Monday, 20 May 2024
NEWS FEED

‘อคส.’ จ่อประกาศขาย ‘ข้าว 10 ปี’ กว่า 1.5 หมื่นตัน คาด!! ไม่เกินสิ้นเดือนนี้ หลังผลตรวจชี้มีคุณภาพ

(20 พ.ค.67) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการแถลงข่าวผลการตรวจข้าวที่ได้รับจากกระทรวงพาณิชย์ ทางด้านสารเคมีตกค้าง การปนเปื้อนสารพิษจากเชื้อรา และคุณภาพของข้าวด้านสารอาหารและอื่น ๆ ด้วยระบบคุณภาพมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ว่า

ขณะนี้ข้าวในสต็อกของรัฐบาลจากโครงการรับจำนำข้าว เหลืออยู่ทั้งหมด 2 คลัง ใน จ.สุรินทร์ คือ คลังกิตติชัย จำนวน 11,665.65 ตัน คิดเป็น 112,711 กระสอบ และคลังพูนผล 3,356.59 ตัน คิดเป็น 32,879 กระสอบ รวมทั้งหมด 15,013.24 ตัน คิดเป็น 145,590 กระสอบ ซึ่งเป็นข้าวสารในสต็อกรัฐบาลล็อตสุดท้ายแล้ว

ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการว่าข้าวเก็บมานาน มีค่าใช้จ่ายที่เป็นภาระของผู้ประกอบการในการรมยา ดูแลรักษา และไม่สามารถนำพื้นที่ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้จึงเป็นที่มาว่ากระทรวงพาณิชย์ อยากจะระบายข้าวและนำเงินกลับมาคืนเป็นรายได้ของรัฐเอง

นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้าวในคลัง พร้อมทั้งเก็บตัวอย่างข้าว ที่กระทรวงฯ ได้ว่าจ้างบริษัทเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ (Surveyor) คือ บริษัท โคเทคนา อินสเปคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับกรมการค้าต่างประเทศ มีสำนักงานใหญ่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นบริษัทที่มีมาตรฐานในการปฏิบัติ โดยการเก็บตัวอย่างข้าวจะมีการผ่ากรอง 15 ชั้น เพื่อให้ได้ตัวอย่างที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งเราผ่าทุกกรองและเก็บตัวอย่างมาเพื่อให้มีความมั่นใจ ทุกขั้นตอนมีการเปิดเผยในสายตาของสื่อมวลชน มีความโปร่งใส จากนั้นจึงได้ส่งตัวอย่างมาตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ขณะที่ นายกฤษณรักษ์ ใจดี รักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) กล่าวว่า หลังจากที่มีผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวที่มีการเก็บรักษาไว้ใน 2 คลังดังกล่าวออกมาว่า มีคุณภาพนั้น ขณะนี้อยู่ในกระบวนการของคณะกรรมการตรวจสอบ และวางกรอบการทำงาน เพื่อการประกาศขายข้าว ทั้งหมด 15,013.24 ตัน คาดว่า ไม่เกินสิ้นเดือน พ.ค.นี้ ทาง อคส.จะประกาศจำหน่ายข้าวในสต็อกเป็นการทั่วไป

เมื่อถามว่า หากมีการจำหน่ายทั่วไปแล้ว ในทางกฎหมายจะสามารถระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ว่าเป็นข้าวล็อต 10 ปีได้หรือไม่ นายวัฒนศักย์กล่าวว่า ทาง อคส. ต้องไปดูรายละเอียด แต่อย่างที่มีการรายงานผลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่พบว่าคุณภาพข้าวที่มาจากคลังสินค้า และข้าวใหม่ในตลาดไม่มีความแตกต่างกันนั้น อย่างไรก็ตามคงต้องไปดูในรายละเอียดอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หากจะมีการนำข้าวดังกล่าวมาจำหน่ายต้องมีขั้นตอนการปรับปรุงคุณภาพข้าว นำสิ่งแปลกปลอมที่ปนอยู่ออกก่อน จึงจะนำมาจำหน่ายได้ ส่วนจะสามารถส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศได้หรือไม่นั้น กรมการค้าต่างประเทศจะต้องเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งอาจจะมีการตรวจหาสารเคมีซ้ำหรือไม่ ก็ต้องไปดูรายละเอียด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทางกรมวิทย์มีการตรวจสอบอายุของข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ส่งมาตรวจหรือไม่ นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เป็นเรื่องแรกที่ตนได้ถามกับผู้อำนวยการสำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร (สคอ.) ว่าจะมีเทคโนโลยีใดที่สามารถยืนยันอายุของข้าวได้ ซึ่งท่าน ผอ.สคอ. ก็ไปค้นข้อมูลวิชาการ แต่วันนี้ก็ยังไม่พบข้อมูลที่ระบุวิธีในการบอกอายุของข้าวได้ เพราะข้าวส่วนใหญ่เก็บเอาไว้อายุสั้น ๆ ไม่กี่ปี ก็บริโภคหมด ดังนั้นเรายังหาวิธีตรวจไม่ได้ แต่วันหนึ่งเราจะตรวจได้ ซึ่งตนได้มอบให้นักวิทยาศาสตร์ของกรมวิทย์ไปหาวิธีมาเพื่อโอกาสในอนาคต

