Friday, 10 May 2024
Hard News Team

‘ฝูเจี้ยน’ เรือบรรทุกเครื่องบินของ ‘จีน’ ล่องทะเลครั้งแรกสำเร็จ หลังทำการทดลองระบบตัวเครื่อง ปลื้ม!! ผลลัพธ์เป็นไปตามคาด

(8 พ.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ฝูเจี้ยน (Fujian) เรือบรรทุกเครื่องบินลำที่ 3 ของจีน เดินทางกลับถึงอู่ต่อเรือเซี่ยงไฮ้ เจียงหนาน ตอนราว 15.00 น. ของวันพุธ (8 พ.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการทดลองล่องทะเลครั้งแรก

โดยรายงานระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินฝูเจี้ยนได้ทดสอบระบบขับเคลื่อนและระบบไฟฟ้า รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ระหว่างการทดลองล่องทะเล ระยะ 8 วัน ซึ่งประสบผลลัพธ์ตามการคาดการณ์

ทั้งนี้ นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนมิถุนายน ปี 2022 เรือฝูเจี้ยนได้รับการทดสอบตามข้อกำหนดการเดินเรือทางทะเล โดยเรือลำนี้สามารถบรรทุกน้ำหนักได้กว่า 80,000 ตัน

ด้าน ซ่ง เสี่ยวจวิน (Song Xiaojun) ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการทหารของจีนกล่าวว่า เรือฝูเจี้ยนได้รับการพัฒนานวัตกรรมต่อยอดจากเรือ 2 ลำแรก คือ เรือเหลียวหนิง และ เรือซานตง โดยสามารถเดินเรือได้นานขึ้นและมีระบบปล่อยอากาศยานที่ทันสมัย

โดยเรือฝูเจี้ยนจะร่วมปฏิบัติภารกิจของกองทัพเรือ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (PLA) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถทางเรือของจีนต่อไป

ซ่ง เสี่ยวจวิน กล่าวอีกด้วยว่า ตอนนี้มีเรือบรรทุกเครื่องบิน 3 ลำ ที่ปฏิบัติการอยู่ โดยเรือ 1 ลำ อยู่ระหว่างการบำรุงรักษา เรืออีกลำอยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจการฝึก และอีกลำใช้สำหรับการฝึกรบ ทั้ง 3 ลำ จึงมีความสำคัญต่อการปฏิบัติการบนน่านน้ำ

อย่างไรก็ตาม เรือฝูเจี้ยนได้รับการพัฒนาด้วยการรวมเทคโนโลยีขั้นสูง และจะมีการทดสอบเพื่อติดตามผลตามแผนการที่กำหนดไว้ในระยะต่อไป

‘Gen-Y’ แบกหนี้อ่วม!! หลังปรับเกณฑ์จ่ายขั้นต่ำบัตรเครดิต 8% อึ้ง!! Q1/67 หนี้เสียพุ่ง!! 6.4 หมื่นลบ. - หนี้ต้องจับตา 1.2 หมื่นลบ.

(8 พ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘Surapol Opasatien’ ของนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร โพสต์ข้อความแสดงความเป็นห่วงถึงหนี้บัตรเครดิต หลังสถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิต ปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า…

ข้อมูลไตรมาสที่ 1/2567 เกี่ยวกับสินเชื่อบัตรเครดิตจากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ พบว่า ตัวเลข​ ณ​ เดือนมีนาคม​ 2567​ ยอดหนี้บัตรเครดิตทั้งหมด​ 24 ล้านใบ เป็นเงิน​ 5.5 แสนล้านบาท เติบโต​ 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) ถ้าเทียบจากสิ้นปี​ 2566​ หดตัว​ 5.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ)

ส่วนตัวเลขบัญชีสินเชื่อบัตรเครดิตที่เป็น​หนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล (Non-Performing Loan หรือ NPLs)​ ค้างชำระเกิน​ 90 วันจะมีจำนวน​ประมาณ​ 1 ล้านบัตรเศษ คิดเป็นยอดเงิน​ 6.4 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตนเริ่มไม่สบายใจ พอมาดูยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (Special Mention Loan หรือ SM) ที่กำลังจะเป็นหนี้เสีย พบว่ามีจำนวนบัตรที่ชำระหนี้ได้แบบตะกุกตะกัก​ ติด ๆ ขัด ๆ​ 1.9 แสนบัตร​ คิดเป็นจำนวนเงิน​ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต​ 32.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

"มาถึงตรงนี้เริ่มตาโตแล้วครับว่า​ แค่สามเดือนแรกของการปรับเพิ่มยอดชำระขั้นต่ำ ทำไมมันเกิดการกระโดดในหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ​ ตามต่อไปดูว่าแล้วมันโตจากปลายปี​ 2566​ เท่าใดก็พบว่า​เติบโตถึง​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ต้องระวังว่ามันจะไหลเพิ่ม​ ไหลแรงกว่าเดิมหรือไม่ นอกจากปัญหาค่าครองชีพแล้ว​ รายได้ไม่ฟื้นตัว​ เปราะบางจนนุ่มนิ่ม​ มันสะท้อนแล้วว่าชำระหนี้สินเชื่อนี้ได้ลำบากมากขึ้น​" นายสุรพล ระบุ

ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโร กล่าวต่อว่า เมื่อนำข้อมูลบัตรเครดิตที่เป็นยอดหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จำนวนเกือบ 2 แสนใบ เป็นบัตรที่เปิดมานานเท่าใด​ พบว่าเปิดบัตรมาไม่เกิน​ 2 ปี​ มีจำนวน​ 3.6 หมื่นใบ อยู่ในมือคนเจนวาย (Generation Y หรือผู้ที่เกิดปี 2524-2539) จำนวน 2.3 หมื่นใบ เปิดมามากกว่า​ 2 ปี แต่ไม่เกิน​ 4 ปี มีจำนวน​ 3.9 หมื่นใบ​ อยู่ในมือ​คนเจนวาย จำนวน 2.7 หมื่นใบ เจนเอ็กซ์ (Generation X หรือผู้ที่เกิดปี 2508-2523) จำนวน 9.2 พันใบ เปิดมามากกว่า​ 4 ปีแต่ไม่เกิน​ 6 ปี มีจำนวน​ 4.5 หมื่นใบ​ อยู่ในมือคน​เจนวาย จำนวน​ 3 หมื่นใบ​ เจนเอ็กซ์​ จำนวน 1.2 ​หมื่นใบ คำถามก็คือ​ หนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ จะไหลต่อเป็น​หนี้เสียอีกเท่าใด​ การกำหนดให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจาก​ 5% เป็น​ 8% และ​ 10% ตามลำดับ​ ช่วยแก้ปัญหาหนี้ได้จริงหรือไม่ ตามเป้าประสงค์มาตรการ

