Tuesday, 1 July 2025
LITE TEAM

‘วันฉัตรมงคล’ ตรงกับวันที่ 4 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อรำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของ ‘ในหลวง ร.10’ แห่งราชวงศ์จักรีและราชอาณาจักรไทย

วันที่ 4 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันฉัตรมงคล ซึ่งเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองราชสมบัติอย่างเป็นทางการ โดยมีพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. 2562 ถือเป็นวันสำคัญแห่งราชประเพณีที่เปี่ยมไปด้วยความหมายและความศักดิ์สิทธิ์

ในวันนี้จะมีพิธีถวายพระพรชัยมงคลทั่วประเทศ เพื่อแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นหลักชัยของแผ่นดิน พิธีการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความสง่างามตามขนบธรรมเนียมราชสำนัก

พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นไปตามโบราณราชประเพณีอันยิ่งใหญ่ ทั้งทางพุทธศาสนาและพราหมณ์ เพื่อแสดงถึงพระราชอำนาจและพระราชฐานะอย่างสมบูรณ์ในฐานะพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย

วันฉัตรมงคลจึงถือเป็นโอกาสสำคัญให้ประชาชนได้ร่วมกันรำลึกถึงพระราชพิธีอันทรงเกียรติ และแสดงความสามัคคีของชาติผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การทำบุญตักบาตร การประดับธงชาติและธงพระราชสัญลักษณ์ตามอาคารบ้านเรือน

ทั้งนี้ วันฉัตรมงคลยังเป็นการย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนไทย ซึ่งดำรงอยู่อย่างมั่นคงและเปี่ยมด้วยความเคารพตลอดมา

3 พฤษภาคม พ.ศ. 2536 วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก เพื่อย้ำบทบาทของสื่อในฐานะรากฐานประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลของประชาชน

วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันที่องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นเพื่อตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นรากฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตย วันนี้เป็นโอกาสให้ทั่วโลกได้ร่วมกันรำลึกถึงหลักการพื้นฐานของเสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูล และบทบาทอันสำคัญยิ่งของสื่อมวลชนในการนำเสนอข่าวสารที่เป็นจริงและรอบด้านแก่ประชาชน

วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2536 (ค.ศ. 1993) โดยสมัชชาใหญ่แห่งองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้ประกาศให้วันที่ 3 พฤษภาคมเป็นวันสำคัญดังกล่าว ตามข้อเสนอแนะที่ได้รับการรับรองในการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 26 ในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) ซึ่งเป็นผลมาจากการเรียกร้องของนักข่าวชาวแอฟริกันในการประชุมที่เมืองวินด์ฮุก ประเทศนามิเบีย ในปีเดียวกัน

วัตถุประสงค์หลักของการกำหนดวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกคือการเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปกป้องสื่อมวลชนจากการถูกคุกคาม ไม่ว่าจะเป็นการข่มขู่ การใช้ความรุนแรง การจับกุม หรือการเซ็นเซอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้รัฐบาลและสังคมตระหนักถึงหน้าที่ในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานของสื่อมวลชนอย่างอิสระและปลอดภัย เพื่อให้สื่อสามารถปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบอำนาจ เปิดโปงการทุจริต และเป็นกระบอกเสียงให้กับผู้ที่ไม่มีเสียงได้อย่างเต็มที่ วันนี้ยังเป็นโอกาสในการประเมินสถานการณ์เสรีภาพสื่อมวลชนทั่วโลก และให้การสนับสนุนสื่อที่ตกเป็นเป้าของการจำกัดเสรีภาพ รวมถึงเป็นการรำลึกถึงนักข่าวที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่

ความสำคัญของเสรีภาพสื่อมวลชนนั้นมิได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในแวดวงสื่อเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทุกคน สื่อมวลชนที่เสรีและเป็นอิสระมีบทบาทในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและหลากหลายแก่ประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ทั้งในระดับส่วนตัวและระดับสังคม นอกจากนี้ สื่อยังเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและการถกเถียงในประเด็นสาธารณะ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย เสรีภาพสื่อจึงเป็นรากฐานสำคัญของการมีสังคมที่เปิดกว้างและตรวจสอบได้

ในปัจจุบัน สื่อมวลชนทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมาย ทั้งจากการแทรกแซงทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง (Disinformation) และความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน การเฉลิมฉลองวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลกจึงเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสนับสนุนและปกป้องเสรีภาพของสื่อ เพื่อให้สื่อสามารถทำหน้าที่ในการนำเสนอความจริงและเป็นปากเสียงให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืน ยูเนสโกยังได้มอบรางวัลเสรีภาพสื่อโลกยูเนสโก/กีลเลร์โม กาโน (UNESCO/Guillermo Cano World Press Freedom Prize) เป็นประจำทุกปี เพื่อยกย่องบุคคล องค์กร หรือสถาบันที่มีผลงานโดดเด่นในการปกป้องและส่งเสริมเสรีภาพสื่อมวลชน

