Thursday, 9 May 2024
Hard News Team

‘พีระพันธุ์’ รับมอบพวงมาลัยขอบคุณจาก ‘ส.ต.ต.พิจักษณ์’ หลังได้ช่วยเหลือเรื่องสูติบัตร จนเข้าเรียนนายร้อยได้สำเร็จ

(8 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ส.ต.ต.พิจักษณ์ ทองใสเกลี้ยง เข้าพบ และมอบพวงมาลัยเพื่อขอบคุณนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยติดต่อประสานงาน ในกรณีที่ตนขาดคุณสมบัติ และเอกสารบางอย่าง ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ

“สูติบัตรของผม ไม่ปรากฏบิดาโดยกำเนิด จึงไม่มีเอกสารเอาไปยื่นต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งต้องเข้ารายงานตัว วันที่ 10 พ.ค. 2567 และรายตัวต่อโรงเรียนเตรียมทหาร 12 พ.ค. 2567 ซี่งท่านพีระพันธุ์ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประสานกับทางโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ให้พิจารณาคุณสมบัติของผมอีกที”

ส.ต.ต.พิจักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทางครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ขาดเอกสารแบบตน ซึ่งก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสเด็กรุ่นใหม่ในการเป็นทหาร ตำรวจ ทั้งนี้ ตนอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความชอบ และมีญาติเป็นตำรวจด้วย จึงตั้งใจเข้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

ด้านนายพีระพันธุ์ รับพวงมาลัย พร้อมกล่าวอวยพรและให้สัมภาษณ์ว่า ส.ต.ต.พิจักษณ์ ได้มาขอความช่วยเหลือหลังจากที่เป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แต่ก็มาเกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตนจึงได้เชิญแม่ ส.ต.ต.พิจักษณ์ มาพูดคุย และให้คนไปตรวจสอบในพื้นที่ ก็เชื่อได้ว่าพ่อ ของ ส.ต.ต.พิจักษณ์ เป็นคนไทยแน่นอน มีตัวตนจริง เพียงแต่ตามตัวไม่เจอ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่รู้จักดี จึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง และได้ให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปช่วยดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง  

"ก็ต้องขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทาง ในการให้ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาการ ผบ.ตร. ที่ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้ความเป็นธรรมที่ถูกต้อง จึงขอให้น้องประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน ตัวเองเคยผ่านเรื่องเดือดร้อนมาเยอะ วันนี้จะมีโอกาสดูแลคนอื่นแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจากกรณีนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการแก้กฎหมายหรือกฎระเบียบ เพราะหน่วยต้นสังกัด คือตำรวจ ตรวจสอบหมดแล้ว

ย้อนปูมหลัง 'ความขัดแย้ง-สงครามกลางเมืองพม่า' ที่ยาวนานที่สุดในโลก จากเงื่อนปมที่วางไว้โดย 'อังกฤษ' บ่ม 70 ปี จน 'เมียนมา' ไกลคำว่า 'สันติสุข'

ย้อนหลังไป 400-500 ปีก่อน สหภาพเมียนมาหรืออดีตสหภาพพม่าเป็นอดีตราชอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรด้วยกองทัพที่เข้มแข็ง กระทั่งสามารถเอาชนะไทยเราได้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา คือ ปี พ.ศ. 2112 และ ปี พ.ศ. 2310 

โดยครั้งที่ 2 ได้สร้างความเสียหายแก่กรุงศรีอยุธยาแบบยับเยิน จนไทยต้องมาสร้างกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่ และย้ายข้ามมาสร้างกรุงเทพมหานครจวบจนถึงทุกวันนี้

ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างทำสงครามจนไทยพ่ายเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 ระหว่าง ปี พ.ศ. 2308-2312 พม่าก็ทำสงครามชายแดนกับจีนด้วย ทั้งยังสามารถเอาชนะจีน ทำให้ราชวงศ์โก้นบอง (ราชวงศ์คองบอง) มีสิทธิในการปกครองพม่าโดยสมบูรณ์ 

หากได้เล่าเรียนวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็จะรู้ว่าเป็น พ.ศ. 2328-2329 หรือต้นยุครัตนโกสินทร์ หลังการสถาปนากรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงได้เพียง 3 ปี พม่าได้ส่งกองทัพมา 9 กองทัพ 5 สาย (สงครามเก้าทัพ) มารุกรานไทยเราอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กลับไปและไม่มีสงครามระหว่างกันอีกเลย 

ต่อมาในปลายสมัยของราชวงศ์โก้นบอง ซึ่งอยู่ในยุคการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกอย่าง อังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งตอนนั้นอังกฤษสามารถยึดครองอินเดียที่มีพรมแดนติดกับพม่า และสุดท้ายก็นำมาสู่สงครามระหว่างกันของ 'อังกฤษ-พม่า' ถึง 3 ครั้ง 

- สงครามครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2367) พม่าต้องยก รัฐอัสสัม, รัฐมณีปุระ, รัฐยะไข่ และตะนาวศรี และต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม 1 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงแก่อังกฤษ

- สงครามครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2395) อังกฤษยึด เมาะตะมะ, ย่างกุ้ง, พะสิม, แปร, พะโค

- และสงครามครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2428) อันเป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่ทำให้พม่ากลายเป็นอาณานิคมภายใต้อังกฤษอย่างสมบูรณ์กลายเป็นมณฑลหนึ่งของบริติชอินเดีย