"ความจริงคนเรามีบัตรเครดิตได้หลายใบ​ การเพิ่มอีก​ 3% ของยอดหนี้ในแต่ละใบ​ คนไม่เคยเป็นหนี้อาจนึกไม่ออกว่าจะหมุนหาจากไหนไปจ่ายได้​ และประการสุดท้าย ค่าใช้จ่ายทั้งหลายมันเริ่มเพิ่มอย่างชัดเจน เช่น​ ไข่ไก่​ ผักบางชนิด​ น้ำมันก็เริ่มขยับ​ เป็นต้น​ การท่องตำราแก้ปัญหากับการท่องยุทธ​จักรแบบเดินเผชิญสืบ​ มันใช้ใจที่ต่างกัน​ ตัวอย่างเรื่องนี้คือหนังชีวิตจริง​ แต่ถ้ามองเป็นหนังอานิเมะ​ มันก็อาจผิดเพี้ยน​ ต้องกลับมาดูกันเพราะแค่​ 3 เดือนกลิ่นมันแรงแบบโตขึ้น​ 32.4% เมื่อช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ​ 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา มันไม่ธรรมดานะครับ​ ตั้งโจทย์ผิด​ แต่ตอบโจทย์​ที่ผิดได้ถูก​ ผลลัพธ์​ผลผลิตมันจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่​ วันนี้ฝนตกแล้ว​ ฝนหลังฝุ่นที่ร้อนระอุย่อมสวยงามเสมอ" นายสุรพล ระบุ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ สถาบันการเงินและผู้ให้บริการบัตรเครดิต ปรับเงื่อนไขการผ่อนชำระขั้นต่ำใหม่ของบัตรเครดิต จากเดิม 5% ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 8% ตั้งแต่รอบบัญชีเดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา และจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% สืบเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 นับตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ขอความร่วมมือให้สถาบันการเงิน สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และผู้ประกอบธุรกิจพิจารณาให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ หนึ่งในนั้นคือปรับลดอัตราผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำ ให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของยอดคงค้าง กระทั่งได้ออกมาตรการลดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำของบัตรเครดิต โดยให้สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจกำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำของยอดคงค้างทั้งสิ้น สำหรับปี 2566 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5 สำหรับปี 2567 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 8 และตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10

เพราะความหมาย 'พอเพียง' ที่ถูกตีความจนผิดเพี้ยน สร้างความสับสนให้ผู้คนคิด "ใครจะไปทำได้-ใครจะทำก็ทำไป"

(8 พ.ค. 67) จากเพจ 'Moneyland.biz' ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีมุก ‘พอเพียง’ ที่เป็นกระแสดรามาจากเวทีเดี่ยวสเปเชียล จนสร้างความไม่พอใจแก่คนไทยหลายๆ คนไว้ว่า...

จากกรณีที่คุณโน้ส อุดมเล่นมุกโดยมีการเอาคำว่าพอเพียงมาเล่น ทำไมถึงสร้างความโกรธเคืองไม่พอใจให้กับผู้ใหญ่หลาย ๆ คนในบ้านเมือง

ใครมาแตะคำว่า 'พอเพียง' ไม่ได้เลยเหรอ?

ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ดูเดี่ยวสเปเชียลแล้ว และก็ขำสนุกพี่โน้สทั้งรายการ แต่ต้องยอมรับว่าคำว่าพอเพียง ก็ทำให้ผมไม่สบายใจเช่นกัน ที่มันไม่สบายใจนั้น ไม่ใช่ว่าแตะคำ ๆ นี้ไม่ได้ จริง ๆ คนทั้งโลกควรแตะคำ ๆ นี้ให้มากด้วยซ้ำ (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม) 

ประเด็นคือเพราะพี่ใช้คำว่า 'พอเพียง' มาเอาฮาโดยใช้ความหมายของคำนี้แบบ 'ผิด ๆ' ซึ่งผลกระทบจากการใช้แบบผิด ๆ ของพี่ มันไม่ใช่แค่ขำแล้วจบ มันมีอิทธิพลต่อคนที่ได้ดูด้วยความไม่เข้าใจไปไกลกว่านั้น 

นอกจากนี้ คำนี้ก็เป็นคำที่คนไทยรู้กันดีว่ามาจากคำสอนของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๙ มุกนี้ของพี่จึงไม่ต่างจากการออกมาประกาศกับคนทั้งประเทศว่า ที่พระองค์สอนไว้ ใครจะทำก็ทำไป ฉันทำไม่ได้ แล้วมันสามารถส่งผลชี้นำให้คนทั้งประเทศที่ยังไม่เข้าใจคิดตามได้ว่า ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพอเพียง (ในแบบเข้าใจผิด ๆ) เช่นกัน เพราะพี่โน้สเหมือนเป็นตัวแทนเสียงของคนในสังคมมาเป็นสิบปีแล้ว จากเดี่ยวของพี่ตั้งแต่เดี่ยว 1 ผมดูพี่ผมก็ขำ ไม่ได้โกรธ เพราะผมคิดในแง่ดีว่าพี่คงแค่คิดน้อยไป และเพราะไม่เข้าใจ คนเราพอไม่เข้าใจมันก็เอาไปใช้ผิด ๆ โดยไม่ตั้งใจ แต่พี่ก็สมควรมาก ๆ ที่จะโดนตำหนิในเรื่องนี้ เพราะความคิดน้อยของพี่

เนื่องจาก...ในหลวง ร.๙ ราชาผู้ทรงงานหนักที่สุดในโลก พยายามจะให้ประชาชนเข้าใจคำนี้ เพื่อการเติบโตที่แข็งแรงมั่นคงของคนไทยและทั้งประเทศ

