Thursday, 9 May 2024
Hard News Team

หวั่นใจ!! 'คลังชาติ' ใต้ความพยายามครอบงำ 'ธนาคารแห่งประเทศไทย' การกระทำที่แม้แต่จอมเผด็จการตัวจริงของไทย 'ยังไม่เคยคิดจะทำ'

จากคำปราศรัยของ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในงาน '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' จัดโดยพรรคเพื่อไทย โดยเธอกล่าวถึงปัญหา 3 เรื่องของธนาคารชาติคือ...

1. ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
2. กฎหมายที่กำหนดให้แบงก์ชาติเป็นอิสระเป็นต้นเหตุของปัญหา
3. หากแบงก์ชาติไม่ยอมทำความเข้าใจและร่วมมือกับรัฐบาล จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ

ด้วยเหตุที่ 'อุ๊งอิ๊ง' อ่านตามโพย จึงเกิดกระแสวิจารณ์ว่า เธอพูดโดยไม่ได้เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของธนาคารชาติจริง ๆ แต่พูดตามที่มีคนเขียนบทให้ และทำให้คิดว่า พรรคเพื่อไทยใช้ 'อุ๊งอิ๊ง' และการปราศรัยในงานนี้ โจมตีธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งแสดงท่าทีที่ไม่ยอมตามนโยบายของรัฐบาลมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องการลดดอกเบี้ย และการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

ทั้งนี้ ธนาคารกลาง หรือ ธนาคารชาติเป็นองค์กรอิสระที่มีความเฉพาะตัว โดยทั่วไป แม้ว่าหน่วยงานเหล่านี้จะเป็นองค์กรของรัฐ ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล และผู้ว่าการได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล แต่จะต้องเป็นอิสระจากรัฐบาล เพราะหากไม่เป็นอิสระแล้ว ก็จะเกิดความเสี่ยงร้ายแรงจากการบิดเบือนและการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองที่รออยู่อย่างแน่นอน ซึ่งส่งผลอย่างสำคัญให้เกิดภัยร้ายแรงที่คุกคามต่อเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคมของประเทศ

ความเป็นอิสระของธนาคารชาติ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างธนาคารชาติกับนโยบายของรัฐบาล มีข้อดีสำหรับทั้งสองฝ่าย 

***ในด้านหนึ่ง รัฐบาลสามารถได้รับประโยชน์จากคำแนะนำด้านเทคนิคจากธนาคารชาติ (ที่มีความเป็นอิสระ) ในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบทางการเงินจากโครงการเศรษฐกิจและการคลังที่เสนอโดยรัฐบาล 

นอกจากนี้ ธนาคารชาติอาจอำนวยความสะดวกในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลได้ด้วยการใช้มาตรการทางการเงินและสินเชื่อที่เหมาะสม และธนาคารชาติยังสามารถช่วยเหลือรัฐบาลได้โดยใช้ชื่อเสียงในฐานะสถาบันอิสระเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดยืนของรัฐบาลในกรณีที่นโยบายทางเศรษฐกิจหรือการคลังที่รัฐบาลดำเนินการถูกมองว่าไม่มั่นคง ขาดเสถียรภาพ 

ดังนั้น ความเป็นอิสระของธนาคารชาติ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานที่เป็นกลางและการดำเนินงานด้วยความยุติธรรมในระบบเศรษฐกิจ เมื่อธนาคารชาติเป็นอิสระจากกระทรวงการคลัง ธนาคารชาติก็สามารถตัดสินใจโดยพิจารณาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมากกว่าแรงกดดันทางการเมือง เพราะความเป็นอิสระนี้ จะช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคา ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน 

***ในอีกมุมหนึ่ง มีหลายสถานการณ์ที่ธนาคารชาติต้องการหรืออย่างน้อยก็จะได้รับอานิสงส์จากมาตรการเสริมของรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะพบว่าวัตถุประสงค์ของนโยบายการเงินที่กำหนดสามารถบรรลุผลได้ง่ายขึ้น หากมีการใช้มาตรการทางการคลังและมาตรการอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ทางการเงินร่วมกับมาตรการทางการเงินและสินเชื่อ 

สรุปแล้ว นโยบายการเงินและสินเชื่อสามารถช่วยเหลือรัฐบาลในการดำเนินโครงการของตนได้ แต่ถ้าธนาคารชาติมีความเห็นที่แตกต่าง ก็อาจเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการคลังของรัฐบาล อย่างเช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลย่อมไม่เต็มใจที่จะให้ธนาคารชาติดำเนินการอย่างอิสระอีกต่อไป และอยากให้ธนาคารชาติอยู่ภายใต้ขอบเขตอิทธิพลของตน

แน่นอนว่า แนวคิดและมุมมองเช่นนี้ แม้แต่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรัฐประหาร ผู้ที่สังคมไทยมองว่าเป็น ‘จอมเผด็จการ’ ตัวจริงของไทยยังไม่เคยทำเลย เพราะจอมพลสฤษดิ์ไม่เคยเข้าไปวุ่นวายยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 

ดังนั้นแนวคิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นของพรรคเพื่อไทยหรือตัวหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงใยและเป็นกังวลในผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ การเงิน และการคลังของชาติในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง

🔎รู้จัก 'บ.ทุนธนชาต' กลุ่มธุรกิจการเงินไทยที่เน้นเติบโตอย่างยั่งยืน✨️

ถ้าพูดถึง ‘กลุ่มธนชาต’ หรือที่มีชื่อเต็ม ๆ ว่า บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) และชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ TCAP คนส่วนใหญ่อาจจะนึกถึงธนาคารธนชาต ที่มีสีส้มสดใส เป็นสัญลักษณ์ให้คนได้จดจำ แต่ปัจจุบัน ธนชาต ได้เปลี่ยนเป็น ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ TTB ไปแล้ว ภายหลังจากมีการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย และธนาคารธนชาต

ก่อนที่จะมาเป็น ‘ทุนธนชาต’ ในวันนี้ เส้นทางธุรกิจขององค์กรได้เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อปี 2523 โดยนายบันเทิง ตันติวิท (ประธานกรรมการ) และนายศุภเดช หมู่ศิริเลิศ ได้เข้าไปฟื้นฟู แคปปิตอลทรัสต์ ซึ่งพัฒนามาจากลี กวง มิ้ง บริษัทส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยเปลี่ยนมาเป็น ‘บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนชาต’ ซึ่งได้ผ่านร้อนผ่านหนาวและวิกฤตทางเศรษฐกิจมาหลายครั้ง โดยเฉพาะวิกฤตปี 2540 จนสามารถขยายธุรกิจ จนยกระดับเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำของประเทศ และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางอย่างเช่นในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ธุรกิจของกลุ่มธนชาตนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ธุรกิจการเงินเท่านั้น แต่มีการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลาย โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจเน้นการลงทุนและเป็นบริษัทแม่ (Holding Company) ที่เข้าไปลงทุนในกิจการต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมั่นคงในระยะยาว

🔴ธุรกิจของกลุ่มธนชาต มีอะไรบ้าง?

อย่างที่เกริ่นไปว่า ‘กลุ่มธนชาต’ ดำเนินธุรกิจแบบ Holding Company จึงมีธุรกิจที่เข้าไปลงทุนหลากหลาย ตัวอย่างเช่น...

