Thursday, 9 May 2024
LITE TEAM

2 มกราคม พ.ศ. 2551 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์

ครบรอบ 16 ปี สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สิ้นพระชนม์

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงเป็นพระธิดาองค์เดียวในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา เสด็จกลับประเทศไทยใน พ.ศ. 2493 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงแนะนำให้ทรงงานเป็นครู จึงทรงเป็นสมเด็จอาจารย์ ทรงสอนภาษาฝรั่งเศสในหลายมหาวิทยาลัย และตามเสด็จสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจทั่วประเทศ ทั้งด้านการศึกษา การแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข และการสังคมสงเคราะห์

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่อเนื่อง ทรงคุณูปการต่อสังคมไทยเป็นที่ประจักษ์ เมื่อทรงเจริญพระชนมายุ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน ทรงพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า ‘สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์’ เนื่องจากทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่อเนื่อง ทรงคุณูปการต่อสังคมหลายด้าน เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หน่วยงาน องค์กรหลายแห่ง ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหรียญรางวัล และปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติศักดิ์หลากหลายสาขา

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทับรักษาพระอาการประชวรครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550 และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2551 สิริพระชนมายุ 84 พรรษา

1 มกราคม ‘วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ’ เจ้านายพระองค์สำคัญในอดีต

วันที่ 1 มกราคม นอกจากจะเป็นวันขึ้นปีใหม่แล้ว ยังถือเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพเจ้านายพระองค์สำคัญในอดีตด้วยเช่นกัน ดังนี้

1 มกราคม พ.ศ. 2423 ถือเป็นวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 

1 มกราคม พ.ศ. 2407 วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งเป็นพระราชมารดาของรัชกาลที่ 6

และ 1 มกราคม พ.ศ. 2434 วันพระราชสมภพ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็น​สมเด็จพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) และเป็นสมเด็จพระบรมอัยกาธิบดีในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) นอกจากนี้ยังเป็น ‘พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน’ อีกด้วย

31 ธันวาคม พ.ศ. 2566 ปิดตำนาน 11 ปี ‘สายการบินไทยสมายล์’ ให้บริการ 4 เที่ยวบินสุดท้ายก่อนยุติบทบาท

วันนี้ 31 ธันวาคม 2566 ‘สายการบินไทยสมายล์’ จะเปิดให้บริการเป็นวันสุดท้าย และจะให้บริการเพียง 4 เที่ยวบินไป-กลับสุดท้าย พร้อมส่งต่อลูกค้าและการปฏิบัติการบินให้บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ดูแลต่อตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นไป

โดยบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจควบรวมสายการบินไทยสมายล์ โดยระบุว่า พร้อมดูแลลูกค้าของสายการบินไทยสมายล์ให้ได้รับความสะดวกสบายอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการปรับโครงสร้างธุรกิจฯ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ และโอนย้ายการปฏิบัติการบินและบริการต่าง ๆ ทั้งหมดจากไทยสมายล์ไปยังการบินไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ เว็บไซต์ thaismileair.com ได้ปิดให้บริการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค. 66 ขณะที่ศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ (Smile Contact Center) จะให้บริการจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2566 เช่นเดียวกับเที่ยวบินของไทยสมายล์ภายใต้โค้ดการบิน WE จะทำการบินวันสุดท้ายในวันที่ 31 ธ.ค.66 โดยมีเที่ยวบินไป-กลับ 4 เที่ยวบินสุดท้าย ประกอบด้วย

- เที่ยวบิน WE249 เส้นทางกรุงเทพฯ - กระบี่ เวลา 18.25 น.
- เที่ยวบิน WE250 เส้นทางกระบี่ - กรุงเทพฯ เวลา 20.20 น.

- เที่ยวบิน WE046 เส้นทางกรุงเทพฯ - ขอนแก่น เวลา 19.40 น.
- เที่ยวบิน WE047 เส้นทางขอนแก่น - กรุงเทพฯ เวลา 21.10 น.

- เที่ยวบิน WE136 เส้นทางกรุงเทพฯ - เชียงราย เวลา 18.50 น.
- เที่ยวบิน WE137 เส้นทางเชียงราย - กรุงเทพฯ เวลา 20.50 น.

- เที่ยวบิน WE267 เส้นทางกรุงเทพฯ - หาดใหญ่ เวลา 18.40 น.
- เที่ยวบิน WE268 เส้นทางหาดใหญ่ - กรุงเทพฯ เวลา 20.45 น.