แต่ถูกพี่เอาคำนี้มา Make Joke เพราะไม่เข้าใจ แล้วก็ส่งผลกระทบต่อในทางทัศนคติต่อบรรดาคนที่ไม่เข้าใจที่ดูพี่เป็นสิบ ๆ ล้านคน 

ซึ่งต้องยอมรับว่าพี่โน้สมีอิทธิต่อคนรุ่นนี้มากกว่าในหลวง ร.๙ ที่ทรงไม่อยู่แล้วแน่นอน

คน ๆ นึงทำงานหนักด้วยความสละตลอดชีวิต เพื่อหวังให้ประชาชนของเขาเข้าใจคำ ๆ นี้ เพื่อตัวประชาชนเองและประเทศชาติ

แต่คนอีกคนนึง เล่นมุกกับคำ ๆ นี้ 10 นาที ในวิดีโอที่คนดูได้ทั้งประเทศ แล้วสามารถส่งผลชี้นำวิธีคิดที่มีต่อคำ ๆ นี้ให้ถูกละเลยได้เลย เพราะมีพี่โน้สเป็นตัวอย่าง

คำว่า 'พอเพียง'

คือ ปรัชญาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ประกอบไปด้วย...

3 ห่วง 2 เงื่อนไข

3 ห่วง คือ พอประมาณ มีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน
2 เงื่อนไข คือ ความรู้ คุณธรรม

ถ้าเอาให้สรุปแบบสั้นที่สุดก็คือ ทางสายกลาง ต้องมีความรู้และคุณธรรมอยู่ด้วย

เราทำอะไร พอประมาณกับตัวของเรา มีเหตุผลที่สมเหตุผลในการทำ มีภูมิคุ้มกันหรืออาจเรียกว่ามีแผนสำรอง แต่เราจะไม่สามารถคิดทำ 3 อย่างนี้ได้ถูกต้องเลย ถ้าเราไม่มีความรู้ แต่ความรู้อย่างเดียว แล้วไม่มีคุณธรรม เราก็จะทำโดยไม่สนว่าสิ่งที่เราทำจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นอย่างไร สิ่งที่เราทำให้ประโยชน์ต่อเราแต่ไปทำร้ายใครหรือไม่

หนึ่งในตัวอย่างง่าย ๆ คือ ถ้าทุกคนในโลกมีความพอเพียง (มี 3 ห่วง 2 เงื่อนไข) โลกจะไม่มาถึงปัญหาการสู้รบหรือปัญหาโลกร้อนอย่างทุกวันนี้

ทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน ถ้าแคร์ว่า สิ่งที่เราทำ ส่งผลถึงชั้นบรรยากาศโลกอย่างไร สุดท้ายจะเกิดผลอย่างไร มากกว่าการสนแค่ผลประกอบการ การเอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจ ความสุขสบายของตัวเอง ปัญหาโลกร้อนจะไม่เกิด เป็นต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่มีสักคำพูดที่บอกว่าต้องอยู่อย่างจน ๆ ลำบาก ๆ หรือต้องอยู่ชนบท ไม่มีสักคำว่าให้ทำเกษตรกรรม ไม่มีคำไหนที่บอกว่า ห้ามรวย

ถ้าเข้าใจคำว่าพอเพียง ไม่ว่าทำอาชีพอะไร ถ้าคน ๆ นั้นต้องการจะร่ำรวย เขาจะร่ำรวยได้แบบมั่นคงเสียอีก และจะไม่ทำร้ายใครเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง ไม่ทำร้ายโลกเพื่อความร่ำรวยของตัวเอง คิดดูว่าถ้าทั้งโลกเป็นแบบนี้ โลกนี้จะน่าอยู่แค่ไหน

- MONEYLAND -

*ขออนุญาตนำคำอธิบายเพิ่มเติมในคอมเมนต์มาใส่ไว้ในโพสต์ เพื่อให้คนที่เพิ่งได้มาอ่านมีความเข้าใจคำว่าพอเพียงมากขึ้นนะครับ

คนที่ไม่เข้าใจ ก็จะบอกว่า คนบางคนมีไม่พอด้วยซ้ำ แล้วจะพอเพียงได้อย่างไร?

จริง ๆ แล้ว คนมีไม่พอที่เข้าใจความพอเพียง จะสามารถทำให้ตัวเองไม่ลำบากกว่าเดิม รวมทั้งสามารถใช้ความพอเพียงช่วยเป็นฐานในการถีบด้วยเองขึ้นมาให้มีมากขึ้นจนมีพอได้ด้วย

เช่น ตัวเองหาเงินได้วันละไม่ถึงร้อย ก็จะไม่เอาเงินไปใช้จ่ายอะไรที่ฟุ้งเฟ้อ ไม่มีเหตุผล ไม่เกินตัว และเมื่อเป็นได้อย่างนี้ ก็สามารถที่จะถีบตัวเองให้ขึ้นมามีพอ ได้ง่ายกว่าคนที่มีไม่พอ แต่เอาเงินไปซื้อเหล้า ซื้อของฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่ตัวเองไม่มีศักยภาพที่จะทำแบบนั้น 

เช่นนั้น หากเข้าใจคำว่าพอเพียงตามที่ผมได้อธิบายไว้ จะเข้าใจได้ว่า ไม่ว่าจะรวยสักแค่ไหน หรือยากจนสักแค่ไหน ก็สามารถมีความพอเพียงได้ เพราะพอเพียง คือการทำทุกอย่างในชีวิต (รวมทั้งสร้างฐานะสร้างการเติบโต) ให้สอดคล้องตามอัตภาพของตัวเอง อย่างมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกัน มีความรู้ มีคุณธรรม 

นั่นคือประโยชน์ของการมีความพอเพียง

และมีแต่คนที่ไม่เข้าใจเท่านั้นที่จะบอกว่า การที่ตนเองอยู่ชนบทไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันไม่ได้ คือ ตนเองไม่พอเพียง เพราะการอยู่อย่างลำบากได้ อยู่อย่างจนได้ ไม่ใช่ความหมายของคำว่า พอเพียง ตามที่อธิบายไปแล้วข้างต้น

