Wednesday, 14 May 2025
NEWS

'สมเด็จพระสังฆราช' ประทานพระคติธรรมวันอาสาฬหบูชา ชี้!! หากอ้างตนเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ศึกษาพระธรรมย่อม 'ปฏิบัติผิด-หลงผิด'

(1 ส.ค.66) เนื่องใน วันอาสาฬหบูชา ซึ่งตรงกับวันที่ 1 สิงหาคม 2566 สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เผยแพร่พระคติธรรมของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ความว่า...

ดิถีอาสาฬหบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ควรที่พุทธบริษัทจะได้บำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษ เพื่อรำลึกถึงวันที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรโปรดปัญจวัคคีย์ เริ่มประกาศพระศาสนา กระทั่งบังเกิดมีพระอริยสงฆ์ครบถ้วนพร้อมเป็น ‘พระรัตนตรัย’ อันเป็นสรณะสูงสุดในพระพุทธศาสนา

พระมหากรุณาคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทอดพระเนตรตระหนักเห็นความทุกข์ในสังสารวัฏของสรรพสัตว์นั้นใหญ่หลวงนัก หาใช่เพียงเฉพาะในพระชาติสุดท้ายที่เสด็จอุบัติมาเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะ หากแต่สั่งสมมาเนิ่นนานถึง 4 อสงไขยแสนกัป ทรงตั้งพระหฤทัยบำเพ็ญเพียร เพื่อจะได้ทรงรื้อขนสรรพชีวิตให้ล่วงพ้นจากทุกข์ได้อย่างถาวร ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมที่ตรัสรู้ เราทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท จึงพึงสืบอายุพระพุทธศาสนาไวัให้ยั่งยืนนาน ด้วยการ ‘ศึกษา’ และ ‘ปฏิบัติ’ ตามพระธรรมวินัย

ทั้งนี้ การทำหน้าที่พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาต้องเริ่มที่การสร้างสรรค์ตนเองให้เป็นพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกาที่มีคุณภาพ ตามพระพุทธประสงค์ให้ได้ก่อนเป็นเบื้องต้น ถ้าบรรพชิตบวชแล้วไม่เข้าใจและไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย อีกทั้งถ้าพุทธศาสนิกชนอ้างตนเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ศึกษาเรียนรู้พระธรรมให้เข้าใจกระจ่างก็ย่อมปฏิบัติผิด หลงผิด ทำให้พระพุทธศาสนาก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน

วันอาสาฬหบูชา นอกจากจะเตือนใจให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัยอันเป็นสรณะสูงสุดของพุทธบริษัทแล้ว ยังนำพาให้เราทั้งหลายมั่นคงแน่วแน่ด้วยอธิษฐานจิตตั้งมั่น ในอันที่จะพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรมให้เข้าถึงการปฏิบัติธรรมอย่างถูกต้องตรงทางอริยมรรค เพื่อให้ได้ชื่อว่าท่านกำลังเจริญรอยตามพระยุคลบาทของพระพุทธองค์ ในการช่วยกันสืบอายุพระพุทธศาสนา แล้วจงประคับประคองจิตใจให้อาจหาญร่าเริง เบิกบานด้วยกุศลฉันทะพร้อมกระทำคุณประโยชน์ ด้วยการพลีสรรพกำลัง เกื้อกูลให้เพื่อนร่วมชาติ ร่วมสังคม สามารถก้าวพ้นจากทุกข์ภัย นำมาซึ่งสันติสุขร่วมกันของสรรพชีวิตบนโลกนี้สืบไป ตลอดกาลนาน เทอญ

'ดร.อานนท์' แชร์มุมมอง 'ต่างชาติ' ปลื้มน้ำใจคนสุราษฎร์ฯ แค่ 'จะป่วย-หาซื้อยา' ก็มีคนอาสาช่วยเหลือแบบไม่คิดเงิน

(1 ส.ค. 66) ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณาจารย์สถาบันทิศทางไทย ได้แชร์เรื่องราวดีๆ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวในหัวข้อ 'อเมซิ่งสุราษฎร์ธานี' ความว่า...

สามีเพื่อนเป็นฝรั่งชาวอังกฤษเดินพาลูกสาวที่ตากแดดตากฝนในเมื่อตอนกลางวันกลางเขื่อนจนตัวรุมๆ ไปหาร้านขายยากันสองคนพ่อลูกเพื่อซื้อพาราเซตามอล

ร้านขายยาปิดแล้ว เลยถามลุงร้านเช่าพระเครื่องใกล้ๆ กันว่าจะไปหาซื้อยาพาราได้ที่ไหน

ลุงบอกรอแป๊บแล้วกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ออกไปไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมยาพาราหนึ่งแผง

