Friday, 13 December 2024
LITE TEAM

4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ‘ในหลวง ร.5’ โปรดเกล้าฯ สถาปนา ‘กรมไปรษณีย์’ จุดกำเนิดกิจการไปรษณีย์ในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา ‘กรมไปรษณีย์’

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไป จุดเริ่มต้นของการสื่อสารในสมัยก่อนนั้น เกิดจากการสร้างเส้นทางคมนาคมและเส้นทางการค้า โดยมีการติดต่อข่าวสารกันอย่างง่าย ทั้งผ่านทางพ่อค้า ใช้ม้าเร็ว จนถึงการจัดตั้งคนเร็วไว้ตามเมืองสำคัญ ก็ถือเป็นพัฒนาการทางการส่งข่าวสารอย่างง่ายอีกช่องทางหนึ่งและเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือเป็นยุคแรกของ ‘การไปรษณีย์ไทย’ ด้วยการจัดตั้ง ‘กรมไปรษณีย์’ ในประเทศไทย และการผลิต ‘แสตมป์ชุดโสฬส’ แสตมป์ชุดแรกของประเทศ รวมไปถึงจัดพิมพ์ไปรษณียบัตรครั้งแรก เพื่อรองรับกิจการไปรษณีย์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

โดยปี พ.ศ. 2423 เจ้าหมื่นเสมอใจราช หัวหมื่นมหาดเล็กเวรสิทธิ์ ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายคำแนะนำให้เปิดบริการไปรษณีย์ขึ้นในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริเห็นชอบ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ผู้ทรงมีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดส่งหนังสือพิมพ์รายวัน ‘ข่าวราชการ’ ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการกรมไปรษณีย์

เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมหลวงภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงวางโครงการและเตรียมการไว้พร้อมที่จะเปิดบริการไปรษณีย์แล้ว ได้ประกาศเปิดรับฝากส่งจดหมายหรือหนังสือ เป็นการทดลองในเขตพระนครและธนบุรีขึ้น เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2426 มีที่ทำการตั้งอยู่ ณ ตึกใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตอนปากคลองโอ่งอ่าง ด้านทิศเหนือ (ปัจจุบันถูกรื้อเพื่อใช้ที่สร้างสะพานคู่ขนานกับสะพานพระพุทธยอดฟ้า) ที่ทำการแห่งแรกนี้ใช้เป็นที่ทำการไปรษณีย์สำหรับจังหวัดพระนคร ด้วยเรียกกันว่า ‘ไปรษณียาคาร’

ต่อมาในปี พ.ศ. 2441 เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการกราบบังคมทูลเสนอความเห็นว่าราชการของกรมไปรษณีย์และราชการของกรมโทรเลข ซึ่งตั้งขึ้นก่อนกรมไปรษณีย์แล้วนั้นเป็นงานในด้านสื่อสารด้วยกัน ควรรวมเป็นหน่วยราชการเดียวกันเสีย เพื่อความสะดวกแก่การดำเนินงาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นเป็นการสมควรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้รวมหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกันเรียกว่า ‘กรมไปรษณีย์โทรเลข’

ต่อมาได้ย้ายไปใช้อาคารและที่ดินริมถนนเจริญกรุงเป็นที่ทำการและเรียกกันโดยทั่วไปว่า ‘ที่ทำการไปรษณีย์กลาง’ การไปรษณีย์เป็นบริการสาธารณะ จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการและเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินบริการทราบและถือปฏิบัติ เมื่อเปิดการไปรษณีย์โทรเลขได้ประมาณ 2 ปีแล้ว รัฐบาลจึงได้ตรากฎหมายขึ้นในปี พ.ศ. 2428 เรียกว่า ‘พระราชบัญญัติการไปรษณีย์ไทย จุลศักราช 1248’

