Saturday, 5 July 2025
อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ (ยีนส์)

'ไบเดน' ชงสภาคองเกรซ รีดงบ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ หนุนยูเครน 'เสริมอาวุธ - กู้ศก. - เยียวยามนุษยธรรม'

โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กำลังดันเรื่องเข้าสู่สภาคองเกรซเพื่อของบด้านการทหารเพิ่มอีก 3.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท) เพื่อทุ่มลงในสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ซึ่งงบประมาณที่ไบเดนจะขอเพิ่มในส่วนนี้จะถูกใช้จัดหาอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ส่งให้กับรัฐบาลยูเครนใช้ต่อสู้กับกองทัพรัสเซีย รวมถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับยูเครน คาดว่าจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในสงครามยูเครนได้ถึงเดือนกันยายนปีนี้

โจ ไบเดน กล่าวว่า "พวกเราต้องการผลักดันกฎหมายสนับสนุนการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของยูเครน แม้ค่าใช้จ่ายในสงครามมันไม่ถูก แต่การยอมแพ้นั้นราคาแพงกว่ามาก" 

‘ศรีลังกา’ ตัดสินใจกะทันหัน หนีซบ IMF แทนพึ่งเงินกู้จากจีน

รัฐบาลจีนแสดงทีท่าไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อรัฐบาลศรีลังกามีแผนที่จะรับเงินกู้ก้อนใหม่จาก IMF เพื่อฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจที่กระทบต่อปัญหาปากท้องของชาวศรีลังกากว่า 22 ล้านคนในตอนนี้

ด้วยสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจของศรีลังกาในขณะนี้ ที่ขาดสภาพคล่อง และเงินสำรองต่างประเทศอย่างหนัก ถึงกับต้องประกาศพักชำระหนี้ต่างประเทศทั้งหมด เพื่อสำรองเงินต่างประเทศไว้นำเข้าสินค้าอุปโภคที่จำเป็น เวชภัณฑ์และพลังงานไว้ใช้ในประเทศเท่านั้น นับเป็นวิกฤติด้านเศรษฐกิจที่หนักที่สุดของศรีลังกา นับตั้งแต่เป็นประเทศเอกราชในปี 1948 

และนำไปสู่การประท้วงครั้งใหญ่ในประเทศ เนื่องจากประชาชนหลายล้านคนกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากปัญหาเงินเฟ้อ สินค้าอุปโภค บริโภคราคาสูงขึ้นมาก หลายชุมชนมีปัญหาขาดไฟฟ้า/น้ำประปานานนับสัปดาห์ และภาคสาธารณสุขดำดิ่งสู่วิกฤติที่ใกล้ถึงจุดพังทลาย

รัฐบาลศรีลังกา ภายใต้การนำของประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษา จึงต้องหาวิธีผ่าตันด้วยการขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนระหว่างประเทศ หรือ IMF อีกครั้ง 

ศรีลังกาเคยขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุน IMF มานานเกือบ 20 ปี ครั้งล่าสุดที่ IMF เข้ามาดูแลปัญหาการเงินของศรีลังกา อยู่ในช่วงปี 2019 ที่ทำให้หนี้ต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นอีก 1.5 พันล้านเหรียญ ซึ่งจนถึงปีนี้ 2022 ศรีลังกามีหนี้ต่างประเทศกว่า 5 หมื่นล้านเหรียญ และหากต้องการเสริมสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจให้พอต่อลมหายใจได้อีกครั้ง รัฐบาลศรีลังกาต้องการวงเงินกู้เพิ่มไม่น้อยกว่า 3 พันล้านเหรียญ

แต่ทั้งนี้ นอกเหนือจากเงินทุนช่วยเหลือจาก IMF และสถาบันการเงินของชาติตะวันตกแล้ว จีนก็เป็นหนึ่งในผู้ให้เงินกู้รายใหญ่กับรัฐบาลศรีลังกา พ่วงกับเงื่อนไขสัญญาในโครงการก่อสร้างในโปรเจกต์ Belt and Road Initiative ของจีน ซึ่งนับถึงตอนนี้รัฐบาลจีนปล่อยเงินกู้ให้ศรีลังกาไป 3.5 พันล้านเหรียญ