👉กลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ 
ดำเนินธุรกิจโดย บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ แบบ ก (Full License) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น การเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ การเป็นที่ปรึกษาทางการลงทุน การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การเป็นตัวแทนสนับสนุนการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน การเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ เป็นต้น

👉 กลุ่มธุรกิจประกัน ประกอบด้วย...
บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) ให้บริการประกันภัย โดยครอบคลุมถึงการรับประกันวินาศภัย ได้แก่ การประกันภัยรถยนต์ การประกันอัคคีภัย การประกันภัยเบ็ดเตล็ด

👉 ธุรกิจการลงทุน
📌 บริษัท ที ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ให้บริการรับประกันชีวิตรายบุคคล ประกันชีวิตกลุ่ม ซึ่งเป็นหลักประกันด้านการออมเงิน ให้ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ

📌 บริษัท ที เอ็ม โบรคเกอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจในการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิต รวมถึงเป็นผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินและการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ในการเป็นนายหน้าประกันภัยหรือตัวแทนประกันภัย

📌 บริษัท เอ็ม ที เซอร์วิส 2016 จำกัด ประกอบธุรกิจให้บริการงานด้าน Back Office และ Business Support แก่เอ็มบีเค ไลฟ์ และทีเอ็ม โบรคเกอร์

👉 กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ประกอบด้วย...
📌 บริษัทบริหารสินทรัพย์ เอ็น เอฟ เอส จำกัด รับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินในกลุ่มธนชาตและสถาบันการเงินอื่นมาบริหาร

📌 บริษัทบริหารสินทรัพย์ แม๊กซ์ จำกัด รับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินอื่นมาบริหาร

📌 บริษัทบริหารสินทรัพย์ ที เอส จำกัด รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากธนาคารนครหลวงไทยและธนาคาร ธนชาต ทั้งสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และทรัพย์สินรอการขายมาบริหาร 

👉 กลุ่มธุรกิจลิสซิ่ง ประกอบด้วย...
📌 บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ให้บริการสินเชื่อเพื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงิน โดยมุ่งเน้นในตลาดรถยนต์ทั้งใหม่และเก่า ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ได้แก่ รถกระบะ รถแท็กซี่ รถหัวลาก และรถบรรทุก เป็นต้น

📌 บริษัท อาร์ทีเอ็น อินชัวร์รันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและนายหน้าประกันชีวิตโดยให้บริการแก่ลูกค้าของราชธานีลิสซิ่งเป็นหลัก

👉 กลุ่มธุรกิจลงทุน ประกอบด้วย...
📌 บริษัท ธนชาต เอสพีวี 1 จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อเข้าซื้อหุ้นราชธานีลิสซิ่งจากธนาคารธนชาต ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ

📌 บริษัท ธนชาต เอสพีวี 2 จำกัด จัดตั้งขึ้นเพื่อเข้าซื้อหุ้นบริษัทอื่นๆ จากธนาคารธนชาต ตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยบริษัทที่รับโอนมา เป็นกลุ่มบริษัทที่จะไม่มีการประกอบกิจการใหม่ และจะดำเนินการเลิกบริษัทและชำระบัญชีในที่สุด

นอกจากธุรกิจทางด้านการเงิน ซึ่งเป็นธุรกิจที่กลุ่มธนชาตมีความแข็งแกร่งและสร้างผลตอบแทนที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่องแล้ว กลุ่มธนชาต ยังมีการลงทุนในธุรกิจแขนงอื่นๆ ด้วย เช่น บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) (MBK) ที่ถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% ซึ่ง MBK ถือเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ มีการดำเนินธุรกิจที่หลากหลายทั้ง ธุรกิจศูนย์การค้า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาหาร ธุรกิจการเงิน ธุรกิจกอล์ฟ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ๆ 

และที่น่าสนใจ MBK คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่สุดราว 48% ในบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้าที่เรียกได้ว่าเป็นระดับแลนด์มาร์กของประเทศไม่ว่าจะเป็น ไอคอนสยาม, สยามพารากอน, สยามดิสคัฟเวอรี, สยามเซ็นเตอร์, และสยาม พรีเมี่ยม เอาท์เล็ต กรุงเทพ ซึ่งมีข่าวว่ากำลังจะ IPO เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า กลุ่มธนชาต ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจการเงินเท่านั้น แต่ยังกระจายการลงทุนเข้าไปในธุรกิจที่หลากหลาย จากจุดเริ่มต้นเป็นเพียงบริษัทหลักทรัพย์ แต่ผ่านมา 44 ปี ได้แผ่กิ่งก้านขยายการลงทุนเข้าไปยังธุรกิจต่าง ๆ มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กลุ่มธนชาตกลายเป็นองค์กรที่มีเครือข่ายธุรกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเป็นองค์กรมีความชัดเจนด้านการดำเนินธุรกิจและเดินตามวิสัยทัศน์ที่ว่า 'เป็นบริษัทการลงทุนชั้นนำในธุรกิจหลากหลาย เป็นที่ยอมรับทั่วไป ในด้านความมั่นคง ยั่งยืน และมีผลตอบแทนที่ดี' อย่างแท้จริง

'นายกฯ ฝรั่งเศส' ทัก "หนีห่าว" ต้อนรับ 'สีจิ้นผิง' พร้อมพิธีอันสมเกียรติ สะท้อน!! การทูตที่ฝรั่งเศสให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดกับการมาเยือนนี้

(6 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัว รายงาน สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางถึงกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ค.67) เพื่อการเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ โดยมีแกเบรียล อัททาล นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ให้การต้อนรับ ณ ท่าอากาศยานปารีส ออร์คลีย์ พร้อมกล่าวคำทักทายเป็นภาษาจีนว่า "หนีห่าว" หรือ "สวัสดี"

ทั้งนี้ ท่าอากาศยานฯ ได้ติดธงชาติจีนและธงชาติฝรั่งเศสที่โบกสะบัดตามสายลม พร้อมปูพรมแดงต้อนรับผู้นำจีน โดยมีคณะผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลฝรั่งเศสเฉกเช่นอัททาลยืนรอต้อนรับการมาถึงของสีจิ้นผิง ซึ่งพิธีการทูตนี้สะท้อนว่าฝ่ายฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับการมาเยือนครั้งนี้อย่างยิ่งยวด

อนึ่ง การเยือนครั้งนี้เป็นการเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 3 และการเยือนยุโรปครั้งแรกในรอบเกือบ 5 ปี ของสีจิ้นผิง ขณะความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ฝรั่งเศส จะครบรอบ 60 ปี ในปีนี้

รายงานระบุว่าสีจิ้นผิง พร้อมด้วยเผิงลี่หยวน ผู้เป็นภริยา ก้าวออกจากห้องโดยสารของเครื่องบินและโบกมือให้กับฝูงชนที่มารอต้อนรับ ด้านอัลทาลก้าวเข้าหาสีจิ้นผิงที่เดินลงมาจากบันไดเทียบเครื่องบิน และกล่าวทักทายผู้นำจีนว่า "หนีห่าว" โดยทั้งสองฝ่ายได้เดินเคียงและพูดคุยขณะอัททาลนำพาผู้นำจีนขึ้นรถลีมูซีน

อัลทาลเผยกับสีจิ้นผิงว่าเขาเคยเดินทางเยือนจีนครั้งหนึ่งเมื่อยังดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ รวมถึงเรียนภาษาจีนมานานหนึ่งปีแล้ว ด้านสีจิ้นผิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าอัลทาลพูดภาษาจีนได้ดีตามมาตรฐาน และแสดงความยินดีต้อนรับอัททาลเยือนจีน

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงยังเป็นผู้สนใจวัฒนธรรมฝรั่งเศส โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ปรัชญา วรรณคดี และศิลปะของฝรั่งเศส เมื่อครั้งเยาว์วัย โดยสีจิ้นผิงระบุในบทความที่เผยแพร่ผ่านเลอ ฟิกาโร  (Le Figaro) สื่อฝรั่งเศส เมื่อวันอาทิตย์ (5 พ.ค.67) ว่าฝรั่งเศสมีมนต์เสน่ห์พิเศษอันน่าหลงใหลในสายตาชาวจีน

ร้านสเต็กชื่อดัง ‘อีซี่ กริล' ประกาศฟ้าผ่า!! แจ้งปิดกิจการถาวร ขอบคุณ ‘ลูกค้า’ จากใจ จำเป็นต้องจากไป เพราะปัญหาเศรษฐกิจ 