สามีเพื่อนจะเอาเงินให้ลุงก็ไม่รับเงิน ขอบอกขอบใจกันยกใหญ่

ฝรั่งสามีเพื่อนกลับมาโม้ให้ฟังด้วยความประทับใจยกใหญ่

สุราษฎร์ธานีเมืองคนดี มีน้ำใจ

ผบ.ฉก.นราธิวาส นำกำลังพล พร้อมทั้ง เครื่องมือ ยุทธโทปกรณ์ทางทหาร บูรณาการปฎิบัติร่วมกับทุกภาคส่วน เร่งให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส พร้อมกับ คุณสมฤดี ขำเขียว ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองพลทหารราบที่ 15 และกำลังพลจิตอาสา รุดเดินทางลงพื้นที่เกิดเหตุโกดังเก็บประทัด และดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จากกรณี เกิดเหตุระเบิดที่โกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟระเบิด เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 เวลา 15.10 น. ที่ผ่านมา แรงระเบิดกระจายรัศมีเป็นวงกว้าง ทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บหลายราย บ้านเรือน ทรัพย์สิน และรถยนต์พังเสียหายจำนวนมาก จากเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมสั่งการหน่วยทหารในพื้นที่ เร่งให้ความช่วยเหลือ  บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน เน้นย้ำกำลังพล และเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ต้องมีความพร้อม ในการประสานการปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง โดยข้อมูลล่าสุดนั้น มีผู้เสียชีวิต 9 ราย รอพิสูจน์ฯ  2 ราย และได้รับบาดเจ็บ 111 ราย 

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว กล่าวว่า จากเหตุโกดังเก็บประทัด และดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส นั้น ได้สั่งการจัดกำลังพล และเครื่องยุทโธปกรณ์ทางทหาร มีความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ตลอด 24 ชั่วโมง โดยการบรูณาการปฎิบัติร่วมกับทุกภาคส่วน ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินการดูแลของ นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส โดย ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กรมทหารราบที่ 151 ได้ปฎิบัติตามนโยบาย ของพลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก และ พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ในเน้นย้ำให้หน่วยทหารทุกหน่วย ได้เตรียมความพร้อม ในการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาสาธารณภัย ให้แก่ผู้ประสบภัยในทุกรูป ซึ่ง ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กรมทหารราบที่ 151 จัดรถครัวสนามพระราชทาน จำนวน 1 คัน ประกอบเลี้ยงอาหารให้แก่ผู้ประสบภัย ,รถยนต์  FTS จำนวน 3 คัน 

ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดใหญ่เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ขนย้ายประชาชน พร้อมทั้งทรัพย์สิน อพยพเข้ามายังศูนย์พักพิง , จัดกำลังพล ชุดปฎิบัติการจิตอาสาฯ  จากกรมทหารราบที่ 151 และ หน่วยขึ้นตรง จำนวน 50 นาย  ทำหน้าที่อำนวยการความสะดวก และให้การช่วยเหลือกับพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่เกิดเหตุ และศูนย์พักพิง (ศูนย์กีฬาองค์การบริหารส่วนตำบลมูโนะ ), รถบรรทุกน้ำ จำนวน 1 คัน ให้บริการน้ำแก่ผู้ประสบภัย ,ชุดทหารช่าง จำนวน 5 ชุดปฎิบัติการ พร้อมเครื่องยุทโธปกรณ์ในการวางแผน รื้อถอน ซากสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ก่อนจะพร้อมทำการเร่งปลูกสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ให้กับผู้ประสบภัย  พร้อมทั้ง ได้เน้นย้ำให้พี่น้องประชาชนให้ดูแลตัวเอง หากต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้ง หรือร้องขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และกำลังพลที่ปฎิบัติหน้าที่ ช่วยเหลือประชาชน โดยกล่าวว่า “ พวกเราคือ ครอบครัวเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งกัน” ในสถานการณ์ที่พี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อน เช่นนี้ “ทหารเป็นต้องที่พึ่งให้กับประชาชนในทุกโอกาส”

'บุญทัน แย้มมะลิ' นักกีฬาแบดมินตันคนแคระทีมชาติไทย คว้าเหรียญเงินประวัติศาสตร์แมตช์ใหญ่ที่เมืองเบียร์

เมื่อวานนี้ (31 ก.ค. 66) ถือเป็นอีกเหรียญเงิน ประวัติศาสตร์ ของประเทศไทย และ  'บุญทัน แย้มมะลิ' นักกีฬาแบดมินตัน คนแคระ ทีมชาติไทย มือวางอันดับ 4 ที่แม้จะแพ้ Issac Maison มือวางอันดับ 3 จากสหราชอาณาจักรไปในรอบชิงชนะเลิศ 0:2 เกมส์ คะแนน 8-11, 3:11 

แต่ก็ถือเป็นการคว้าอีกเหรียญเงินประวัติศาสตร์ให้กับประเทศไทยในการแข่งขันแบดมินตัน มหกรรมกีฬาคนแคระโลกระหว่างวันที่ 27 ก.ค.- 6 ส.ค.66 ณ เมืองโคโลญประเทศเยอรมนี

สนับสนุนงบประมาณส่งแข่งขันโดย...
สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์

ขอขอบพระคุณ
#การกีฬาแห่งประเทศไทย
#กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติการกีฬาแห่งประเทศไทย
#สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
#การไฟฟ้านครหลวง
#บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่จำกัดพร้อมด้วยน้ำดื่มตราสิงห์
#FBTเสื้อผ้ากีฬาคุณภาพอันดับ1ของประเทศไทย
#กลุ่มเดอะมอลกรุ๊ปจ้างงานนักกีฬา
#กลุ่มเซ็นทรัลทำด้วยกันทำด้วยใจจ้างงานนักกีฬา
#บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่จำกัดจ้างงานนักกีฬา