และทางการจีนได้เสนอที่จะให้เงินกู้ก้อนใหม่แก่ศรีลังกาอีกกว่า 1.5 พันล้านเหรียญเพื่อบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ แต่ทว่าทางรัฐบาลศรีลังกาได้ตอบรับการช่วยเหลือจากกองทุน IMF อีกครั้ง ซึ่งเป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน ทำให้รัฐบาลจีนไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก และยอมรับว่าการตัดสินใจของรัฐบาลศรีลังกา จะมีผลกับการเจรจาการให้เครดิตเงินกู้รอบใหม่กับจีนอย่างแน่นอน

‘ลิกเตนสไตน์’ ยกกรณีรุกรานยูเครนของทัพรัสเซีย ต้องจำกัดสิทธิ์การ Veto ของเหล่าสมาชิกถาวร

เมื่อไม่นานมานี้ มีประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันถึงสิทธิ์ในการ Veto (สิทธิยับยั้ง) ของสมาชิกถาวรขององค์การสหประชาชาติ เพื่อยับยั้ง ตีตกมติ หรือประเด็นที่ต้องการหาข้อตกลงร่วมในการปฏิบัติของบรรดาประเทศสมาชิกในโลก

โดยประเด็นร้อนล่าสุดที่ถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมใน สภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ก็คือ การรุกรานยูเครนของกองทัพรัสเซีย

ทั้งนี้ ประเทศลิกเตนสไตน์ ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหัวหอกสำคัญในการเปิดประเด็นการจำกัดสิทธิ์การ Veto ของประเทศสมาชิกถาวรใน สภาความมั่นคง อันเนื่องจากรัสเซียเป็น 1 ใน 5 สมาชิกถาวรขององค์การสหประชาชาติ ที่ได้รับสิทธิ์ Veto ได้อย่างไม่จำกัด

และรัสเซียก็จะใช้สิทธิ์นั้นขัดขวางมติ รวมถึงการทำงานของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ซึ่งทางลิกเตนสไตน์ชี้ว่า เป็นการผิดเจตจำนงขององค์กร และยังขัดต่อหลักการส่งเสริมสันติภาพของโลก

ในปัจจุบัน ประเทศสมาชิกถาวรขององค์การสหประชาชาติมีอยู่ 5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ฝรั่งเศส, จีน และรัสเซีย ซึ่งถือว่าเป็นประเทศผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2

ถึงแม้โลกจะผ่านยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มานานเกือบ 75 ปีแล้ว และมีหลายประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า กลายเป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลในโลกไม่ต่างจากสมาชิกถาวรดั้งเดิม และเคยพยายามที่จะเข้าร่วมวงเป็นสมาชิกถาวร อาทิ ญี่ปุ่น, เยอรมัน หรือแม้แต่ อินเดีย, บราซิล และแอฟริกาใต้ แต่จนถึงตอนนี้องค์การสหประชาชาติก็ยังไม่มีแนวคิดที่จะขยายจำนวนสมาชิกถาวรแต่อย่างใด

และด้วยสิทธิ์ที่มีเฉพาะกลุ่มประเทศถาวร 5 ประเทศนี้ อย่างการ Veto ที่สามารถระงับมติร่วมของ UN ได้ทันที โดยตั้งแต่ปี 1946 เป็นต้นมามีการใช้สิทธิ์ Veto ไปแล้วถึง 295 ครั้งนั้น พบว่า รัสเซีย เป็นประเทศที่ใช้สิทธิ์ Veto มากที่สุดถึง 143 ครั้ง รองลงมาคือสหรัฐอเมริกา 86 ครั้ง อังกฤษ 30 ครั้ง ส่วนจีน และ ฝรั่งเศสเคยใช้สิทธิ์ไป 18 ครั้ง

'ไบเดน' เดินยุทธศาสตร์ 'ศาลโลกล้อมรัสเซีย' กล่าวหา 'ปูติน' ด้วยข้อหา 'ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์'