(6 พ.ค.67) กลายเป็นเรื่องเศร้าไปเลยสำหรับสายเนื้อ เมื่อร้านสเต็กและอาหารไทยฟิวชั่นชื่อดังอย่าง'อีซี่ กริล' (Easy Grill) ได้ประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กเพจ แจ้งปิดให้บริการถาวร โดยระบุข้อความว่า "ขอบพระคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่าน ที่ได้ให้การสนับสนุนอย่างดีตลอดมาค่ะ ร้านปิดตั้งแต่ 5 พ.ค. 67 นี้นะคะ"

"เรียนลูกค้าผู้มีอุปการะคุณทุกท่านร้านอีซี่กริล มีความจำเป็นต้องปิดกิจการอย่างถาวร เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ร้านประสบปัญหาในการดำเนินกิจการทางร้านขอขอบพระคุณลูกค้าที่น่ารักทุกท่านจากใจที่ให้การสนับสนุนอย่างดีตลอดมาขอบพระคุณค่ะ Thank You " ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก

‘บก.ลายจุด’ เชียร์ ‘โน้ส อุดม’ ปมร้อนกรณี ‘เดี่ยว’ ชี้!! วิจารณ์ได้ตรงประเด็น ‘เรื่องการดัดจริต’

(6 พ.ค.67) ‘บก.ลายจุด’ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นักกิจกรรม ทวีตข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) @nuling เห็นด้วยกับ โน้ส อุดม แต้พานิช กรณี ขึ้นพูด ‘เดี่ยวสเปเชียล’ เกี่ยวกับเรื่องพอเพียง โดยได้ระบุว่า...

สิ่งที่โน๊ตพูดถึงคนรวยไปปลูกผักแล้วถ่ายรูปลง IG แต่คนปลูกจริงๆ จ้างเกษตรกรปลูกนั้น

ต้องพิจารณาว่าคนที่ปลูกผักเขาอ้างอิงเรื่องแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงหรือเปล่า คือใน IG เขาพยายามสื่อถึงความเรียบง่ายในแบบที่เป็นภาพลักษณ์ของความพอเพียงหรือไม่ ถ้ามีการสื่อทำนองนี้ สิ่งที่โน๊ตวิจารณ์ถึงว่าตรงประเด็น คือ ดัดจริต

แต่ถ้าคนปลูกไม่ได้อ้างหรือพยายามสื่อความเรียบง่ายแบบพอเพียง แต่เป็นเรื่องความรักความสนใจส่วนตัว แล้วเขามีเงินที่จะทำเช่นนั้นแล้วมีความสุข แบบนั้นคนวิจารณ์ดัดจริต

ในระบบวิธีคิดของโน๊ต เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องทฤษฏีเศรษฐกิจพอเพียง แต่เพียงแต่เขารู้สึกว่าการเป็นเศรษฐีแต่มาทำตัวพอเพียงแบบที่ไม่ได้ทำด้วยตนเองมันดัดจริต แค่นั่นล่ะครับ

ส่วนคนที่ไปด่าโน๊ตกันโครมๆตอนนี้ แมร่งไม่มีอะไรมากไปกว่าโดนคำว่า "พอเพียง" เข้าไปคำเดียว พวกไม่พิจารณาเรืองราวทั้งหมด แล้วมีอาการดีดขึ้นมาอย่างที่เห็น พอเหอะเพลียแล้ว

‘นรุตม์ชัย’ ฟาดใส่ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ที่ภาคภูมิใจกับ ‘รัฐบาลตระบัดสัตย์’ ชี้!! ‘ต้องฟังเสียงปชช.-รับผิดชอบต่อคำพูด-ทำประโยชน์สูงสุดให้ประเทศ’ 

(6 พ.ค.67) นายนรุตม์ชัย บุนนาค รองเลขาธิการ พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึง กรณีที่ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา ทวีสินนายกรัฐมนตรี ประกาศ ว่า เมื่อ 10 เดือนที่แล้วตัดสินใจถูกต้องแล้ว ที่จัดตั้ง ‘รัฐบาลข้ามขั้ว’ ว่าตนขอแสดงความจริง ว่าคนไทยจะได้อะไร ถ้าไม่มีรัฐบาลตระบัดสัตย์ 10 เดือนคนไทยจะได้อะไรบ้าง

1) เด็กจะไม่ถูกปลูกฝังค่านิยม ว่าการโกหก บหรือการตระบัดสัตย์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องในสังคมไทย
2) คนไทยได้ธรรมนูญใหม่ ได้ประชาธิปไตยเต็มใบ
3) คนที่ครอบครองยาบ้า 5 เม็ด ยังผิดกฏหมายต้องถูกลงโทษ ไม่ถือเป็นผู้เสพ
4) ประเทศไทยจะไม่มีกัญชาเสรี จะได้กัญชาเพื่อการแพทย์
5) เศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่านี้เพราะ ได้ใช้งบประมาณปี 67 ตั้งแต่เดือนตุลาปีที่แล้ว ไม่ถูกกั๊กไว้ทำDigital Wallet
6) คนไทยทั้งประเทศ ไม่ต้องเป็นหนี้ เงินกู้ 500,000 ล้าน เพื่อมาแจกดิจิทัล วอลแล็ท ที่ต้องใช้หนี้ชั่วลูกชั่วหลาน โดยผลได้ทางเศรษฐกิจไม่คุ้ม และ ใครกันแน่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้
7) สถาบันหลักของชาติ ที่ทุกคนเคารพเทิดทูน จะไม่ถูกแอบอ้าง ทำให้เสียหายเช่นทุกวันนี้
8) คนไทยจะได้นายก และรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมากับมือ ไม่ใช่นายกที่มาจากส.ว.
9) ขบวนการยุติธรรมไทย จะไม่ถูกทำลายจนย่อยยับ เพียงเพื่อต้องการ ช่วยให้ใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้สิทธิพิเศษแบบเทวดา
10) ประชาชน จะได้รับการดูแลเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง การลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน จะไม่ได้รัฐบาลที่อุ้มแต่พรรคพวกตนเอง ให้มาสูบเลือดจากคนจน

นายนรุตม์ชัย ระบุด้วยว่า หลายเรื่องรัฐบาล ที่รัฐบาลตระบัดสัตย์ แล้ว กล่าวอ้างว่าจะเข้ามาทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนนั้น กลับไม่ตรงกับที่ประกาศไว้และให้คำมั่นสัญญากับพี่น้องประชาชน ขณะที่หลายนโยบาย ที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา กลับไม่ปฏิบัติตาม 10 เดือนที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้องประชาชนได้ร่วมเตือนสติรัฐบาล เพื่อสื่อสารไปถึงผู้มีอำนาจ เพราะการบริหารราชการแผ่นดินต้องรับฟังเสียงพี่น้องประชาชน รับฟังความต้องการ และรับผิดชอบ ต่อคำพูดคำสัญญาที่ให้ไว้ โดยเฉพาะ ความคิดเห็นที่แตกต่าง แม้จะไม่ถูกใจรัฐบาล แต่เป็นสิ่งที่ถูกต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน ผู้มีอำนาจจำเป็นต้องรับฟัง

‘จีน’ ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง ‘มหาวิทยาลัยดีที่สุดในเอเชีย 2024’ ‘สิงคโปร์-มาเลเซีย’ เด็ด!! เป็นประเทศในอาเซียน ที่ติดท็อป 100

(6 พ.ค.67) เว็บไซต์ Times Higher Education แหล่งบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วโลก จากสถาบันการศึกษามากกว่า 7,000 แห่ง ใน 171 ประเทศ ได้จัด 100 อันดับ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ พบว่า ประเทศที่มีจำนวนมหาวิทยาลัยติดอันดับดังกล่าว มากที่สุด คือ “ประเทศญี่ปุ่น” 119 สถาบัน ตามมาด้วย ประเทศอินเดีย 91 สถาบัน และประเทศจีน 89 สถาบัน ทว่ามหาวิทยาลัยจากเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ติดอันดับท็อป 10 ถึง 5 แห่ง