2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 ครบรอบ 9 ปี แชมป์ประวัติศาสตร์ ‘เลสเตอร์ ซิตี้’ จากทีมรองบ่อนสู่ถ้วยพรีเมียร์ลีก และการตกชั้นล่าสุดที่สะเทือนใจแฟนบอล

ในค่ำคืนประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 สโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ได้รับการประกาศให้เป็น แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2015–16 อย่างเป็นทางการ หลังจากผลการแข่งขันระหว่าง เชลซี กับ ทอตนัม ฮอตสเปอร์ จบลงด้วยผลเสมอ 2-2 ที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์

แม้เลสเตอร์จะไม่ได้ลงสนามในวันนั้น แต่ผลเสมอดังกล่าวทำให้คะแนนของทอตนัม ฮอตสเปอร์ ซึ่งเป็นคู่แข่งลุ้นแชมป์อันดับสองในขณะนั้น ไม่สามารถไล่ตามเลสเตอร์ทัน ในช่วงสองนัดสุดท้ายของฤดูกาล ส่งผลให้ 'จิ้งจอกสยาม' คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1884

ชัยชนะในฤดูกาลนี้ถือเป็นหนึ่งใน เรื่องราวปาฏิหาริย์ของวงการกีฬา เพราะก่อนเปิดฤดูกาล เลสเตอร์ถูกมองว่าอาจต้องหนีตกชั้น และมีอัตราต่อรองแชมป์อยู่ที่ 5,000 ต่อ 1 จากบ่อนรับพนันในอังกฤษ แต่ภายใต้การคุมทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี และการเล่นอย่างยอดเยี่ยมของนักเตะอย่าง เจมี วาร์ดี, ริยาด มาห์เรซ และ เอ็นโกโล ก็องเต ทีมสามารถสร้างปรากฏการณ์ 'เทพนิยายเลสเตอร์' ได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาล 2024–25 เลสเตอร์ ซิตี้ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อพวกเขาตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากพ่ายแพ้ให้กับทีมแชมป์อย่างลิเวอร์พูล 0-1 เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นับเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในรอบสามฤดูกาลของสโมสร โดยก่อนหน้านี้ในฤดูกาล 2022–23 เลสเตอร์จบอันดับที่ 18 ของตารางและต้องตกชั้นลงสู่แชมเปียนชิป

การตกชั้นล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาภายในสโมสร ทั้งในด้านการบริหารและผลงานในสนาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมและความพยายามในการปรับปรุงทีม แต่เลสเตอร์ก็ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นที่ดีพอที่จะอยู่รอดในพรีเมียร์ลีกได้ ซึ่งการตกชั้นนี้ทำให้สโมสรต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับโครงสร้างทีมและวางแผนเพื่อกลับคืนสู่ลีกสูงสุดอีกครั้งในอนาคต

เรื่องราวของเลสเตอร์ ซิตี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในวงการฟุตบอล ที่ความสำเร็จในอดีตไม่ได้รับประกันความสำเร็จในอนาคต และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสำเร็จอย่างยั่งยืน​

1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนธรรมเนียมในราชสำนัก จากการหมอบกราบบนพื้น เป็นนั่งเก้าอี้ทำงานตามแบบตะวันตก

ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2423 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงมีพระราชดำริให้เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการทำงานภายในราชสำนัก โดยเฉพาะในระบบราชการหรือ 'ออฟฟิศ' จากธรรมเนียมไทยแบบเดิมที่ต้องนั่งพับเพียบหรือหมอบกราบบนพื้น มาเป็นการ 'ยืน' และ 'นั่งเก้าอี้' ตามแบบอย่างของชาวตะวันตก ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมของประเทศที่เจริญแล้วในยุคนั้น

ในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่ม 3 ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมกรุงรัตนโกสินทร์ โดยกรมศิลปากร ได้เล่าว่า “เมื่อราชสำนักเลิกหมอบเฝ้าและใช้เก้าอี้ในระยะแรกๆ คนไทยยังคงนั่งเก้าอี้ไม่เป็น ผู้หญิงขึ้นไปนั่งพับเพียบ ส่วนชายนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ จนรัชกาลที่ 5 ต้องมีพระราชโองการแนะนำวิธีการนั่งเก้าอี้ โดยใช้วิธีหย่อนก้นเท่านั้นลงบนเก้าอี้ ส่วนขาให้ห้อยลงไป”​

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงพยายามปรับปรุงระเบียบแบบแผนของราชการไทยให้ทันสมัย และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศที่เจริญและมีความเสมอภาคระหว่างผู้ปฏิบัติราชการ ซึ่งเป็นรากฐานหนึ่งของการปฏิรูประบบราชการไทยในยุคใหม่