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวออกสื่อเป็นครั้งแรกว่า การใช้กำลังทหารรุกรานยูเครนของรัสเซียเป็นความผิดร้ายแรงถึงระดับ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์"

โดยไบเดนให้สัมภาษณ์ว่า "ใช่ครับ! ผมเรียกมันว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะสิ่งที่ปูตินทำลงไป มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาพยายามลบล้างความเป็นชาวยูเครน และมีหลักฐานเยอะมาก"

ไบเดนยังกล่าวอีกว่า "พวกเราได้ให้ทีมกฎหมายดำเนินการแล้วว่าสิ่งที่รัสเซียทำเข้าข่ายหรือไม่ แต่ในความเห็นของผม ผมแน่ใจว่ามันเป็นเช่นนั้น"

ก่อนหน้านี้ ไบเดนใช้คำว่า "อาชญากรสงคราม" เมื่อเอ่ยถึงปูติน กับปฏิบัติการทางทหารในยูเครนบ่อยครั้ง แต่มาครั้งนี้ ที่ไบเดนเปลี่ยนมาใช้คำว่า "ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ที่ถือเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงที่สุด

ซึ่งข้อหา "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" โวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ผู้นำยูเครนเคยใช้มาก่อน หลังจากที่เข้าไปสำรวจความเสียหายในเมืองบูชา (Bucha) หลังทหารรัสเซียถอนกำลังออกไป และพบผู้เสียชีวิตจำนวนมากภายในเมือง โจ ไบเดน จึงให้ผู้นำยูเครนรวบรวมหลักฐานมาประกอบสำนวนในการฟ้องร้องปูตินที่ศาลโลก

ถึงแม้โจ ไบเดน ได้ออกมาเปิดหน้าแล้วว่าจะผลักดันให้มีการดำเนินคดีปูตินถึงข้อหาสูงสุด แต่ด้านวลาดิมีร์ ปูติน ก็ได้แถลงออกสื่อครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์เช่นกันว่า รัสเซียจะยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางทหารในยูเครนต่อไปอย่างเป็นจังหวะ และใจเย็น และเชื่อมั่นว่ากองทัพรัสเซียจะสามารถบรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ ข้อหาเรื่อง "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" ก็ยังมีข้อถกเถียงอย่างมากในเรื่องการตีความ ซึ่งนิยามของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มีระบุในที่ประชุมเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขององค์การสหประชาชาติเมื่อเดือน ธันวาคม 1948 ไว้ว่าเป็นการกระทำที่มีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือศาสนา ให้สูญสิ้นไปทั้งหมด

พิษสงครามฉุด GDP ยูเครนร่วงหนัก มูลค่าหายไปกว่าครึ่ง ด้านรัสเซียกดดันต่อ ถล่มสนามบินที่เมืองดนิโปร

เข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 ของปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียในยูเครน ซึ่งตอนนี้มีการโยกย้ายศูนย์กลางการปะทะลงมาทางด้านตะวันออกของยูเครน ที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นการสู้รบครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

แต่ก่อนจะถึงศึกใหญ่นั้น หากประเมินผลกระทบจนถึงตอนนี้ ก็สร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจยูเครนอย่างหนักหนาสาหัสมากแล้ว จากการประเมินของธนาคารโลกวันนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของยูเครนในปี 2022 นี้อาจหดตัวมากถึง 45.1% และตัวเลขนี้อาจเพิ่มได้อีกหากการสู้รบยังคงดำเนินต่อไป 

และถ้าประเมินเป็นตัวเลขความเสียหายรวมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน บ้านเรือนประชาชน มูลค่านั้นสูงกว่า 5.6 แสนล้านเหรียญไปแล้ว ซึ่งฝ่ายรัฐบาลยูเครนกำลังเรียกร้องค่าเสียหายนี้จากทรัพย์สินของรัฐบาลรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ในธนาคารของชาติตะวันตก

'แมเดลิน อาลไบรต์' รัฐมนตรีหญิงคนแรกแห่งสหรัฐฯ สัญลักษณ์แห่งการแผ่อิทธิพลของสหรัฐฯ ผ่าน NATO