สำหรับ 10 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 มีดังนี้

อันดับ 1 มหาวิทยาลัยชิงหฺวา ประเทศจีน (อันดับโลก : 12)

อันดับ 2 มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ประเทศจีน (อันดับโลก : 14)

อันดับ 3 มหาวิทยาลัยเเห่งชาติสิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์ (อันดับโลก : 19)

อันดับ 4 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง ประเทศสิงคโปร์ (อันดับโลก : 32)

อันดับ 5 มหาวิทยาลัยโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (อันดับโลก : 29)

อันดับ 6 มหาวิทยาลัยฮ่องกง ฮ่องกง (อันดับโลก : 35)

อันดับ 7 มหาวิทยาลัยเซียงไฮ้เจียงตง ประเทศจีน (อันดับโลก : 43)

อันดับ 8 มหาวิทยาลัยฟูตัน ประเทศจีน (อันดับโลก : 44)

อันดับ 9 มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ประเทศจีน (อันดับโลก : =55)

อันดับ 10 มหาวิทยาลัยจีนแห่งฮ่องกง : CUHK ฮ่องกง (อันดับโลก : 53)

ในการจัด 100 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 ครั้งนี้ปรากฏว่า ไม่มีมหาวิทยาลัยจากประเทศไทย ติดอันดับ 

อาทิเช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 117, มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 139, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี อันดับที่ 192, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ในอันดับที่ 201-250, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันดับที่ 401-500, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, มหาวิทยาลัยนเรศวร, มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ติดอันดับ 601+

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจ เมื่อพบว่ามีเพียงมหาวิทยาลัยจาก ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย ที่เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ASEAN) ติดอันดับท็อป 100 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024

รู้จัก ‘ต้องตา สุพัตรา’ ผู้เปิดใจกับผลงาน ‘ลุงตู่’ ในจังหวะที่คนไทยบางคนปิดใจ  สู่ 'ด้อมพีระพันธุ์' หวังอาสาเปิดใจคนไทย 'รับรู้ผลงาน-ไม่ทิ้งคนดีให้สู้โดดเดี่ยว'

(6 พ.ค.67) จากรายการ 'UTN อินฟลูฯ อาสา' ที่เผยแพร่ทาง Youtube ช่อง UTN Today ใน EP.1 ได้นำเสนอบทสัมภาษณ์ของ ‘คุณต้องตา-สุพัตรา รังสิตสวัสดิ์’ ที่มาเล่าถึงจุดเริ่มต้นในการรวมตัวเป็น 'อาสามาด้วยใจ ทำให้เพราะรัก' หลังจากได้ติดตามผลงานของ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี และติดตามต่อเนื่องจนมาเป็น ‘ด้อมพีระพันธุ์’ กองเชียร์ที่ตามให้กำลังใจท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เนื่องจากชื่นชอบที่ท่านเป็นนักการเมืองในอุดมคติ ใจซื่อมือสะอาด กล้าลุยเพื่อคนไทยทุกคน กล้าชนเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ 

คุณต้องตา เผยว่า ตนเป็นชาวบ้านธรรมดา เป็นชาวสวน เมื่อปี 2 ปีที่แล้ว ได้ดูพี่โน้สอุดม เขาเดี่ยวไมโครโฟนและเขาก็พูดถึงคนที่เรารักและเคารพนั่นก็คือ ท่านอดีตนายกฯ ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ โดยพูดถึงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งค้านสายตาเรามากเลย กับสิ่งที่พี่โน้สเขาพูดบนเวที นั่นแสดงว่าขนาดดารายังไม่รู้เลยว่าผลงานของ ‘ลุงตู่’ นั้นมีอะไรบ้าง เราก็เลยออกมาแสดงความคิดเห็นว่าเราไม่เห็นด้วย กับพี่โน้สอุดม ด้วยการทำคลิปลง TikTok พอปล่อยข้ามคืนมีคนดูเป็นล้านวิวเลย แล้วก็มีด่าอีกประมาณ 4 หมื่นความคิดเห็น ทำให้เราเห็นว่ามีคนไม่รัก ‘ลุงตู่’ อยู่เยอะ แถมพอเราออกมาพูดเราก็ยังโดนโจมตีอีก ซึ่งเราก็ตอบเขาไปบ้างไม่ตอบบ้าง แต่อย่างน้อยๆ นั่นก็ทำให้เราเรียนรู้แล้วว่า เราควรจะพูดถึงลุงตู่ ที่ช่องทางไหนที่กระจายตัวได้ไวที่สุด นั่นก็คือ TikTok สิ่งนี้ก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้น

คุณต้องตา เล่าต่อว่า เดิมตนใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ แต่กับ TikTok นี้แทบไม่ได้ใช้เลย ส่วนใหญ่จะเปิดไว้ให้ลูกเฉยๆ แต่พอตนได้เอามาใช้ปุ๊บก็ทำให้เรารู้ได้เลยว่า TikTok เปรียบคือบิดาแห่งการโปรโมตคลิปเลย ตนจึงใช้ช่องทางนี้ให้เป็นประโยชน์ 

"ในเมื่อไม่มีใครมาทำ PR ให้ลุงตู่ งั้นเราก็เริ่มเป็นคนแรกเลย เพราะหากทุกคนเงียบหรือถ้าทุกคนอายหรือกลัวที่จะโดนด่า แล้วใครจะเล่าเรื่องจริงให้คนอื่นๆ ได้รู้ เราต้องอดทน เราโดนด่าเราก็ต้องอดทนเราต้องนำความจริงให้ปรากฏสู่สังคมให้ได้" 

หลังจากนั้น คุณต้องตา ก็เริ่มค้นหาผลงานของลุงตู่ แล้วก็ทำคลิปแบบไม่สนใจความคิดเห็น ทำไปเรื่อยๆ เริ่มต้นจากรถไฟฟ้า ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จด้วยดีในการทำคลิป หรือพอได้เดินทางแล้วเห็นบ้านสีฟ้าริมคลอง (โครงการบ้านมั่นคง) ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นสลัม มันคือบ้านที่ลุงตู่สร้างไว้ ก็ทำคลิปโปรโมตเป็นเรื่องบ้านริมคลอง จากนั้นก็นำเสนอผลงานอีกมากมาย

ทั้งนี้ คุณต้องตา บอกกับตัวเองเสมอว่า อย่าเป็นแค่ ‘สลิ่มเฉยๆ’ ต้องเป็น ‘สลิ่มฟิวชั่น’ อย่าอนุรักษ์นิยมจ๋า ต้องปรับตัวเข้ากับคนรุ่นใหม่บ้าง ถ้าจะทำคลิปที่มันวิชาการเกินไป มันแก่เกินไป แล้วใครจะมาฟัง

หลังจากเริ่มมีผู้ติดตามระดับ 1,000 คน คุณต้องตา เผยว่า ก็เริ่มมีสถานีโทรทัศน์ Top New นำคลิปไปเผยแพร่ต่อประมาณ 30-40 คลิป ก็เริ่มทำให้ตนมีกำลังใจที่มีคนเห็นความตั้งใจนี้ และทำให้ตนไม่สนใจความคิดเห็นในด้านลบอีกต่อไป

"ถ้าเรารู้ แล้วเราเงียบ ประชาชน เขาก็จะเชื่อในกระแสสังคมอย่างนั้น ต่อไปเรื่อยๆ ประชาชนก็ใจเชื่อไปในแบบที่มันผิดไปเรื่อยๆ มันไม่มีความเป็นธรรมให้กับลุงตู่เลย คนทำงานเขาก็ต้องการกำลังใจ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ทำงานเหนื่อย แล้วได้ยินแต่เสียงด่า มันต้องมีเสียง ที่ชมเชยให้เขาได้ยินบ้าง ก็เลยทำคลิปผลงาน ต่อด้วยทำคลิปให้กำลังใจลุงตู่ บางคลิปก็เอาลูกมานั่งพูดคุยด้วย เราก็บอกลูกว่าลูกเห็นไหมข่าวไม่เคยนำเสนอนะ สื่อกระแสหลักไม่มีนะที่จะบอกว่า นี่คือบ้านที่สร้างให้ประชาชนโดยรัฐบาลลุงตู่ สร้างทางรถไฟไปถึงเชียงราย โดยรัฐบาลลุงตู่ ซึ่งสื่อกระแสหลักไม่มีใครนำเสนอเลย" คุณต้องตา เสริม