จากนั้น อังกฤษปกครองพม่าในฐานะมณฑลหนึ่งของอินเดียในปี พ.ศ. 2429 โดยมีย่างกุ้งเป็นเมืองหลวง และกลายเป็นเมืองยุคใหม่ของพม่าที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐบาล โดยราชวงศ์โก้นบองถูกล้มล้าง พระเจ้าธีบออดีตกษัตริย์ถูกเนรเทศไปกักตัวไว้ที่เมืองรัตนบุรี อินเดีย แล้วแยกการเมืองและศาสนาออกจากกัน ซึ่งแต่เดิมพระสงฆ์จะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากราชวงศ์ และราชวงศ์จะรับรองสถานะทางกฎหมายของพุทธศาสนา

นอกจากนั้นแล้ว อังกฤษยังเข้ามาจัดการระบบศึกษาให้แยกและไม่เกี่ยวข้องกับศาสนา ด้วยการจัดตั้งโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาพม่า และสนับสนุนให้มิชชันนารีเข้ามาสร้างโรงเรียน โดยในโรงเรียนทั้งสองระบบนี้ไม่สอนเกี่ยวกับพุทธศาสนาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของพม่า เพื่อทำลายความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมของพม่าที่แตกต่างจากอังกฤษ 

จากเหตุการณ์นี้เอง ก็ก่อให้เกิดการต่อต้านทั่วไปในพม่าตอนเหนือไปจนถึงปี พ.ศ. 2433 ซึ่งเป็นปีที่อังกฤษเข้าไปปราบปรามด้วยการเผาทำลายทุกหมู่บ้านที่ต่อต้านอังกฤษ สั่งให้ผู้คนอพยพลงไปยังพม่าตอนใต้ และปลดเจ้าหน้าที่ทุกคนที่สนับสนุนฝ่ายกบฏออก พร้อมทั้งนำกลุ่มคนที่สนับสนุนอังกฤษเข้ามาทำหน้าที่แทน จึงทำให้การต่อต้านอังกฤษยุติลง

ข้ามมาในเรื่องเศรษฐกิจ เนื่องจากในขณะนั้น 'ข้าว' เป็นที่ต้องการของยุโรปอย่างมาก จึงมีการส่งเสริมให้ปลูกข้าวในที่ราบลุ่มแม่น้ำอิรวดี โดยมีการอพยพชาวพม่าจากที่สูงลงมายังที่ลุ่ม เพื่อปลูกข้าว และให้มีการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของประชากร, บริการสาธารณะ และสาธารณูปโภคขึ้นใหม่ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บริการชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษและชาวอินเดีย โดยมีอังกฤษเป็นเจ้าของ และชาวพม่าต้องจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อใช้บริการเหล่านี้ 

ฉะนั้นเศรษฐกิจของพม่าในช่วงนั้นจึงเติบโตขึ้น แต่เป็นการเติบโตภายใต้อำนาจทั้งหมดที่อยู่ในมือหุ้นส่วนชาวอังกฤษและผู้อพยพจากอินเดีย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในสมัยอาณานิคม ส่งผลร้ายต่อพม่า เพราะได้ใช้ทรัพยากรของพม่าไปเฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของอังกฤษเท่านั้น 

ด้านความมั่นคง ชาวพม่าถูกห้ามเป็นทหาร โดยทหารส่วนใหญ่จะเป็นชาวอินเดีย, ชาวพม่าเชื้อสายอังกฤษ, ชาวกะเหรี่ยง และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ในพม่า ทว่าด้วยการใช้อำนาจบังคับกดขี่ข่มเห่งชาวพม่าอย่างมากมายของอังกฤษ จึงทำเกิดขบวนการชาตินิยมพม่าต่อต้านอังกฤษขึ้น มีหลายหมู่บ้านที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นกองโจรติดอาวุธ จนกลายเป็นหมู่บ้านนอกกฎหมาย

ในปี พ.ศ. 2480 อังกฤษได้แยกมณฑลพม่าออกจากบริติชอินเดีย และตั้งเป็นหน่วยการปกครองที่มีสภาเป็นของตนเอง จนเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาในพม่า จนมีการก่อตั้งรัฐพม่าใน พ.ศ. 2486 

ทว่า หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม อังกฤษก็ได้กลับเข้าไปในพม่า และสถาปนาการปกครองระบอบอาณานิคมอีกครั้งใน พ.ศ. 2488 

หลังจากที่อังกฤษกลับเข้ามาปกครองพม่าอีกครั้ง ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับเอกราชของพม่า คือ ความตกลงปางหลวง (Panglong Agreement) เป็นความตกลงระหว่างพม่า, ไทใหญ่, ชีน และกะชีน ผ่านการประชุมปางหลวงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อจัดตั้งสหภาพพม่าภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ 

การประชุมปางหลวงครั้งที่ 1 เมื่อกองทัพสัมพันธมิตรยึดรัฐชาน (สหรัฐไทยเดิม) คืนจากไทยแล้ว ได้มีการประชุมเพื่อตัดสินชะตากรรมของชาติตนเองเรียกว่า การประชุมปางหลวงจัดขึ้นที่เมืองปางหลวงในรัฐชานในวันที่ 20-28 มีนาคม พ.ศ. 2490 การประชุมครั้งนี้พม่านำโดยนายพลออง ซาน (บิดาของอองซานซูจี) ผู้นำในการเรียกร้องเอกราชได้เรียกร้องให้รัฐชานรวมกับพม่าเพื่อเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ 