และคนที่ไม่เข้าใจหลายคน เข้าใจว่าการหาเงินกับความพอเพียงเป็นสิ่งตรงกันข้ามกัน ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ถ้าเข้าใจความพอเพียง จะเข้าใจครับว่าการเงินก็สามารถพอเพียงได้ จึงมีหลักปรัชญา 'เศรษฐกิจ' พอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องการเงินล้วน ๆ

ยกตัวอย่าง การมีเงินสำรองฉุกเฉิน 6 เดือน ก็ถือเป็น ภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ห่วงของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

การลงทุนขยายธุรกิจ ตามความพร้อมและศักยภาพของธุรกิจ และไม่ลงทุนเกินตัว นั่นคือ การรู้จักตน รู้จักประมาณตน และทำอย่างมีเหตุมีผล ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ห่วง หลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยไม่ทำจนไปตัดทางทำมาหากินของพ่อค้าแม่ค้าตัวเล็ก ๆ คือการมีคุณธรรม ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

การขยายธุรกิจ โดยมีการศึกษาก่อนจนมีความรู้มากพอที่จะใช้ในการขยายธุรกิจให้สำเร็จ ก็คือ 1 ใน 2 เงื่อนไขของหลักปรัชญาฯ

คำว่า 'พอเพียง' เดี่ยว ๆ มีความหมายเดียวกับคำว่า 'พอเพียง' ใน 'เศรษฐกิจพอเพียง' กล่าวคือเป็นการนำหลักคิดความพอเพียงมาใช้ในเศรษฐกิจหรือการเงิน

ศึกษาให้เข้าใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการดำเนินชีวิตของเราครับ นี่คือสมบัติอันล้ำค่า ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทิ้งไว้ให้เราและโลกนี้

เพจ '2475 Dawn of Revolution' ถูกรุมรีพอร์ตโพสต์หนังสือการ์ตูน คาด!! เพราะเนื้อหาอิงหลักฐาน อาจเบิกเนตรผู้คนจากผู้แหกตา

(8 พ.ค. 67) เพจ '2475 Dawn of Revolution' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

เปิดเฟซมา ตกใจ เจอหน้าต่างเด้งเตือน
ว่าเพจโดนลบโพสต์ เพราะมีคนไปรีพอร์ตข้อหาสแปม 
ก็เลยใช้สิทธิ ‘วีโต้’ คัดค้านกลับไป 
จนเฟซบุ๊ก คืนโพสต์กลับมา 

เฮ้ออออ ขอพื้นที่เสรีภาพทางวิชาการหน่อยสิครับ 😆

📣📣📣 เปิดพรีออเดอร์ 🔥🔥🔥
หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 
ดัดแปลงจาก ภาพยนตร์แอนิเมชัน
ปกแข็ง เย็บกี่ ขนาด A5  พิมพ์สี่สี ทั้งเล่ม
จำนวน 440-480 หน้า

โอนเงินสั่งจองได้ที่ 
ธนาคารกสิกรไทย 
ชื่อบัญชี  บจก.นาคราพิวัฒน์ 
เลขที่บัญชี 1518061840

💝 สั่งจองหนังสือ โดยส่งข้อมูลตามแบบฟอร์มได้ที่ 
https://forms.gle/Ls647MmQh39qmXYD8

** หากจองผ่าน Form ไม่ได้ ให้ติดต่อทาง inbox เพจนะครับ **

‘ร้านสะดวกซื้อ’ ในญี่ปุ่น เผชิญปัญหา ‘ขาดแคลนแรงงาน’ ทำกระทบเวลาให้บริการ ไม่สามารถเปิด 24 ชม.ได้แล้ว

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) เกียวโด นิวส์ รายงานว่า ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นเกือบ 12% ที่ดำเนินงานโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ จะไม่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงอีกต่อไป ด้วยเหตุผลเรื่องการขาดแคลนแรงงาน และ ความต้องการซื้อที่ลดลงในช่วงดึก จากการสำรวจของเกียวโด นิวส์

โดยการสำรวจนี้ จัดขึ้นในเดือนเมษายน และตอบกลับโดยผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ 7 ราย ยกเว้นบริษัท Yamazaki Baking Co. โดยพบว่า ร้านสะดวกซื้อประมาณ 6,400 แห่ง จาก 55,00 แห่ง ในประเทศ เปิดทำงานในเวลาที่สั้นลง ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเมษายน

ทั้งนี้ ร้านค้าบางแห่ง ได้เร่งเปิดตัวเครื่องบันทึกเงินสดแบบไร้พนักงาน เพื่อรับมือการขาดแคลนแรงงานที่รุนแรงมากขึ้น

ด้าน เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน คอร์ป ผู้นำในอุตสาหกรรมนี้ ได้ลดเวลาทำการของร้านค้าเพิ่มเติม 200 แห่ง นับแต่ปี 2020 ตามคำขอของเจ้าของแฟรนไชส์ ขณะที่บริษัท ลอว์สัน ได้ใช้มาตรการที่คล้ายกันกับร้านค้าอีกประมาณ 100 แห่ง

ในบรรดาร้านสะดวกซื้อชั้นนำ 3 แห่งของญี่ปุ่น ได้แก่ เซเว่น-อิเลฟเว่น , ลอว์สัน และ แฟมิลี่ มาร์ท มีสัดส่วนของร้านค้าที่ทำการสั้นลงค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณ 8-10% เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายเล็กอื่น ๆ

Seicomart ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น มีอัตราการลดเวลาทำงานของร้านค้าสูงสุดที่ร้อยละ 87 ตามมาด้วย Poplar Co. ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในเมืองฮิโรชิมา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น ที่ร้อยละ 79

“เรากำลังใช้มาตรการ โดยคำนึงถึงยอดขายและความยั่งยืน” Ministop Co. เปิดเผย ซึ่งได้เปิดให้ร้านค้า 22% เปิดทำการสั้นลง