ทั้งนี้ เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงมีแก่กิจการไปรษณีย์ไทย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2526 กำหนดให้ วันที่ 4 สิงหาคมของทุกปีเป็น ‘วันสื่อสารแห่งชาติ’ และจัดงานวันสื่อสารแห่งชาติ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2526 โดยจัดร่วมกับงานครบรอบ 100 ปี การสถาปนากรมไปรษณีย์โทรเลข และการเฉลิมฉลองปีการสื่อสารโลกของสหประชาชาติ

2 สิงหาคม พ.ศ. 2413 ‘Tower Subway’ รถไฟใต้ดินสายแรกของโลก เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ ที่กรุงลอนดอน

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2413 ทาวเวอร์ ซับเวย์ (Tower Subway) รถไฟใต้ดินสายแรกของโลก เปิดให้บริการที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยมีลักษณะเป็นอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเทมส์ (Thames) ซึ่งมี 2 สถานีคือ ทาวเวอร์ ฮิลล์ (Tower hill) และ ไวน์ เลน (Vine lane) โดยรถไฟใต้ดินสายนี้ได้ชื่อมาจาก ‘หอคอยแห่งลอนดอน’ (Tower of London)

ทั้งนี้ อุโมงค์ออกแบบและก่อสร้างโดย เจมส์ เกรทีด (James Henry Greathead) ส่วนเปลือกอุโมงค์ออกแบบโดย ปีเตอร์ บาร์โลว์ (Peter William Barlow) และมีลูกชายของบาร์โลว์คือ ปีเตอร์ บาร์โลว์ จูเนียร์(Peter W. Barlow Jr.) เป็นวิศวกรควบคุมงานก่อสร้าง ซึ่งเริ่มก่อสร้างในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2412 โดยขุดอุโมงค์รถไฟด้วยเครื่องจักรไฮดรอลิก ลึกประมาณ 18 เมตรใต้ผืนดิน ในระยะแรกอุโมงค์ยาวเพียง 410 เมตร กว้าง 2.1 เมตร รางกว้าง 76.2 เซนติเมตร ใช้เครื่องจักรไอน้ำขนาด 4 แรงม้าเป็นตัวลากรถเคเบิลคาร์ ขนาด 12 ที่นั่ง ใช้เวลาโดยสารเที่ยวละประมาณ 70 วินาที

หลังจากเปิดใช้งานได้ประมาณ 3 เดือน ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เพราะความคับแคบและไม่สะดวกของสถานี ประชาชนจึงนิยมเดินเท้ามากกว่า ต่อมาในที่สุดทางการจึงปรับปรุงใหม่ นำลิฟต์มาแทนบันได เปลี่ยนเครื่องจักรไอน้ำเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้รถไฟฟ้าใต้ดินสายนี้กลับมาได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง โดยมีผู้โดยสารกว่า 2 หมื่นคนต่อสัปดาห์ ก่อนจะคลายความนิยมไปหลังจากมีการก่อสร้างสะพาน ’ทาวเวอร์ บริดจ์‘ (Tower Bridge) ในปีพ.ศ. 2437 เนื่องจากไม่ต้องเสียเงินเหมือนรถไฟฟ้า ไม่นานก็ขาดทุนจนรัฐบาลต้องขายกิจการให้เอกชนดำเนินการต่อ ก่อนจะปิดการใช้งานในปีพ.ศ. 2441

1 สิงหาคม พ.ศ. 2367 ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เถลิงถวัลยราชสมบัติ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี

‘พระราชพิธีบรมราชาภิเษก’ เป็นพระราชพิธีราชาภิเษกที่พระมหากษัตริย์ไทยได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการด้วยการถวายน้ำอภิเษก โดยแบ่งออกเป็น 2 พระราชพิธีสำคัญคือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นการผสมผสานกันระหว่างธรรมเนียมของศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ซึ่งต้องย้อนกลับไปหลายศตวรรษ โดยพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประกอบไปด้วย พระราชพิธีสรงพระมูรธาภิเษก พระราชพิธีถวายน้ำอภิเษก พระราชพิธีถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ และการสถาปนาพระราชินี และพระราชวงศ์ ส่วนพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียร เป็นพระราชพิธีที่จัดขึ้นโดยเหล่าสมาชิกของราชวงศ์ในพระบรมมหาราชวัง

ภายหลังจากประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเสร็จสิ้นแล้ว พระมหากษัตริย์จะประทับพระที่นั่งราชยานพุดตานทองไปประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะและเสด็จไปสักการะพระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบูรพการี

อย่างไรก็ตาม สำหรับวันที่ 1 ของเดือนสิงหาคมปี 2567 นี้ หากย้อนกลับเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2367 ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 3 ทรงประกอบ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เถลิงถวัลยราชสมบัติ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีอย่างเต็มกระบวนการเยี่ยงอย่างบรรพราชประเพณีสืบ ๆ มา หลังจากที่เสด็จเสวยราชสมบัติต่อจาก พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367

ทั้งนี้ พระองค์ทรงเป็นราชโอรสพระองค์ใหญ่ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 กับ เจ้าจอมมารดาเรียม เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ได้ทรงรับราชการหลายตำแหน่ง อาทิ กำกับราชการกรมท่าและกรมตำรวจ ทรงว่าราชการกรมพระคลังมหาสมบัติ เป็นแม่กองกำกับลูกขุน ณ ศาลหลวงและตุลาการทุกศาล ทรงค้าขายทางสำเภาจีน นำเงินรายได้เข้าท้องพระคลังเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังได้ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนา รวบรวมสรรพตำราวิทยาการต่าง ๆ พัฒนาการเศรษฐกิจไทยหลาย ๆ ด้าน โดยการเจริญสัญญาทางพระราชไมตรีกับต่างประเทศ ทำให้รัฐมั่งคั่งเป็นอันมาก

31 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ถือกำเนิด ‘แท็กซี่’ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ยุคนั้นเรียก 'รถไมล์' ช่วยทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้มีอาชีพหลังปลดราชการ

วันนี้ในอดีต 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ประเทศไทยเริ่มมี ‘แท็กซี่’ ให้บริการเป็นครั้งแรก โดย พระยาเทพหัสดินร่วมกับพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ เป็นผู้ก่อตั้ง ‘บริษัท แท็กซี่สยาม’ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อช่วยทหารอาสาในสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้มีอาชีพหลังจากปลดจากราชการ โดยนำเอารถเก๋งออสติน (Austin) ขนาดเล็กออกวิ่งรับจ้าง โดยติดป้ายรับจ้างไว้ข้างหน้า-หลังของตัวรถ โดยมีรถให้บริการ 14 คัน คิดค่าบริการตามไมล์ ไมล์ละ 0.15 บาท หรือ 15 สตางค์ (1 ไมล์ = 1.609344 กิโลเมตร) ซึ่งนับว่าแพงมากเมื่อเทียบกับราคาค่าโดยสารในปัจจุบัน ในสมัยนั้นจึงนิยมเรียกกันว่า ‘รถไมล์’ เพราะเก็บค่าโดยสารตามเลขไมล์ระยะทางที่วิ่ง โดยใช้รถยนต์ยี่ห้อออสติน แต่ประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากค่าโดยสารแพง ผู้คนยังไม่คุ้นเคยจึงไม่ยอมนั่ง ประกอบกับเมืองกรุงเทพฯ ยังมีขนาดเล็ก และมีรถรับจ้างอื่น ๆ อยู่มากและราคาถูกกว่าจึงต้องล้มเลิกกิจการไป 