สำหรับ บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด หรือ สายการบินไทยสมายล์ ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในปี 2555 ในช่วงแรกไทยสมายล์ให้บริการเส้นทางบินในประเทศเป็นหลัก ก่อนที่จะขยายเส้นทางระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน จีน ไต้หวัน และอินเดีย

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566

✨ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566

รางวัลที่ 1 : 625544

เลขหน้า 3 ตัว : 600 648 

เลขท้าย 3 ตัว : 882 456 

เลขท้าย 2 ตัว : 89

รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 : 625543 / 625545  

รางวัลที่ 2 : 937983 / 986207 / 347586 / 997718 / 022784  

รางวัลที่ 3 : 917331 / 168613 / 347959 / 109948 / 999781 / 202356 / 965361 / 539834 / 096489 / 324753  

รางวัลที่ 4 : 196276 / 952872 / 740199 / 031586 / 862230 / 112716 / 555224 / 213908 / 270324 / 858164 / 333302 / 323314 / 831473 / 308103 / 353244 / 687929 / 929098 / 017093 / 087425 / 307357 / 218826 / 264505 / 544533 / 391016 / 285584 / 062770 / 335395 / 599501 / 689101 / 639890 / 952741 / 322271 / 514153 / 318481 / 834659 / 500526 / 638360 / 291080 / 061387 / 622585 / 973614 / 339754 / 303103 / 653552 / 846933 / 216574 / 781132 / 436978 / 294950 / 487351  

รางวัลที่ 5 : 201844 / 817142 / 949493 / 940187 / 622745 / 048395 / 570402 / 481143 / 178923 / 217586 / 977007 / 454976 / 086608 / 910562 / 939294 / 090084 / 980376 / 455558 / 182147 / 207878 / 718011 / 381221 / 604020 / 463329 / 151247 / 768814 / 887270 / 216238 / 101839 / 963586 / 371548 / 206981 / 321021 / 030189 / 391331 / 208776 / 323109 / 227367 / 508235 / 930152 / 037190 / 548605 / 815537 / 986235 / 051040 / 010160 / 109018 / 527162 / 066303 / 938439 / 900077 / 121142 / 324430 / 315908 / 085953 / 341258 / 946096 / 539471 / 002987 / 150028 / 818211 / 547674 / 020270 / 927622 / 068280 / 248471 / 126498 / 210659 / 023257 / 470513 / 012060 / 587456 / 857282 / 587873 / 680872 / 114828 / 922937 / 129847 / 766184 / 856211 / 910138 / 454119 / 978679 / 381644 / 916807 / 694526 / 270595 / 388050 / 422045 / 428073 / 365009 / 375285 / 572947 / 478440 / 552463 / 006418 / 665273 / 647640 / 793216 / 943945 

30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ‘ซัดดัม ฮุสเซน’ อดีตประธานาธิบดีอิรัก ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

เมื่อ 17 ปีที่แล้ว หรือ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ‘ซัดดัม ฮุสเซน’ อดีตประธานาธิบดีแห่งประเทศอิรัก ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ

ย้อนเวลากลับไป ‘ซัดดัม ฮุสเซน’ เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการก่อรัฐประหารในอิรัก ช่วงปี พ.ศ. 2511 โดยทำให้พรรคบะอัธ ที่เขาเป็นหัวหน้าพรรค ก้าวขึ้นสู่อำนาจในระยะยาว พร้อมกับที่ตัวเองขึ้นสู่ตำแหน่งรองประธานาธิบดี หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2522 เขาก็ก้าวเข้ามาเป็นประธานาธิบดีในที่สุด

‘ซัดดัม ฮุสเซน’ กลายเป็นที่จับตาของผู้คนทั้งโลก ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย (พ.ศ. 2534) จากการที่อิรักบุกยึดครองประเทศคูเวต เป็นเหตุให้เหล่าประเทศพันธมิตร ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ต้องนำกองกำลังทหารเข้าจัดการ สงครามครั้งนั้นกินระยะเวลาราว 5 สัปดาห์ ผลปรากฏว่ากองกำลังของซัดดัมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ก็ยังมีผลพวงของสงครามที่ถูกลากยาวต่อมาอีกหลายปี