นับตั้งแต่ เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน เปิดร้านสะดวกซื้อแห่งแรกของประเทศใน โกโต ของโตเกียว ในเดือนพฤษภาคม 2517 ร้านค้าดังกล่าวเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และแพร่หลายไปมากขึ้น โดยลูกค้าไม่เพียงแวะมาซื้อของ แต่ยังมาใช้บริการทางการเงิน จัดส่งพัสดุ และ อื่น ๆ อีกมาก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาไม่กี่ปีนี้ ตลาดในประเทศเริ่มอิ่มตัว และความกังวลเกี่ยวกับการทำงานที่มากเกินไป ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางวิกฤตแรงงาน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยข้อพิพาทปี 2019 ระหว่างเจ้าของแฟรนไชส์ ในโอซาก้า และ เซเว่น อิเลฟเว่น เจแปน เกี่ยวกับการดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ได้รับความสนใจจากสาธารณชน โดยเน้นย้ำเรื่องความกังวลนี้ 

‘พีระพันธุ์’ ปัด!! กฤษฎีกาท้วง ตรึงราคาพลังงาน  ย้อนถาม!! ทำเพื่อประชาชนจะไม่ดีตรงไหน 

(8 พ.ค.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเป็นห่วงมาตรการตรึงราคาพลังงานของรัฐบาล อาจส่งผลกระทบได้ในระยะยาว ว่า “ไม่มี ไม่มี ไปตามข่าวมาจากไหน ตนนั่งประชุมอยู่ในที่ประชุมครม.ก็ไม่มี” 

ผู้สื่อข่าวถามว่าในเอกสารมีความเห็นของกฤษฎีกาว่า ถ้าไปอุดหนุนบ่อยครั้ง จะเป็นการบิดเบือนราคาได้? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “อันนี้ไม่เห็น” 

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าการช่วยเหลือประชาชนต้องเดินหน้าต่อไป? นายพีระพันธุ์ กล่าวย้อนว่า “การช่วยเหลือประชาชนไม่ดีตรงไหน” ส่วนข้อกังวลของหน่วยงานตนยังไม่เห็น 

เมื่อถามว่าสมาคมขนส่งมีข้อกังวลว่าหากปรับราคาดีเซลขึ้นไป 33 บาทต่อลิตร อาจจะกระทบภาคขนส่ง? รมว.พลังงาน กล่าวว่า “เราพยายามตรึงราคาให้มาตลอด แต่ก็ได้รับการร้องเรียนมาเหมือนกันว่า เวลาที่ลดราคาทำไมภาคขนส่งไม่ลดราคาให้ประชาชนบ้าง”

เมื่อถามย้ำว่า รัฐบาลจะตรึงราคาอยู่แค่ 33 บาทต่อลิตร จะไม่ขยายไปกว่านี้ใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์กล่าวว่า “เราพยายามตรึงราคาเท่าที่ตรึงได้ ที่ผ่านมาตรึงราคาได้ที่ 30 บาทต่อลิตร ก็ตรึงไว้ที่ 30 แต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา 50 กว่าปี ใช้วิธีตรึงราคาด้วยเงิน ราคาจึงอยู่ที่เงินในกระเป๋าของรัฐ ถ้ามีเงินมากก็ตรึงได้มาก ถ้ามีน้อยก็ตรึงได้น้อย ตอนนี้เงินน้อยก็ตรึงน้อย ถ้าเก็บเงินได้ใหม่ก็ตรึงได้อีก”

“ระบบวิธีใช้เงินไปตรึงราคานี้ ผมพูดมาตลอดว่าไม่เห็นด้วย ต้องปรับระบบใหม่ ซึ่งกำลังทำอยู่ โดยตอนนี้ผมได้เขียนกฎหมายใหม่และจะใช้เวลาไม่นานเพราะเขียนไประดับหนึ่งแล้ว” รมว.พลังงาน เสริม

ผู้สื่อข่าวถามว่ากองทุนน้ำมันยังช่วยดูแลราคาไปได้อีกนานหรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “เดิมการดูแลเรื่องราคาน้ำมันตั้งแต่ปี 2516 เราตั้งกองทุนน้ำมัน แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 42/2547 โดยให้อำนาจกองทุนดูแลตรึงราคาหรือรักษาระดับน้ำมัน ได้ 2 ขา

…ขาหนึ่งใช้เงินกองทุน…อีกขาหนึ่งให้อำนาจในการกำหนดเพดานภาษี โดยกองทุนน้ำมันไม่มีอำนาจในการจัดเก็บภาษี แต่มีอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี เราจึงใช้ตรงนี้ตรึงราคาช่วยดูแลประชาชนได้ นอกจากใช้เงิน ยังใช้เพดานภาษีมาเป็นตัวคุมได้ด้วย โดยเราเป็นคนกำหนดเพดานภาษี แต่คนเก็บคือ กระทรวงการคลัง แต่ต่อมาปี 2562 มีกฎหมายมารองรับยกฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ไปตัดอำนาจในการกำหนดเพดานภาษีของกองทุนฯ ออก เหลือแต่ใช้เงินอย่างเดียว ฉะนั้นนับตั้งแต่ปี 2562 ตัวเลขกองทุนฯ จึงเป็นหนี้ขึ้นมาจำนวนมากและติดลบ เป็นต้นมา เพราะการกำหนดเพดานภาษี ซึ่งเป็นอำนาจของกองทุนฯ ไม่มีแล้ว ทั้งนี้ผมได้พยายามขอให้กระทรวงการคลัง พิจารณาปรับลดเพดานภาษีสรรพสามิต แต่เขาไม่เห็นด้วย ทั้งที่เดิมเป็นอำนาจของกองทุนฯ ที่ระบุว่าอย่าเก็บเกินเท่านี้ ดังนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข”

เมื่อถามว่า หมายถึงจะเอาอำนาจการกำหนดเพดานภาษีกลับมาอยู่กับกระทรวงพลังงานใช่หรือไม่? นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ก็ควรต้องกลับมาเป็นแบบเดิม โดยอำนาจในการเก็บภาษีไม่ใช่อำนาจของกระทรวงพลังงาน แต่สินค้าตัวนี้กระทรวงพลังงานเป็นคนดูแล ฉะนั้นอำนาจในการกำหนดเพดานภาษี ควรจะอยู่กับกระทรวงพลังงาน แต่เมื่อกำหนดแล้วกระทรวงการคลังจะเก็บเท่าไหร่ ก็ไปดำเนินการ”

ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

(8 พ.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีเฟซบุ๊ก ‘Thapanasak Thongsuwan’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“ผู้กำเนิดชาติจีน คือ ‘เหมา เจ๋อตง’ แต่ผู้สร้างชาติจีน คือ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้กำเนิดชาติอินเดีย คือ ‘มหาตมา คานธี’ แต่ผู้สร้างชาติอินเดีย คือ ‘ชวาหะร์ลาล เนห์รู’

คนศึกษาประวัติศาสตร์รู้ดีถึงบทบาท ที่แตกต่างของรัฐบุรุษในแต่ละชาติ แต่เห็นไหม ‘เติ้ง’ หรือ ‘เนห์รู’ ไม่เคยกล่าวร้ายแก่รัฐบุรุษคนแรกเลย 

แม้แต่ ‘สี จิ้นผิง’ หรือ ‘นเรนทรา โมดี’ ก็ไม่เคยเอาตัวไปเปรียบเทียบกับรัฐบุรุษทั้งสอง วิธีตะวันออกเป็นแบบนี้”

TikTok ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ หลังบีบให้ ‘ขาย’ หรือ ‘ถูกแบน’ ลั่น!! เป็นการละเมิดสิทธิ ด้วยคำอ้างความมั่นคงของชาติ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค. 67) ติ๊กต็อก (TikTok) ได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ในความพยายามที่จะสกัดกั้นการบังคับใช้กฎหมายที่ได้รับการอนุมัติเมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งพยายามบีบให้ติ๊กต็อกต้องเลือกว่าจะขายกิจการหรือจะถูกแบน โดยเอกสารฟ้องร้องที่ยื่นต่อศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี กล่าวหาว่า กฎหมายดังกล่าวซึ่งได้แก่ กฎหมายการปกป้องชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาตินั้น ละเมิดการคุ้มครองเสรีภาพในการพูดตามรัฐธรรมนูญ

เอกสารฟ้องร้องระบุว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 (First Amendment) อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ติ๊กต็อกระบุในเอกสารฟ้องร้องว่า “นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่สภาคองเกรสได้ตรากฎหมายที่มุ่งเป้าแบนแพลตฟอร์มสำหรับการแสดงออกเพียงแพลตฟอร์มเดียวเป็นการถาวร…และห้ามชาวอเมริกันจากการมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์มีผู้ใช้งานมากกว่า 1 พันล้านคนทั่วโลก”

ติ๊กต็อกโต้แย้งว่า การอ้างถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติไม่ใช้เหตุผลที่เพียงพอในการจำกัดเสรีภาพในการพูด และรัฐบาลกลางมีหน้าที่ที่จะต้องพิสูจน์ว่า การจำกัดเสรีภาพดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างไร แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถทำได้

ด้านนายจอห์น มูเลนาร์ สส.จากรัฐมิชิแกนและประธานคณะกรรมการสภาผู้แทนฯ ด้านการคัดเลือกที่เกี่ยวกับจีนกล่าวว่า “สภาคองเกรสและฝ่ายบริหารได้สรุปจากข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะและข้อมูลที่เป็นความลับว่า ติ๊กต็อกมีความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติและชาวสหรัฐ โดยข้อมูลระบุว่า ติ๊กต็อกยอมที่จะใช้เวลา เงิน และความพยายามในการต่อสู้ในชั้นศาล มากกว่าการแก้ปัญหาโดยการตัดสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผมมั่นใจว่ากฎหมายของเราจะมีผลบังคับใช้”

ฟากสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า การฟ้องร้องในวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ดำเนินความพยายามมาหลายปีที่จะแบนติ๊กต็อก โดยความพยายามที่จะควบคุมแอปฯ ยอดนิยมนี้ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้การบริหารประเทศของทั้ง อดีตปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และ ปธน.โจ ไบเดน

'สมศักดิ์' จ่อรื้อประกาศโทษครอบครอง 'ยาบ้า' ชี้!! ครอบครอง 1 เม็ดก็มีความผิด เสพก็มีความผิด

(8 พ.ค.67) ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นยาเสพติดที่เป็นหนึ่งในนโยบายของรัฐบาล ว่า การบำบัดยาเสพติดซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ที่ต้องบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพราะเรื่องแก้ไขปัญหายาเสพติดจะมี 6 ด้าน คือ ป้องกัน ปราบปราม ฟื้นฟู บูรณาการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และยึดทรัพย์ เพื่อไม่ให้การดำเนินการเกิดความเหลื่อมล้ำในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง เพราะถ้าหากเครื่องจักรทั้งหมดทำงานไม่ไปด้วยกัน ก็จะทำให้เสียเปล่าในงบประมาณ ทั้งนี้ ต้องมีตัวชี้วัดว่าเมื่อมีการเข้ารับบำบัดแล้ว หายเท่าไหร่อย่างไร ถ้าสมัครใจมาบำบัดแล้วหายก็ต้องมีใบรับรอง ส่วนผู้ที่หนีการบำบัดที่มีประมาณร้อยละ 20 นั้นก็จะต้องประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะถือว่ายังเป็นคดี ยังมีความผิดอยู่ ยังต้องรับโทษ เพราะในอดีตยังอาจปฏิบัติตามเงื่อนไขไม่ครบ จึงยังมีการลักลั่นอยู่ แต่ถ้าเราดำเนินการแล้วก็ต้องขอให้หน่วยงานอื่น ๆ ได้ขับเคลื่อนไปอย่างเต็มที่ด้วยกัน ก็จะแก้ไขได้ตามกำหนดเวลาของรัฐบาล ส่วนการกำหนดเวลาต่าง ๆ ขอให้มีการพูดคุยกันในระดับสูงก่อน จึงจะมีความชัดเจนขึ้น

เมื่อถามถึงประกาศกฎกระทรวงสาธารณสุข กำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่สันนิษฐานว่า มีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 กรณีแอมเฟตามีนมีปริมาณไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ ซึ่งตามเจตนารมณ์ของกฎหมายคือให้ถือเป็นผู้ป่วยที่สามารถสมัครเข้ารับการบำบัดแทนการรับโทษจำคุกได้ แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จะมีการพิจารณาใหม่อีกครั้งหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า แน่นอน ต้องมีการพิจารณาแน่นอน ตนขอย้ำถึงเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ ที่มีการเขียนมาก่อนที่ตนจะรับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม มีการเสนอไม่สำเร็จ ตนจึงนำมาปรับและเสนอใหม่และจบมาเป็นกฎหมาย