ไม่นานมานี้ สหรัฐอเมริกาได้รายงานข่าวการจากไปของ 'แมเดลิน อาลไบรต์' (Madeleine Albright) อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศคนที่ 64 ของสหรัฐอเมริกา และนับเป็นครั้งแรกที่สุภาพสตรีสามารถก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ได้ โดยเธอจากไปแล้วด้วยวัย 84 ปี จากโรคมะเร็ง

แมเดลิน อาลไบรต์ นับเป็นนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ อย่างมากในช่วงปี 1990s โดยเฉพาะในสมัยของประธานาธิบดี บิล คลินตัน ที่เสนอให้เธอดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ จนได้รับฉายาว่าเป็น ผู้นำชัยชนะในด้านการส่งผ่านประชาธิปไตยของสหรัฐอเมริกา

อดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ได้กล่าวคำอาลัยถึงการจากไปของ แมเดลิน อาลไบรต์ ว่า "เมื่อใดก็ตามที่ผมคิดถึงแมเดลิน ภาพจำของผมคือผู้หญิงที่เปี่ยมล้นด้วยแรงศรัทธาต่อความยิ่งใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นประเทศที่โลกจะขาดไม่ได้ เธอเป็นคนที่แข็งแกร่ง เป็นพลังสำคัญของสหรัฐฯ ในการขับเคลื่อนเพื่อให้ได้มาซึ่งความดีงาม ตามครรลองครองธรรม และเสรีภาพ"

จากประวัติของ แมเดลิน อาลไบรต์ เป็นชาวเช็ก เชื้อสายยิว เกิดในกรุงปราก ประเทศเชโกสโลวาเกีย เมื่อปี 1937 มีบิดาเป็นนักการทูต แต่ต่อมาต้องลี้ภัยหนีกองทัพนาซี-เยอรมัน ที่ยกทัพเข้ายึดครองเชคโกสโลวาเกียในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะย้ายเข้ามาตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกาในปี 1948

แมเดลิน อาลไบรต์ มีความเชี่ยวด้านภาษา และการเมืองต่างประเทศอย่างหาตัวจับยาก เธอสามารถพูดได้หลายภาษา ทั้ง อังกฤษ, เช็ก, รัสเซีย, ฝรั่งเศส และยังสื่อสารภาษาของชาวโปแลนด์, เซิร์บ ได้ด้วย 

'อินเดีย' สนใจรับข้อเสนอรัสเซีย ขายน้ำมันให้ในราคาลดกระหน่ำ 

สื่อ Reuters ของสหรัฐฯ รายงานข่าวจากข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐอินเดียถึง 2 คนว่า รัฐบาลอินเดียสนใจที่จะรับข้อเสนอของรัสเซีย ที่จะขายน้ำมันดิบ และสินค้าโภคภัณฑ์ให้ในราคาพิเศษสุดๆ ซึ่งจะเป็นสัญญาณว่าอินเดียยังคงเป็นพันธมิตรร่วมค้าอย่างเหนียวแน่นกับรัสเซีย แม้ว่าโลกตะวันตกจะพยายามโดดเดี่ยวรัสเซียจากมาตรการคว่ำบาตรก็ตาม

เรื่องนี้ ทางเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้เคยพูดคุยกับรัฐบาลอินเดียให้ร่วมกันตัดสัมพันธ์กับรัสเซีย จากเหตุปฏิบัติการทหารด้วยการบุกยูเครนเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าอินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาเทคโนโลยีทางทหารกับรัสเซียอย่างมาก ทั้งการสั่งซื้อเครื่องบินรบ จรวดขีปนาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์

และอินเดียยังวางตัวเป็นกลางในกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยการไม่ออกมาประณามรัสเซียอย่างชัดเจน และยังงดออกเสียงในที่ประชุมองค์การสหประชาชาติในมติคัดค้านการใช้กำลังทหารในยูเครน มาคราวนี้ อินเดียก็อาจจะสวนกระแสด้วยการเปิดดีลน้ำมันกับรัสเซียที่ยอมขายลดราคาให้เป็นพิเศษอีกด้วย 