ไฟแห่งสงครามครั้งนั้น สิ้นสุดลงจริง ๆ เมื่อราวปี พ.ศ. 2538 ก่อนที่ในเวลาต่อมา ซัดดัมจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งประธานาธิบดีจากสหรัฐฯ และฝ่ายพันธมิตร พร้อมกับถูกจับกุมเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลาผ่านไปกว่า 3 ปี เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ผู้พิพากษาศาลอิรัก ก็สั่งลงโทษประหารชีวิต ซัดดัม ฮุสเซน จากคดีสังหารหมู่ชาวชีอะห์ 148 ราย โดยเขาถูกประหารชีวิตด้วยการถูกแขวนคอในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549 หรือวันนี้เมื่อ 17 ปีก่อนนั่นเอง

25 ธันวาคม พ.ศ. 2514 ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร ชาวเขาเผ่ามูเซอ บ้านผาหมี จ.เชียงราย

วันนี้เมื่อ 52 ปีก่อน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ชาวเขาเผ่ามูเซอ ณ หมู่บ้านผาหมี หมู่ที่ 15 ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย พร้อมพระราชทานเหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา ที่มีเลขโค้ด 6 หลัก เพื่อใช้แทนเลขบัตรประชาชน

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ชาวเขาเผ่ามูเซอ ณ หมู่บ้านผาหมี หมู่ที่ 15 ต.แม่สาย อ.แม่สาย จ.เชียงราย

การเสด็จพระราชดำเนินของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่เพียงเป็นการเสด็จฯ ไปทรงส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกพืชต่าง ๆ ทั้งกาแฟ ลิ้นจี่ แมคคาเดเมีย รวมถึงนำวัวพระราชทานให้เลี้ยง พร้อมหาจุดรับซื้อให้ ทำให้ชาวเขาเหล่านั้นไม่ต้องปลูกฝิ่น ทำไร่เลื่อนลอย และมีชีวิตความเป็นอยู่ของดีขึ้นเท่านั้น…แต่ยังเป็นการยืนยันว่า ชาวเขาเผ่ามูเซอทุกคนก็คือคนไทย ไม่ใช่คนเร่ร่อนไร้สัญชาติ 

เนื่องด้วยในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงนำ ‘เหรียญที่ระลึกสำหรับชาวเขา’ ซึ่งตรงกลางคือตัวย่อ ‘ชร’ (หมายถึงจังหวัดเชียงราย) ตามด้วยหมายเลขโค้ด 6 หลัก สำหรับใช้แทนเลขบัตรประชาชน พระราชทานแก่ชาวเขาบ้านผาหมีด้วย 

ทั้งนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานเหรียญที่ระลึกแก่ชาวเขาตามจังหวัดต่าง ๆ ประมาณ 20 จังหวัด ในปี พ.ศ. 2506 รวมทั้งหมดกว่า 200,000 เหรียญ โดยทุกเหรียญจะมีอักษรย่อของจังหวัด พร้อมหมายเลขประจำเหรียญตอกกำกับ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการสำรวจสำมะโนประชากรและการพิสูจน์สัญชาติเพื่อทำบัตรประชาชนให้กับชาวเขา

24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 ประเทศไทย ประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคม

รัฐบาลไทยโดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ออกประกาศเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคม ตั้งแต่ พ.ศ. 2484 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดานานาอารยประเทศ ดังนั้นปี พ.ศ. 2483 จึงมีเพียง 9 เดือน

ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย ในสมัยโบราณมาเราถือว่า วันแรม 1 ค่ำเดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ อันต้องด้วยในทางพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเหมันตฤดูเป็นการเริ่มต้นปี และในสมัยโบราณนั้น วันขึ้นปีใหม่ ได้นับถือคติของพราหมณ์ คือใช้วันที่ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเป็นเช่นนั้นตลอดมา จวบจนกระทั่งปี พ.ศ. 2432 แห่งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่มาเป็นวันที่ 1 เมษายน ทั้งนี้ก็เนื่องจากทางราชการได้นิยมใช้หลักทางสุริยคติ แต่ก็ยังคล้องต้องตามคติพราหมณ์อยู่นั่นเอง เพราะเดือน 5 ก็ตรงกับเดือนเมษายนเรื่อยมา

ต่อมาทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติปฏิทิน พ.ศ.2483 และพระราชบัญญัตินั้นเริ่มใช้ได้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลจึงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ดังนั้นในปี พ.ศ.2483 จึงมีเพียง 9 เดือนเท่านั้น คือเดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินของนานาประเทศ มีหนังสือประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ของ ไทยอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2483 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ และการใช้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ จะทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก 

ทั้งนี้ประเทศไทยจึงถือเอาวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยตั้งแต่ นั้นจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ ถึงแม้ว่าวันที่ 1 มกราคม จะถือปฏิบัติเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงถือว่า วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยด้วยเช่นเดียวกัน