เมื่อถามว่า กลิ่นของข้าวที่ได้รับตัวอย่างจากกระทรวงพาณิชย์มีกลิ่นอย่างไร นพ.ยงยศ กล่าวว่า จริง ๆ ต้องไปตามนักวิทยาศาสตร์ในแล็บ แต่ที่ได้รับรายงานมาพบว่ามีกลิ่นอับ แต่ในกลิ่นข้าว 2 ตัวอย่างที่ซื้อมาเป็นกลิ่นข้าวปกติ ส่วนกลิ่นของข้าวเก่าก็อาจเกิดจากซากแมลงที่ปนอยู่ก็ทำให้มีกลิ่นได้

เมื่อถามต่อว่า ประชาชนกังวลว่าการกินข้าวที่เก็บมานานอาจก่อเชื้อมะเร็งได้ นพ.ยงยศ กล่าวว่า คงไม่เกี่ยวกับข้าว เพราะคนเป็นมะเร็งมีหลายสาเหตุ แต่คงไม่เกี่ยวกับข้าว

เมื่อถามย้ำว่าข้าวที่เก็บมานานนั้น ผลการตรวจออกมาว่าไม่มีสารปนเปื้อน ยังสามารถกินได้ใช่หรือไม่ นพ.ยงยศ กล่าวว่า นำไปทำความสะอาด เอามอด เอาแมลง เอาฝุ่นออกให้หมด ก็กินได้ ส่วนสารตกค้างที่พบในข้าวนั้น เป็นการพบปริมาณน้อย อยู่ในระดับที่สามารถนำไปล้างก็จะลดปริมาณสารลงได้ เช่น สารหนู ผักที่เรากินทุกวันมีมากกว่าข้าวที่เราตรวจเยอะ และข้าวที่ได้รับตัวอย่างมาพบปริมาณสารต่ำกว่าค่ามาตรฐาน 200 เท่า

เชียงใหม่-สถาบันวิจัยและพัฒนา CMRU ดันสินค้าOTOP ยกระดับชุมชนฉลาดรู้อย่างสร้างสรรค์ด้วยกลไกการขับเคลื่อนจากมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน

รศ.ดร.ชาตรี มณีโกศล อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ให้เกียรติเป็นประธานในกิจกรรมสรุปงานโครงการยกระดับชุมชนฉลาดรู้อย่างสร้างสรรค์ด้วยกลไกการขับเคลื่อนจากมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน โครงการพลิกโฉมมหาวิทยาลัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 กลุ่ม Area Based ของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ณ ลานโปรโมชั่น ชั้นG ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ดำเนินการส่งเสริมกิจกรรมการสร้างรายได้จากเศรษฐกิจโดยการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มีบทบาทในการส่งเสริมนโยบายและกลไกสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ ซึ่งภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีบทบาทในการร่วมลงทุนและสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ ดังนั้นจึงได้ดำเนินการส่งเสริมการสร้างพื้นที่สร้างสรรค์ที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่นล้านนา เช่น หัตถกรรม สถาปัตยกรรม สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ให้เกิดพื้นที่ที่มีการสร้างรายได้จากเศรษฐกิจฐานราก นำไปสู่การทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างยั่งยืน 

โดยมีสินค้าที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการและรูปแบบผลิตภัณฑ์ตลอดระยะเวลาของโครงการ ทั้งสิ้น 12 ราย ได้แก่  ทองน้ำหนึ่ง,ทิพย์สมุนไพร,เศรษฐีเรือนทอง เชียงใหม่,ลำลนา,แอนนิมอล์,กลุ่มเป่าแก้ว พนาไพร,ชนกฝ้ายแพรไหม,สไบทอง,สุภิญญ์ ผ้าฝ้าย,วิสาหกิจชุมชนหมื่นสารบ้านวัวลาย,กาแฟขุนช่างเคี่ยน และห้างหุ้นส่วนจำกัด Amazing Tea

ภายในงานมีกิจกรรม การแสดงศิลปวัฒนธรม กิจกรรมworkshop การสัมนาถอดบทเรียนการดำเนินโครงการ การนำเสนอผลงานนักศึกษาที่ได้รางวัลชนะเลิศจากการเขียนแผนประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ภายในโครงการ และการแสดงสินค้าของผู้ประกอบการเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ

