Monday, 20 May 2024
Hard News Team

นายกฯ ยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ดันเพิ่มป่า - เพิ่มเศรษฐกิจ จัดสรรที่ทำกินแล้วเกือบ 7 แสนไร่ ป่าชุมชนกว่า 6 ล้านไร่ 

วันที่ 2 เมษายน 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการดูแลประชาชนให้มีพื้นที่ทำกินและยกระดับความเป็นอยู่ว่า ภายใต้การบริหารราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ จัทน์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้เดินหน้าการพัฒนาที่ดินเพื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง อีกทั้งมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า โดยยึดหลัก “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” ซึ่งรัฐบางได้ริเริ่มนโยบายใหม่ที่ครอบคลุมหลายมิติ ดังเห็นได้จาก การแก้ไขกฎหมาย พระราชบัญญัติป่าชุมชน ช่วยไม่ให้ชาวบ้านที่เก็บของป่ามาขายต้องถูกจับเหมือนในอดีต และให้อำนาจชาวบ้านในชุมชนในการตัดสินใจดูแลและใช้ประโยชน์จากป่าไม้ของชุมชนตัวเอง ณ ปัจจุบัน มีการประกาศจัดตั้งป่าชุมชนไปแล้ว 11,327 ป่าชุมชน พื้นที่ 6.29 ล้านไร่ และมีแผนการจัดตั้งป่าชุมชนใหม่ในปี 2564 อีก 300 ป่าชุมชน 

มากไปกว่านั้น รัฐบาลยังได้ ปลดล็อก พระราชบัญญัติป่าไม้ อนุญาตให้ประชาชนปลูกไม้หวงห้าม 158 ชนิดในพื้นที่ของตัวเอง โดยไม่ถือเป็นไม้หวงห้ามอีกต่อไป ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจมากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลยังได้เปิดให้ลงทะเบียน “ปลูกไม้มีค่า” กับกรมป่าไม้ ถ้าปลูกในที่ดินของตัวเอง มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ก็สามารถทำไม้ ตัด แปรรูป ส่งออก หรืออื่น ๆ ได้ แต่ถ้าขึ้นอยู่ในป่า ยังถือเป็น “ไม้หวงห้าม” ปัจจุบันนี้ประชาชนปลูกไม้มีค่าและลงทะเบียนกับกรมป่าไม้แล้ว 7 หมื่นกว่าราย เนื้อที่รวม ล้านกว่าไร่ โดยมีโครงการคู่ขนานไปด้วย คือ ประชาชนสามารถนำไม้มีค่า ที่กำหนดไว้ 58 ชนิด (เช่น สัก ประดู่ พะยูง เต็ง มะค่าโมง เป็นต้น) ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรได้อีกด้วย

นางสาวรัชดา กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีต้องการให้ประชาชนมี่ที่อยู่อาศัยและที่ทำกินอย่างมั่นคง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กลไกภาครัฐจึงต้องขับเคลื่อนในทิศทางที่ส่งเสริมโอกาสแก่ประชาชน ลดความขัดแย้ง ไม่ขัดกฎหมาย แนวคิด “ป่าอยู่ได้ คนอยู่ดี” จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐและประชาชน ทั้งนี้ แม้จะพบปัญหาเรื่องการใช้ที่ดินซ้ำซ้อนอยู่ในบางพื้นที่ ในภาพรวมของการดำเนินการจัดสรรที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้ชุมชนให้สามารถอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ / ป่าชายเลน / ที่สปก. / ที่ราชพัสดุ / ที่สาธารณะประโยชน์ นับตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน จัดสรรให้แล้ว 60,419 ราย 74,612 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 665,000 ไร่ และไม่ใช่เพียงแค่นั้น รัฐบาลยังได้ดำเนินการอย่างบูรณาการเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงน้ำ ไฟฟ้า และถนน รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาอาชีพที่เหมาะสม เช่น การปลูกต้นไม้ในพื้นที่เป็นอาชีพเสริม เพื่อชุมชนมีรายได้เพี่มจากโครงการคาร์บอนเครดิตอีกด้วย

คมนาคม ผุดคณะทำงาน ฟื้นฟู ขสมก. ตั้ง “ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ” เป็นประธาน

วันที่ 2 เมษายน 2564 นายศักดิ์สยาม  ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก ครั้งที่ 1/2564 ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงความคืบหน้าแผนฟื้นฟูองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานฯ ในการพิจารณาเพื่อปรับแผนแนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑลให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยมีนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุม และนายจิรุฒม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เป็นเลขานุการคณะทำงาน รวมทั้งสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