23 ธันวาคม พ.ศ. 2491 ‘โตโจ ฮิเดกิ’ อดีตนายกรัฐมนตรี ญี่ปุ่น ถูกประหารชีวิต ในฐานะอาชญากรสงคราม

โตโจ ฮิเดกิ (Tojo Hideki) คือนักการทหารและนักบริหารที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ เขาได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 1 ในปี 1928 (พ.ศ. 2471) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปราบกลุ่มกบฏ “ยังเติร์ก” ในปี 1936 (พ.ศ. 2479) ก่อนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บังคับบัญชาใหญ่กองทัพญี่ปุ่นในแมนจูเรียในปีต่อมา

ตำแหน่งหน้าที่ของ โตโจ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนับแต่นั้นมา ในปี 1938 (พ.ศ. 2481) เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสงคราม และเขาก็ได้เป็นหัวแรงสำคัญที่ผลักดันให้ญี่ปุ่นเข้าเป็นภาคีของกลุ่มอักษะสำเร็จในปี 1940 (พ.ศ. 2483) ปีเดียวกันกับที่เข้าได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสงครามเต็มตัว จากนั้นอีกเพียงหนึ่งปี เขาก็ได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจาก ฟูมิมาโระ โคโนเอะ โดยยังยึดเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงสงครามต่อไป

โตโจ นอกจากจะเป็นข้าราชการที่ได้ชื่อเรื่องการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เขายังเป็นนักการทหารที่มีนโยบายก้าวร้าวที่สุดในบรรดาผู้นำญี่ปุ่น เขาคือผู้นำประเทศเข้าสู่สงครามกับสหรัฐฯ ด้วยการบุกโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ในวันที่ 7 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) ซึ่งเบื้องต้นได้ทำให้ญี่ปุ่นขยายอิทธิพลไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และแปซิฟิกตะวันตก

ในปี 1944 (พ.ศ. 2487) โตโจ ก้าวขึ้นมาดูแลกิจการของกองทัพทั้งหมดโดยตรงในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตรในสมรภูมิหมู่เกาะมาเรียนา (Mariana Islands) เขาก็ถูกปลดจากตำแหน่งในวันที่ 16 กรกฎาคม 1944 ก่อนที่เขาและรัฐมนตรีทั้งคณะจะประกาศลาออกในอีกสองวันถัดมา และถูกกันไม่ให้เข้ามามีส่วนในการใช้อำนาจบริหารประเทศอีก

หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามอย่างเป็นทางการ โตโจพยายามใช้ปืนยิงตัวตายในวันที่ 11 กันยายน 1945 (พ.ศ. 2488) แต่ไม่สำเร็จ เขาได้รับการรักษาและมีชีวิตรอดมาได้

ปีถัดมา โตโจถูกดำเนินคดีในความผิดฐานก่ออาชญากรรมสงคราม โดยศาลทหารระหว่างประเทศภาคพื้นตะวันออกไกล (International Military Tribunal for the Far East) หรือศาลอาชญากรสงคราม กรุงโตเกียว ซึ่งศาลได้ตัดสินว่าเขามีความผิดให้ต้องโทษประหารชีวิต

วันที่ 23 ธันวาคม 1948 (พ.ศ. 2491) ฮิเดกิ โตโจ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ และแม้ว่าเขาจะถูกตัดสินว่าเป็นอาชญากรสงคราม และมีผู้ประท้วงจำนวนมากที่เห็นว่าเขาคือผู้ที่นำหายนะมาให้ญี่ปุ่น แต่ชื่อของเขาก็ยังได้รับการยกย่องในฐานะนายทหารที่สละชีพเพื่อพระจักรพรรดิ ในศาลเจ้ายาสุกุนิ

22 ธันวาคม พ.ศ. 2431 สยาม เสียดินแดนครั้งที่ 8 หลังเสีย ‘สิบสองจุไท’ ให้ฝรั่งเศส

วันนี้เมื่อ 135 ปีก่อน สยามต้องสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันห้าทั้งหกให้กับฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2431 พื้นที่ 87,000 ตร.กม. ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันเป็นดินแดนในประเทศเวียดนามและลาว