นภาพร/เชียงใหม่

‘วัดควนอินทนินงาม’ ทาสีโบสถ์ทั้งหลังเป็นสีธงชาติไทย หวังไว้เตือนใจให้คนรุ่นหลังรำลึกถึง ‘บรรพบุรุษไทย’

เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง ทาสีโบสถ์ทั้งหลังด้วยสีธงชาติไทย ทั้งแดง ขาว น้ำเงิน สื่อความหมายถึงการรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อเตือนใจอนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงบรรพบุรุษไทย ดึงคนเข้าวัด และเป็นโบสถ์เพียงแห่งเดียวในตรังที่ทาด้วยสีธงชาติไทยทั้งหลัง

(20 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดควนอินทนินงาม ริมถนนสายตรัง-ย่านตาขาว หมู่ที่ 1 ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง พระครูปลัดเริงชัย สุภโร เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม ผุดไอเดียการทาสีโบสถ์ทั้งหลังด้วยสีธงชาติไทย ทั้งสีแดง สีขาวและสีน้ำเงิน สื่อความหมายถึงความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อเตือนใจให้อนุชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงบรรพบุรุษไทย เป็นการปลุกใจให้รักชาติ และยังสามารถดึงคนเข้าวัดด้วยความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ทำนักท่องเที่ยวที่ผ่านไป-มาบนถนนสายดังกล่าว ต่างรู้สึกประทับใจ และแวะเวียนเข้ามาถ่ายภาพโพสต์ลงโซเชียลและเพจต่าง ๆ กันอย่างต่อเนื่อง

สำหรับโบสถ์หลังนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2555 มีขนาดความยาว 100 เมตร ความกว้าง 30 เมตร สูง 2 ชั้น ใช้เงินก่อสร้างไปแล้วกว่า 20 ล้านบาท แต่ก่อสร้างแล้วเสร็จไปประมาณ 50 % ยังไม่ได้ติดตั้งระบบไฟฟ้าและน้ำประปา เนื่องจากวัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น ซึ่งภายในเป็นลานกิจกรรม สำหรับให้เยาวชนและประชาชน ได้ใช้ในการประกอบพิธีต่าง ๆ และมีพระประธานปางมารสะดุ้งองค์ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ น้ำหนัก 80 ตัน ที่มีดวงตาเป็นนิลสีดำประดิษฐานอยู่

ส่วนบริเวณรอบโบสถ์จะมีการสร้างน้ำตก ให้น้ำไหลเวียนได้รอบโบสถ์ เพื่อให้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้อีกทางหนึ่งด้วย พร้อมกับการปลูกต้นไม้เพื่อให้ร่มเงาแก่คนและสัตว์ เช่น กระรอก กระแต นก และหมาแมว โดยผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคได้ที่ Fb วัดควนอินทนินงาม หรือที่พระครูปลัดเริงชัย หมายเลขโทรศัพท์ 085-8892403

ด้านพระครูปลัดเริงชัย สุภโร เจ้าอาวาสวัดควนอินทนินงาม กล่าวว่า ที่สร้างเป็นสีธงชาติเพื่อให้ได้ครบตามหลักชาวพุทธ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะถ้าเราไม่มีชาติ เราก็ไม่สามารถมีศาสนาอยู่ได้ และที่ศาสนาอยู่ได้เพราะมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์ จึงทำให้คนมาเห็นก็นึกภาพออกว่านี่คือเมืองไทย ซึ่งที่ตรังไม่มีวัดไหนมีสีธงชาติเต็มรูปแบบเหมือนของทางวัด ที่ตรังคงจะไม่มี ถ้ามีก็มีเฉพาะหลังคา ซึ่งของเราเป็นชั้นแบบสีธงชาติเลย

ชาวบ้านลงเรือช่วยกันเก็บขยะทะเล เกาะพีพี จ.กระบี่ ‘ดร.ธรณ์’ ชี้!! ‘ไมโครพลาสติก’ ซ้ำเติมปะการังฟอกขาว

(20 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจปะการังฟอกขาวในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โพสต์เฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากพบปะการังฟอกขาวแล้ว ยังเจอขยะทะเลในพื้นที่เกาะพีพี จ.กระบี่ จำนวนมากอีกด้วย แต่ดีใจที่เห็นชาวบ้านในพื้นที่ช่วยกันเก็บขยะจำนวนมากดังกล่าว

โดยในเฟซบุ๊ก ระบุว่า “ระหว่างที่ผมลอยคออยู่กลางแพขยะเหนือปะการังฟอกขาว กลุ้มใจว่าจะเก็บยังไงดีสองมือถือได้แค่นี้ จู่ ๆ ก็มีเรือลำหนึ่งแล่นเข้ามา จากนั้นน้องเขาก็ลงมือตักขยะขึ้นเรือ ผมลอยดูอยู่ 5 นาที น้องไม่หยุดเลย เก็บขยะไปได้ครึ่งค่อนแพ