ทั้งนี้ ในที่ประชุมยังมีข้อเสนอให้ดูสัญญาเพิ่มเติม เนื่องจากในปัจจุบันแผนดังกล่าว จะนำรถร่วมเอกชนเข้ามาให้บริการด้วย โดยทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเจรจาในการจ้างเช่าวิ่งตามระยะทางร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยเชื่อว่า เรื่องดังกล่าว สามารถอธิบายได้ ขณะเดียวกัน ในเรื่องการกำหนดอัตราค่าโดยสาร เป็นอัตราเดียว (Single Price) ในอัตรา 30 บาท/คน/วัน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนนั้น หากประชาชนที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งใช้ค่าโดยสารไม่ถึง 30 บาท/วัน จะเรียกเก็บค่าโดยสารตามเดิมของรถโดยสารสาธารณะในแต่ละเส้นทาง ซึ่งต้องมาพิจารณาด้วย

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนการขอเงินอุดหนุนจากภาครัฐ (PSO) นั้น ที่ผ่านมา ขสมก.ได้เสนอของบประมาณเพื่อขออุดหนุน จำนวน 9,000 ล้านบาท แต่ทางกระทรวงคลัง สภาพัฒน์ฯ และสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่าควรปรับปรุงรายละเอียดของแผนฟื้นฟู ขสมก.ในบางประเด็นให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการขอเงินอุดหนุนนั้นสามารถดำเนินการได้ ต่อเมื่อเป็นราคาที่ถูกจำกัดเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งส่งผลให้ขาดทุนจึงจะสามารถขอเงินอุดหนุนได้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันการเสนอขอเงิน PSO ไม่ใช่ราคาที่ถูกจำกัดเพื่อประชาชนเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนถ่ายแผนปฏิรูป ขสมก.ในระยะ 7 ปี

ขณะเดียวกัน ขสมก. มีงบประมาณที่ต้องให้ค่าตอบแทนแก่พนักงาน ซึ่งมีอัตราการจ้างที่สูงกว่าปกติ ซึ่งหลังจากนั้นภายใน 7 ปี พนักงาน ขสมก.จะเกษียณอายุราชการ ทำให้ ขสมก.ต้องจ้างพนักงานภายนอก (เอาท์ซอร์ส) เข้ามาเพิ่มในการบริหารจัดการแทน อย่างไรก็ตาม มองว่า หากดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟู ขสมก. ล่าช้า จะทำให้ ขสมก.มีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปัจจุบัน ขสมก. ขาดทุนเฉลี่ยเดือนละ 300 ล้านบาท หรือขาดทุนปีละ 4,000 ล้านบาท

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า คณะทำงานชุดดังกล่าว จะใช้ระยะเวลาดำเนินการพิจารณาภายใน 1 เดือน เพื่อให้ได้ข้อยุติในกรณีที่หน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) สำนักงบประมาณ ที่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับแผนฟื้นฟู ขสมก.ในบางประเด็น หลังจากนั้น ขบ. และ ขสมก.จะดำเนินการพิจารณาสรุปรายละเอียด พร้อมทั้งจัดทำแผนลงทุน เพื่อเสนอต่อสภาพัฒน์ฯ ภายใน พ.ค. 2564 ก่อนที่จะเสนอไปยังคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาพัฒน์ฯ ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด

“ก้าวไกล” ชี้ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่ น่ากังวล ใช้หลักการ "ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น" 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส. บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม เห็นชอบเสนอร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่...) พ.ศ.... อันเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้กำลังเปลี่ยนหลักการของกฎหมายที่ได้ออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่เน้นการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” กลายเป็น “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น” โดยร่าง พ.ร.บ. ที่ ครม.เสนอมีการแก้ไขเนื้อหาสาระสำคัญ 16 ประเด็น เช่น การเพิ่มนิยาม “ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านระบบดิจิทัล การกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร 

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่ตนได้ศึกษา และได้พูดคุยกับนักวิชาการหลายท่านเห็นตรงกันว่ามีเรื่องที่น่าห่วงอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อกำหนดที่ระบุว่าข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อมูลด้านความมั่นคงของรัฐ ด้านการทหาร ด้านการป้องกันประเทศ ไปจนถึงความมั่นคงของรัฐด้านอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดจะเปิดเผยไม่ได้ เรื่องนี้กลายเป็นผิดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทำงานที่รัฐบาลเองพูดมาโดยตลอด เสมือนเป็นการตีเช็คเปล่าให้ ครม. กำหนด ซึ่งอาจมีการกำหนดจนทุกเรื่องกลายเป็นความมั่นคงของรัฐไปเสียหมด