นอกจากนี้ ยังนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการปรับตัวของสังคมไทยเข้าสู่ระบบบริหารจัดการแบบตะวันตก อันมีอิทธิพลต่อโครงสร้างราชการ ระบบกฎหมาย และวัฒนธรรมองค์กรของไทยในเวลาต่อมา

๑ พฤษภาคม วันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส ทรงพระเจริญ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ในเย็นวันนั้น พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ ห้อง ว.ป.ร. พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรสกับ พลเอก หญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา พระยศในขณะนั้น พร้อมทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา พลเอก หญิง สุทิดา วชิราลงกรณ์ ณ อยุธยา เป็น สมเด็จพระราชินีสุทิดา พระอัครมเหสี ทรงดำรงตำแหน่งพระอิสริยยศ ฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์

ในครั้งนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระยศในขณะนั้น ทรงลงพระนามาภิไธยในฐานะทรงเป็นสักขีพยาน และพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ลงนามในสมุดจดทะเบียนราชาภิเษกสมรส ในฐานะสักขีพยาน ในวาระศุภมงคลนี้ด้วย

ต่อมาในวันที่ ๔ พฤษภาคม ปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ตามพระราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระราชินีสุทิดา ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี ตามราชประเพณีสืบมา

ตลอดระยะเวลาแห่งการครองคู่เป็นพระมิ่งขวัญแห่งแผ่นดิน ทั้งสองพระองค์ทรงตั้งมั่นพระราชปณิธานที่จะ 'สืบสาน รักษา ต่อยอด' แนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อทรงแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระคู่ขวัญคู่พระบารมี เสริมพลังรักแห่งแผ่นดินให้มีความร่มเย็น ทรงถักทอร้อยรักแผ่นดินไทยให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังรักที่มีต่อปวงพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า ผ่านโครงการในพระราชดำริ และพระราชกรณียกิจต่างๆ นานัปการ ดังเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นความรักที่หาที่สุดมิได้

เนื่องในโอกาสมหามงคลวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกสมรส วันที่ ๑ พฤษภาคมได้เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยมงคล ขอทั้งสองพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ พระชนมายุยิ่งยืนนาน พระบารมีแผ่ไพศาลเป็นร่มโพธิ์ทองฉัตรแก้ว ปกเกล้าปกกระหม่อมปวงพสกนิกรชาวไทยตราบจิรัฐิติกาล

28 เมษายน พ.ศ. 2493 ‘วันพระราชพิธีสมรส’ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ แบบอย่างแห่งความรักและความผูกพัน วันประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จักรีไทย

ในวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ วังสระปทุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จักรีและประเทศไทย

พระราชพิธีครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชนในประเทศอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองการรวมกันของสองพระองค์ที่ถือเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงและความสุขให้แก่ประเทศชาติ โดยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ได้รับการยกย่องเป็นพระราชินีนาถและทรงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทั้งสองพระองค์ทรงถือเป็นแบบอย่างของความรักชาติและความทุ่มเทในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทย การพระราชพิธีสมรสในครั้งนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความผูกพันระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี

เหตุการณ์ดังกล่าวมีความสำคัญไม่เพียงแต่ในด้านการเมืองและการปกครองเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของการปกครองและสังคมไทยที่ยาวนานและมั่นคง

27 เมษายน พ.ศ. 2382 รัชกาลที่ 3 กับการ ‘ห้ามค้าฝิ่น’ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประกาศประวัติศาสตร์ที่วางรากฐานนโยบายควบคุมยาเสพติด

เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ทรงมีพระบรมราชโองการให้พิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่นและค้าฝิ่นในพระราชอาณาจักร ถือเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมสารเสพติดในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งในขณะนั้นการใช้ฝิ่นเริ่มแพร่หลายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน รวมถึงความมั่นคงของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม

ประกาศดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อขจัดภัยจากฝิ่นที่เริ่มทำลายรากฐานของครอบครัวและสังคม โดยเนื้อหาในประกาศระบุชัดถึงโทษของผู้กระทำผิด ทั้งในด้านการครอบครอง ค้า หรือเสพฝิ่น โดยให้ลงโทษตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อลดจำนวนผู้เสพและยับยั้งการแพร่ระบาดของฝิ่นในราชอาณาจักร

การประกาศห้ามสูบและค้าฝิ่นครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความห่วงใยของรัชกาลที่ 3 ต่อสุขภาพประชาชนและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง นับเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่สำคัญในด้านสาธารณสุขและการบริหารราชการแผ่นดินในยุคต้นของประเทศไทย