ไม่ต้องขอ ไม่ต้องบอก ไม่ใช่หน้าที่ ก็แค่ทำตามที่ใจสั่ง ไม่มีโล่ไม่มีอะไรให้ มีแต่ความชื่นชมจากใจ สุดยอดมากครับน้อง ถามแล้ว เรือชื่อนี้เป็นของคนท้องถิ่นพีพี ของผู้ใหญ่ดำ หมู่ 8″

นอกจากนี้ ผศ.ดร.ธรณ์ ยังโพสต์ 4 ข้อธรณ์ขอไว้ หนึ่งในนั้นคือขยะทะเล ภาพนี้คงบอกได้ว่าทำไม? ปะการังฟอกขาวอยู่ใต้น้ำ แพขยะลอยมา สังเกตตะกอนเล็ก ๆ เต็มน้ำ

บางส่วนเป็นเศษขยะชิ้นจิ๋วและไมโครพลาสติก เมื่อมาถึงช่วงน้ำนิ่งจะตกลงไปเบื้องล่าง ลงสู่ปะการังที่อ่อนแออยู่แล้วพอน้ำเริ่มไหลอีกครั้ง เศษพลาสติกจิ๋วจะบาดตัวปะการัง ทำให้เป็นโรคง่าย ขยะทะเลจึงซ้ำเติมปะการังฟอกขาว เพราะฉะนั้น ช่วยกันนะครับ

ภาพ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

‘นายกฯ’ แสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ‘ประธานาธิบดีอิหร่าน’ หลังประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก ระหว่างรุดเยี่ยมพื้นที่ชายแดน

(20 พ.ค.67) ตามเวลาท้องถิ่นที่กรุงโรมสาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างการปฎิบัติภารกิจยืนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการและกิจกรรมคู่ขนาน ณ เมืองมิลานและกรุงโรม นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ดร. Ebrahim Raisi (อิบราฮิม ไรซี) ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ว่า “เป็นความเศร้าโศกอย่างมากที่ได้ทราบถึงเกี่ยวกับการจากไปอันน่าเศร้าของเขา ดร. Ebrahim Raisi ประธานาธิบดีสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านและคณะผู้แทนของเขา ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของดร. Ebrahim Raisi และชาวอิหร่านในช่วงเวลาที่ยากลําบากนี้”

“It is with great sorrow that I learn of the tragic passing of HE. Dr. Ebrahim Raisi, President of the Islamic Republic of Iran and his delegation. My thoughts and deepest condolences go to his family and the people of Iran during this difficult time.”

ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เฮลิคอปเตอร์ซึ่งมี อิบราฮิม ไรซี ประธานาธิบดีอิหร่านและ ฮอสเซน อามีร์-อับดุลลาเฮียน รัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นหนึ่งในผู้โดยสาร ประสบอุบัติเหตุตก ขณะเดินทางกลับจากการเยี่ยมพื้นที่ชายแดนติดกับอาเซอร์ไบจาน ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายและมีหมอกหนาจัด

เปิดมุมมองเพื่อนบ้านในอาเซียนกับการใช้ถนนในเมืองไทย ช่วยร่นระยะทาง ประหยัดเวลา แถมลาดยางตลอดสาย

เมื่อวานนี้ (19 พ.ค.67) จากช่องติ๊กต็อก ‘sarayontbymrpaul’ หรือ ‘สาระยนต์ By Mr.Paul’ ได้โพสต์คลิปในหัวข้อ ‘ถนนประเทศไทยดีมาก จนเพื่อนบ้าน 2 ประเทศนี้ ใช้เป็นทางผ่านกลับบ้าน?!’ โดยระบุว่า… 

“อย่าง ‘ประเทศมาเลเซีย’ ที่ต้องการเดินทางกลับบ้านเกิดในประเทศมาเลเซีย จากตะวันตกของประเทศ สู่ตะวันออกของประเทศ ซึ่งถ้าหากใช้เส้นทางในประเทศตัวเองจะต้องเดินทางอ้อม ในระยะทาง 320 กิโล และมีถนนแค่ 2 เลนส์ แถมมีการเก็บค่าผ่านทางอีกด้วย แต่ถ้าใช้ทางลัดถนนในประเทศไทย สามารถไปถึงได้เร็วกว่า และมีถนน 4 เลนส์ แถมประเทศไทยไม่เก็บค่าผ่านทางอีกด้วย” พร้อมเผยภาพชายแดนฝั่งมาเลเซียที่มีรถหลายคันแห่ต่อคิวรอเข้าประเทศไทย