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่ตนประหลาดใจมาก คือ การที่กฎหมายจะกำหนดว่าหน่วยงานอาจปฏิเสธให้ข้อมูลหากเห็นว่าผู้ยื่นคำขอขอข้อมูลเป็นจำนวนมากหรือบ่อยครั้ง ถึงแม้จะพยายามบอกว่าเฉพาะกรณีก่อกวนการปฏิบัติงานหรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการตีความ เรื่องนี้สะท้อนวิธีคิดที่ผิดมาก แทนที่หน่วยราชการจะยินดีที่ประชาชนสนใจในสิ่งที่ตนทำงาน แต่กลับมาหาว่าประชาชนเป็นปัญหาที่จะมาขอข้อมูล มิเช่นนั้นหน่วยราชการจะเก็บข้อมูลจำนวนมากไปทำไม หากไม่ให้ประชาชนใช้ได้ หรือกลัวประชาชนจะตรวจสอบได้ว่าหลายครั้งเป็นการใช้งบประมาณเกินจำเป็น

เรื่องการอุทธรณ์กรณีที่หน่วยราชการไม่ให้เปิดเผยต่อศาล ร่างกฎหมายนี้เขียนบังคับการทำหน้าที่ของศาลโดยได้ระบุว่าให้ศาลพิจารณาเป็นการลับและห้ามมิให้เปิดเผยเนื้อหาสาระของข้อมูล และวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลในคำพิพากษาหรือคำสั่ง เรื่องนี้ในแต่ละศาลจะมีกฎหมายที่ระบุไว้อยู่และให้ศาลใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นเรื่องลับและบันทึกข้อมูลแบบใด กฎหมายไม่ควรไปกำหนดแทรกแซงการทำหน้าที่ของศาล อีกทั้งให้มีการอุทธรณ์ได้ในศาลปกครองชั้นต้นเพียงชั้นเดียวและถือเป็นที่สุด จะทำให้ศาลปกครองสูงสุดไม่มีโอกาสได้ทบทวนและวินิจฉัยคดีวางบรรทัดฐานในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ

อีกทั้ง ครม. เห็นว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ หมวด 16 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ซึ่งระบุให้พิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา โดยหลายกฎหมายที่ผ่านมาพบว่าฝ่ายรัฐบาลและวุฒิสภาจะพิจารณาและลงมติไปในทิศทางเดียวกันทั้งในชั้นรับหลักการวาระ 1 และชั้นพิจารณาวาระ 2 ทำให้หากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาสาระที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชน จะต้องช่วยกันส่งเสียงท้วงติงร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่ตอนนี้

"จะเห็นว่า พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ต้องอยู่บนหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ที่ ครม. มีมติเห็นชอบนี้ไม่ได้อยู่บนหลักการดังกล่าว พรรคก้าวไกลจึงตั้งคณะทำงานศึกษาเนื้อหาสาระที่แก้ไข พร้อมเสนอความเห็นต่อที่ประชุม ส.ส. พิจารณาว่าควรจะรับหรือไม่รับหลักการกฎหมายฉบับนี้ต่อไป” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ไม่ต้องตกใจ...!!!! ทบ. แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ 3 เม.ย. 64 นี้

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล ร.2 รอ.) แจ้งประชาสัมพันธ์ เคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ของกองพันทหารม้าที่ 2 และกองทหารพลาธิการที่ 2 กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ภายหลังจากการฝึกเป็นหน่วยกองพัน ประจำปี 2564 ณ พื้นที่ฝึกฯ จ.สระแก้ว

ในวันที่ 3 มษายน 2564 เคลื่อนย้ายทางรถยนต์จากพื้นที่ฝึกฯ จ.สระแก้ว – อ.วัฒนานคร – อ.กบินทร์บุรี – ถ.สุวรรณศร – กองพันทหารม้าที่ 2 และกองทหารพลาธิการที่ 2 กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี  จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบ และขออภัยในความไม่สะดวก