หนุ่มใจสลาย สูญเสียญาติทีเดียว 5 คน จากเหตุโกดังพลุระเบิด จังหวัดนราธิวาส

(31 ก.ค. 66) จากเหตุการณ์โกดังเก็บพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟ ภายในโรงงานระเบิดที่บริเวณบ้านมูโนะ หมู่ 1 ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 29 ก.ค.66 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย และบาดเจ็บ 121 รายนั้น

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก ‘สำนักงานประชาสัมพันธ์ จ.นราธิวาส’ โพสต์ภาพ พร้อมข้อความระบุว่า…

“เล่าทั้งน้ำตา เสียคนในครอบครัวรวม 5 คน จากเหตุการณ์โกดังดอกไม้ไฟระเบิดในพื้นที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส

นายยศดนัย บูละ 1 ในผู้สูญเสียครอบครัวจากเหตุโกดังดอกไม้ไฟระเบิดในพื้นที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวานนี้ เล่าถึงนาทีที่กลับมาถึงบ้านหลังจากเห็นเพลิงไหม้และได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทันทีที่กลับมาถึงบ้านพบว่าทั้งบ้านตนเอง บ้านยาย และบ้านพ่อ พังเสียหายจากแรงระเบิดและเกิดเพลิงไหม้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนเองได้เข้าไปช่วยเหลือ ยาย นำไปอยู่ในที่ปลอดภัย

ส่วนพ่อนั้นเข้าไปเพื่อจะช่วย แต่พบว่าเสียชีวิตแล้วโดยนอนอยู่กับหลานอีกคน ทั้ง 2 ถูกไฟไหม้ทั้งตัวจึงรีบไปช่วยเหลือเพื่อนบ้านซึ่งติดในตัวอาคาร ร้องขอความช่วยเหลืออยู่อีก 3 คน และจากนั้นจึงกลับมาสำรวจบ้านญาติๆ ของตนเองในละแวกเดียวกันแต่พบหลานวัย 8 เดือนกระเด็นมานอกตัวบ้าน ในขณะที่แม่ของหลานนอนเสียชีวิตภายในตัวบ้านถูกเสาทับและไฟไหม้ทั้งตัว”

เปิดเหตุผล ที่ทำให้ 'ญี่ปุ่น-เวียดนาม' ต้องปาดเหงื่อ!!  หลังจีนถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้ไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องยูทูบ BangkokTube Akira ได้แชร์บทวิเคราะห์ช่องยูทูบ ‘Geography Issues’ ซึ่งเป็นชาวเวียดนาม ที่ได้พาดหัวข่าวเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคายในประเทศไทย เอาไว้ว่า “เหตุใดประเทศจีนจึงจําเป็นต้องมีโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย มูลค่า 67,000 ล้านบาท ในประเทศไทย อันตรายสําหรับเกษตรกรเวียดนาม” โดยระบุว่า…

นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ก็แน่นแฟ้นมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรทางการทหารที่ยาวนานกับสหรัฐอเมริกาก็ตาม โดยเฉพาะในบริบทของจีนที่กําลังเร่งดําเนินโครงการ One Belt One Road สิ่งนี้จะเป็นเส้นทางรถไฟที่สําคัญ เป็นหัวใจสําคัญและเป็นความใฝ่ฝันของจีน เมื่อพิจารณาจาก ‘ทําเลที่ตั้ง’ ของประเทศไทย และตําแหน่งในภูมิภาคปักกิ่ง ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นศูนย์กลางที่สําคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะเป็นส่วนสําคัญในการผลักดันโครงการ One Belt One Road หรือ 1 แถบ 1 เส้นทาง สําหรับประเทศไทยสิ่งนี้จะเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เมื่อรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย เปิดให้บริการด้วยความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง 2 เมือง เหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

พัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายทางรางระหว่างไทย-จีน ผ่านเส้นทางรถไฟเวียงจันทน์-คุนหมิง ซึ่งกรุงเทพมหานครจะเชื่อมต่อโดยตรงกับเครือข่ายระบบรางอันมหึมาของจีน พร้อมกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีน รวมถึงสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคจีนได้อย่างรวดเร็ว และในทางกลับกันสินค้าจีนก็จะเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

จีนผู้ริเริ่มโครงการรถไฟสายนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางสําคัญของแผนทั้งหมด ความทะเยอทะยานของปักกิ่งสําหรับทางรถไฟสายเอเชีย เชื่อมระหว่างภาคใต้ตอนกลางของอาณาจักรไปยังกัวลาลัมเปอร์และสิงคโปร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนกําลังค่อยๆยกระดับการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทางบกมากยิ่งขึ้น

หากโครงการนี้สําเร็จ โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสครั้งสําคัญของไทยในการดึงดูดนักลงทุนจากจีน และประเทศอื่นๆ ตลอดจนขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สําหรับจีนโครงการนี้จึงเปรียบเสมือนหัวใจสําคัญของโครงการ One Belt One Road ไม่ใช่แค่เพื่อในการขนถ่ายสินค้าระหว่างไทย-จีนเท่านั้น แต่ด้วยความสําคัญของเครือข่าย จะช่วยในการสื่อสารผ่านพื้นที่ เพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีสําหรับตลาดผู้บริโภค พัฒนาการค้า และการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ยังมีบทบาทที่สําคัญในการส่งเสริมการออกสู่ทะเลตะวันออกผ่านอ่าวไทยและมหาสมุทรอินเดีย เพื่อสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การทหาร และอื่นๆ สําหรับจีน