‘สิบสองจุไท’ คือดินแดนทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาวและติดกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของญวน เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของตระกูลชาติพันธุ์ไทน้อย ซึ่งประกอบไปด้วย ชาวไทดำ (หรือลาวโซ่ง หรือผู้ไท), ไทขาว และไทพวน (หรือลาวพวน) มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 12 เมือง มีเจ้าปกครองทุกเมือง จึงเรียกกันว่า ‘สิบสองจุไท’ หรือ ‘สิบสองเจ้าไท’ เมืองเอกของสิบสองจุไทคือ ‘เมืองแถง’ หรือ ‘เมืองแถน’ (ปัจจุบันคือเมืองเดียนเบียนฟู ของประเทศเวียดนาม)

ด้านใต้ของสิบสองจุไทลงมาคือดินแดน ‘หัวพันทั้งห้าทั้งหก’ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชาวไทแดง ไทขาว ไทดำ ไทพวน แต่เดิมประกอบด้วย 5 หัวเมือง ต่อมาเพิ่มอีกหนึ่งหัวเมือง เป็น 6 หัวเมือง แต่ละหัวเมืองปกครองพื้นที่นาหนึ่งพันผืน จึงเรียกว่า ‘หัวพันทั้งห้าทั้งหก’ เมืองเอกของหัวพันทั้งห้าทั้งหกคือ ‘เมืองซำเหนือ’ ปัจจุบันอยู่ในแขวงหัวพัน ประเทศลาว

ดินแดนทั้งสองแห่งข้างต้นนี้ เคยปกครองตนเองเป็นอิสระ จนกระทั่ง ‘อาณาจักรล้านช้าง’ ปัจจุบันคือประเทศลาว ถือกำเนิดขึ้น แล้วขยายอิทธิพลเข้าครอบครองดินแดนทั้งสอง ต่อมาเมื่อถึงรัชสมัย ‘สมเด็จพระเจ้าตากสิน’ อาณาจักรล้านช้างทั้งหมดก็ได้กลายเป็นประเทศราชของไทย ดังนั้นดินแดนสิบสองจุไท และหัวพันทั้งห้าทั้งหก จึงตกเป็นของไทยไปด้วย

เมื่อถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ราวปี พ.ศ.2408 พวก ‘จีนฮ่อ’ หรือชาวจีนอพยพซึ่งส่วนหนึ่งเป็นพวก ‘กบฏไท่ผิง’ ที่พ่ายแพ้สงครามต่อราชสำนักชิง ได้พากันหลบหนีจากตอนใต้ของจีนลงมายึดครองพื้นที่รอยต่อระหว่างแดนจีนกับญวน หลังจากนั้นได้บุกยึดลงมาจนถึงดินแดนสิบสองจุไท หัวพันทั้งห้าทั้งหก และ ‘เมืองพวน’ (ปัจจุบันคือแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว)

ต่อมาใน สมัยรัชกาลที่ 5 กองกำลังจีนฮ่อที่ตั้งอยู่เมืองพวนได้แบ่งออกเป็น 2 ทัพ เพื่อบุกเข้าตีเมืองเวียงจันทน์และหนองคาย กับบุกเข้าตีเมืองหลวงพระบางหลาย กระทั่งในปี พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งกองทัพใหญ่ไปปราบกบฏฮ่ออีกครั้ง โดยรับสั่งให้ ‘พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม’ ทรงนำทัพไปปราบกบฏฮ่อทางเมืองพวน แล้วให้ ‘พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)’ นำทัพไปปราบกบฏฮ่อทางหัวพันทั้งห้าทั้งหก กองทัพไทยสามารถเอาปราบกบฏฮ่อได้อย่างราบคาบในปลายปี พ.ศ. 2430

การปราบกบฏฮ่อครั้งหลังสุดนี้ แม้กองทัพไทยจะได้รับชัยชนะ แต่ก็เกิดข้อพิพาทกับทางฝรั่งเศสขึ้น โดยในเวลานั้นฝรั่งเศสได้ขยายอิทธิพลเข้ายึดครองดินแดนญวนไว้ได้แล้ว และฝรั่งเศสยังอ้างว่าดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหกเป็นเมืองขึ้นของญวน ดังนั้นจึงต้องตกเป็นสิทธิของฝรั่งเศสด้วย เมื่อกองทัพไทยรุกไล่กบฏฮ่อจนเข้ามาถึงดินแดนสิบสองจุไท ทางฝรั่งเศสจึงกล่าวหาว่า กองทัพไทยบุกรุกดินแดนของฝรั่งเศสโดยพลการ ทำให้ฝรั่งเศสต้องส่งกองทัพจากแดนญวนเข้ามาขับไล่กบฏฮ่อด้วย แล้วตั้งประจันหน้ากับกองทัพไทยอยู่ที่เมืองแถง