“เทพไท”ข้องใจพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เสนอแก้ รธน. ร่วมกัน อัดเป็นแค่ละครตบตา ปชช. หวังลดกระแสเคลื่อนไหว เสนอ “บิ๊กตู่” ชูธงนำ สยบ ม็อบ

เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ความเคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลว่า ตอนนี้มีความชัดเจนเรื่องประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วว่า จะมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ทั้ง 2 กลุ่มโดยมีร่างของพรรคพลังประชารัฐที่จะแก้ไขใน 5 ประเด็น 13 มาตรา และในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลอีก 3 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา ก็จะมีการเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นรายฉบับ 

ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประเด็น 6 ฉบับ นับว่าเป็นท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล ที่สร้างความแปลกใจให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่งจึงเกิดคำถามว่า ทำไมพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดไม่เสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกัน ทั้งที่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ต่างก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน หรือต้องการให้พรรคร่วมรัฐบาลฟรีโหวตเหมือนตอนลงมติวาระ 3 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำมาแล้ว แต่ไม่มีใคร หรือพรรคการเมืองใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเลย

“การเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคการเมือง สามารถเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอิสระ เป็นการแสดงความไม่จริงใจและไม่เอาจริงเอาจังในการผลักดันนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เป็นการแสดงละครตบตาประชาชน เพื่อต้องการลดกระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเคลื่อนไหวการกดดันให้รัฐบาลอยู่ในตอนนี้ ถ้าหากรัฐบาลมีความจริงใจและต้องการให้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเป็นจริงในทางปฏิบัติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะต้องเป็นผู้ชูธงนำการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง จะได้สยบความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในขณะนี้ด้วย” นายเทพไท กล่าว

ชินวรณ์เผย ผลหารือ 3 พรรค มอบ “ประชาธิปัตย์” ยกร่าง พร้อมหนุนแก้ รธน. เป็นรายมาตรา 

นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปพรรค ได้หารือร่วมกันกับตัวแทนกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 3 พรรค ประกอบด้วย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ พรรคประชาธิปัตย์ นายศุภชัย ใจสมุทร นายภราดร ปริศนานันทกุล พรรคภูมิใจไทย และนายนิกร จำนงค์ พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งจากการหารือมีความเห็นร่วมกันที่จะเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตรา โดยจะแยกเสนอเป็นรายฉบับดังนี้ 

ฉบับที่ 1 ประเด็นมาตรา 256 แก้ไขจากยากให้ง่ายขึ้น โดยใช้เสียง 3 ใน 5  
ฉบับที่ 2 ประเด็นมาตรา 272 ส.ว. ไม่สิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี
ฉบับที่ 3 ประเด็นหมวดสิทธิเสรีภาพและสิทธิชุมชน 
ฉบับที่ 4 ประเด็นหมวดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและธรรมาภิบาล 
ฉบับที่ 5 ประเด็นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น 
และฉบับที่ 6 ประเด็นที่ระบบการเลือกตั้งเป็นระบบบัตร 2 ใบ 

ซึ่งจากการหารือได้มอบหมายให้พรรคประชาธิปัตย์ไปยกร่างและนำกลับมาหารือร่วมกันอีกรอบในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะเสนอต่อประธานรัฐสภาได้ในสมัยประชุมที่จะถึงนี้แน่นอน 

นายชินวรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีพรรคพลังประชารัฐ ให้ ส.ส. ลงนามเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 5 ประเด็น 13 มาตรานั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี และได้คุยกับประธานวิปรัฐบาล นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ และนายอนุชา นาคาศัย แล้วว่าประเด็นใดที่เห็นพ้องต้องกันก็พร้อมที่สนับสนุนกัน ในส่วน 3 พรรคที่หารือกันนั้นก็มีข้อสรุปตรงกันว่ายินดีร่วมมือกับทุกพรรครวมถึงภาคประชาชนด้วย เพื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

กรมท่าอากาศยาน ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐานจัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ที่เกี่ยวข้อง สำหรับกรมท่าอากาศยาน มีนายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) เข้าร่วมลงนามในพิธีดังกล่าว ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ห้องแกรนบอลรูม ชั้น G โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร

การลงนาม MOU ในครั้งนี้ มีหน่วยงานต่าง ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 23 หน่วยงาน ประกอบด้วย หน่วยงานส่วนกลาง  ได้แก่ กรมอนามัย  สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กรมท่าอากาศยาน กรมควบคุมโรค กรมการขนส่งทางบก กรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สมาคมโรงแรมไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมาคมสายการบินประเทศไทย และหน่วยงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่  จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดสงขลา จังหวัดอุดรธานี และเมืองพัทยา ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงานกลุ่มการจัดประชุมและนิทรรศการและการท่องเที่ยวในเมืองอย่างปลอดภัย  ด้านมาตรฐาน ด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการและกิจกรรมต่าง อย่างเป็นระเบียบ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้รับบริการ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานระบบบริการและสถานประกอบการต่าง ใน 10 เมืองซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีศักยภาพและความพร้อมในการจัดงาน  ภายใต้กรอบและแนวทางความร่วมมือ โดยมีการส่งเสริมสนับสนุน ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดงานในกลุ่มจังหวัด ได้แก่ การประชุม สัมมนา การจัดการแสดงสินค้าและนิทรรศการ การท่องเที่ยว ใน 10 เมืองไมซ์ซิตี้ รวมถึงยกระดับมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ของสถานประกอบการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศน์ไมซ์ สนับสนุนและพัฒนาบุคลากร ด้านความรู้และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาด และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสถานประกอบการที่มีแนวทางปฏิบัติในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดี และสร้างความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ระหว่างหน่วยงาน

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของกรมท่าอากาศยาน จะให้ความร่วมมือในกรณีการเดินทางในอุตสาหกรรมไมซ์และระบบนิเวศน์ให้ปลอดภัยและเพียงพอ  รวมทั้งมีมาตรการในการควบคุม กำกับติดตามการบังคับใช้มาตรการและแนวปฏิบัติสำหรับการเดินทางให้ปลอดภัย  และจะดำเนินการเผยแพร่มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ ทย. จำนวน 29 ทั่วประเทศ เพื่อให้การลงนามในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน 

เข้าเรื่องแบบฉับไว....วันนี้เอย่ามีเรื่องแนวเลือดข้น คนจางฉบับเมียนมาให้ทราบ...

ฮันเลย์ (HAN​ LAY)​ ชื่อนี้สำหรับคนไทยอาจจะนึกถึงนางงามเมียนมาที่ออกมาบีบน้ำตาพร่ำเรียกแขกพร้อมกับวลีที่ตามมาว่า​ "ฉันกลับประเทศฉันไม่ได้แล้ว"

แต่ในสายตาของคนเมียนมาอย่างเอย่าแล้ว 'ฮันเลย์'​ คือ​ ดารา นางแบบสาวอดีตหวานใจของหนุ่ม​'อ่องเลย์'​ ก่อนที่จะเลิกรากันไป

Han Lay (ภาพขวา) กับอดีตหวานใจ Aung Lay ก่อนเลิกรากัน

 

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเอย่าพยายามจะดูข่าวว่ามิสแกรนด์เมียนมาผู้เก่งกล้าของเรานั้นจะพยายามกลับมาอยู่เคียงข้างคนเมียนมาในการร่วมสู้ไหม?

แต่ปรากฎว่าเปล่าเลย​ แทนที่นางจะรีบกลับมาเมียนมาร่วมสู้กับพี่น้องชาวเมียนมา​ แต่นางเลือกที่จะอยู่ประเทศไทยต่อ โดย คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ก็ไม่รอช้ารีบพยายามหางานให้นาง​ เพื่อให้นางสามารถต่อวีซ่าได้อีก 3 เดือน

สำหรับสายตาคนไทยนางอาจจะเป็นนางฟ้ายอดคุณธรรม​ แต่ในสายตาคนเมียนมาแล้ว 'นางคือคนที่ตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว'​ โดยในส่วนที่พูดอะไรออกไปบนเวทีนั้น เพื่อหาความชอบธรรมในการที่จะไม่ต้องเดินทางกลับประเทศเมียนมาหรือเปล่า?

