบริเวณนั้นเป็นประจำ เพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของกองเรือรบรัสเซีย และจากระยะทางที่มันถูกยิงออกมา มันจะเข้าถึงแผ่นดินใหญ่ของรัสเซียได้ภายในเวลา 10 นาที
ประธานาธิบดี Boris Yeltsin กับ ประธานาธิบดี Putin
ข่าวการตรวจพบ Missile นี้ ถูกแจ้งไปยังกองบัญชาการกองทัพรัสเซียในกรุงมอสโกทันทีว่า รัสเซียกำลังถูกโจมตีจาก Missile ที่ถูกยิงออกมาจากเรือดำน้ำของอเมริกัน ข้อมูลทั้งหมดถูกรีบแจ้งไปยังประธานาธิบดี Boris Yeltsin (ประธานาธิบดีรัสเซียในขณะนั้น) ว่า พวกเขามีเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น ที่ต้องรีบในการตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวิกฤตินี้ 5 นาทีผ่านไป มีคำสั่งไปยังกองทัพเรือรัสเซีย ให้เรือดำน้ำรัสเซียทุกลำ รวมทั้งเรือดำน้ำที่ติดขีปนาวุธนิวเคลียร์ ที่ลอยลำอยู่ในน่านน้ำใกล้ ๆ กับแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ให้เริ่มดำเนินการเตรียมยิงขีปนาวุธ และรอคำสั่งยิง เพื่อทำการโต้ตอบต่อแผ่นดินสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเน้นย้ำไปยังเรือทุกลำว่า “นี่ไม่ใช่การซ้อมรบ” 4 นาทีผ่านไป ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซีย ทุกเหล่าทัพรอฟังคำสั่งยิงจากประธานาธิบดี Yeltsin โดยมีการนำ Cheget หรือกระเป๋าใส่รหัสยิงอาวุธนิวเคลียร์ประจำตัวประธานาธิบดีรัสเซียมาเตรียมไว้ให้
ขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำของรัสเซีย
เรือดำน้ำบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ดำเนินขั้นตอนการยิงจรวดพร้อมแล้ว เหลือแค่รอคำสั่งยิงเท่านั้น ความตึงเครียดก่อตัวไปทั่วห้องบัญชาการที่มอสโก นายทหารและเจ้าหน้าที่ทุกคน จับจ้องมาที่ตัวของประธานาธิบดี Yeltsin เพราะเขาคือผู้เดียวเท่านั้นในรัสเซียที่จะออกคำสั่งยิงได้ แต่ประธานาธิบดี Yeltsin เลือกที่จะยังไม่ออกคำสั่งใด ๆ เขากลับรอเวลาเพื่อดูท่าทีอีกครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงเร่งเร้าและเตือนของบรรดานายทหาร แต่หลังจาก 9 นาทีผ่านไป Missile ลึกลับนั้นก็ได้หายไปจากจอเรดาร์ สัญญาณสุดท้ายที่ตรวจพบ Missile ลูกนี้ คือบริเวณเหนือท้องทะเล
กองทัพรัสเซียรีบทำการตรวจสอบเมืองทุกเมืองในรัสเซีย หรือแม้กระทั่งหมู่บ้านที่ห่างไกลในทุก ๆ มุมของรัสเซีย ตั้งแต่ไครเมีย จนถึง ไซบีเรีย ว่ามีสถานที่แห่งใดในรัสเซียบ้างที่เสียหายจากการโจมตี หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีรายงานกลับมาว่า “ไม่มีเมือง หรือ พื้นที่ใด ๆ ในรัสเซีย เสียหายจากการโจมตีแต่อย่างใด” Missile ลูกนั้นมันมาไม่ถึงแผ่นดินรัสเซีย ทุกคนในห้องต่างโล่งอก เมื่อแน่ชัดว่า Missile นั้นหายไปแล้วประธานาธิบดี Yeltsin จึงออกคำสั่งไปยังกองทัพรัสเซีย ให้ยกเลิกคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ และกองกำลังที่เตรียมพร้อมอยู่นั้น ให้ลดระดับการเตรียมพร้อมรบลงมาในระดับปกติ
Black Brant XII จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศ
หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงต่อมา ทางการรัสเซียจึงได้ทราบข้อเท็จจริงว่า แท้จริงแล้ว Missile ลึกลับนั้นคือ Black Brant XII จรวดสำรวจชั้นบรรยากาศของทีมนักวิทยาศาสตร์นอร์เวย์และอเมริกัน เพื่อศึกษาปรากฏการณ์ การเกิดแสงออโรร่า (Aurora) ในชั้นบรรยากาศโลก เหตุการณ์ที่เกือบนำพาโลกเข้าสู่สงครามนิวเคลียร์นี้ ได้ทำให้ประธานาธิบดีของอเมริกาและรัสเซีย ต้องหันมาวางมาตรการการป้องกันการเกิดเรื่องเข้าใจผิด ที่เกือบจะเลยเถิดจนกลายเป็นสงครามในครั้งนี้