อีกทั้งโครงการนี้ยังเป็นความเคลื่อนไหวที่สําคัญสําหรับประเทศจีน ในการขยายการแสดงตัวตน
และอิทธิพลของพวกเขา ในภาคสนามเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า การที่จีนถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้กับประเทศไทย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อส่วนแบ่งทางการตลาดของ ‘ญี่ปุ่น’ ที่เป็นผู้นําด้านเทคโนโลยี ซึ่งครองเจ้าตลาดในภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน ด้วยความสามารถของประเทศไทย หากรับเอาเทคโนโลยีจากจีน ญี่ปุ่นจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดที่สําคัญ สิ่งนี้จึงทําให้ญี่ปุ่นอาจเกิดความกังวลได้

นอกจากนี้จีนยังมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะให้บริการเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงแก่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งได้นําไปสู่การแข่งขันโดยตรงกับญี่ปุ่น และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบที่สําคัญต่อโมเดลรถไฟความเร็วสูงทั่วโลกในอนาคต

หลังจากข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป ก็มีชาวเวียดนามเข้ามารับชมนับแสนคน พร้อมแสดงความคิดเห็นทั้งชื่นชมในวิธีคิดของทั้งจีนและไทย รวมถึงมีการมองต่างมุมบ้างในบางความเห็นคละกันไปเป็นจํานวนมาก

'ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์' เปิดผลสอบบุคลากรตีพิมพ์วิจัยมากผิดปกติ  พบผิดวินัยร้ายแรง สั่งลงโทษทาง 'วินัย-ให้ออกแล้ว'

(31 ก.ค. 66) กรณีปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะว่ามีบุคลากรในสังกัดราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์รายหนึ่ง มีพฤติการณ์ว่ามีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีความผิดปกติจนเกิดความเสียหายต่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นั้น

บัดนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวจนเป็นที่ยุติพบว่าบุคลากรรายดังกล่าวมีพฤติการณ์กระทำความผิดวินัยร้ายแรงอันเกี่ยวเนื่องจากพฤติการณ์ที่ผิดปกติของการตีพิมพ์ผลงานวิจัย และได้ลงโทษทางวินัยร้ายแรงและพ้นจากการเป็นบุคลากรของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แล้ว

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มุ่งมั่นให้บุคลากรทุกคนมีมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล มุ่งเน้นการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม และนำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้และพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติต่อไป จึงแจ้งมาให้ทราบทั่วกัน

ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566

'อนันดาฯ' แจ้งแนวทางแก้ปัญหา 'แอชตัน อโศก' ไม่ต้อง 'รื้ออาคาร-ขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่'

(31 ก.ค. 66) หลังจากวันที่ 27 ก.ค.66 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ 'เพิกถอน' ใบอนุญาตก่อสร้าง 'แอชตัน อโศก' (Ashton Asoke) ซึ่งเป็นโครงการของ 'อนันดาฯ’ ร่วมทุนกับ 'มิตซุย ฟูโดซัง' จากญี่ปุ่น สร้างคอนโดสูง 51 ชั้นจำนวนห้องพัก 783 ยูนิต ตั้งอยู่ริมถนนอโศก มูลค่าโครงการ 6,481 ล้านบาท และมีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 668 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 5,653 ล้านบาท หรือ 87% ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตคงเหลือ 115 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 828 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% การดำเนินงาน

ล่าสุด คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหา 'แอชตัน อโศก' ดังนี้...

1. โครงการ 'แอชตัน อโศก' (Ashton Asoke) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาดังกล่าว นอกจากมีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้ซื้อห้องชุด หรือเจ้าของร่วมในโครงการแอชตัน อโศก แล้วยังส่งผลกระทบกับ อนันดา เอ็มเอฟฯ ในฐานะผู้ประกอบการที่ถือหุ้นโครงการนี้ 51% ได้ร่วมกับ 'มิตซุย ฟูโดซัง' ผู้ร่วมทุน รวบรวมความเสียหายและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อติดต่อเจรจากับส่วนงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน ส่วนมูลค่าความเสียหายในเบื้องต้น อยู่ระหว่างการประเมินร่วมกับผู้สอบบัญชีและผู้เกี่ยวข้อง และจะตั้งสำรองในไตรมาส 2 นี้

2. แม้ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง แอชตัน อโศก แต่ความเสียหายดังกล่าวยังสามารถแก้ไขได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ผู้แทนหน่วยงานของรัฐได้เสนอทางแก้ตามที่เป็นข่าวต่อสาธารณะไปแล้วว่า 'กรณีที่ศาลเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ ไม่จำเป็นต้องรื้อถอนอาคาร' ซึ่งบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ กำลังหาแนวทางแก้ไขที่มีอยู่หลายแนวทาง โดยจะได้ขอเข้าพบกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าหน่วยงานรัฐ ซึ่งถูกฟ้องในคดีเดียวกัน ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ภายใน 14 วันทำการ นับถัดจากวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา เพื่อเจรจาหาทางแก้ไขกับหน่วยงานของรัฐต่อไป

อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่สั่งเพิกถอนอาคาร ว่าหน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะต้องดำเนินการภายในเมื่อใดและไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมอื่นๆ ทั้งนี้ หน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะเป็นผู้สั่งการให้บริษัทดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

3. อนันดา เอ็มเอฟฯ อยู่ระหว่างการประชุมหารือร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการอนุมัติ หรืออนุญาตให้ทำโครงการแอชตัน อโศก เพื่อแก้ไขความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้ซื้อห้องชุด หรือเจ้าของร่วม รวมถึงความเสียหายของบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ ผู้พัฒนาโครงการดังกล่าวด้วยความสุจริต และเป็นไปตามกฎหมายตามที่หน่วยงานของรัฐได้รับรองไว้หลายหน่วยงานมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะเป็นการดำเนินการควบคู่กับการพิจารณาแนวทางอื่นที่มีอยู่หลายแนวทางด้วย ซึ่งจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมต่อไป

สำหรับประเด็นสำคัญที่ศาลวินิจฉัย คือ ที่ดินทางเข้า-ออกอาคารแอชตัน อโศก เป็นที่ดินของ รฟม. มาจากการเวนคืน จึงไม่อาจนำมาให้เอกชนใช้ในการประกอบการได้ และเมื่อไม่สามารถนำที่ดินทางเข้า-ออกมาใช้ได้ ดังนั้นการที่หน่วยงานของรัฐ (กทม.) ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร จึงขัดกับ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่อาคารสูงต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร จึงมีผลให้ใบอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุด จึงยืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ให้ 'เพิกถอน' คำสั่งอนุญาตก่อสร้างอาคารแอชตัน อโศก โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกใบอนุญาต

‘รัฐบาล’ เชิญชวนคนไทย ‘ลด ละ เลิก’ ดื่มสุราในช่วงเข้าพรรษา  สร้างภูมิคุ้มกันช่วยลดเสี่ยงโรค แถมลดรายจ่าย-เพิ่มเงินในกระเป๋า

(31 ก.ค. 66) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็นวันงดดื่มสุราแห่งชาติ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 2 ส.ค. 66 กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคมและเครือข่ายงดเหล้า จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ให้คนไทย ลด ละ เลิกการดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้คำขวัญ ‘ไกลเหล้า ไกลโรค ไกลอุบัติเหตุ’ โอกาสนี้ รัฐบาลจึงขอเชิญคนไทยทุกคนร่วมลด ละ เลิก เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดตลอดเทศกาลเข้าพรรษาที่จะมาถึง ให้ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ซึ่งข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก ระบุว่าทุกปีทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตจากพิษของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประมาณ 3 ล้านคน และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมากกว่า 230 ชนิด นอกจากนี้ ยังช่วยลดโอกาสที่เกิดความสูญเสียกับครอบครัวและสังคมโดยรวมจากอุบัติเหตุ ที่นำมาซึ่งการบาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควรซึ่งไม่สามารถประเมินเป็นมูลค่าความเสียหายได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การลด ละ เลิก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยังช่วยลดรายจ่ายภาคครัวเรือนได้มาก ซึ่งข้อมูลจากศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ด้านพฤติกรรมการดื่มสุราของประชากรไทย ปี 65 ระบุว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แนวโน้มค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 64 เหล่านักดื่มต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดื่มเพิ่มขึ้นจากในปี 60 เกือบ 2 เท่า โดยผู้ดื่มหนักเป็นประจำ มีค่าใช้จ่ายการดื่มสุราเฉลี่ยสูงถึง 3,722 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีแนวนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้มีความสมดุลระหว่างมิติทางเศรษฐกิจ และมิติของสังคม โดยมิติทางเศรษฐกิจนั้นได้มีกฎกระทรวงที่ลดข้อจำกัดทางกฎระเบียบการอนุญาตให้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือน พ.ย. 65 เพื่อประโยชน์ในการรักษาภูมิปัญญาท้องถิ่น และลดการผูกขาดทางการตลาด แต่ขณะเดียวกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 เพื่อจำกัดไม่ให้กิจกรรมที่มาจากการแข่งขันทางธุรกิจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการดื่มที่มากขึ้นตลอดจนขับเคลื่อนการรณรงค์เพื่อสร้างความรอบรู้ผลกระทบต่อสุขภาพที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ประชาชนอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่ต้องเน้นการป้องกันนักดื่มหน้าใหม่ เช่น ควบคุมจุดจำหน่าย ความหนาแน่นของร้านค้า การกำหนดโซนนิ่ง เป็นต้น 

‘บิ๊กป้อม’ อารมณ์ดี เอ่ยทักทาย ‘บอสณวัฒน์’  พร้อมเผยความในใจ “ผมเป็นแฟนคลับอิงฟ้านะครับ”

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊กหนึ่ง ได้โพสต์คลิป พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พบกับ นายณวัฒน์ อิสรไกรศีล โดย พล.อ.ประวิตรได้ทักทายนายณวัฒน์ พร้อมพูดว่า “เมื่อไหร่เมืองไทยจะมีลิซ่าอีกคน”