“ส่วนอีกหนึ่งประเทศที่ใช้ถนนไทยเป็นทางลัดกลับบ้านเหมือนกัน นั่นคือ ‘ประเทศลาว’ ที่เดินทางจากลาวเหนือสู่ลาวใต้ จากเวียงจันทน์ สู่ท่าแขก สะหวันนะเขต และปากเซ โดยถ้าใช้เส้นทางในประเทศลาว จะมีระยะทาง 340 กิโล ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมง เนื่องจากถนนที่ประเทศลาวเละมาก มีหลุม มีบ่อเต็มไปหมด แต่ถ้าใช้ทางลัดในประเทศไทย จะมีระยะทางเพียงแค่ 300 กิโล ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น แถมประเทศไทยยังใช้ถนนลาดยางตลอดเส้นทาง และมีถนนถึง 4 เลนส์ นอกจากนี้ คนลาวยังถึงขั้นมีบริการรถตู้รับจ้างที่ใช้เส้นทางในไทย ในการรับส่งคนจากลาวเหนือไปลาวใต้”

‘อาจารย์แอม’ เตรียมดัน ‘ยันต์ลาบูบู้’ ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ ลั่น!! ไม่ได้สักมั่วซั่ว ‘เรียกทรัพย์-เมตตา-มหานิยม’ ตามฐานดวง

(19 พ.ค.67) จากกรณีคลิปที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารย์ในโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อว่า ‘ajarnamsri6599’ ซึ่งเป็นช่องของ อาจารย์แอม ศรีพรหมญาณ คุ้มเศรษฐีหมื่นยันต์ สำนักสักยันต์อาจารย์สีหราช หมื่นยันต์ ได้แชร์ลายสักที่เป็นรูปลาบูบู้ ที่แขน พร้อมลงยันต์รอบ ๆ จนชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์จำนวนมาก

ล่าสุด อาจารย์แอม ศรีพรหมญาณ คุ้มเศรษฐีหมื่นยันต์ ได้เปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วคนที่สักเป็นน้องสาวของอาจารย์เอง ซึ่งที่บ้านคลั่งไคล้การจุ่มกล่องสุ่มมาก ๆ ทั้งลูกสาว 2 คนของตน ก็ชอบมาก ๆ เวลาไปช้อปปิ้งเขาก็มักจะพูดถึงกล่องสุ่มตลอดเวลา ที่บ้านของตนจึงมีกล่องสุ่มเยอะมาก ทุกรุ่นทุกแบบเต็มไปหมด

จนพ่อของเขา อาจารย์สีหราช หมื่นยันต์ เจ้าของสำนักสักยันต์อาจารย์สีหราช หมื่นยันต์ สามีของตน ก็เลยออกแบบวาดรูปยันต์ลาบูบู้ขึ้นมา ซึ่งอาจารย์สีหราชเองก็ไม่เคยเห็นตัวจริง ดูตามติ๊กต็อกตามรูปต่าง ๆ ที่ลูกสาวเปิดให้ดู แล้วก็บอกกับลูกว่าต้องมีเงินก่อนถึงจะไปซื้อได้ ถึงได้ออกมาเป็นลายยันต์นี้

โดยวันนั้นน้องสาวของตนมาช่วยเลี้ยงหลาน และน้องสาวของตนก็ชอบลาบูบู้มากเช่นเดียวกัน ก็เลยได้สักยันต์ตามลายนั้นเลย แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ลงสีต้องนัดมาลงสีอีกครั้ง

ซึ่งยันต์ลาบูบู้ที่อาจารย์สีหราชออกแบบเป็นยันต์ที่ลงคาถาถูกต้อง เพราะอาจารย์สีหราชมีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้อยู่แล้ว และยันต์นี้จะเน้นในทางเมตตาค้าขาย มหานิยม ธุรกิจ โภคทรัพย์ อาจารย์สีหราชก็คิดว่า ลูกมาขอเงินไปซื้อ หรือคนที่จะมีเงินเท่านั้นถึงจะไปซื้อลาบูบู้ได้ ก็เลยเขียนยันต์ไปในสายโภคทรัพย์เมตตา

อาจารย์แอม กล่าวต่อว่า ยังไม่เคยสักลายนี้ให้ใคร น้องสาวเป็นคนแรก ซึ่งก็มีคนทักมาถามเยอะมองว่าเป็นเรื่องตลกบ้างอะไรบ้าง แต่ตนไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะพุทธคุณเขียนถูกต้อง และเชื่อในสิ่งที่สัก คิดดี ทำดี พูดดี ไม่ได้เป็นบุคคลที่ทำความเสื่อมเสียอะไร

การสักก็อยู่ที่ความเชื่อความศรัทธา แต่จริง ๆ แล้วจะสักยันต์ตามฐานดวงเป็นหลัก ยันต์นี้เป็นยันต์ครอบครัว เป็นยันต์ที่ลูกสาวอยากได้ และหาใครสักให้ไม่ได้ก็เลยทำขำ ๆ กันในครอบครัว