เมื่อพูดถึงช่วงโควิด19 กับประเทศไทยในยุคลุงตู่? คุณต้องตา กล่าวว่า "นี่ถ้าไม่มีวิกฤตโควิดนะ ประเทศไทยของเราจะไปไกลมากกว่านี้อีก อันนี้ต้องให้เครดิตในการทำงานของรัฐบาลลุงตู่นะ ซึ่งลุงตู่ไม่ได้ทำคนเดียว ลุงตู่ยังมีทีมงานอีกเยอะ ซึ่งถ้าคุณด่าลุงตู่ ก็หมายถึงว่าด่าทีมงานของลุงตู่ด้วย ซึ่งก็เป็นทีมงานพี่น้องชาวไทยด้วยกันทั้งนั้น ตัวเราเองนั้นไม่สำคัญเลย ชาติต้องมาก่อน"
.
เมื่อถามถึงนักการเมืองที่ชอบ? คุณต้องตากล่าวว่า "นักการเมืองที่ชอบ ก็ไม่มีใครเลยนะ เพราะว่าอย่างแรกเลยคือ ไม่รู้จัก และคำว่านักการเมืองมันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะเข้าไปสัมผัส เราเจอมาเยอะ มาหาเสียงที่บ้านเราก็ยกมือไหว้เรา แต่พอได้รับการเลือกตั้งไปแล้ว ถังขยะหน้าบ้านเราเขายังไม่เคยเอามาให้เราเลย ซึ่งเราขอไปเขาก็ลืม ก็เลยไม่ได้ปลื้มนักการเมืองคนไหน แต่จุดเปลี่ยนก็คือ ลุงตู่ เพราะลุงตู่ไม่ใช่นักการเมือง ลุงตู่เป็นทหารที่ทำเพื่อชาติ ทำเพื่อประชาชนอย่างชัดเจน เอาประเทศชาติเป็นที่ตั้งไม่ใช่ผลประโยชน์ นักการเมืองพูดเก่งแต่เขาไม่ทำ ก็เลยไม่ชอบนักการเมือง จนกระทั่งได้มาเจอลุงตู่ พร้อมทั้งทีมงานของลุงตู่ เราก็ดูสิว่าใครทำงานให้ลุงตู่บ้าง เช่น ท่านพีระพันธุ์ ท่านช่วยรักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติหมื่นล้าน (โฮปเวลล์) เราก็ค้นหาข้อมูลดู เขาเป็นผู้พิพากษาด้วยนิ เป็นคนเที่ยงตรง ยุติธรรม ซื่อสัตย์ ไม่เคยเห็นนักการเมืองที่มือสะอาดแบบนี้ ไม่เคยโดนสีแดงด่าไม่เคยโดนสีส้มด่า คนนี้เป็นมือขวาของลุงตู่"

คุณต้องตา กล่าวเสริมว่า "ดังนั้นต่อจากลุงตู่ ก็เลยประทับใจ ‘ลุงพี ท่านพีระพันธุ์’ เพราะประวัติท่านขาวสะอาด มีผลงานเป็นที่ประจักษ์รักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติเป็นหมื่นล้าน ทำเพื่อประชาชน โดยไม่ต้องออกหน้าโปรโมตตัวเอง"

เมื่อถามว่าโครงการหรือผลงานไหนของลุงตู่ที่ประทับใจเป็นการส่วนตัว? คุณต้องตา เผยว่า "ชอบโครงการ EEC มันเป็นโครงการที่จะพลิกผืนแผ่นดินเรา สร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชน ... ประเทศของเรามีทรัพยากรมากมาย ขาดแค่การพัฒนา และลุงตู่ก็เห็นถึงปัญหาในเรื่องนี้ จึงหวังที่จะทำพัฒนาโครงการดังกล่าวเพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีรายได้ที่สูงขึ้น ด้วยการยกระดับประเทศผ่าน EEC ซึ่งนี่คืออนาคตที่แท้จริงของประเทศไทย และมันไม่ใช่แค่การโฆษณาชวนเชื่อ...

"นอกจากนี้ยังมี ‘โครงการคนละครึ่ง’ ซึ่งมันไม่ใช่โครงการที่ดี แต่มันเป็นโครงการที่ดีมากๆๆๆ ทั้งใช้ง่ายและตอบโจทย์-ช่วยเหลือประเทศชาติได้จริง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีการจับจ่ายใช้สอยอย่างบ้าคลั่ง มันทั่วถึงมากขนาด ‘รถขายลูกชิ้น’ ยังมีโครงการคนละครึ่งเลย แค่คุณมีมือถือก็ใช้ได้ทุกคน มันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มาก ส่วนคนรุ่นเก่าที่ใช้มือถือไม่เป็น ก็มาฝึกใช้เป็นเพราะโครงการคนละครึ่งนี่แหละ"

คุณต้องตา เสริมอีกว่า"หลังโควิดเราเปิดประเทศเป็นประเทศแรกๆ ซึ่งมีหลายๆ คนค้าน แต่ลุงตู่ใจกล้ามาก เพราะอะไร เพราะเขาเล็งเห็นและประชุมกันแล้ว ว่าเราจะต้องมี ‘โครงการภูเก็ต Sandbox’ ซึ่งตรงจุดที่คนกำลังโหยหาการท่องเที่ยว อยากจะใช้จ่ายเงิน และประเทศไทยก็เป็นเป้าหมายของคนทั้งโลกในการที่อยากจะมาท่องเที่ยว พอเปิดภูเก็ตคนก็มาจริงๆ และประสบผลสำเร็จอย่างดีมากจนถึงวันนี้ มันทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว จนทำให้เรากลายเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยว ส่วนกรุงเทพฯ ก็ถูกผลักดัน จนกลายเป็นเบอร์ 1 ของเมืองน่าท่องเที่ยวของโลก ประเทศเราชนะเลิศ ประเทศเราสามารถฟื้นตัวได้เลย พอมีการท่องเที่ยว เม็ดเงิน ก็ไหลเข้ามา นักท่องเที่ยวมาเป็นล้านคน มาท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ก็ต้องไปเที่ยวต่อภูเก็ต นี่ก็คือจุดที่ประเทศไทยเริ่มฟื้นตัวได้ อันนี้ก็ต้องยกให้เป็นผลงานของลุงตู่และทีมงาน"

เมื่อถามถึงผลลัพธ์ของคนทำงานเพื่อประเทศกับผลลัพธ์ของการเลือกตั้งที่ออกมาครั้งล่าสุด? คุณต้องตา กล่าวว่า "หลังการเลือกตั้งเรารู้แล้ว ว่าเราผิดพลาดอะไรไป เราไม่ควรจะต่อสู้ไปอย่างโดดเดี่ยว ก็เลยมารวมตัวกับ ฟ้าคราม, พราหมณ์อิศรา, พี่เกี๊ยวซ่า มารวมตัวกันเชียร์จะได้ไม่โดดเดี่ยว เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาเราผิดพลาดไปเราเสีย ‘ลุงตู่’ ไปและเราจะไม่ยอมเสีย ‘ลุงพี’ ไปอีก...