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตรยังบอกว่า “ผมเป็นแฟนคลับอิงฟ้านะครับ” ซึ่งหมายถึง น.ส.อิงฟ้า วราหะ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 นายณวัฒน์จึงแจ้งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า “วันหน้าจะหาโอกาสไปกราบ และหารือกับลุงป้อม”

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตรได้ปฏิบัติภารกิจส่วนตัว หลังได้รับการเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอีกครั้ง กลายเป็นคลิปที่ฮือฮาในโลกออนไลน์อย่างมาก

‘แอชตัน อโศก’ กว้านซื้อตึกแถว หวังหาทางออกให้ลูกบ้าน ชี้!! แพงแค่ไหนก็ต้องยอมจ่าย แลกกับการไม่ต้องทุบตึกทิ้ง

‘แอชตัน อโศก’ วงการอสังหาฯ ชี้ อนันดาฯ น่าจะต้องกว้านซื้อตึกแถวหาทางออกให้กับลูกบ้าน แล้วยื่นขออนุญาตก่อสร้างกับ กทม.ใหม่ เชื่อ แพงแค่ไหนก็ต้องยอมจ่าย แลกกับการไม่ต้องทุบตึกทิ้ง ฟาก กทม.เตรียมปฎิบัติตามคำสั่งศาล

(30 ก.ค. 66) หลายสำนักข่าวรายงานว่า คดีแอชตันอโศกได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ทั้งวงการอสังหาริมทรัพย์และหน่วยงานราชการ พลันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโครงการ ‘แอชตัน อโศก’ ในซอยสุขุมวิท 21 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง บิ๊กทรีธุรกิจอสังหาจากประเทศญี่ปุ่น

เนื่องจากที่ดินใช้ก่อสร้างอาคารโครงการ ไม่เป็นไปตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 33 ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 กำหนด เพราะไม่มีเขตที่ดินด้านหนึ่งด้านใดที่เป็นทางเข้าออกกว้างไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตรยาวต่อเนื่องกัน และใบอนุญาตการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นทางเข้าออกสาธารณะได้นั้น ขัดต่อวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนที่ดิน

จากคำพิพากษาถือว่าเป็นที่สิ้นสุดที่ออกมาเมื่อบ่ายแก่ๆ ของวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 แบบสดๆ ร้อนๆ โดยทางผู้บริหารของอนันดาฯ ขอเวลา 14 วัน เพื่อหารือร่วมกับกรุงเทพมหานคร(กทม.) และ รฟม. เพื่อหาทางออกของปัญหา แม้จะยังไม่รู้ว่าจะมีปฎิหาริย์โดยไม่ต้องทุบตึกทิ้งหรือไม่

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู ‘แอชตัน อโศก’ มีเนื้อที่กว่า 2 ไร่ สร้างเป็นอาคารสูง 51 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน มีจำนวน 783 ยูนิต ที่จอดรถ 371 คัน ลิฟต์โดยสาร 6 ตัว ราคาขายเริ่มต้น 7 ล้านบาท หลังเปิดขายเมื่อปี 2557 สามารถปิดการขายไม่ถึง 1 เดือน

จากนั้นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ยื่นก่อสร้างอาคาร ตามมาตรา 39 ทวิ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 จาก กทม.และเริ่มก่อสร้างจนแล้วเสร็จ

เริ่มโอนกรรมสิทธิ์มาตั้งแต่ปี 2561 ปัจจุบันขายและมีส่งมอบไปแล้ว 87% จำนวน 668 ยูนิต กว่า 5,653 ล้านบาท มีลูกบ้านทั้งคนไทยและต่างชาติอยู่อาศัยแล้ว 580 ครอบครัว

ย้อนดูแปลงที่ดินที่ตั้งโครงการ ที่อนันดาฯ ซื้อเป็นการรวบรวมซื้อ 3 แปลง รวมที่ดินยังเหลือจากการที่ถูกเวนคืน จาก รฟม.เพื่อสร้างรถไฟฟ้า เมื่อปี 2539 ซึ่งเป็นที่ตาบอดไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ เพราะ รฟม.เวนคืนที่ดินด้านหน้าติดถนน ซึ่ง รฟม.เยียวยาผู้ถูกเวนคืนโดยเปิดเป็นทางจำเป็นกว้าง 6.40 เมตรให้เข้าออก

แต่ด้วยขนาดถนน 6.40 เมตร ไม่พอต่อการสร้างอาคารขนาดใหญ่ ในปี 2557 อนันดาฯ ได้ยื่นต่อ รฟม.ขอขยายถนนทางเข้าออก เป็น 13 เมตร พร้อมจ่ายค่าตอบแทนให้ 97 ล้านบาท โดยได้ออกใบอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของ รฟม. เป็นทางผ่านวันที่ 4 กรกฎาคม 2557 แต่ยังมีประเด็นฟ้องร้องทาง รฟม.จึงยังไม่รับเงินก้อนดังกล่าว

เรียกว่าโครงการอยู่บนทำเลทอง เป็นย่านธุรกิจ มีรถไฟฟ้า 2 สาย 2 สี ‘MRT-BTS’ เชื่อมการการเดินทาง และใกล้ศูนย์การค้าดังเทอร์มินัล 21

ขณะที่ราคาที่ดินติดถนนสุขุมวิท 21 ปรับเพิ่มขึ้นปีละ 11.35% จากเมื่อปลายปี 2558 ราคาตลาดที่ประเมินไว้อยู่ที่ 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา ขณะนี้ราคาอยู่ที่ 2.6 ล้านบาทต่อตารางวา