ส่วนคนอื่น ๆ ที่อยากสักแบบนี้ก็สามารถสักให้ได้แต่ต้องมีพุทธคุณที่ถูกต้อง แต่จะแนะนำก่อนไม่ใช่ว่าสักให้ได้ทุกคน อันนี้เป็นยันต์ที่ครอบครัวสักขึ้นมาเอง ถ้าลูกศิษย์ที่ศรัทธาอยู่แล้วจะรู้ว่าตนสักเฉพาะยันต์ตามดวงชะตา จะมีการตรวจสอบยันต์ที่ตรงตามดวงชะตาก่อนสัก ไม่ได้คิดจะสักอะไรก็สักไปเลย ไม่ได้เกาะกระแสอะไรอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม อาจารย์เชื่อว่าคนที่มองด้านลบส่วนมากไม่ได้รู้จักตัวตนเรา เราจะไม่เสียเวลาอธิบายและจะบอกว่าการสักแบบนี้มันอยู่ที่ความชอบ ไม่ว่าตัวการ์ตูนอะไรก็สามารถสักได้ แค่เอามาใส่อักขระยันต์เพิ่มเติม

อยากให้มองอีกมุมหนึ่งว่าจริง ๆ แล้วยันต์ไทยสามารถเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้ ถ้านำไปใช้ในทางที่ถูกต้อง และนำไปใช้ในบุคคลที่คู่ควร ไม่ใช่ว่าจะสักให้มั่วซั่ว ก่อนจะโพสต์หรือมีความคิดในเชิงลบ ควรจะรู้จักตัวคนนั้นก่อน ตนไม่ได้ใช้กระแสตรงนี้เพื่อที่จะดันตัวเองให้ดังอยู่แล้ว

‘อ.อ๊อด’ โพสต์เฟซประกาศ ขอยุติการตรวจสอบ ‘ข้าว 10 ปี’ ชี้!! มีผู้ใหญ่เตือน ไม่อยากให้ลุกลาม เป็นประเด็นทางการเมือง

(19 พ.ค.67) เฟซบุ๊ก ‘Weerachai Phutdhawong’ หรือ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรืออาจารย์อ๊อด อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ถึงกรณีข้าว 10 ปี โดยระบุข้อความว่า …

สวัสดีครับ อาจารย์อ๊อด เองครับ สืบเนื่องจากกรณีข้าว 1 ทศวรรษที่เป็นประเด็น ทางสังคมและตอนนี้เริ่มลุกลามเป็นประเด็นการเมือง

ห้องปฏิบัติการของทีมงานอาจารย์อ๊อด ได้รับคำแนะนำจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายฝ่าย รวมถึงทีมงานเองก็ไม่อยากให้เกิดประเด็นทางการเมืองที่ลุกลามไปมากกว่านี้ จึงขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า เราได้ยุติการตรวจสอบข้าว ในทุกกรณีแล้ว

ในส่วนของผลการตรวจสอบจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลางแห่งประเทศไทย ที่มีนักข่าว อีกช่องนำไปมอบให้นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตัวอย่างและผลการทดสอบของทีมงานอาจารย์อ๊อด รวมถึง ผลแล็บที่กำลังจะแถลงข่าวโดยอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในวันพรุ่งนี้ด้วย

ทีมงานอาจารย์อ๊อดขอกราบเรียนว่าทุกอย่างที่ดำเนินการมา โดยตลอดนั้นก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และไม่อยากให้เป็นประเด็นการเมืองต่อเนื่อง ในส่วนของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทั้ง 2 หน่วยข้างต้น ได้ออกมา Take Action แล้วก็เป็นเรื่องที่ดี หากข้าว 1 ทศวรรษนี้ สามารถสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม ทีมงานอาจารย์อ๊อดก็ขอแสดงความยินดีมาล่วงหน้า

ด้วยจิตคารวะ

อาจารย์อ๊อด

สำรวจมุมมอง 'คนเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น' ต่อคนไทย ฝ่ายหนึ่งเหยียด ฝ่ายหนึ่งรักคนไทยแบบสุดใจ

ไม่นานมานี้ ยูทูบช่อง 'FlukeKee_TH' ได้นำเสนอคลิปในหัวข้อ 'สื่อเกาหลีเหยียดคนไทยสะเทือนสัมพันธ์ ผิดกับคนญี่ปุ่นที่รักคนไทยแบบสุดหัวใจ' โดยมีเนื้อหาดังนี้...