จนกระทั่งปี 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าของธุรกิจเอกชนบางราย ได้เริ่มการฟื้นฟูกิจการแท็กซี่ในประเทศไทยขึ้นมาใหม่ โดยในช่วงแรกจะนิยมใช้รถยนต์ยี่ห้อเรโนลต์ (Renault) สมัยนั้นจึงเรียก ‘แท็กซี่’ ว่า ‘เรโนลต์’ ได้รับความนิยมจากคนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากสะดวกรวดเร็วกว่ารถจักรยานสามล้อถีบซึ่งมีชุกชุมในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้อาชีพขับรถแท็กซี่เป็นที่ฮือฮา มีผู้นำรถเก๋งไปทำเป็นรถแท็กซี่กันมากขึ้นจนระบาดไปต่างจังหวัด จนต้องมีการควบคุมกำหนดจำนวนรถ ต่อมารถแท็กซี่ เปลี่ยนกลับมานิยมยี่ห้อออสติน ตามด้วยรถดัทสัน, บลูเบิร์ด, และโตโยต้าในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนป้ายทะเบียนของรถประเภทแท็กซี่จะมีราคาแพงเป็นหลักแสนบาท จึงทำให้ผู้ให้บริการใช้รถยนต์แท็กซี่นานหลายสิบปี จนมีสภาพชำรุดทรุดโทรมเพื่อให้คุ้มทุนค่าป้ายทะเบียน 'แท็กซี่’

และในสมัยก่อน กฎหมายไม่ได้บังคับให้มีการติดมิเตอร์ การจ่ายค่าโดยสารจึงเป็นไปตามการต่อรองระหว่างผู้โดยสารและผู้ให้บริการ เมื่อยุคสมัยผ่านไป ในช่วงเวลาหนึ่ง 'แท็กซี่' กลายเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาจราจรจากการจอดต่อรองราคาดังกล่าว 

ดังนั้นในปี 2535 จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีการออกกฎหมายให้รถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป ‘ต้องติดมิเตอร์’ อีกทั้งกรมการขนส่งทางบกยังได้เปลี่ยนระบบป้ายทะเบียนแท็กซี่ ให้จดทะเบียนได้ในราคาถูกลงจากเดิม (เป็นหลักพันบาท) แต่จำกัดอายุของรถแท็กซี่ไว้มิให้เกิน 12 ปี หากเกินจากนี้จะต้องปลดประจำการไม่สามารถเป็นรถแท็กซี่ได้อีก และยังได้สั่งให้เปลี่ยนสีรถแท็กซี่บุคคล จากสี ‘ดำ-เหลือง’ ในระบบป้ายแบบเก่า เป็นสี ‘เขียว-เหลือง’ ในระบบป้ายแบบจำกัดอายุ

ปัจจุบันแท็กซี่ในเมืองไทยเป็นรถปรับอากาศ ติดมิเตอร์คิดอัตราค่าโดยสารตามระยะทางและเวลา โดยเริ่มต้นที่ 35 บาท พร้อมทั้งมีวิทยุสื่อสาร บางคันอาจมีทีวีให้ดูในระหว่างการเดินทางด้วย

29 กรกฎาคม ของทุกปี รำลึก ‘วันภาษาไทยแห่งชาติ’ ตามแนวพระราชดำรัส ‘ในหลวง ร.9’ หวังคนไทย 'รู้คุณค่า-รักษาบริสุทธิ์' ในการออกเสียงภาษาที่ถูกต้อง

วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันที่คนไทยควรตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติ อันเป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมทางภาษาที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

วันภาษาไทยแห่งชาติ มีขึ้นเพื่อรำลึกถึงความสำคัญของภาษาไทย ในราวปี พ.ศ. 1826 พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์ ‘ลายสือไทย’ ขึ้นเป็นครั้งแรก ดัดแปลงมาจากอักษรมอญและเขมร มีพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เพื่อใช้แทนความหมายและเสียงต่าง ๆ ในภาษาไทย ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็น ‘อักษรไทย’ ที่เราใช้กันในปัจจุบันนั่นเอง

สำหรับวันภาษาไทยแห่งชาติ ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2542 โดยมีความเป็นมาจากเหตุการณ์เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) เสด็จพระราชดำเนินไปอภิปรายหัวข้อ ‘ปัญหาการใช้คำไทย’ ในการประชุมวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 พระองค์ท่านทรงแสดงความห่วงใยในภาษาไทย โดยทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า…

“เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียงคือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้องชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยค นับเป็นปัญหาที่สำคัญ ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้ สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่าย ๆ ก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่า ๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก”