ถามว่าเมื่อคดีเป็นที่สิ้นสุด ใบอนุญาตก่อสร้างเป็นโมฆะ ทางผ่านด้านติด MRT ถูกปิดตาย เพราะศาลชี้ชัดว่า ‘ไม่ใช่เป็นทางสาธารณะ’ แล้วทางออกของ ‘แอชตัน อโศก’ อยู่ตรงไหน

แหล่งข่าวจากวงการอสังหาริมทรัพย์ และ กทม.ฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่ามีทางออกเดียว คือ ต้องหาทางออกเป็นถนนกว้าง 12 เมตรติดถนนสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร มี 2 ทางคือ ซื้อตึกแถวขยายทางเดิมให้ถึง 12 เมตร ไปออกซอยสุขุมวิท19 กับอีกทางซื้อที่ดินเพิ่มด้านใต้ซึ่งมีอยู่ 1 แปลง เป็นที่ตั้งสมาคมแห่งหนึ่ง เพื่อออกถนนอโศกมนตรี และยื่นขออนุญาตก่อสร้างกับ กทม.ใหม่

“ตอนนี้อนันดาต้องลงทุนซื้อตึกแถวหรือที่ดิน เพื่อทำทางออกให้ได้ 12 เมตร แพงเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ แลกกับการที่ไม่ต้องทุบตึก 6,400 ล้านบาท วิธีนี้น่าเป็นทางออกให้กับลูกบ้านและบริษัทที่ดีที่สุดแล้ว” แหล่งข่าวกล่าว

แหล่งข่าวกทมกล่าวเพิ่มเติมว่า กทม.พร้อมปฎิบัติตามคำสั่งศาลฯ ทั้งนี้ตามขั้นตอนทางสำนักงานเขตวัฒนาต้องออกคำสั่งตามมาตรา 40 และมาตรา 41 ตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ให้เจ้าของอาคารระงับการใช้อาคารและให้ยื่นขออนุญาตเปลี่ยนแปลงทำให้ถูกต้องตามกฎหมายในเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดำเนินการของบริษัทด้วย

ขณะที่ ‘ชานนท์ เรืองกฤตยา’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวก่อนหน้านี้ ระบุว่า คำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดวันที่ 27 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นเหตุการณ์ที่บริษัทก็ไม่ได้คาดว่าจะเกิดขึ้นถึงขนาดนี้

ชานนท์ยังตั้งคำถามว่า แล้วจะแก้ปัญหาร่วมกันกับภาครัฐในฐานะผู้ถูกฟ้องยังไง ในกรณีนี้ อนันดาฯ ก็เป็นหนึ่งในประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ

“ผมเองก็ยังเกาหัวเหมือนกัน ก็คิดว่าทางศาลสูงจะแก้ปัญหาสังคมยังไง เราเองก็ยังคิดไม่ออก ขอให้ภาครัฐ หลัก ๆ น่าจะเป็นทาง กทม. กับ รฟม.ช่วยหาทางออก ช่วยเรากับลูกค้าของเรา ว่ายังไงบ้าง อันนี้ก็ต้องด่วนเร็วที่สุด” นายชานนท์กล่าวในการแถลงข่าวผ่านระบบ zoom มาจากสหรัฐอเมริกา

ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ อยู่ที่ ‘อนันดาฯ’ จะเลือกทางไหน

นิวไฮ!! เปิดราคาที่ดินตึกแถวหลัง ‘แอชตัน อโศก’ ล่าสุดราคาพุ่งสูงทะลุ 18 ล้านบาทต่อตารางวา!!

(30 ก.ค. 66) จากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง คอนโดแอชตัน อโศก โครงการยักษ์ใหญ่ใจกลางเมือง 51 ชั้นมูลค่า 6,481 ล้านบาท ซึ่งทางบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้ออกมาน้อมรับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทางแก้ปัญหามี ทางเจ้าของโครงการ จะต้องหาทางออกสู่ถนนสาธารณะหรือติดถนนสาธารณะ ขนาด 12 เมตร

ล่าสุดเพจ ‘อสังหาพารวย by Palin’ เปิดราคาตึกแถวด้านหลังคอนโดแอชตันอโศก หนึ่งในทางออกสุดท้ายของอนันดา ตอนนี้ #แอชตันอโศก เปิดทางออกให้ถูกกฎหมาย

โดยการหาทางเข้าออกทางอื่นที่ไม่ใช่ด้านรถไฟใต้ดิน ซึ่งก็จะเหลือด้านซอย 19 ซึ่งปัจจุบันมีถนนซอยเล็กๆกว้างประมาณ 4 เมตร อยู่แล้ว 2 ซอย ก็จะต้องกว้านซึ้อตึกแถวที่ติดกับถนนซอยนี้ลึกไปจนถึงโครงการ เพื่อเอามาทุบทำเป็นทางเข้าออกให้ได้กว้าง 12 เมตร ตามกฏหมาย

กรณีศาลเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างแอชตันอโศก พิพากษาศาลปกครองสูงสุด ถือเป็นที่สิ้นสุดแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องใช้สิทธิ์ ตามกฎหมายในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชื้อ ที่ต้องฟ้องร้องบริษัท และบริษัทที่ต้องฟ้องร้อง กทม.ต่อไป

และตอนนี้ ทำให้เกิดราคาที่ดินที่แพงที่สุดในไทยตอนนี้ เรียกว่า ‘ระดับ New high’ ที่ราคาตารางวาละ 18 ล้านบาท!!