"ฉะนั้นการรวมตัวกันในฐานะอาสามาด้วยใจในครั้งนี้ ก็เพื่อจะแจ้งข้อมูลข่าวสาร ให้ข้อเท็จจริงให้ความจริงกับสังคม ทำให้สังคมได้รับรู้ในวงกว้าง แบบไม่ต้องโดดเดี่ยวโดนด่าอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว เราต้องมารวมตัวกันต่อสู้ในภาคส่วนของประชาชน...

"และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้มารวมตัวกัน ทำงานร่วมกัน เพื่อจะสื่อสาร เพื่อจะเป็นแรงใจและสนับสนุนคอยเชียร์ท่านพีระพันธุ์ต่อไป ต้องไม่ให้ท่านโดดเดี่ยว เราต้องเชียร์ให้คนดีได้บริหารบ้านเมือง เพราะเรามั่นใจแล้วว่า คนๆ นี้ คือ คนดี ที่จะมาเป็นตัวแทนของประชาชน เป็นนายกรัฐมนตรีที่คนไทยพึ่งพิงได้"

คุณต้องตา ย้ำในช่วงท้ายด้วยว่า "เราเห็น ‘โครงการโฮปเวลล์’ มาหลายปีแล้ว แล้วเราก็รู้ว่านี่คือความผิดพลาดของประเทศ เราแพ้คดี เราต้องจ่ายเงินค่าโง่ แต่ปรากฏว่ามี ‘ท่านพีระพันธุ์’ มากอบกู้ชัยชนะไว้ให้เราได้ ประเทศไทย เราไม่แพ้ เราไม่ต้องจ่ายเงินค่าโง่หลายหมื่นล้าน ให้กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ซึ่งเอาจริงๆ ประเทศของเราหมดหวังไปแล้ว แต่มีคนอยู่คนหนึ่งซึ่งเขาไม่ยอมแพ้ เขาสู้เพื่อชาติ เขาตื่นขึ้นมาแล้วเขาก็ทำงาน โดยที่ไม่ได้อยู่ในคราบของนักการเมือง แต่เขาคิดว่าเขาจะมาทำงานเพื่อบ้านเมือง นั่นจึงทำให้ส่วนตัวมองว่า ‘ท่านพีระพันธุ์’ คือนักการเมืองในอุดมคติ เฉกเช่นเดียวกันภายหลังจากที่ท่านได้เข้ามาดูแล ‘กระทรวงพลังงาน’ ท่านก็ได้ทำการ 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' ซึ่งท่านมาถูกทางแล้ว"

ถึงบรรทัดนี้ คุณต้องตา อยากฝากให้คนไทยทุกคนช่วยกำลังใจคนทำงานแบบนี้ ช่วยกันส่งแรงใจไปให้ท่านพีระพันธุ์ เพราะมันคือการปกป้องท่านในอีกแบบหนึ่ง 

เพื่อให้คนๆ นี้มีพลัง ทำงานเพื่อคนไทยทุกคนต่อไป

ขอให้กำลัง 'ท่านพีระพันธุ์-รทสช.'

'มูลนิธิพระราหู' มอบเงินช่วยเหลือครอบครัว 'ด.ต.ปิยะนันท์' หลังประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ขณะปฏิบัติหน้าที่ช่วงสงกรานต์

เมื่อวันที่ 5 พ.ค.67 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ในนามมูลนิธิพระราหู  มอบหมายให้ พ.ต.ต.เตชิต เขื่อนหมั่น เป็นผู้แทนนำเงินสมทบทุนช่วยเหลือมอบให้ ครอบครัว ด.ต.ปิยะนันท์ สีเสื้อ (ผบ.หมู่) สทล.3 กก.1 บก.ทล. ประสบอุบัติเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ ภาระกิจจัดการจราจร (เปิดช่องทางเดินรถพิเศษขาเข้า กทม.) บริเวณแยกดีลัง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี เมื่อ วันที่ 16 เม.ย.67 ช่วงเทศกาลสงกานต์ และได้เสียชีวิต ในเวลาต่อมา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่
 

ตำรวจลับราชวงศ์หมิง หน่วยปราบขุนนางชั่ว  กลายเป็นหน่วยปราบขั้วตรงข้าม จนหมิงต้องล่มสลาย

ถ้าคุณชื่นชอบภาพยนตร์ประวัติศาสตร์จีน โดยเฉพาะเรื่องราวในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๖๔๔) นอกจากเรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ของ 'จูหยวนจาง' หรือ 'จักรพรรดิหมิงไท่จู่' (หงอู่) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๓๖๘ - ๑๓๙๘) จากลูกชาวนา เด็กกำพร้า นักบวช กบฏชาวนา ผู้นำกองทัพ ขึ้นสู่จักรพรรดิ เรื่องราวของพระองค์นั้นนับว่ามีสีสันเป็นอย่างยิ่ง 

เศษเสี้ยวหนึ่งของสีสันในชีวิตของพระองค์ก็คือเรื่องราวของการตั้งหน่วยตำรวจลับ องครักษ์แห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญเพื่อใช้จัดการขุนนางฉ้อฉลและคอยปกป้องพระองค์ดังที่ในสมัยฮั่นมีหน่วย 'องครักษ์อวี่หลิน' องครักษ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เริ่มก่อตั้งในรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้หรือ ๑๐๔ ปีก่อนคริสตกาล เช่นเดียวกัน 

ยุคราชวงศ์หมิง ถือว่าเป็นยุคแห่งการตั้งหน่วยตำรวจลับโดยแท้ นัยว่าเพื่อถ่วงดุลกัน แต่ตั้งไป ตั้งมา หน่วยตำรวจลับทั้งหลายกลับกลายเป็นเครื่องมือประหัตประหารกันจนเป็นชนวนเหตุแห่งการล่มสลายของราชวงศ์หมิงในกาลต่อมา 

ซึ่งเรื่องราวของหน่วยตำรวจลับ องครักษ์แห่งราชวงศ์หมิงเหล่านี้ ถูกนำมาสร้างภาพยนตร์จีนอิงประวัติศาสตร์หลาย ๆ เรื่อง ซึ่งจะมีหน่วยอะไรบ้าง ผมนำมาเรียบเรียงให้อ่านกันเพลิน ๆ ดังนี้ครับ 

หน่วยงานตำรวจลับ องครักษ์กลุ่มแรกที่ถูกตั้งขึ้นในราชวงศ์หมิงก็คือ 'องครักษ์เสื้อแพร' (จิ่นอีเว่ย์) เป็นหน่วยองครักษ์พิเศษขึ้นตรงกับองค์จักรพรรดิ ทำหน้าที่อารักขาขบวนเสด็จ ตรวจสอบและจัดการขุนนางรวมถึงกลุ่มอำนาจซึ่งอาจเป็นภัยต่อราชบัลลังก์ ก่อตั้งขึ้นโดย 'จักรพรรดิหมิงไท่จู่' รัชศกหงอู่ปีที่สิบห้า (ราว ค.ศ. ๑๓๘๒) 

จุดเด่นขององครักษ์เสื้อแพรก็คืออาวุธประจำตัว ได้แก่ 'ดาบซิ่วชุน' (ปักวสันต์) ซึ่งเป็นดาบสัณฐานเหลี่ยมหนึ่งด้านหนา หนึ่งด้านคม ปลายไม่แหลม เน้นการฟาดฟันเพื่อให้ขาด และใช้เพื่อทรมาณ 

จากอาวุธก็มาที่เครื่องแบบเรียกว่าชุด 'เฟยอหวี' (มัจฉาเหิน) ซึ่งเป็นเครื่องแบบเฉพาะของครักษ์เสื้อแพร มีลักษณะเป็นชุดคลุมยาว ปักลายมังกรมัจฉาบิน (นึกถึงปลามังกรเข้าไว้ครับ) ซึ่งมีสีเหลือง - ทอง (ออกทางเข้มกว่า) เพื่อให้รู้ว่าเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิ ส่วนองครักษ์เสื้อแพรระดับสูงนั้นจะมีชุดประจำตำแหน่งอีกสองแบบ นั่นคือชุด 'หมั่งฝู' (ปักลายงูเหลือม) และชุด 'โต่วหนิว' (ปักลายวัวมังกร) ซึ่งเป็นเครื่องแบบพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ 