ต่อมาในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 เป็นวันเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ 9 เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ทางคณะรัฐมนตรีได้มีมติลงความเห็นให้ วันที่ 29 กรกฎาคม ของทุกปี เป็น ‘วันภาษาไทยแห่งชาติ’ และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ก่อสร้าง ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ สำเร็จ นับเป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในประเทศไทย เทียบเท่าตึก 40 ชั้น

‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ หรือชื่อที่นิยมเรียกติดปากของคนในพื้นที่ว่า ‘หลวงพ่อใหญ่’ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดม่วง ตำบลหัวตะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง เป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในประเทศไทย จัดเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกองค์หนึ่ง

ทั้งนี้ ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ สร้างขึ้นโดยดำริของ พระครูวิบูลอาจารคุณ (เกษม อาจารสุโภ) เจ้าอาวาสองค์แรกของวัดม่วง เพื่อถวายแด่พระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2534 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ใช้ทุนทรัพย์ในการสร้างทั้งหมด 104,261,089.65 บาท จากการบริจาคของผู้มีจิตศรัทธา รวมเป็นระยะเวลากว่า 16 ปี โดยที่พระครูวิบูลอาจารคุณนั้นได้ถึงแก่มรณกรรมไปเสียก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จด้วยโรคมะเร็ง ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2544 ณ โรงพยาบาลศิริราช แต่ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ท่านได้ให้ชื่อพระพุทธรูปว่า ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ เป็นการอุทิศแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

อย่างไรก็ตาม ‘พระพุทธมหานวมินทรศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ’ มีความสูงจากฐานองค์พระถึงยอดเกศา 95 เมตร เทียบเท่ากับตึก 40 ชั้น และมีความกว้างของหน้าตัก 63.05 เมตร ซึ่งการเดินวนรอบองค์พระต้องใช้เวลากว่า 3 นาที และยังเป็นพระพุทธรูปที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล นับเป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัดม่วงและจังหวัดอ่างทอง

24 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 ‘อาภัสรา หงสกุล’ คว้ามงกุฎ 'Miss Universe' มาครอง ผงาด 'นางงามจักรวาล' คนแรกของประเทศไทย

วันนี้ในอดีตเมื่อ 59 ปีก่อน ‘อาภัสรา หงสกุล’ นางสาวไทย ได้รับเลือกเป็น 'นางงามจักรวาล' หรือ 'Miss Universe' ในเวทีประกวดที่ชายหาดไมอามี รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) นับเป็นนางงามจักรวาลคนแรกของไทย และเป็นคนที่ 2 จากเอเชีย (หลังจาก อากิโกะ โคจิมะ นางงามจากประเทศญี่ปุ่นในปีพ.ศ. 2502)

ในขณะนั้น ‘อาภัสรา หงสกุล’ มีส่วนสูง 164 ซม. (5 ฟุต 7 นิ้ว) สัดส่วน 35-23-35 ซม. สามารถชนะใจกรรมการและคว้ามงกุฎมาครองได้สำเร็จ โดยในปีนั้นรองนางงามจักรวาลอันดับที่ 1 คือนางงามจากประเทศฟินแลนด์ รองฯ อันดับที่ 2 จากสหรัฐอเมริกาเจ้าบ้าน รองฯ อันดับที่ 3 จากประเทศสวีเดน และรองฯ อันดับที่ 4 จากประเทศฮอลแลนด์

อนึ่ง ‘อาภัสรา หงสกุล’ นับเป็นตัวแทนคนที่ 3 ของประเทศไทย ต่อจาก ‘อมรา อัศวนนท์’ รองนางสาวไทย 2496 ซึ่งเป็นตัวแทนคนแรกเข้าร่วมประกวดนางงามจักรวาล 1956 ตามด้วย ‘สดใส วานิชวัฒนา’ ในการประกวดนางงามจักรวาล 1959

23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ‘ในหลวง ร.10’ พระราชทานทรัพย์กว่า 2,800 ล้านบาท สมทบทุน-จัดหาอุปกรณ์การแพทย์ รับมือวิกฤตโควิด-19