Taliban 2.0 ความหวังใหม่ของอัฟกานิสถาน สู่ 'เมืองเศรษฐกิจ - ท่องเที่ยว' ที่น่าจับตา

การยึดครองของกลุ่มตอลิบาน อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิด และยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าชาติตะวันตกพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ที่สมรภูมิอัฟกานิสถาน 

เมื่อไม่นานมานี้ นายพล เซอร์ นิค คาร์เตอร์ ได้รายงานความเห็นต่อหน้าคณะกรรมการกลาโหมแห่งรัฐสภาอังกฤษว่า กลุ่มผู้ปกครองตอลิบานในยุคนี้มีความแตกต่างจากกลุ่มตอลิบานยุคที่ผ่านมา เนื่องจากกลุ่มตอลิบานมีการยกระดับขึ้นเป็น "Taliban 2.0" ที่มีการปรับแนวคิดตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปมากขึ้น และรัฐบาลตอลิบานก็ยินดีที่จะปกครองอัฟกานิสถานในแนวคิดสมัยใหม่นี้ 

ดังนั้นนายพลคาร์เตอร์จึงเชื่อว่า อัฟกานิสถานในอีก 5 ปีข้างหน้า น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นและแตกต่างจากยุคตอลิบานรุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาปกครองอัฟกานิสถานอย่างโหดเหี้ยมเมื่อ 20 ปีก่อน

นอกจากนี้ นายพล นิค คาร์เตอร์ ยังเคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อโทรทัศน์เมื่อครั้งที่กองทัพตอลิบานบุกถึงกรุงคาบูลเมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาว่า กองทัพตอลิบานก็ไม่ต่างจากชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มีจรรยาบรรณขึ้นมาหน่อย และเปรียบเทียบกับกองทัพเวียดกงในสงครามเวียดนาม ที่เนื้อแท้แล้วพวกเขาก็เป็นชาวบ้านเวียดนามกลุ่มหนึ่ง ที่รบชนะในประเทศของตัวเอง 

ซึ่งหลังสงครามเวียดนาม ชาติตะวันตกก็เคยคาดการณ์ว่า เวียดนามจะล้าหลัง กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน แต่พอเวลาผ่านไปเวียดนามก็เจริญขึ้นได้ มีเศรษฐกิจเติบโต และกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่โด่งดังมาก ที่ใคร ๆ ก็อยากไปเที่ยว

นายพล คาร์เตอร์มองว่า อัฟกานิสถานน่าจะเดินในโมเดลเดียวกับเวียดนามได้ และหากพร้อมเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้เมื่อไหร่ เขาเชื่อว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมได้ไม่ยาก 

'ไบเดน' แขวะ!! 'จีน-รัสเซีย' ไร้เงาผู้นำบนเวที COP26 ด้านจีนสวน ยังดีกว่าบางประเทศที่เคยถอนตัว

กลายเป็นดราม่าร้อนแรงกลางงานประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาเพื่อปัญหาสภาพอากาศครั้งที่ 26 (COP26) จนได้ เมื่อ 'โจ ไบเดน' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมาแขวะแรงถึง ผู้นำจีน 'สี่ จิ้นผิง' และ ประธานาธิบดี รัสเซีย 'วลาดิมีร์ ปูติน' ว่าขาดภาวะผู้นำในเรื่องปัญหาภาวะโลกร้อน เนื่องจากผู้นำทั้งคู่ไม่มาเข้าร่วมการประชุม COP26 ประจำปีนี้ 

การประชุม COP26 นับเป็นงานสำคัญที่มีผู้นำประเทศมากกว่า 120 ชาติ มาเข้าร่วมโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อถกปัญหาด้านสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-12 พฤศจิกายน ที่เมืองกลาสโกล ในสกอตแลนด์ 