พระยาสุรศักดิ์มนตรีเปิดการเจรจากับ ‘โอกุสต์ ปาวี’ (Auguste Pavie) รองกงสุลฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง แม้ต่างฝ่ายต่างยืนยันสิทธิเหนือดินแดนสิบสองจุไทและหัวพันทั้งห้าทั้งหก และต้องการให้อีกฝ่ายถอนกำลังทหารออกไป แต่ฝรั่งเศสมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่าไทย และดินแดนพิพาทยังอยู่ใกล้กับญวนมากกว่าไทย หากเกิดสงครามขึ้นจริงก็ยากที่ไทยจะเป็นฝ่ายชนะ

ในที่สุดเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ตัวแทนฝ่ายไทยกับฝรั่งเศสจึงได้ทำสัญญาร่วมกันที่เมืองแถง โดยมีเงื่อนไขว่า ในระหว่างที่ยังหาข้อยุติไม่ได้นั้น ทหารฝรั่งเศสจะตั้งอยู่ที่สิบสองจุไท และทหารไทยจะตั้งอยู่ที่หัวพันทั้งห้าทั้งหก ต่างฝ่ายต่างจะไม่ล่วงล้ำเขตแดนกัน

นับแต่นั้นไทยก็เสียสิทธิเหนือดินแดนสิบสองจุไทไปให้กับฝรั่งเศส และสูญเสียดินแดนสิบสองจุไทกับหัวพันทั้งห้าทั้งหกไปอย่างสมบูรณ์เมื่อเกิด ‘วิกฤติการณ์ ร.ศ.112’ หรืออีก 5 ปีต่อมา

21 ธันวาคม พ.ศ. 2525 พิธีสมโภช พระศรีศากยทศพลญาณ พระประธานพุทธมณฑล

วันนี้ เมื่อ 41 ปีก่อน พิธีสมโภช ‘พระศรีศากยทศพลญาณ ประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์’ พระประธานพุทธมณฑล ซึ่งคนทั่วไปนิยมเรียกกันว่า ‘พระใหญ่’ หล่อด้วยโลหะสำริด ประดิษฐานเป็นพระประธานพุทธมณฑล อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 

พระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑลที่พุทธมณฑลแห่งนี้ ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า ‘พระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์’ ซึ่งสร้างขึ้นบริเวณใจกลางพุทธมณฑล ในโอกาสเฉลิมฉลองที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาครบ 25 พุทธศตวรรษ โดยมีต้นแบบจากอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งออกแบบไว้ที่ความสูง 2.14 เมตร แต่ภายหลังมีความต้องการให้มีความหมายเป็นที่ประจักษ์ จึงออกแบบให้มีความสูงที่ 15.875 เมตร น้ำหนัก 17,543 กิโลกรัม

ตัวองค์พระมีโลหะสำริดเป็นส่วนประกอบสำคัญ 137 ชิ้น เริ่มสร้างขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2523 และแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2525 ในการจัดสร้างได้แบ่งตัวองค์พระพุทธรูปออกเป็น 6 ส่วนคือ ส่วนพระเศียร (ศีรษะ) ส่วนพระอุระ (อก) ส่วนพระพาหา (แขน) ข้างซ้าย พระนาภี (ท้องถึงสะดือ) ส่วนพระพาหา (แขน) ข้างขวา พระเพลา (ขา) ส่วนพระบาท (เท้า) และส่วนฐานบัวรองพระบาท

เดิมที ในสมัยรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2498 นั้น ได้มีแนวคิดในการจัดสร้างปูชนียสถานขึ้นเพื่อเป็นพุทธานุสรณียสถาน เนื่องในวโรกาสมหามงคลที่พระพุทธศาสนาเวียนมาบรรจบครบรอบ 2,500 ปี รัฐบาลในขณะนั้นจึงได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไปทรงประกอบรัฐพิธีก่อฤกษ์พุทธมณฑล ณ บริเวณที่จะก่อสร้างองค์พระพุทธรูปในปัจจุบันนี้

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้เสด็จทรงเททองพระเกตุมาลา และได้ประกอบพิธีเชื่อมประกอบพระเศียรกับองค์พระพุทธรูป และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2525 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จประกอบพิธีสมโภชพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทรรศน์ และทรงเปิดพุทธมณฑลให้ประชาชนได้เข้านมัสการพระพุทธรูปและใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการสร้างตั้งแต่นั้นเป็นมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top