หลังจากการประชุมครั้งแรก พม่าได้ทำความตกลง 'อองซาน-แอตลี' กับ อังกฤษ เพื่อรวมอาณานิคมของอังกฤษทั้งหมดเข้ากับสหภาพพม่า ฝ่ายรัฐชานจึงจัดการประชุมปางหลวงครั้งที่ 2 ระหว่าง 3-12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 เพื่อปฏิเสธการเข้ารวมตัวกับพม่า โดยตัวแทนฝ่ายกะชีนเข้าร่วมประชุมกับฝ่ายไทใหญ่เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ และตัวแทนจากรัฐชีนเข้าร่วมเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ และตกลงจัดตั้งสภาสูงสุดแห่งประชาชนชาวเขาเพื่อต่อรองกับฝ่ายพม่า ตัวแทนฝ่ายพม่า นำโดยอองซานพร้อมกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลอังกฤษเข้าร่วมประชุมเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ เพื่อเจรจากับตัวแทนสภาสูงสุดแห่งประชาชนชาวเขาจนเป็นที่มาของการลงนามในสนธิสัญญาปางหลวงเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490 อย่างไรก็ตาม ความตกลงนี้ไม่บรรลุผลเพราะพม่าไม่ปฏิบัติตาม (อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง : WHAT...IF อะไรจะเกิดขึ้น...ถ้าสัญญาปางหลวงสำเร็จ https://thestatestimes.com/post/2022072009)

ทว่า นายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่น ๆ ได้แก่ รัฐมนตรี 6 คน และเจ้าหน้าที่รัฐบาล 2 คน ถูกลอบสังหารระหว่างการประชุมสภาก่อนที่พม่าจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ 6 เดือน ในวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 จึงทำให้ความตกลงปางหลวงไม่บรรลุผล เพราะพม่าไม่ยอมปฏิบัติตาม จนกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ในพม่าซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 โดยกลุ่มติดอาวุธของแต่ละชาติพันธุ์หลายกลุ่มต่อสู้กับกองทัพพม่า 

แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงหลายครั้งและมีการสร้างเขตปกครองตนเองที่เป็นอิสระในปี พ.ศ. 2551 แต่กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างก็ยังคงเรียกร้องเอกราช หรือ การรวมเป็นสหพันธรัฐเมียนมาเรื่อยมา

ความขัดแย้งดังกล่าวนี้ ถือเป็นสงครามกลางเมืองที่ดำเนินมายาวนานที่สุดในโลก กินเวลานานกว่าเจ็ดทศวรรษแล้ว และความขัดแย้งก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลของพรรค NLD ที่นำโดยอองซานซูจี จากพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำกองทัพเมียนมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 จนมีการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นเพื่อต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะงานนี้ประเทศตะวันตกเปิดหน้าออกตัวสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง ๆ อย่างเต็มที่มากขึ้น จึงทำให้การสู้รบอย่างหนักในพื้นที่อิทธิพลของชาติพันธุ์ต่าง ๆ จนทุกวันนี้ 

กล่าวโดยสรุปแล้ว ความขัดแย้งจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเมียนมา เกิดจากการที่อังกฤษไม่ได้ดำเนินการให้รัฐต่าง ๆ ในพม่า (ขณะนั้น) มีเสรีภาพ มีความเป็นรัฐอิสระ และรวมกันเป็นสหพันธรัฐหรือสหรัฐ แต่กลับปล่อยให้มีความคลุมเครือเกิดขึ้น ทั้งหลังจากการการลอบสังหารนายพล ออง ซาน และผู้นำในการเรียกร้องเอกราชคนอื่น ๆ 

อังกฤษควรต้องเลื่อนการให้เอกราชกับพม่าไปก่อนเพื่อให้การดำเนินการตามข้อตกลงมีความชัดเจนหรือมีหลักประกันที่เหมาะสมสำหรับรัฐต่าง ๆ ที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รวมไปถึงปัญหาของชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นชาวอินเดียที่ติดตามข้าราชการอังกฤษที่มาทำงานในพม่า

ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้รัฐบาลอังกฤษไม่เคยสนใจหรือใส่ใจเลย ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามปัญหาความขัดแย้งกว่า 70 ปีในเมียนมา อังกฤษจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังเป็น”สมรภูมิ” ของ”ยาเสพติด”