แต่กลับไม่พบ สี จิ้นผิง และ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำของ 2 ชาติมหาอำนาจมาเข้าร่วมประชุม โดยทั้งจีน และรัสเซีย แจ้งว่าติดปัญหาเรื่องการระบาด Covid-19 ที่ทำให้ไม่สะดวกเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนี้ 

โดยผู้นำรัสเซียจะเข้าร่วมประชุมทางไกลผ่านสื่อออนไลน์ ส่วนผู้นำจีนได้ส่งถ้อยแถลงแสดงเจตจำนงในการเป็นส่วนหนึ่งของสมัชชาภาคีอนุสัญญาผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศของจีน

แต่ก็ไม่วายโดนผู้นำสหรัฐฯ อย่างโจ ไบเดน แขวะแรงว่า... 

"ทั้ง ๆ ที่จีนพยายามเหลือเกินที่จะให้ทั่วโลกยอมรับว่าเป็นผู้นำโลก แต่ไม่ยอมมาร่วมประชุม COP26! ได้เหรอ! นี่เป็นประเด็นสำคัญของโลกเลยนะครับ แต่พวกเขา (จีน/รัสเซีย) กลับไม่มา แล้วประเทศอื่นเขาจะคิดยังไง แล้วยังจะอ้างตัวเป็นผู้นำโลกได้อีกหรือ? สำหรับจีน ผมพูดตรง ๆ เลยนะ พลาดมาก!!"

ปัจจุบัน จีน เป็นประเทศที่มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุดในโลก ส่วนรัสเซียอยู่ในอันดับ 4 ดังนั้นการไม่ปรากฏตัวของผู้นำทั้ง 2 ชาติอย่างกับนัดหมายในงาน COP26 นั้น จึงกลายเป็นที่สังเกต และเปิดช่องให้ผู้นำสหรัฐฯ ออกปากโจมตีเพื่อสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของจีน และรัสเซีย

วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ทำไมใครๆ ก็อิจฉาสวีเดน หนึ่งในประเทศผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมโลก และการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก

...ประเทศสวีเดน หนึ่งในประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่เคยติดอันดับประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และพลังงานทางเลือกที่ดีที่สุดในโลก

...ประเทศที่จำเป็นต้องนำเข้าขยะจากต่างประเทศ เพราะขยะไม่พอรีไซเคิลใช้ในประเทศ

...ประเทศแรกในโลกที่ประกาศเป้าหมายปลอดการใช้พลังงานคาร์บอน

...และยังเป็นประเทศบ้านเกิดของนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังระดับโลกอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก

สวีเดนทำได้อย่างไร? วันนี้เราลองมาดูแนวทางการพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน

ที่ทำให้สวีเดนพัฒนาจากประเทศที่เคยยากจนที่สุดในยุโรป ให้กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมดีที่สุดในโลกกันดีกว่า

ปัจจัยสำคัญที่สร้างสวีเดนให้มีความมั่งคั่ง และยั่งยืนในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม คือ ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล การพัฒนาด้านนวัตกรรม สังคมคุณภาพ และการศึกษาที่มีเป้าหมายหากนับย้อนหลังไปเมื่อร้อยปีก่อน ประเทศสวีเดน อาจเป็นเพียงหนึ่งในประเทศยากจนในดินแดนยุโรป ที่อาศัยรายได้จากกสิกรรมเป็นหลัก และมักได้ผลผลิตน้อยเนื่องจากอยู่ในเขตที่มีอากาศหนาวจัด และประชากรเบาบาง แต่สิ่งที่ทำให้สวีเดนสามารถพัฒนาจนกลายเป็นประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้า และเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลในด้านสิ่งแวดล้อมประเทศหนึ่งของโลก มีอยู่หลายปัจจัย

จุดเด่นของรัฐบาลสวีเดน คือการวางแผนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจน และเห็นเป้าหมาย ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆ ในโลก ที่ผ่านร่างกฏหมายด้านสิ่งแวดล้อมระดับประเทศที่ชื่อว่า Environmental Protection Act ตั้งแต่ปี 1967 และยังเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมด้านสิ่งแวดล้อมโลกขององค์การสหประชาชาติเป็นครั้งแรกของโลกในปี 1972