องครักษ์เสื้อแพรนั้นเริ่มต้นมีอยู่ราว ๕๐๐ คน ต้องผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด มีผู้รับรองว่าประวัติบริสุทธิ์ ไม่เคยต้องโทษ และต้องผ่านการทดสอบมากมาย โดยรู้จักกันในฐานะ 'นักสืบ' หรือ 'นักจับ' และ 'นักทรมาน' ด้วยภารกิจลับส่วนใหญ่จะเป็นภารกิจสืบสวนสอบสวน ติดตามและจับกุมบรรดาขุนนางที่ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดร้ายแรงหรือมีแผนการชั่วร้าย เช่น ทุจริต หรือก่อกบฏ เป็นต้น สามารถกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ผู้ต้องหายอมรับสารภาพ 

วิธีการทรมานผู้ต้องหาขององครักษ์เสื้อแพรนั้นขึ้นชื่อว่า โหดเหี้ยมอำมหิต กล่าวกันว่าเมื่อใดที่องครักษ์เสื้อแพรเคาะประตูบ้าน ก็เตรียมบอกลาคนในบ้านได้เลย แต่มีขึ้นก็ต้องมีลง โดยในปี ค.ศ. ๑๓๙๓ จักรพรรดิหมิงไท่จู่ได้ลดบทบาทขององครักษ์เสื้อแพรลง เนื่องจากเหตุการณ์สอบสวนที่ลุแก่อำนาจ ทำให้เกิดการฆ่าคนไปมากมาย ราว ๔๐,๐๐๐ คน จากการสอบสวนเรื่องแผนการกบฏของ 'หลันหยู' เพียงคดีเดียว นับว่าน่าหวาดผวามาก ๆ 

สืบเนื่องต่อมา ก็มาถึงยุคที่จักรพรรดิตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขุนนางและขันที ขุนนางกับขันทีผลัดกันขึ้นมาครองอำนาจในราชสำนัก องครักษ์เสื้อแพรก็กลายเป็นมือเป็นเท้าให้โดยผ่านการ 'ซื้อตัว' ขุนนางระดับผู้บัญชาการในสำนักองครักษ์เสื้อแพร เพื่อใช้งานในการกำจัดศัตรูทางการเมืองของตน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อแพรยิ่งเป็นไปในเชิงลบมากขึ้น แต่กระนั้นในยุคราชวงศ์หมิงยังมีหน่วยงานที่เหมือนกับองครักษ์เสื้อแพรเกิดตามขึ้นมาอีก 

ในรัชสมัยจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ (หยงเล่อ) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๔๐๒ - ๑๔๒๔) พระองค์ได้ยึดครองราชย์บัลลังก์จากจักรพรรดิหมิงฮุ่ยจง (เจี้ยนเหวิน) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๓๙๘ - ๑๔๐๒) ซึ่งเป็นหลานชายของพระองค์แล้วปราบดาภิเษกตนเองขึ้นปกครองราชวงศ์หมิง หน่วยงานเดิมอย่างองครักษ์เสื้อแพรก็เลยไม่เป็นที่ไว้วางพระทัย อีกทั้งก่อนที่พระองค์จะครองราชย์พระองค์ได้สู้รับกับมองโกลจนได้รับชัยชนะ โดยมีเชลยศึกเด็กได้ถูกตอนเป็น 'ขันที' และในกลุ่มขันทีเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นข้ารับใช้ใกล้ชิดพระองค์มาตั้งแต่ยังไม่ครองราชย์ ไม่แปลกถ้าหลายหน่วยงานของพระองค์จะมี 'ขันที' เป็นผู้บัญชาการ หนึ่งในนั้นคือหน่วยตำรวจลับของพระองค์ที่มีชื่อว่า 'ตงฉ่าง'

ตงฉ่าง หรือ สำนักบูรพา ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๔๒๐ ตงฉ่าง เป็นหน่วยลับสำหรับตรวจสอบคดีพิเศษ ทำหน้าที่เหมือนตำรวจลับปฏิบัติภารกิจพิเศษที่ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิเช่นกัน ที่สำคัญหน่วยงานอื่นใดก็ไม่สามารถแทรกแซงได้ โดยมีขันทีที่ได้รับความไว้วางพระทัยเป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งในหน่วยยังประกอบด้วยขันทีผู้มีวิทยายุทธสูง ด้วยความเป็นขันทีจึงสามารถเข้าวังฝ่ายใน เพื่อทูลข่าวสารแก่จักรพรรดิได้โดยตรง จึงเป็นหน่วยสำคัญที่แม้กระทั่ง 'องครักษ์เสื้อแพร' ก็ต้องกลายมาเป็นมือเท้าทำงานภายใต้การบัญชาการของ 'ตงฉ่าง'

ในช่วงแรกสำนักตงฉ่างก็ทำหน้าที่ได้ดี สามารถสืบหาผู้กระทำความผิดต่อบ้านเมืองมาลงโทษได้ แต่ต่อมา 'ตงฉ่าง' ก็เปลี่ยนไป เมื่อขันทีผู้ใกล้ชิดองค์จักรพรรดิ โดยเฉพาะในสมัยจักรพรรดิหมิงอิงจง (เจิ้งถง / เทียนชุ่น) (ครองราชย์ ๒ ครั้งครั้งแรก ค.ศ. ๑๔๓๕ - ๑๔๔๙ ครั้งที่ ๒ ค.ศ. ๑๔๕๗ - ๑๔๖๔) มีหัวหน้าขันทีชื่อ 'หวังเจิ้น' เริ่มใช้หน้าที่ผู้บัญชาการหน่วยตงฉ่างนี้เป็นช่องทางสั่งสมอำนาจ บารมี และสร้างอิทธิพลให้กับกลุ่มของตน ถึงขั้นสามารถชี้เป็นชี้ตายคนในแผ่นดินได้ มีการทุจริตกันอย่างออกนอกหน้า บรรดาขุนนางที่ต้องการมาขอพบหวังเจิ้น ต้องจ่ายเงินร้อยตำลึงเป็นของขวัญ จะพบองค์จักรพรรดิได้ก็ต้องผ่านทางหวังเจิ้น ทำให้ภายในช่วงระยะเวลา ๗ ปีที่หวังเจิ้นคุมตงฉ่าง เขามีอำนาจ มีเงินและทองรวมกันถึงกว่า ๖๐ โกดัง ขุนนางส่วนใหญ่ต้องคล้อยตามเขา ถ้าขุนนางคนไหนกล้าขัดกับเขา ขุนนางคนนั้นก็จะโดนยัดข้อหาและถูกกำจัด ว่ากันว่า 'ตงฉ่าง' และ 'ขันที' นี่แหละคือชนวนเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์หมิงเสื่อมลง ทั้งยังเป็นหน่วยงานที่คนในราชสำนักหมิงเคียดแค้นและชิงชังมาก ๆ 

ยังไม่จบแค่นี้ เพราะการตั้งหน่วยงานลับแบบนี้ยังไม่จบ ในรัชสมัยของจักรพรรดิหมิงเสียนจง (เฉิงฮว่า) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๔๖๔ - ๑๔๘๗) ในรัชสมัยนี้ขันทีมีอำนาจและอิทธิพลล้นฟ้า ทั้งองค์จักรพรรดิก็ไม่ค่อยออกว่าราชการและไม่วางพระทัยขุนนาง ราชการต่าง ๆ จึงตกอยู่ในมือขันทีโดยเฉพาะ 'มหาขันทีวังจื๋อ” ขันทีคนสนิทของพระสนม “ว่านกุ้ยเฟย' ผู้ซึ่งดูแลองค์จักรพรรดิมาตั้งแต่ก่อนขึ้นครองราชย์ โดย 'วังจื๋อ' เพ็ดทูลพระองค์ว่า 'ตงฉ่าง' นั้น ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลก่อน ๆ ซึ่งพระองค์อาจจะบังคับบัญชาไม่ได้อย่างราบรื่นนัก อย่ากระนั้นเลยพระองค์ควรจะจัดตั้งหน่วยตำรวจลับของพระองค์ขึ้นมาเอง โดยมีเหตุผลหลักก็คือ สอดส่อง ควบคุมตงฉ่างกับองครักษ์เสื้อแพร ทำให้ในปี ค.ศ. ๑๔๗๗ หน่วย 'ซีฉ่าง' หรือ สำนักประจิม จึงเกิดขึ้นมา โดยมี 'มหาขันทีวังจื๋อ' เป็นผู้บัญชาการโดยสามารถออกคำสั่งกับ 'ตงฉ่าง' และ 'องครักษ์เสื้อแพร' ได้ 