ล่าสุดจับได้ 8จ ล้านบาท  ดังนั้นการแก้ปัญหายาเสพติดยังเป็น”งานหนัก” ของ”ทวี สอดส่อง”  รัฐมนตรียุติธรรม หลังรับตำแหน่ง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นโยบายแรกๆของที่”ทวี” ลงพื้นที่และกล่าวกับประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ การ”แก้ปัญหายาเสพติด” ที่เป็นปัญหา”ความทุกข์” ของประชาชน และเป็นปัญหาของ จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะ “ยาเสพติด” ที่ “ผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน” ครึ่งหนึ่ง” ถูก ขบวนการค้ายาเสพติด ลำเลียงมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่ง จำหน่าย ในพื้นที่ ส่วนหนึ่ง ส่งไปยังประเทศที่สาม โดยผ่านทางแนวตะเข็บจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้าน จ.นราธิวาส สงขลา และ สตูล เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะอาศัย เส้นทางขนส่ง จาก มาเลเซีย ไปยังประเทศต่างๆ ตามความต้องการของ ขบวนการ ผู้ค้ายาเสพติดระดับโลก “ผมเป็นหนี้บุญคุณของคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เลือกผมและ สส.ของพรรคประชาติเข้ามาทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ดังนั้นผมจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่เป็นความทุกข์ร้อนของคนในพื้นที่ ซึ่งมีความเดือดร้อนมากมาย ทั้งเรื่องที่ดินทำกิน  เรื่องอาชีพ เรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร และ อื่นๆ  แต่เรื่อง”ยาเสพติด” เป็นเรื่องของความ”ทุกข์ใจ” สำหรับ ครอบครัวที่มีผู้ติดยาเสพติด และชุมชนที่มีผู้ติดยาเสพติด ซึ่งวันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ ที่ต้องมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” นี้คือ บางช่วง บางตอน ที่” ทวี” ได้”สื่อสาร” กับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ”สื่อสาร”กับ”สื่อ” ที่ติดตาม รายงานข่าว ในการลงพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้และนี่คือที่มาของ”โครงการแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน ของกระทรวงยุติธรรม ซึ่ง” ทวี” กล่าวทุกครั้งที่ขึ้นเวทีเพื่อ พบปะกับประชาชนใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ที่ผ่านมา” ตำรวจ ,ทหาร, ปกครอง ,ปปส, และ หน่วยงานราชการมากมาย ได้เข้าไปทำการแก้ปัญหา ยาเสพติด กันมาโดยตลอด แต่ ปัญหายาเสพติด นอกจากไม่ลดลง ยังเพิ่มมากขึ้น ทั้ง ผู้เสพ ผู้ขาย และ จำนวน ยาเสพติด ที่ลำเลียงจากประเทศเพื่อน เข้ามายังประเทศไทย ทำให้รู้ว่า ยาเสพติด “ไม่กลัวทหาร ,ไม่กลัวตำรวจ, ไม่กลัว พรบ.ฉุกเฉิน ,ไม่กลัว กฎอัยการศึก, เพราะถ้ากลัว ป่านนี้ยาเสพติดคงจะ ถูกปราบปรามหมดไปจากประเทศแล้ว ในอดีต ยาเสพติด กลัวผู้นำศาสนา  แต่ ในปัจจุบัน ก็ไม่แน่ใจ เพราะใน” ปอเนาะ, ในโรงเรียนสอนศาสนา, ก็มีผู้ที่ติดยาเสพติด ดังนั้นโครงการ แก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน จึงเป็นอีก”ทางเลือกหนึ่ง” ของการแก้ปัญหายาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการให้ประชาชน ในชุมชน หมู่บ้าน ตำบล  ร่วมกันคิดและการ”ออกแบบ” การแก้ปัญหายาเสพติด และ กระทรวงยุติธรรม ให้การสนับสนุน งบประมาณ ตาม แผนงาน โครงการ ที่ผ่านการร่วมคิดร่วมทำด้วยกัน

ซึ่ง สามเดือนที่ผ่านมาที่ได้ ขับเคลื่อน โครงการ แก้ปัญหายาเสพติด โดยคณะทำงานที่เป็นภาคประชาชน มี พล.อ.วิชาญ สุขสง เป็นหัวหน้าคณะทำงานด้าน “ยุทธศาสตร์ “ และ คณะที่มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น กลุ่มสตรี กลุ่มแม่บ้าน นักวิชาการ และ องค์กรต่างๆ มี ตำบลต่างๆ ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาสาเข้ามาเป็น “ตำบลอาสา” แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว 60 ตำบล มีการประชุมเพื่อกำหนด”ยุทธศาสตร์” เพื่อการ “ปฏิบัติการ” มีการนำตัวแทนของประชาชน”ตำบลอาสา ๆละ 2 คน จำนวน 120 คน ไป ศึกษาดูงาน”ตำบลต้นแบบ” ของการแก้ปัญหายาเสพติด ที่ จ.ลพบุรี และ จ.นนทบุรี และ ขณะนี้ ให้ทุกตำบล เขียนโครงการ เพื่อของบประมาณ เพื่อ ปฏิบัติการ แก้ปัญหายาเสพติด ให้เป็นผลสำเร็จ ตามแผนที่ประชาชนในตำบลอาสา แต่ละตำบล ได้ร่วมกันประชุมร่วมกันคิดรวมกัน ออกแบบ และหลังจากที่มีการให้ งบประมาณ กับทุกตำบลที่เข้าร่วมโครงการ ตำบลอาสา แก้ปัญหายาเสพติดแล้ว ทั้ง 60 ตำบล จะเริ่มปฏิบัติการทันทีสำหรับสถานการณ์ล่าสุดที่เกี่ยวกับการระบาดของยาเสพติดในจังหวัดชายแดนภาคใต้  เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี  ได้มีการแถลงข่าวการจับกุม ยาเสพติดรายใหญ่ เป็นยาบ้า 1.400,000 เม็ด และ ยาไอซ์ 350 กิโลกรัม  ได้ผู้ต้องหา 4 คน รถยนต์จำนวน 3 คัน โดยมูลค่าของกลางที่จับได้อยู่ที่ 80 ล้านบาท ทั้งหมดรับว่า จะลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญยาบ้าวันนี้ราคาเม็ดละ 5 บาทเท่านั้นนี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่มีการจับกุม ยังไม่รวมคดี ยาเสพติด อีกมาหมาย ที่ถูก จับกุม และที่ หลุดรอด ไปได้ ที่มี มากกว่าหลายเท่า สถานการณ์ของ ยาเสพติด ที่ ทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา ที่มีการทำ สงคราม ทำให้ กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ต้องการใช้เงินเพื่อทำสงครามภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนยาเสพติดจึงทะลักเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นๆ และถ้าติดตามการจับกุมกลุ่มผู้ค้า จะพบว่าเป็นคนจาก จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นจำนวนมาก และจากคำให้การหลังถูกจับกุม ไม่ว่าจะถูกจับที่ภาคไหนของระเทศไทย ทุกคนจะให้การว่า นำยาเสพติดเหล่านั้นมายัง จังหวัดชายแดนภาคใต้  