จากกรณีนักข่าวเกาหลีใต้คนหนึ่งได้ออกมาพูดในสื่อไลฟ์สด แล้วได้มีการเหยียดเชื้อชาติคนไทย จนลุกลามกลายเป็นกระแสให้คนไทยที่เดิมทีก็เริ่มจะมีทัศนคติที่แย่ลงกับเกาหลีใต้อย่างมากในพักหลังๆ เริ่มรู้สึกแย่ลงไปอีก

โดยนักข่าวผู้นี้ที่พยายามนำเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติของไทยผ่านหลายมุมมองของคนเกาหลีใต้เข้าสู่รายการทีวี พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ทำนองเหยียดคนไทย ต้องส่งคนไทยกลับประเทศ และอื่นๆ

อันที่จริงแล้ว ในระยะหลังคนไทยหลายคนต่างก็มีประสบการณ์ฝังใจตรงกันว่า เวลาที่คนไทยตั้งใจไปเที่ยวเกาหลีใต้ มักต้องมาพบปัญหามากกว่าชาติอื่นๆโดยเฉพาะการติดด่าน ตม.บ้าง และบ้างก็ถูกส่งตัวกลับอย่างไม่ใยดี ถูกไล่ มีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการกระทำของตม.ประเทศเกาหลีใต้ที่ปฏิบัติต่อคนไทยนั้น เหมือนกับว่าคนไทยเป็นบุคคลต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมเลยทีเดียว

แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการสื่อว่าคนเกาหลีใต้ทั้งหมดเป็นคนที่คิดไม่ดีกับคนไทย แต่จากผลสำรวจคนเกาหลีใต้เกินกว่า 50% มักจะมีทัศนคติไม่ชอบคนไทยและส่วนใหญ่จะเหยียดดูถูกคนเชื้อชาติในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะยกเว้นการดูถูกก็แต่ประเทศมาเลเซีย, บรูไน และสิงคโปร์เท่านั้น ส่วนที่เหลือคนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่มองว่าเป็นประเทศที่ยากจน ต่ำต้อย ด้อยพัฒนา ล้าหลังโบราณ แตกต่างจากประเทศเกาหลีใต้ที่เขาจะมองตัวเองว่าเป็นประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้ว มีเทคโนโลยีที่ล้ำเลิศและชาติอื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ได้เลยแม้แต่น้อย

มีอยู่กรณีหนึ่งที่เจ้าของช่องแชร์ให้เห็นถึงความเจ็บปวดของคนไทยที่ได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ และถูกเหยียดหยามทันทีที่พวกเขาพูดภาษาไทยออกไปหลังจากพวกคนเกาหลีใต้ได้ยิน ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีอยู่ว่า คนไทยได้เข้าไปในคาเฟ่หนึ่งของเกาหลีใต้ ตอนแรกพนักงานต้อนรับที่เป็นคนเกาหลีใต้นั้นก็ต้อนรับอย่างปกติ แต่พอเจ้าของร้านได้ยินว่าพูดภาษาไทยเท่านั้น ก็ทำท่าทีไม่พอใจเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ มาด่าใส่คนไทยเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ไล่คนไทยให้ออกไปให้หมด ไม่ต้อนรับแถมยังตะโกนด่าไล่หลัง ซึ่งก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมต้องเหยียดหยามดูถูกคนไทยขนาดนั้น

นอกจากนี้ในเพจของเกาหลีใต้นั้น ก็มีการโพสต์และแสดงความคิดเห็นกันมากมาย เกี่ยวกับคนไทย ยกตัวอย่างเช่น...

"ไปบอกรัฐบาลไทยด้วยนะ จัดการคนในประเทศของตนให้ดี ทั้งเป็นผีน้อย และลักลอบค้ายาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ต้องตรวจคนไทยให้หนักๆ"

"คนไทยไม่ต้องมาก็ได้นะ มีแต่จะสร้างปัญหา และความเดือดร้อนให้กับประเทศเกาหลีใต้"

***กลับกันถ้าเปรียบเทียบกับ 'ประเทศญี่ปุ่น' ประเทศที่เจริญมาเป็นร้อยๆ ปีนั้น หากคนไทยคนไหนเคยไปเที่ยว ก็จะรับรู้และสัมผัสได้เลยว่าชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญและให้เกียรติกับคนไทยอย่างมาก พร้อมที่จะต้อนรับคนไทยด้วยความจริงใจเป็นอย่างดี เพราะประเทศญี่ปุ่นเขาจะมองว่าคนไทยนั้น มีความซื่อสัตย์และเป็นมิตรที่ดีที่สุด เมื่อคนญี่ปุ่นอยู่ร่วมหรือทำงานกับคนไทย คนญี่ปุ่นจะมีความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ความรู้สึกเหล่านี้ของชาวญี่ปุ่น เป็นแบบนี้ ติดต่อกันมาหลายศตวรรษแล้ว 