เมื่อมี 'ซีฉ่าง' ที่สามารถบัญชาการ 'ตงฉ่าง' และ 'องครักษ์เสื้อแพร' ได้ ความบรรลัยก็บังเกิด เพราะผู้บัญชาการซีฉ่างมีอำนาจมหาศาล ถึงขั้นจับตัวและเข่นฆ่าขุนนาง ชาวบ้านตามอำเภอใจ จนขุนนางและชาวบ้านบริสุทธิ์ต้องตายไปนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะบรรดาขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดี หากไปขัดขวางการหาผลประโยชน์ ก็จะถูกเล่นงานถึงตาย แถมไม่ปล่อยให้ตายง่าย ๆ ต้องทรมานจนทนไม่ไหว ซ้ำยังต้องบังคับให้ซัดทอดคนอีกนับสิบ นับร้อย มารับการทรมานด้วย ซึ่งถือว่าเป็นความเลวร้ายระดับสุดยอดจริง ๆ 

แต่ 'ซีฉ่าง' มีอายุหน่วยงานที่สั้นเพียง ๕ ปี เพราะในปี ค.ศ. ๑๔๘๒ ขุนนางใหญ่น้อยรวมทั้ง 'ตงฉ่าง' และ 'องครักษ์เสื้อแพร' ได้ถวายรายงานเรื่องการที่วังจื๋อใช้อำนาจมิชอบ ทำให้จักรพรรดิหมิงเสียนจงตัดสินพระทัยยุบ 'ซีฉ่าง' ส่วนวังจื๋อให้ออกจากราชการแล้วยกโทษตายให้กลับไปใช้ชีวิตอยู่บ้านเกิด (รอดได้ไงวะเนี่ย?)

ตกมาถึงรัชสมัยจักรพรรดิหมิงเซี่ยวจง (หงจื้อ) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๔๘๗ - ๑๕๐๕) พระองค์ทรงเอาใจใส่ต่อราชการบ้านเมือง จนการปกครองในยุคนั้นเริ่มที่จะกลับมาเข้าที่เข้าทางบทบาทของหน่วยตำรวจลับเริ่มถูกลดลง ขันทีเริ่มอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น แต่ทว่าพระองค์ครองราชย์ได้เพียง ๑๘ ปี ก็ทรงสวรรคต 

จากที่กำลังจะดีอยู่แล้วพอมาถึงรัชสมัยของจักรพรรดิหมิงอู่จง (เจิ้งเต๋อ) (ครองราชย์ ค.ศ. ๒๐๔๘ - ๒๐๖๔) พระองค์ขึ้นครองราชย์ด้วยพระชันษา ๑๕ ปี พระองค์ไม่เหมือนพระราชบิดาของพระองค์เลยแม้แต่น้อย ไม่เอางานบ้านเมือง ชอบท่องเที่ยว ใช้ชีวิตสำราญและปล่อยให้งานราชการดำเนินการโดยแก๊งขันที โดยมีผู้นำคือ 'หลิ่วจิน' ซึ่งได้จัดตั้ง 'เน่ยฉ่าง' (สำนักฝ่ายใน) โดยมีกองกำลังของตัวเองที่เรียกว่า 'กองแปดพยัคฆ์' ที่ใช้จัดการขั้วตรงข้ามโดยเฉพาะ เป็นหน่วยงานที่โหดเหี้ยมทารุณและใช้อำนาจบาตรใหญ่ยิ่งกว่า 'ตงฉ่าง' กับ 'ซีฉ่าง' เสียอีก 

ช่วงที่ขันที 'หลิวจิ่น' ครองอำนาจ การทุจริตฉ้อฉล การรับสินบนกลายเป็นประเพณีปฏิบัติ ขุนนางที่เอาใจออกห่างหรือขัดขวางเขาในทางใดทางหนึ่งจะถูกกำจัดอย่างไม่ปรานี ว่ากันว่าในช่วง ๑ ปี เขาสังหารขุนนางตงฉินไปกว่า ๓๐๐ คน ซึ่งเขาเหิมเกริมขนาดที่จะวางแผนชิงบัลลังก์เลยทีเดียว แต่สุดท้ายไม่รอด เขาถูกจับได้และด้วยความกเฬวรากเกินรับ เขาถูกประหารด้วยการแล่เนื้อออกทีละชิ้น ๆ รวมกว่า ๓,๓๕๗ ชิ้น ขณะที่ยังมีลมหายใจท่ามกลางเสียงสาบแช่งของผู้คนเรือนหมื่น ที่อยู่ ณ ลานประหารนั้น 

ต่อมาได้มีการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดของ 'หลิวจิ่น' แล้วพบว่าเขามีทองคำมากกว่า ๑๒ ล้านตำลึง มีเงินกว่า ๒๕๐ ล้านตำลึง ซึ่งยังไม่รวมถึงเพชรนิลจินดาและสิ่งมีค่าอื่น ๆ อีกมากมาย ว่ากันว่าทรัพย์สินของเขามีมากกว่าทรัพย์สินของแผ่นดินถึง ๖ เท่า และ 'เน่ยฉ่าง' ก็ถูกยุบไปโดยปริยาย

แต่กระนั้น 'องครักษ์เสื้อแพร' และ 'ตงฉ่าง' ก็ยังไม่ได้ถูกยุบลงแต่อย่างไร ยังคงอยู่ภายใต้การบัญชาการของขันทีซึ่งใกล้ชิดพระจักรพรรดิอยู่นั่นเอง จนมาถึงรัชสมัยของ 'จักรพรรดิหมิงซื่อจง' (ฉงเจิน) (ครองราชย์ ค.ศ. ๑๖๒๗ - ๑๖๔๔) พระองค์ทรงเห็นว่าตงฉ่างควรจะถูกยุบ แต่ความคิดนี้ถูกขัดขวางโดย 'มหาขันที เว่ย์ จงเสียน' ซึ่งเป็นขันทีผู้กุมอำนาจอยู่ แต่ด้วยความอยากทำตัวเป็นจักรพรรดิ ขันที เว่ย์ จงเสียน จึงถูกปลดและเนรเทศไปอยู่ชายแดน ก่อนที่จะผูกคอตายเพราะกลัวถูกขุนนางที่เคยรังแกตามมาเช็กบิล 

การยุบ 'ตงฉ่าง' จึงเดินหน้าไปได้ จากตงฉ่างก็ตามมาด้วยการยุบหน่วยองครักษ์เสื้อแพร พร้อมกับไล่จัดการพวกขุนนางที่อยู่ข้างเดียวกับ เว่ย์ จงเสียน ไปจนหมด แต่ความเสียหายจากตำรวจลับ องครักษ์เสื้อแพร ตงฉ่าง ซีฉ่าง เน่ยฉ่าง ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมากว่า ๒๗๖ ปี ทั้งยังการกุมอำนาจของขันที ไล่เข่นฆ่าขุนนางตงฉิน และการไม่แก้ไขปัญหาบ้านเมือง จนเกิดเป็นกบฏขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ในปี ค.ศ. ๑๖๔๔ ราชวงศ์หมิงก็ถึงกาลอวสาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top