ปัจจุบันในเมียนมาแทบจะเรียกได้ว่ามีการประท้วงกันแทบทุกอาทิตย์ ในส่วนของดาราหลายๆ คนที่เข้าร่วมการชุมนุม​ ก็มีการลงภาพแบบถี่ๆ

(ซ้าย) Wutt Hmone Shewyi ดาราหญิงจาก From Bangkok to Mandalay

(ขวา) Khin Wint Wah Miss Supranational 2013 และ ติดอันดับ 60 ของสาวหน้าสวยที่สุดในโลกปี 2020 ของ TC Candler

 

(ซ้าย) Sai Sai Kham Leng นักร้อง นักแสดง จากภาพยนตร์ From Bangkok to Mandalay

(ขวา) Paing Takhon นักแสดงและนายแบบชื่อดังและติด 1 ใน 100 นายแบบที่หล่อที่สุดในโลกของ TC Candler

 

แต่ในขณะที่เอย่าไปดู Instagram ของ Han Lay ในชื่อ hann_may ซึ่งน่าจะเป็น Official Instagram ของนางกลับพบว่า Han Lay เธอแทบไม่เคยโพสอะไรที่เกี่ยวกับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาก่อนที่จะมีภาพเธอไปยืนโศกาบนเวทีเลย แล้วแบบนี้จะให้เราเชื่อได้อย่างไรว่าน้ำตาที่เธอหลั่งออกมานั้นเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจหรือน้ำตาจระเข้

ภาพบางส่วนจาก Official Instagram ของ Han Lay

 

อย่างว่าแหละค่ะ เราจะรู้ว่าใครที่เป็นคนรักชาติ หรือรักประชาธิปไตยรึเปล่า? มันสื่อได้จากการแสดงออก แต่จากการแสดงออกของเธอ ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นคนที่ต้องการให้เกิดประชาธิปไตยจริงๆ

น้ำตาของคุณมันก็แค่การแสดงฉากหนึ่งเพื่อให้คุณได้สิทธิพิเศษคือการได้ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยอันสงบสุขนั่นเอง


ที่มา: AYA IRRAWADDEE

รถกระบะ 5 ยี่ห้อไหนเด็ดในงานมอเตอร์โชว์ 2021 | BizMAX EP.33

รถยนต์ ถือว่าเป็นปัจจัยหนึ่งที่ในปัจจุบัน ทุกคนอาจจะจำเป็นต้องมีเพื่อใช้ในการเดินทาง หรือ อาจจะเป็นของสะสมของใครหลาย ๆ คนก็เป็นได้ รถยนต์มีหลากหลายประเภทตามความเหมาะสมของบุคลิก ไลฟ์สไตล์ของคน อย่าง "รถกระบะ" ก็เป็นรถยนต์ประเภทหนึ่งที่ผู้คนใช้ในการบรรทุกของใช้ในการเดินทาง ด้วยความแข็งแรง และ เป็นรถสไตล์ลุย ๆ สามารถทนทุกสภาพท้องถนนได้อย่างดีเยี่ยม ในวันนี้ หยก THE STATES TIMES จะพาทุกท่านไปดู 5 ยี่ห้อรถกระบะสุดแกร่ง จะมีแบบไหนที่โดนใจทุกท่านบ้าง ไปดูกันเลย

.

.


สนับสนุนโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ปิดฉาก “คนละครึ่ง” คนกรุงมือเติบใช้สูงสุดยอดทะลุแสนล้าน

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการคนละครึ่ง ได้สิ้นสุดแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมา จังหวัดที่มีการใช้จ่ายสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ชลบุรี สมุทรปราการ สงขลา และเชียงใหม่ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 6 เดือนตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ถึงไตรมาสแรกของปี 2564 ทำให้เกิดการหมุนเวียนของการผลิตและการค้าที่เกี่ยวเนื่อง ส่งให้โครงการคนละครึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง 

ส่วนผลการใช้จ่าย พบว่า มียอดการใช้จ่ายตลอดโครงการ 102,065 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 52,251 ล้านบาท และภาครัฐร่วมจ่ายอีก 49,814 ล้านบาท โดยมีผู้ใช้สิทธิทั้งสิ้น 14,793,502 คน จากเป้าหมาย 15 ล้านคน ในจำนวนนี้มีการใช้จ่ายตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป จำนวน 13,653,565 คน หรือประมาณร้อยละ 92 ของผู้ใช้สิทธิทั้งหมด โดยมีคนใช้จ่ายครบ 3,500 บาท จำนวน 7,819,925 คน 

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังได้ตรวจพบการใช้จ่ายที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการคนละครึ่ง และได้มีการระงับการใช้แอปพลิเคชันและการจ่ายเงินร้านค้า รวมทั้งจัดส่งข้อมูลร้านค้าและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เพื่อใช้ในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการทางกฎหมายแล้วทั้งสิ้น 749 ราย โดยมีการร้องทุกข์กล่าวโทษร้านค้าและประชาชนที่เกี่ยวข้องแล้ว 85 ราย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของ สตช. และ ปอศ.


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top