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 เพจโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เผยแพร่ข้อความระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีความห่วงใยประชาชน และบุคลากรการแพทย์ในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างยิ่ง

การนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์เพื่อสมทบทุนและจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่าง ๆ เพื่อใช้ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด ได้แก่…

1. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 100,000,000 บาท สมทบทุนสร้างอาคารนวมินทรบพิตร 84 พรรษา โรงพยาบาลศิริราช

2. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 2,407,144,487.59 บาท แก่โรงพยาบาล วิทยาลัยแพทย์ และสถานพยาบาล 29 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

3. พระราชทานพระราชทรัพย์ จำนวน 345,000,000 บาท แก่เรือนจำ ทัณฑสถาน และโรงพยาบาลแม่ข่ายของเรือนจำ 44 แห่ง เพื่อจัดซื้อเครื่องมือ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์

22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 รำลึก ‘บิ๊ก D2B’ ประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำตกคูน้ำ ส่งผลให้ติดเชื้อราในสมอง เป็นเจ้าชายนิทราก่อนเสียชีวิต

หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2546 ขณะที่ ‘วงดีทูบี’ ซึ่งมีสมาชิก 3 คน ได้แก่ แดน วรเวช ดานุวงศ์, บีม กวี ตันจรารักษ์ และ บิ๊ก ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ กำลังโด่งดังถึงขีดสุด หลังจากได้รับรางวัลศิลปินยอดนิยมจาก MTV Asia Award 2003 ที่ประเทศสิงคโปร์ มาได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น ในช่วงเวลา 01.15 น. ของคืนวันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 เมื่อบิ๊กได้ขับรถยนต์ของตนเพื่อกลับบ้านหลังจากแสดงคอนเสิร์ตเสร็จ แต่กลับประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำตกลงไปในคูน้ำที่ถนนศรีนครินทร์ จังหวัดสมุทรปราการ ตำรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ จึงนำส่งโรงพยาบาล

โดยมีน้ำครำท่วมปอด แต่การรักษาเป็นไปได้ด้วยดีเมื่อบิ๊กรู้สึกตัว ก็สามารถทักทายแฟนเพลงได้อีกครั้ง ก่อนกลายเป็นฝันร้ายเมื่อเขาเข้าสู่อาการโคม่าก่อนแพทย์ตรวจพบเชื้อรา Scedosporium ในสมองในวันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2546 ซึ่งโอกาสรอดชีวิตมีเพียง 0.01% เท่านั้น หลังจากนั้นทางครอบครัวได้เปลี่ยนชื่อเขาเป็น ‘ปาณรวัฐ’ ซึ่งเป็นชื่อขอพระราชทานจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร มีความหมายว่า ‘ผู้มีชีวิตอยู่ตามคำขอ’ เพื่อเป็นสิริมงคล ภายหลังการรักษาด้วยวัคซีนเฉพาะโรคและได้รับกำลังใจอย่างมากมาย บิ๊กรอดชีวิตและออกจากห้องไอซียูในเวลาต่อมา แต่กลายเป็นเจ้าชายนิทราซึ่งสร้างความเศร้าโศกแก่แฟนเพลงอย่างแสนสาหัส จึงเกิดปรากฏการณ์พับนกกระดาษส่งกำลังใจให้กันทั่วประเทศ

โดยทางต้นสังกัด คือ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) ได้จัดคอนเสิร์ตพิเศษในชื่อ ‘ดีทูบี เดอะ เนเวอร์-เอ็นดิ้ง คอนเสิร์ต : ทริบูต ทู บิ๊ก ดีทูบี’ ขึ้นในวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2547 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อเป็นการระลึกถึงบิ๊ก และถือเป็นการยุติวงดีทูบีไปในตัว โดยรายได้จากการจัดคอนเสิร์ตเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว ได้มอบให้ครอบครัวของบิ๊ก เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วย