นอกจากนี้ ประกาศดังกล่าวยังสะท้อนถึงการปรับตัวของสยามต่อสถานการณ์โลกในยุคนั้น โดยเฉพาะจากผลกระทบของสงครามฝิ่นในจีน ที่แสดงให้เห็นถึงภัยร้ายแรงของฝิ่นต่อสังคมและประเทศชาติ ซึ่งไทยได้เรียนรู้และเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันภายในประเทศ

26 เมษายน พ.ศ. 2431 จุดเริ่มต้นแห่งสาธารณสุขไทย รัชกาลที่ 5 ทรงเปิด ‘ศิริราช’ โรงพยาบาลแห่งแรกของชาติ เพื่อดูแลประชาชนทุกชนชั้น

เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลศิริราชอย่างเป็นทางการ นับเป็นโรงพยาบาลแห่งแรกของประเทศไทย ที่จัดตั้งขึ้นด้วยพระราชดำริเพื่อให้บริการรักษาพยาบาลแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณและวิสัยทัศน์อันก้าวไกลในด้านสาธารณสุขของพระองค์

โรงพยาบาลศิริราชก่อตั้งขึ้นบนพื้นที่ฝั่งธนบุรี ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยได้รับการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาสถานพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชโอรสที่สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคบิดในวัยเยาว์

การเปิดโรงพยาบาลศิริราชถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยอย่างมีระบบและยั่งยืน ต่อมาโรงพยาบาลแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานศึกษาของแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ เป็นที่ตั้งของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

ตลอดเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลศิริราชมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพประชาชนไทย ทั้งในด้านการรักษา การวิจัย และการพัฒนาวิชาชีพทางการแพทย์ พร้อมยึดมั่นในอุดมการณ์การให้บริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ สมดังพระราชปณิธานของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงวางรากฐานไว้ตั้งแต่วันแรกแห่งการก่อตั้ง

25 เมษายน พ.ศ. 2148 ครบรอบปีที่ 420 วันสวรรคต ‘สมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ รำลึกพระมหากษัตริย์ผู้ปลุกสำนึกรักชาติให้คนไทยชั่วนิรันดร์

วันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2148 เป็นวันสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นวันที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมพรรษา 50 พรรษา ขณะนั้นพระองค์ทรงยกทัพไปยังเมืองหาง เพื่อจะตีเมืองอังวะของพม่า และสวรรคตระหว่างการตั้งทัพอยู่ที่เมืองสวางคบุรี (เมืองสองแควในจังหวัดพิษณุโลกปัจจุบัน)

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกอบกู้เอกราชของชาติไทยจากพม่า โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญคือ ยุทธหัตถี ที่ทรงกระทำกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและอิสรภาพของไทย

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของผู้นำที่กล้าหาญ เสียสละ และทรงอุทิศพระวรกายเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ภายใต้การปกครองของพระองค์ ประเทศชาติมีความมั่นคง แข็งแกร่ง และได้รับการฟื้นฟูจากภัยสงคราม จนสามารถยืนหยัดเป็นอิสระได้อีกครั้ง

ปัจจุบัน วันที่ 25 เมษายนของทุกปี ได้รับการน้อมรำลึกในฐานะ วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการจัดกิจกรรมวางพวงมาลา พิธีถวายราชสักการะ และจัดงานทางประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ และปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

24 เมษายน พ.ศ.2532 36 ปี ‘วันเทศบาล’ จุดเริ่มต้นแห่งการกระจายอำนาจ ที่กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของประชาธิปไตยไทย

วันที่ 24 เมษายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น 'วันเทศบาล' โดยกระทรวงมหาดไทย เพื่อรำลึกถึงการถือกำเนิดของเทศบาลในประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2476 หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ภายใต้การนำของพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อกระจายอำนาจการปกครองจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารพื้นที่ของตนเองอย่างแท้จริง

ต่อมา กระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 กำหนดให้วันที่ 24 เมษายน ของทุกปีเป็น 'วันเทศบาล' เพื่อให้บุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทหน้าที่ ในฐานะผู้ให้บริการประชาชนในชุมชน พร้อมส่งเสริมค่านิยมด้านความรัก ความผูกพัน และความสามัคคีในองค์กร ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างระบบราชการที่เข้มแข็งและเป็นธรรม

เทศบาลไม่เพียงเป็นกลไกทางการปกครอง แต่ยังเป็นหน่วยบริการประชาชนที่อยู่ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตของชุมชนมากที่สุด การบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการขยะ และการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ล้วนเป็นภารกิจของเทศบาลที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเทศบาลจำนวนทั้งสิ้น 2,472 แห่งทั่วประเทศ สะท้อนถึงความสำคัญของเทศบาลในฐานะฟันเฟืองหลักของการพัฒนาท้องถิ่นและระบบประชาธิปไตยระดับรากฐาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top