ดังนั้น จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะไม่มีโรงงาน ผลิตยาเสพติด แต่เป็น “ตลาดใหญ่ของยาเสพติด” เป็น”สมรภูมิ” ของการค้ายาเสพติด ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย การปราบปรามยาเสพติด การที่จะ”เอาชนะ” ขบวนการค้ายาเสพติด” และการที่จะเอา”ผู้ขาย” และ”ผู้เสพ” ออกจาก”หมู่บ้าน ตำบล” ตามนโยบาย”การแก้ปัญหายาเสพติดโดยภาคประชาชน” ที่เป็นนโยบายของกระทรวงยุติธรรมภายใต้การ”กำกับดูแล” ของ” พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งนอกจากจะเป็น”ความหวัง” ของคนในพื้นที่แล้ว ยังเป็นภารกิจที่”ท้าทาย” ครั้งสำคัญของ”พ.ต.อ.ทวี สองส่อง รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และ หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นอย่างยิ่ง

Microsoft ลุยสร้าง Generative AI ที่ไม่ต้องเชื่อมโลกอินเทอร์เน็ต ช่วยองค์กรลับสหรัฐฯ วิเคราะห์ข้อมูลลับสุดยอดได้อย่างปลอดภัย

(8 พ.ค. 67) Business Tomorrow เผย Microsoft กำลังสร้างโมเดล Generative AI ที่แยกออกจากโลกอินเทอร์เน็ต ซึ่งเตรียมเข้าไปใช้ในหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ เพื่อนำเทคโนโลยีอันทรงพลังเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้ หน่วยงานสายลับทั่วโลกต้องการ AI เชิงสร้างสรรค์ เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจและวิเคราะห์ปริมาณข้อมูลลับที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ยังคงต้องการข้อมูลโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ทำให้เมื่อมีการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตอาจเสี่ยงการถูกแฮ็กหรือข้อมูลที่รั่วไหลออกไปได้

ทั้งนี้ Microsoft ได้ปรับใช้โมเดลที่ใช้ GPT4 และองค์ประกอบสำคัญที่รองรับบนคลาวด์ด้วยการแยกข้อมูลที่สำคัญและการวิเคราะห์ออกจากอินเทอร์เน็ตสำหรับองค์กรลับของสหรัฐฯ โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม Microsoft ใช้เวลา 18 เดือนที่ผ่านมาในการพัฒนาระบบ รวมถึงการยกเครื่อง Super Computer AI ที่มีอยู่ในไอโอวาให้กับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ

‘นักวิชาการ’ ชี้!! ข้าวเก่าค้าง 10 ปี เชื้อราเพียบ ใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานรับเคราะห์เต็มๆ

(8 พ.ค.67) รศ.พันทิพา พงษ์เพียจันทร์ อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิย์ กินข้าวค้างสต๊อก 10 ปีโชว์ว่ายังนุ่มนวลพร้อมนำออกประมูล ว่า…

จากกรณีที่เอาข้าวเก่า ค้าง 10 ปี มาหุงรัปทานโชว์กัน ขอบอกว่าท่านได้รับสารพิษจากเชื้อราไปแล้วไม่น้อย หลายตัวหลายชนิดด้วย และใครที่ไปร่วมชิมเป็นสักขีพยานว่า ข้าวนั้นทานได้ ก็รับเคราะห์ไปด้วยค่ะ

1.ปกติอาหารสัตว์ เราจะเก็บพวกธัญเมล็ดต่าง ๆ (รวมถึงข้าว) ได้อย่างมาก 1 ปี ที่อุณหภูมิห้อง เช่นเดียวกับที่โรงสีที่โชว์เก็บ แต่ก่อนเก็บนอกจากรมควันแล้ว ความชื้นในเมล็ดธัญพืชจะต้องไม่เกิน 12% เพราะพวกนี้สามารถดูดซึมน้ำกลับได้ ซึ่งสภาพการเก็บของโรงสีที่เห็น ใส่ในกระสอบป่าน โอกาสดูดซึมน้ำกลับ ทำให้ความชื้นของเมล็ดข้าวสูงขึ้นแน่นอน

หากจะเก็บไว้นานกว่านี้ต้องเก็บในสภาพเย็นแบบแห้ง (Cold dry processing)* อุณหภูมิต้องไม่เกิน 13 °C ทำให้แมลงไม่ฟักออกเป็นตัว*

2.กระสอบป่านที่เก็บข้าว สภาพที่เห็น วางทับซ้อนกันสูงมาก อากาศไม่ถ่ายเท ส่งเสริมการดูดซึมน้ำกลับ ความชื้นในเมล็ดข้าวสูงขึ้น ส่งเสริมการเจริญของมอดแมลงต่าง ๆ
3.แม้จะรมยาแต่สถาพการวางทับกระสอบ รมยาไม่ทั่วถึงแน่นอน เพราะข้าวที่เอามาหุงแสดง ขณะล้างฟ้องอยู่แล้วว่ามีมอดข้าว ด้วง
4.การที่เมล็ดข้าวมีความชื้น ส่งเสริมการเติบโตของมอด แมลงต่าง ๆ* หลักฐานประจักษ์ขณะซาวข้าว (15 ครั้ง ตามข่าว ซึ่งข้าวปกติเราล้างไม่ถึง 3 ครั้ง)
5. การมีมอดแมลง มูลของแมลงเหล่านี้นำมาซึ่งการเจริญของเชื้อรา และแบคทีเรีย* ทำให้เน่าได้รับสารพิษโดยไม่รู้ตัว
6.จากสภาพข้าวที่หุงออกมา จะมีข้าวจำนวนไม่น้อย ที่มีสีน้ำตาลตรงปลายเมล็ด นั่นคือเม็ดข้าวที่ขึ้นรา อย่างน้อยต้องตรวจพบสารพิษอะฟลา 1 ตัว ตรวจง่าย ๆ โดยใช้เทคนิค บี จี วาย ฟลูโอเรสเซนท์ (Bright Greenish-Yellow Fluorescent) **ซึ่งสารนี้ทนอุณหภูมิได้ถึง 250°C** และยังจะมีสารพิษอื่น ๆ ตามมาอีกหลายตัว อุณหภูมิข้าวที่เราหุงน้ำเดือด 100°C ไม่สามารถทำลายพิษจากเชื้อราได้ อาจได้แค่แบคทีเรียจากมูลของแมลง