ส่วนอาการของบิ๊กเบื้องต้นยังเป็นไปได้ด้วยดี ยังมีความรู้สึกตัวดี แต่ไม่นาน ก็ต้องนอนโดยไม่รู้สติ เพราะสมองถูกเชื้อโรคที่มาจากน้ำเน่าในคูทำลาย แฟนคลับที่ทราบข่าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นหญิง ต่างพากันไปเยี่ยมเยือนและร้องไห้เป็นกลุ่มจำนวนมากกลุ่มหนึ่ง การรักษา คณะแพทย์ได้พยายามช่วยชีวิตบิ๊กด้วยการให้ยาและผ่าตัดอยู่หลายครั้ง รวมถึงยาตัวใหม่ที่เพิ่งมีการผลิตออกมาด้วย แต่ก็ทำได้เพียงช่วยไม่ให้เสียชีวิตเท่านั้น แต่สมองก็ยังไม่รับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น ได้ย้ายที่รักษาไปหลายแห่ง และต้องนอนรักษาตัวอยู่นานถึง 4 ปี โดยมี น.พ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ เป็นแพทย์เจ้าของคนไข้ ซึ่งคณะแพทย์ผู้รักษาได้เปิดแถลงข่าว ความคืบหน้าของอาการเป็นระยะ ๆ 

จนกระทั่งเวลา 09.30 น. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2550 บิ๊กเสียชีวิตลงในที่สุด ที่โรงพยาบาลศิริราช ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดทางปอด รวมอายุได้ 25 ปี กับ 1 สัปดาห์ หลังเป็นเจ้าชายนิทราจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึง 4 ปี ต่อมาศิลปินค่ายอาร์เอสกับศิลปินค่ายกามิกาเซ่ รุ่นบุกเบิกและแฟนคลับทั่วประเทศต่างก็มาร่วมไว้อาลัยบิ๊กเป็นจำนวนมากครั้งสุดท้าย โดยทางสำนักข่าวสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีหรือช่อง 9 เดิม กล่าวว่า บิ๊กเป็นผู้ป่วยชาวไทยคนแรกของเอเชีย ที่ป่วยเป็นเชื้อราร้าย Scedosporium จึงเป็นข่าวดังที่สนใจไปทั่วโลกเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น

18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’ หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคต ผู้ทรงก่อตั้ง ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ เพื่อช่วยชาวไทยภูเขาให้อยู่ดีกินดี

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จสวรรคตที่โรงพยาบาลศิริราช รวมพระชนม์มายุ 95 พรรษา

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 ทรงเป็นบุตรคนที่ 3 ใน พระชนกชู และ พระชนนีคำ พระนามเดิมคือ สังวาลย์ ตะละภัฏ ในวัยประมาณ 7-8 ขวบ ครอบครัวได้นำพระองค์ไปฝาก คุณจันทร์ แสงชูโต ซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงในพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ทรงเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนสตรีวิทยา จากนั้นเข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนพยาบาลแห่งเดียวในประเทศไทยในขณะนั้น

ทรงเป็นนักเรียนที่มีอายุน้อยที่สุดในรุ่นของพระองค์ซึ่งมีจำนวนเพียง 14 คน พระองค์ทรงเรียนได้ดีและทรงศึกษาสำเร็จภายในสามปี และทรงทำงานต่อที่โรงพยาบาลศิริราช ตามข้อผูกพันของการเป็นนักเรียนหลวง

ในปี พ.ศ. 2460 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงได้รับทุนให้ไปเรียนวิชาพยาบาลเพิ่มเติมที่สหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ทรงศึกษาอยู่นั้น ได้ทรงพบกับ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ (พระบรมราชชนก) ซึ่งได้ทรงถูกพระทัย และขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์

จากนั้นได้ทรงจัดพิธีอภิเษกสมรส ที่วังสระปทุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการแพทย์ ทรงจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสาเดินทางไปรักษาผู้ป่วยในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทรงตั้งมูลนิธิขาเทียมออกจัดทำขาเทียมให้ผู้พิการ

นอกจากนี้ ตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมภ์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ โดยพระองค์จะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือนพระองค์จะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top