และทราบหรือไม่ว่าเมือง Växjö ในสวีเดนเป็นเมืองแรกของโลกที่ประกาศเป้าหมายเป็นเมืองปลอดพลังงานจากคาร์บอนตั้งแต่ปี 1996 ให้บรรลุเป้าหมายภายในปี 2030 ซึ่งเมือง Växjö ยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีความเขียวขจีที่สุดในยุโรป

ทั้งนี้ รัฐบาลสวีเดนยังได้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นประเทศปลอดคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2045 ซึ่งเป้าหมายนี้ตั้งอยู่บนยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมของชาติที่เรียกว่า ‘1 เจนเนอเรชั่น 16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’

หมายความว่า สวีเดนตั้งเป้าที่จะส่งมอบประเทศที่มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยและยั่งยืน ให้สำเร็จให้ได้ภายใน 1 ช่วงอายุคนที่ครอบคลุม 16 เป้าหมายดังนี้

1. จำกัดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
2. อากาศบริสุทธิ์
3. รักษาสมดุลย์ของกรดในธรรมชาติ
4. สิ่งแวดล้อมที่ปลอดสารพิษ
5. ปกป้องชั้นบรรยากาศ
6. มีความปลอดภัยจากพิษรังสี
7. ปลอดมลภาวะทางน้ำ
8. แม่น้ำ ลำธารงดงาม
9. น้ำบาดาลที่มีคุณภาพดี
10. รักษาสมดุลย์ของสิ่งแวดล้อมทางทะเล
11. พื้นที่ชุ่มน้ำสมบูรณ์
12. ป่าไม้ยั่งยืน
13. เกษตรกรรมหลากหลาย

14. ป่าเขาอุดมสมบูรณ์
15. สร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
16. พืชพันธุ์ สัตว์ป่าสารพัน

‘16 เป้าหมาย 24 หลักชัย’ จึงเป็นเหมือนเป็นแนวทางที่รัฐบาลตั้งธงไว้ อาทิ ลดผลกระทบด้านภูมิอากาศ การบริหารจัดการขยะ รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ กำจัดสารพิษ และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น

นอกจากจะมียุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนแล้ว รัฐบาลสวีเดนยังให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรม และเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา โดยการทุ่มงบประมาณสูงถึง 400 ล้านโครเนอร์ (ประมาณ 1.44 พันล้านบาท) ในแต่ละปีเพื่องานวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ในประเทศ

โดยเฉพาะโครงการพลังงานสะอาดที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อย ซึ่งปัจจุบันนี้ 80% ของพลังงานที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของสวีเดน มาจากแหล่งพลังงานปลอดคาร์บอนแทบทั้งสิ้น เช่นพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พลังงานจากน้ำ คลื่น แสงอาทิตย์ ลม ชีวภาพ  หรือแม้แต่ความร้อนจากร่างกายมนุษย์ก็สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานได้เช่นกัน นับเป็นประเทศที่ใช้พลังงานทางเลือกแทนพลังงานคาร์บอนสูงที่สุดในยุโรป

ส่วนภาคสังคมชาวสวีเดน ก็เป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะพาประเทศไปสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากชาวสวีเดนมีความตระหนักรู้ในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก นิยมสินค้าออแกนิคส์ มีระเบียบวินัยสูงในการคัดแยกขยะรีไซเคิล ที่สามารถนำกลับมาใช้เป็นพลังงานต่อได้ จนถึงขนาดขยะในประเทศไม่พอใช้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ

เรื่องการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เชื่อหรือไม่ว่าในจำนวนขยะทั้งหมดที่มีในสวีเดน มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่จำเป็นต้องเหลือทิ้งจริงๆ ส่วน 49% นั้นชาวสวีเดนจะใช้วิธีแปรรูปนำกลับมาใช้ใหม่ และอีก 50% ถูกส่งไปเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานในประเทศ ซึ่งในสวีเดนมีโรงงานแปรรูป ขยะ-สู่-พลังงาน ถึง 34 แห่ง 