เห็นเจตนาดีของท่านที่จะหาเงินกลับคืน ขอแนะนำว่า…

1.อย่าขายให้คนหรือสัตว์นำไปบริโภค ได้ไม่คุ้มเสีย เพราะเราจะมีคนป่วยด้วยมะเร็งมากขึ้น สำหรับผู้บริโภคโดยตรง
2.กรณีนำไปเลี้ยงสัตว์ เราจะได้ผลิตภัณฑ์ เนื้อ นม ไข่ ที่มีสารพิษจากเชื้อราตกค้างในอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
3.การนำไปขายให้แอฟริกา ชื่อเสียงข้าวเน่าเสียของไทยจะกระจายไปทั่วโลก คู่แข่งเราจะได้เปรียบ กว่าเราจะกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาคงหลายปี เสียตลาดข้าวให้คู่แข่ง โดยเขาไม่ต้องออกแรงเลย และที่สำคัญบาปตกอยู่กับผู้คิด ผู้ขาย แน่นอน
4.ขอแนะนำให้นำข้าวเหล่านี้ ไปผลิตเป็นแอลกอฮอล์ หรือน้ำส้มสายชู จะดีกว่า สอบถามนักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การอาหารต่อไปค่ะ

หมายเหตุ : การตรวจสอบสารพิษเหล่านี้ มีตามมหาวิทยาลัยที่มีห้องแลปตรวจอาหารทั่วไปหรือกรมปศุสัตว์หรือบริษัทรับตรวจสารพิษในอาหาร

‘ก.พลังงาน’ ไฟเขียว!! ตรึง ‘ดีเซล-ไฟฟ้า-ก๊าซหุงต้ม’ ถึงสิงหาคม 67

(7 พ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นำเสนอ 3 มาตรการ เพื่อช่วยเหลือประชาชน และลดภาระค่าครองชีพ ประกอบด้วย 

1. การตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. - 31 ก.ค. 2567
2. การขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม 423 บาท ต่อถัง 15 กิโลกรัมไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567 

3. การลดค่าไฟที่ 19.05 สตางค์ จาก 4.18 บาท เป็น 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ในงวดเดือน พฤษภาคม ถึง สิงหาคม 2567

“ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันราคาพลังงานเกือบทุกชนิดมีความผันผวนในระดับสูง เกิดจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งกระทรวงพลังงานภายใต้การนำของผมได้พยายามที่จะช่วยเหลือประชาชน ลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งในส่วนของน้ำมัน รัฐบาลได้กำหนดเพดานไว้ที่ 33 บาทต่อลิตร เนื่องจากสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้อุดหนุนติดลบกว่าแสนล้านบาทแล้ว หากไม่อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลที่แท้จริงจะอยู่ที่ 34 - 35 บาทต่อลิตร และอาจจะมีการปรับเพดานหากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่ราคาขายปลีกในไทยก็จะปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป

ทั้งนี้ ทั้ง 3 มาตรการที่เสนอเข้าคณะรัฐมนตรีและได้รับการเห็นชอบในวันนี้ ถือว่า เป็นมาตรการช่วยเหลือในระยะสั้น ตามหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผมได้เตรียมรื้อระบบราคาพลังงานใหม่ ซึ่งผมกำลังเร่งดำเนินการอยู่ คาดว่าจะยกร่างกฎหมายใหม่ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ภายในปีนี้ คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานที่มีความยุติธรรม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และจะเป็นการปรับรูปแบบพลังงานของประเทศที่จะมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคตด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

อัปเดต 5 ธุรกิจ ‘เสี่ยโน้ส อุดม แต้พานิช’ อีกหนึ่งบทบาทสำคัญนอกเหนือทอล์กโชว์

(8 พ.ค.67) สำนักข่าวอิศราได้รายงานว่า กลายเป็นประเด็นดรามา-ทอล์ก ออฟทาวน์อีกครั้ง ของ ‘โน้ส-อุดม แต้พานิช’ นักทอล์กโชว์ชื่อดัง

ล่าสุดผ่านเพจ Netflix แอปบริการสตรีมมิ่งชื่อดัง ได้โพสต์คลิปโปรโมตทอล์กโชว์ ‘เดี่ยวสเปเชียล ซูเปอร์ซอฟต์พาวเวอร์’ เนื้อหาบางช่วงพูดดึงความพอเพียง เหน็บ ๆ หยิก ๆ สับ ๆ ‘คนรวยลงรถตู้ทำเศรษฐกิจพอเพียง’ สร้างความไม่พอใจแก่คนในสังคม เหล่าคนดังจำนวนมาก บางรายออกมาโพสต์โต้กลับดุเดือดทำนองคราวหน้าคราวหลังอย่าทำเยี่ยงนี้อีก

หากจำกันได้ 2 ปี ก่อนยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี วันที่ 11 ตุลาคม 2565 ‘โน้ส’ก็ออกมาทอล์กโชว์ พาดพิงเรื่องกู้เงิน, ผลงาน ฯลฯ แต่ไม่พูดถึงมาหยิกขบประเด็นทุจริตโครงการขนาดใหญ่อย่างกรณีรับจำนำข้าว ฯลฯ จนแฟนคลับลุงบอกว่า ‘โน้สเลือกข้าง’