ทางช่อง เผยอีกว่า เคยมีกระทู้หนึ่งได้เปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างการไปเที่ยวเกาหลีใต้กับประเทศญี่ปุ่นว่าแตกต่างกันมาก ในแง่ของการให้เกียรติต่อคนไทย โดยผู้โพสต์กระทู้นั้นได้เล่าว่า เขาเคยมีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ้เคยแวะไปร้านราเมง เมื่อเจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นได้รู้ว่าคนไทยมาเที่ยว และแวะรับประทานอาหาร เจ้าของก็มีความสุขเป็นอย่างมากและให้การต้อนรับลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าเป็นญาติของเขาคนหนึ่ง รวมทั้งคนในร้านก็พยายามที่จะมาสอบถามพูดคุย แล้วก็มาทักทายด้วยมิตรภาพอย่างมีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตนและแนะนำที่พักอาศัยสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถึงขนาดจะเป็นไกด์นำเที่ยวพาเที่ยวให้ทั่วเมืองโอซากา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ตัดภาพกลับมาเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลีใต้แล้วผิดกันอย่างสิ้นเชิง มิตรภาพที่คนเกาหลีใต้มีต่อคนไทยนั้นมันแตกต่างกับญี่ปุ่นมาก เพราะคนไทยโดนคนเกาหลีใต้เหยียดหยาม แล้วก็ดูถูกไม่ให้เข้าประเทศ บางครั้งก็มีการทำร้ายร่างกายคนไทย

ที่น่าสนใจ คือ เกี่ยวกับเรื่องนี้คนญี่ปุ่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจแทนคนไทยเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะช่วยปกป้องคนไทยทั้งในสื่อโซเชียลหรือแม้กระทั่งในรายการทีวีของญี่ปุ่นเองก็มีการทำข่าวและรุมประณามในการกระทำของคนเกาหลีใต้ ที่ปฏิบัติต่อคนไทยอย่างไร้มนุษยธรรม อีกทั้งชาวญี่ปุ่นเองก็ยังออกมาให้กำลังใจคนไทยที่ถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ และถูกทำร้ายร่างกาย

นี่คือความน่ารักของคนญี่ปุ่นที่มีต่อคนไทยอย่างเห็นได้ชัด...

อย่างไรก็ตาม ถีงแม้คนไทยจะถูกกระทำเช่นนี้จากเกาหลีใต้ แต่ทำไมคนไทยยังต้องสนับสนุนและเปิดใจเวลาคนเกาหลีใต้มาเที่ยวหรือมาทำงานในไทย ซึ่งบางคนก็มีงานมีอาชีพดีๆ บางคนได้มาเป็น YouTuber บางคนได้เป็นดารา-ศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย นั่นก็เพราะว่านิสัยของคนไทยนั้น เป็นคนที่ไม่ได้เจ็บแค้นหรือมีอคติกับสิ่งที่ผ่านมา และก็ยังมองว่าชาวเกาหลีใต้บางกลุ่มบางคน ก็มีนิสัยที่ดีเช่นกันนั่นเอง

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. หนุนกัญชาเป็น ‘ยาเสพติด’ ย้ำ!! ควรใช้เพื่อ ‘การแพทย์-รักษาโรค’ เท่านั้น

(19 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กัญชาเป็นยาเสพติด?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดของรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.74 ระบุว่า เป็นยาเสพติดแต่ก็มีประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 33.59 ระบุว่า เป็นยาเสพติดและไม่มีประโยชน์ใด ๆ ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่เป็นยาเสพติด และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการกำหนดนโยบายกัญชาของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.58 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค รองลงมา ร้อยละ 19.39 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายใด ๆ เพื่อสนับสนุนกัญชา/ผลิตภัณฑ์กัญชา ร้อยละ 10.53 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนการสร้างผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมาย ร้อยละ 7.40 ระบุว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 3.21 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนความบันเทิงในสังคม เช่น การเสพกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย การมีบุหรี่กัญชา เป็นต้น และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.38 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 14.50 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 8.93 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาหรือนักธุรกิจกัญชา หากรัฐบาลนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.95 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ใดเลย รองลงมา ร้อยละ 35.03 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาและนักธุรกิจกัญชา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาเท่านั้น ร้อยละ 2.06 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับนักธุรกิจกัญชาเท่านั้น และร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 68.93 ระบุว่า ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับกัญชา ขณะที่ ร้อยละ 31.07 ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา (จำนวน 407 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.58 เคยมีประสบการณ์การใช้กัญชาเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม รองลงมา ร้อยละ 34.64 ระบุว่า การเสพหรือสูบกัญชา ร้อยละ 22.36 ระบุว่า การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 15.97 ระบุว่า การปลูกกัญชา และร้อยละ 0.98 ระบุว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชาในเชิงพาณิชย์ และการค้ากัญชา ในสัดส่วนที่เท่ากัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top