และชาวสวีเดนมักยอมจ่ายแพง หากค่าใช้จ่ายนั้นจะช่วยในเรื่องการเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสวีเดนก็เป็นประเทศแรกๆของโลก ที่เก็บภาษีคาร์บอนตั้งแต่ปี 1991 แถมจ่ายในอัตราที่แพงที่สุดในโลก ที่ 1,190 โครเนอร์ (4,290 บาท) ต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอน 1 เมตตริกตัน และตั้งแต่เก็บภาษีคาร์บอนมาได้กว่า 30 ปี การปล่อยก๊าซคาร์บอนในประเทศก็ลดลงเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับการเติบโตด้านเศรษฐกิจในประเทศ เนื่องจากรัฐบาลนำเงินภาษีที่ได้ไปพัฒนาสวัสดิการด้านพลังงานในประเทศ ชาวสวีเดนส่วนใหญ่จึงจิตสาธารณะในการช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และยังนิยมเลือกพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี

นอกจากนี้ยังมีการสำรวจพบว่า มากกว่า 80% ของชาวสวีเดนอาศัยอยู่ไม่ไกลเกินรัศมี 5 กิโลเมตรจากพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ แหล่งอนุรักษ์ทางธรรมชาติ ที่มีอยู่มากกว่า 4,000 แห่งทั่วประเทศ กิจกรรมสันทนาการอย่างการเดินป่า ปีนเขา นอนแคมป์ จึงเป็นที่นิยมของชาวสวีเดน และยังเป็นหนึ่งในหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลให้ชาวสวีเดนสามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจด้วย

สังคมคุณภาพของสวีเดนจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าไม่เริ่มต้นตั้งแต่ระบบการศึกษา ที่ปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมในทุกระดับชั้น ด้วยการสอนให้รู้ถึงความสำคัญของการคัดแยกขยะ การใช้ของอย่างคุ้มค่า ลดการใช้ขวด แก้วพลาสติก ใช้อุปกรณ์การเรียน การสอนด้วยวัสดุรีไซเคิล

โรงเรียนในสวีเดนไม่ได้สอนวิชาด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เนื้อหาด้านสิ่งแวดล้อมนั้นจะแทรกอยู่ในทุกวิชาที่เด็กเรียน เพื่อเน้นให้เด็กเห็นถึงปัญหาของสิ่งแวดล้อมในภาพรวมว่าอยู่ใกล้ตัวเรามากแค่ไหน จึงไม่แปลกใจว่า ระบบการศึกษานี้ได้สร้างนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมคนสำคัญอย่าง เกรต้า ธุนเบิร์ก ที่ออกมารณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอย่างเข้มแข็งตั้งแต่อายุ 15 ปี

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ จึงขับเคลื่อนให้สวีเดนเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นผู้นำของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนทางด้านสิ่งแวดล้อม พลังงานทางเลือก และการอนุรักษ์จัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า ปราศจากมลภาวะ จนเป็นที่อิจฉาของหลายๆประเทศ

แต่การที่จะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับเดียวกับสวีเดนได้นั้น ต้องพัฒนาโครงสร้างทางสังคมทั้งระบบ ทั้งภาครัฐ เอกชน สังคม และการศึกษา ให้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม และมองเห็นเป้าหมายในทิศทางเดียวกันนั่นเอง

เขียนโดย: อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ นามปากกา Jeans Aroonrat


อ้างอิง:
https://sweden.se/nature/7-examples-of-sustainability-in-sweden/
http://www.inquiriesjournal.com/articles/1555/sweden-the-worlds-most-sustainable-country-political-statements-and-goals-for-a-sustainable-society
https://www.thehumble.co/blogs/news/sweden-aka-the-most-sustainable-country-in-the-world-1
https://hoting-tasjodalen.com/how-did-sweden-become-the-most-sustainable-country-in-the-world/
https://www.nbcnews.com/news/world/sweden-s-environmental-education-building-generation-greta-thunbergs-n1106876
https://taxfoundation.org/sweden-carbon-tax-revenue-greenhouse-gas-emissions/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top