ในมุมธุรกิจที่เคยนำข้อมูลมารายงานไปแล้ว นักพูดรายนี้ถือหุ้นและ/หรือเป็นกรรมการ 5 บริษัท ได้แก่…

1.บริษัท ลองรวย จำกัด ขายของชำ
2.บริษัท ทุเรียน จำกัด จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม ไอศกรีม และเบเกอรี่
3.บริษัท พอดีพานิช จำกัด ออกแบบผลิตภัณฑ์ รับจ้างการแสดง และเขียนหนังสือเพื่อจำหน่าย 
4.บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด จัดการแสดงทางธุรกิจและการแสดงสินค้า (จัดงานแสดงโชว์ รับจ้างแสดง ถ่ายโฆษณา แสดงแบบ)
5.บริษัท เอ็ม.โอ.ดี.ช็อป จำกัด ออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก

ผลประกอบการรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 มีกำไรสุทธิเพียงบริษัทเดียว คือ บริษัทคือ บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด รายได้รวม 28,608,901.97 บาท กำไรสุทธิ 895,887.29 บาท งบดุล สินทรัพย์รวม 99,224,807.71 บาท หนี้สิน 87,180,540.19 บาท กำไรสะสม 7,044,267.52 บาท อีก 4 บริษัทแจ้งผลประกอบการขาดทุน

ผ่านมาเกือบ 2 ปี ในช่วงกระแสเชี่ยว มาอัปเดตสถานะของเขาอีกครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ‘โน้ส อุดม’ ยังมีชื่อเป็นกรรมการและหรือถือหุ้นธุรกิจ 5 บริษัท ที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสำคัญคือ 2 บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน

1.บริษัท เมดอินแฮปปี้แลนด์ จำกัด รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 2564 รายได้รวม 28,608,901.97 บาท กำไรสุทธิ 895,887.29 บาท รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2565 รายได้รวม 230,817,842.82 บาท กำไรสุทธิ 43,630,419.66 บาท เปรียบเทียบตัวเลข 2 ปี รายได้เพิ่มขึ้น 202,208,941 บาท กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 42,734,532 บาท

2.บริษัท เอ็ม.โอ.ดี.ช็อป จำกัด ออกแบบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของที่ระลึก รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 รายได้รวม 29,346.14 บาท ขาดทุนสุทธิ 304,253.57 บาท รอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2565 รายได้รวม 16,758,915.14 บาท กำไรสุทธิ 826,789.83 บาท เปรียบเทียบตัวเลข 2 ปี รายได้เพิ่มขึ้น 16,729,569 บาท กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 522,536 บาท

ขณะที่ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท ลองรวย จำกัด บริษัท ทุเรียน จำกัด และ บริษัท พอดีพานิช จำกัด ผลประกอบการรายได้หลักหมื่นบาท และ 1.4 ล้านบาท ตามลำดับ ขาดทุนสุทธิเหมือนเดิม

สำหรับคนดังที่ร่วมหุ้นกับ ‘โน้ส’ มี นายอัครเดช ยอดจำปา (ก้อง ห้วยไร่ นักร้องลูกทุ่ง หมอลำ) ใน บริษัท ลองรวย จำกัด ด้วย

จากตัวเลขผลประกอบการ เห็นได้ว่า ผ่านไปเกือบ 2 ปี ฐานะทางธุรกิจเจ้าของทอล์กโชว์มั่งคั่งมากขึ้นจาก ‘โน้ส’ เป็น ‘เสี่ยโน้ส’ ไปแล้ว ?

สืบนครบาล รวบ บัญชีม้ามิจฉาชีพหลอกให้กู้เงินออนไลน์ ใช้อุบายให้โอนค่าค้ำประกันเงินกู้ต่างๆ สุดท้ายสูญเงิน

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์. รรท.ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร  ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมทางออนไลน์ ที่กระทำความผิดทุกรูปแบบ ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนผู้สุจริตจำนวนมาก โดย ชุดลาดตระเวนออนไลน์บก.สส.บช.น. ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนผู้เสียหายผ่านเพจ สืบนครบาล IDMB ให้ช่วยสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายกิจประดิษฐ โฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.อิสเรศ ปาลาพงศ์, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.อรรชวศิษฏ์ ศรีบุณยมานนทน์ ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.วิโรฒ จนุบุษย์ รอง ผกก.สส3 บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.นิธิ ปิยะพันธุ์ รอง ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. และ พ.ต.ท.สัญญลักษ์ สังขะภักดี สว.กก.สส.3 บก.สส.บช.น.
ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.ชาญชัย น่าดู รอง สว.กก.สส.3 ฯ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ( ชุดปฏิบัติการที่  3/1) ดำเนินการ จับกุมตัว

นายกิจประดิษฐ อายุ 28 ปี ภูมิลำเนา ต.ท่าสัก อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์  

ผู้ต้องหามีหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 117/2566  ลงวันที่  22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงทรัพย์ประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม ให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

จับกุมที่ บริเวณทางเดินเท้า ถนนลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี

พฤติการณ์การกระทำความผิดได้มีผู้เสียหายเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนแจ้งว่า ขณะอยู่บ้านพักอาศัย ตนได้ค้นหา เกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน ผ่านเว็ปไซต์ จากนั้นได้พบโฆษณาให้กู้ยืมเงินออนไลน์ ตนสนใจจึงได้แอดไลน์ชื่อบัญชี จ๊ะจ๋า และได้สนทนาว่าสนใจกู้ยืมเงินจำนวน 160,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นบาทถ้วน) ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋าจึงได้ออกอุบาย ให้ตนโอนเงินไปก่อนเพื่อเป็นการค้ำประกันการกู้ยืมเงิน ต่อมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15.06 น. ตนจึงได้โอนเงินจากบัญชีธนาคาร ของตนเองไปยังบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นายกิจประดิษฐ์ เป็นเงินจำนวน 24,728 บาท ต่อมาไม่ได้รับเงินตามที่ได้กู้ยืมไป จึงขอเงินคืน แต่ผู้ใช้ไลน์ชื่อ จ๊ะจ๋า กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืนเงินให้  หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย เบื้องต้นมีผู้เสียหายหลายรายหลงเชื่อถูกหลอกให้โอนเงินไป ซึ่งอยู่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 

เบื้องต้นยังพบประวัติการหลอกลวงของผู้ต้องหาใน 
blacklistseller

จากการตรวจสอบในฐานระบบยังพบมีหมายจับอีก 2 หมาย 
1. หมายจับศาลจังหวัดชุมแพที่ 103/2564 ลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, ฉ้อโกง”
2. หมายจับศาลจังหวัดพิษณุโลก ที่ 321/2565 ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนปลอมให้ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ

ในชั้นจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า โดยเมื่อประมาณปี 2564 ด้วยผู้ต้องหาได้รู้จักกับกลุ่มเพื่อนที่พักอาศัยเเถวบ้าน  ได้ว่าจ้างให้ผู้ต้องหาเปิดบัญชีม้า โดยจะได้รับค่าตอบเเทนในการเปิดบัญชีครั้งล่ะ 500 บาท/ต่อครั้ง โดยมิได้ถามว่าจะนำไปใช้อะไร เเละได้นำเงินค่าจ้างดังกล่าวไปใช้ในชีวิตประจำวัน

พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนสำหรับผู้ที่อยากกู้เงิน ต้องค่อย ๆ ตั้งสติและมองหาแหล่งกู้เงินด่วนที่ปลอดภัย หากต้องการกู้เงินออนไลน์ผ่านทางแอปพลิเคชันต่าง ๆ ควรมีการตรวจสอบแหล่งกู้เงินออนไลน์ว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ และได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องผ่านเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ https://www.bot.or.th/th/license-loan

‘ฮาร์ท สุทธิพงศ์’ ถูกอัยการยื่นฟ้อง ม.112 หลังโพสต์หมิ่นเบื้องสูง ศาลประทับรับฟ้อง!! ให้ประกันตัว 2 แสน - ห้ามออกนอกประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 พ.ค.67) ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 ได้นำตัว นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง มายื่นฟ้องต่อศาลในความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

จากกรณี นายสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล หรือฮาร์ท อดีตพิธีกรและนักร้องชื่อดัง ได้แชร์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับสถาบันฯ เกี่ยวกับเรื่องโรคโควิด ช่วง พ.ศ.2564 ทำให้ในเวลาต่อมา นายอภิวัฒน์ ขันทอง ประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เข้าแจ้งความกับพนักงาน สถานีตำรวจนครบาล (สน.) นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560

โดยศาลรับฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ483/2567 โดยจำเลยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวพร้อมหลักทรัพย์ 2 แสนบาท ศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วอนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศยกเว้นได้รับอนุญาต

'อาร์ต พศุตม์' ยกความหมาย 'พอเพียง' ในมุมตน จนโดนใจชาวเน็ต ไม่ฟุ่มเฟือยจนเกินตัว ไม่อยากได้อยากมีจนเกินกำลัง ไม่คดโกงใคร

(8 พ.ค.67) มุมานะขยันทำมาหากินกตัญญูเลี้ยงพ่อแม่ พระเอกหนุ่ม คุณชายหมูกรอบ ‘อาร์ต พศุตม์’ ที่ตอนนี้กำลังรุ่งกิจการหมูกรอบขายดิบขายดี ออกบูธไม่ได้หยุด

ล่าสุดท่ามกลางกระแสดรามาร้อนแรงประเด็นทอล์กปมพอเพียงของ ‘โน้ส อุดม’ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ ตอนนี้ หนุ่มอาร์ตก็ได้โพสต์คลิป พร้อมแคปชันว่า…

“ออกบูธ แฟชั่น ไอซ์แลนด์ นะคับ แบบนี้ เค้าเรียก ‘พอเพียง’ จ๊ะ ไม่จำเป็นต้องทำตัวจน ไม่จำเป็นต้องทำไร่ทำสวน ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ลำบาก

‘พอเพียง’ คือ รูัจักประมาณตนเอง พอใจในสิ่งที่มี ไม่ใช่ฟุ่มเฟือยจนเกินตัวเอง ไม่คดโกงใคร ไม่ได้อยากได้อยากมีจนเกินกำลัง”

เป็นคลิปขณะเจ้าตัวให้สัมภาษณ์ เอาจริง ๆ ชาตินี้อยู่สบาย ๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะลงทุน 10 ล้าน เพื่อเสี่ยงวัดดวงเอาเงิน 100 ล้าน ไม่เอาเลย แต่ถ้าล้านหนึ่งจะมีเพิ่มมาอีก 5-6 ล้าน โอเค

ขณะที่มีคอมเมนต์ต่างเข้ามาสนับสนุนความคิดเห็น อาร์ต รัว ๆ อาทิ เห็นด้วยค่ะ , ใช่ที่สุดค่ะ , นี่แหละพอเพียง ไม่ใช่พูดพอเพียงและลามไปเรื่องทำเกษตร , ถูกต้องที่สุดค่ะ , ทัศนคติดีรักคุณอาร์ตครับ , ถูกต้องทุกคำ เป็นต้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top