“ถ้าผมมีโอกาสเสนอผู้บังคับบัญชา ผมจะพูดถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย แล้วจะทำให้เกิดเป็นงานที่ชัดเจนขึ้นมา เพราะการนำเสนอที่ผิดพลาด ทำให้เกิดความยุ่งยาก คนครอบครองยาบ้า 1 เม็ดก็มีความผิด เสพยาบ้าก็มีความผิด แต่โทษต่างกัน ดังนั้น ต้องดำเนินการตามแนวทางของกฎหมายที่ชัดเจน ต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่เท่าไหร่นั้นขอให้ฟังต่อไป” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะต้องปรับให้น้อยกว่า 5 เม็ดหรือไม่ แล้วมีไทม์ไลน์การดำเนินการอย่างไร นายสมศักดิ์กล่าวว่า ถูกต้อง ส่วนไทม์ไลน์การดำเนินงานนั้น คาดว่าภาครัฐบาลจะออกมาพูด

ถามถึงการแนวทางในกฎหมายควบคุมกัญชา กัญชง ที่ยังรอการออกร่างพระราชบัญญัติอยู่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ต้องมีการปรับปรุงทั้งนั้น แต่ขั้นตอนการดำเนินการต้องครบ 6 ด้านที่กล่าวมา ส่วนเรื่องการบำบัดในกลุ่มโซนสีแดง สีส้ม จะรักษาแบบเดิมไม่ได้ ต้องเพิ่มขั้นตอน ซึ่งเรากำลังทำงานอยู่ ส่วนเรื่อง ร่างพ.ร.บ.ก็ต้องคุยกัน

“เรื่องของกัญชานั้นแนวทางต้องเปลี่ยนไป แต่จะเปลี่ยนอย่างไร เราทำโดยลำพังไม่ได้ ต้องเกี่ยวกับหน่วยงานหลายกระทรวง ต้องมาพูดคุย อย่างเรื่องโรงงานพลุระเบิดจะประกาศกระทรวงเดียวไม่ได้ ต้องประกาศ 5 กระทรวง ต้องพูดพร้อมกัน ถ้าพูดกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งแล้ว มันตีกัน” นายสมศักดิ์กล่าว

ถามย้ำว่าจะนำกัญชากลับสู่ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 หรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า อันนี้เดี๋ยวรอฟัง ตนอยากฟังความเห็นของประชาชนด้วย และต้องฟังแนวทางจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

เมื่อถามว่าเรื่องกัญชาจะมีความชัดเจนเมื่อไหร่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ไม่นาน ภายในเดือนนี้ต้องจบแล้ว 

‘สมาคมเศรษฐศาสตร์ฯ’ ออกแถลง ‘ความขัดแย้ง ธปท.-ฝ่ายการเมือง’ ชี้!! ฝ่ายการเมืองไม่ควรข่มขู่แบงก์ชาติในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง

(8 พ.ค.67) ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย TDRI ในฐานะนายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และนายวิศาล บุปผเวส เลขาธิการสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย รวบรวมรายชื่อเตรียมออกแถลงการณ์เรื่อง ความขัดแย้งระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับ ฝ่ายการเมือง ดังนี้…

‘แถลงการณ์ เรื่องความขัดแย้งระหว่าง ธปท. กับ ฝ่ายการเมือง’

ในห้วงเวลาที่ผ่านมา มีการตั้งคำถามถึงความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะจากฝ่ายการเมือง ว่าเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศหรือไม่ จนนำไปสู่วิวาทะระหว่างฝ่ายที่ต้องการปกป้องความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย กับฝ่ายที่สนับสนุนความเห็นของภาคการเมือง

เนื่องจากวิวาทะเรื่องนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งเป็นเสาหลักหนึ่งของนโยบายเศรษฐกิจมหภาคควบคู่กับนโยบายการคลังในทุกประเทศทั่วโลก ในขณะเดียวกันสังคมยังมีความเข้าใจค่อนข้างน้อยในเรื่องความจำเป็นที่ธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระเพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน คณะผู้แถลงการณ์จึงขอแสดงความเห็น ดังนี้...

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมีความจำเป็นด้วยเหตุผลอย่างน้อยสองเหตุผล

ประการแรก ธนาคารกลางควรมีความเป็นอิสระจากอิทธิพลทางการเมืองในระดับหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้การดำเนินนโยบายการเงินเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการทางการเมืองระยะสั้น ที่อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาวได้ ไม่ว่าจะเป็นเสถียรภาพด้านราคา เสถียรภาพของระบบการเงิน และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน หากอำนาจในการกำหนดปริมาณเงิน หรืออัตราดอกเบี้ยอยู่ในมือของรัฐบาลผู้ใช้เงิน ก็จะเกิดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะรัฐบาลมีแรงจูงใจที่จะให้ต้นทุนการใช้เงินหรืออัตราดอกเบี้ยต่ำลง

ประการที่สอง การดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) จะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสาธารณชน ตลาดการเงิน ตลาดทุน ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ มีความเชื่อใจธนาคารกลางว่าจะแน่วแน่ในการรักษาเสถียรภาพสามประการที่กล่าวถึงก่อนหน้า จนทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectation) อยู่ในกรอบเป้าหมายจริง ซึ่งจะส่งผลให้พฤติกรรมการใช้จ่าย การลงทุน ปริมาณและการหมุนเวียนของเงิน การสร้างสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นไปในทิศทางที่เอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพจริง ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว หากความเชื่อมั่นดังกล่าวถูกทำลายไป หน่วยเศรษฐกิจก็จะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนไป จนอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ฟองสบู่ อันจะนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในที่สุด ดังตัวอย่างประเทศตุรกีในปัจจุบัน

ความสำคัญของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้รับการรับรองจากงานวิชาการจำนวนมากรวมทั้ง ประสบการณ์ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกตลอดระยะเวลาหลายสิบปีหรือมากกว่านั้น ที่แสดงให้เห็นว่าการมีเสถียรภาพของราคา ของระบบการเงิน และของระบบสถาบันการเงินส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น การที่ราคามีเสถียรภาพทำให้หน่วยเศรษฐกิจ (ประชาชน ธุรกิจ ภาคการเงิน และอื่น ๆ) สามารถวางแผนการจับจ่าย วางแผนธุรกิจ และแผนการเงิน ได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของราคา ทำให้การใช้จ่าย การลงทุน การออม เป็นไปตามแผนระยะยาวได้ดีกว่า ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัว และที่สำคัญคือ การป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจ เช่น ฟองสบู่และการหดตัวรุนแรงที่กล่าวถึงข้างต้น

ความสำคัญชองความเป็นอิสระของธนาคารกลางอันนำไปสู่ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นำไปสู่ ‘หลักปฏิบัติ’ ที่ได้รับการยอมรับกันทั่วโลกหลายประการ เช่น ฝายการเมืองไม่ควรแสดงท่าทีกดดันหรือข่มขู่ธนาคารกลางในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้ง แต่สามารถแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไปอย่างสุภาพ มีการพูดคุยที่อิงบนหลักการ หลักฐานเชิงประจักษ์และข้อมูลสนับสนุนอย่างรอบด้าน ไม่ใช่นำเสนอข้อมูลด้านเดียว เป็นต้น ส่วนธนาคารกลางเองก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อภารกิจของตนให้เป็นไปตามกรอบนโยบายเงินเฟ้อที่ตกลงกับรัฐบาลและรัฐสภา เหตุผลสำคัญสำคัญคือ ธนาคารกลางต้องมีความรับผิดชอบต่อสาธารณชน เช่นการออกจดหมายเปิดผนึกอธิบายเหตุผลกรณีที่เงินเฟ้อไม่อยู่ในกรอบเป้าหมาย เป็นต้น

นโยบายการคลังเองก็ต้องรักษาเสถียรภาพด้วยเช่นกัน ผ่านการมีวินัยการคลังที่เหมาะสม เพื่อป้องกันมิให้หนี้สาธารณะ (ทั้งทางการและหนี้ที่เกิดจากนโยบายกึ่งการคลัง) และรายจ่ายในการบริหารหนี้สูงเกินไป ต้องมีนโยบายด้านภาษีที่เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศ มีการใช้จ่ายด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาสประเทศในการก้าวทันพัฒนาการสำคัญ ๆ เช่นพัฒนาการด้านเทคโนโลยี การรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นต้นคณะผู้แถลงการณ์ขอเรียกร้องให้ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมมือกันในการรักษาเสถียรภาพในด้านที่ตัวเองรับผิดชอบ และทำการประสานเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ผ่านการพูดคุยถกเถียงที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ และมีข้อมูลสนับสนุน พร้อมกับการรักษาระดับความอิสระของธนาคารกลางอย่างที่ควรเป็น ประเทศไทยโชคดีที่มีสถาบันและกระบวนการให้หน่วยงานด้านการเงินการคลังร่วมกันจัดทำกรอบงบประมาณประจำปีตามหลักวินัยการ

เงินการคลังอยู่แล้ว รัฐบาลจึงควรใช้กระบวนการนี้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด

อนึ่ง เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ คณะผู้แถลงการณ์ขอแจ้งว่านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งจะจัดงานเสวนาเรื่อง ‘การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจไทยเพื่อสร้างการเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน’ วัตถุประสงค์เพื่อระดมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่นในการหาทางออกให้กับประเทศไทยที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางเป็นเวลานาน จนทำให้กลายเป็นผู้ป่วยแห่งอาเซียน งานเสวนาจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ โดยจะจัดให้มีการถ่ายทอดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย

แถลงการณ์ ยังเชิญชวนลงชื่อ ระบุว่า...

เรียน เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ทุกท่าน

สิ่งที่ส่งมาด้วย แถลงการณ์เรื่องความขัดแย้งระหว่าง ธปท. กับ ฝ่ายการเมือง และใบร่วมลงนาม

ตามที่มีความขัดแย้งระหว่างธปท. และฝ่ายการเมืองเรื่องความเป็นอิสระของธนาคารกลาง ผมและเพื่อนนักเศรษฐศาสตร์บางคนมีความเป็นห่วงกังวลมาก และต้องการระดมสมองหาทางออกให้สังคม จึงตกลงร่วมกันดำเนินการ 2 เรื่อง...

เรื่องแรก คือ ออกแถลงการณ์ขอให้ “ผู้รับผิดชอบนโยบายการเงินและนโยบายการคลังร่วมมือกันในการรักษาเสถียรภาพในด้านที่ตัวเองรับผิดชอบ และทำการประสานเชิงนโยบายอย่างเหมาะสม ผ่านการพูดคุยถกเถียงที่ตั้งอยู่บนฐานวิชาการ และมีข้อมูลสนับสนุน พร้อมกับการรักษาระดับความอิสระของธนาคารกลางอย่างที่ควรเป็น” ถ้าท่านเห็นด้วยกับแถลงการณ์นี้ กรุณาลงนามร่วมกันครับ

เรื่องที่สอง คือ เพื่อนนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นกรรมการสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทยและผมในฐานะนายกสมาคมฯ ตกลงจะจัดการเสวนาหาทางออกด้านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลาง/ระยะยาว เพื่อเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง และยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทย โดยการระดมความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่น ในเร็ว ๆ นี้ เบื้องต้นกำหนดจัดการเสวนาในวันที่ 28 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00-17.00 น. ที่ศูนย์เรียนรู้ ธปท. สมาคมฯ จะ Confirm วันเวลาที่แน่นอนภายในสัปดาห์นี้ และจะรีบประกาศให้ทราบเพื่อให้นักเศรษฐศาสตร์ทุกรุ่นมีโอกาสร่วมแสดงความเห็นเพื่อหาทางออกให้ประเทศ

จึงเรียนมาเพื่อขอความกรุณาลงนามในแถลงการณ์ (หากท่านเห็นด้วย) และกรุณาส่งใบร่วมลงนาม มายัง คุณนุชนารถ [email protected] โทร 081-442-0052 ภายในวันเสาร์ 11 พฤษภาคม 2567

ผมขอขอบคุณในความร่วมมือครับ
นิพนธ์ พัวพงศกร [email protected]


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top