‘ดร.ธรณ์’ ชี้!! 2 เหตุการณ์ใหญ่สะท้อน ‘ทะเลไทยกำลังผิดปกติ’ หลังแพลงก์ตอนบลูมเกิดผิดช่วงเวลา-เต่ามะเฟืองวางไข่ผิดฤดู

(30 ก.ค. 66) ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางทะเลที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ โดยระบุว่า…

2 เหตุการณ์แปลกในทะเลไทยที่ควรจับตามอง คือ 1.) น้ำเขียวที่เกาะล้าน 2.) เต่ามะเฟืองวางไข่ที่ภูเก็ต ซึ่งทั้ง 2 เรื่องแสดงถึงทะเลที่อาจเปลี่ยนไปครับ

เริ่มจากเรื่องแรก เมื่อวานมีข่าวเรื่องแพลงก์ตอนบลูมที่เกาะล้าน ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยว ผมเคยพูดเรื่องนี่หลายครั้งว่าทะเลเรากำลังผิดปรกติ โดยเฉพาะอ่าวไทยตอนใน/EEC จึงอยากขยายความเพิ่มขึ้นกับเหตุการณ์ที่กำลังปรากฏ แพลงก์ตอนบลูมเป็นเรื่องธรรมชาติ เกี่ยวข้องกับปริมาณน้ำฝน (ธาตุอาหาร) แสงแดด ทิศทางลม/กระแสน้ำ และปัจจัยอื่นๆ ในทะเล

แต่ระยะหลังเริ่มปั่นป่วนเพิ่มขึ้นในทางที่แย่ลง เพราะมนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้อง เกี่ยวโดยตรงคือธาตุอาหารที่เพิ่มขึ้นจากหลายสาเหตุ การเกษตร น้ำทิ้ง ฯลฯ ไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทยตอนในเป็นพื้นที่ค่อนข้างปิด น้ำวนอยู่นาน อิทธิพลจากแม่น้ำลำคลองมีเยอะ เกี่ยวข้องทางอ้อมคือโลกร้อน ตอนนี้แรงขึ้นจนอาจใช้คำว่า “โลกเดือด”

… แล้วเกี่ยวกับเอลนีโญบ้างไหม?

ปกติแล้วเอลนีโญจะทำให้ฝนตกน้อย น่าจะทำให้แพลงก์ตอนบลูมน้อย เมื่อเทียบกับปีลานีญา แต่ปีนี้มีข่าวน้ำเขียวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะ EEC บางทีก็ศรีราชา พัทยา หรือแม้กระทั่งเกาะล้าน
เอลนีโญในยุคก่อนๆ ไม่น่าเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเอลนีโญเกิดในยุคโลกเดือด อะไรก็เป็นไปได้ แพลงก์ตอนบลูมเกิดในช่วงเวลาแปลกๆ และพื้นที่ตามเกาะที่ในอดีตเราไม่ค่อยเจอ และส่งผลอย่างที่เราไม่คาดคิด

ตัวอย่างง่ายๆ คือการท่องเที่ยว แม้ไม่ใช่แพลงก์ตอนพิษ แต่ใครจะอยากไปเล่นน้ำเขียวคัน ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ไปเจอก็เศร้าทั้งนั้น

ช่วงนี้การท่องเที่ยวเกาะล้านกำลังคึกคัก คนไปวันละหลายพัน เป็นแบบนี้คงไม่สนุก ปัญหาคือ จะเกิดอีกไหม เกิดบ่อยไหม เกิดเมื่อไหร่ เราแก้ไขอย่างไรได้บ้าง?

โลกร้อนทำให้ทุกอย่างแปรปรวน การรับมือทำได้ยาก และจะยิ่งยากหากเรามีข้อมูลไม่พอ เกิดทีไรก็แค่เก็บน้ำ จากนั้นก็บอกว่าเป็นแพลงก์ตอนชนิดไหน (ปกติก็มีอยู่กลุ่มเดียวที่ไม่เป็นพิษ) 
มันพอสำหรับสมัยก่อน แต่สำหรับโลกยุคนี้ เราต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้มากๆ เพื่อการรับมือและปรับตัวกับปรากฏการณ์แปลกๆ ที่กำลังเกิด และจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะโลกร้อนขึ้น 
ไม่ได้จะหยุดร้อน ไม่ได้จะจบลงใน 5 ปี 10 ปี แต่ยังแรงขึ้นเรื่อย ต่อเนื่องอีกอย่างน้อยหลายสิบปี

การช่วยชีวิตอ่าวไทยตอนใน/EEC มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อเศรษฐกิจประเทศไทย หากเราไม่คิดพัฒนางานศึกษาวิจัย หากเราหยุดอยู่แค่วัดไข้ ขณะที่ทะเลอื่นในโลกเขาก้าวไกลไปถึงไหนๆ แล้ว การช่วยชีวิตอ่าวไทยก็ทำได้กระปริกระปรอย ถามมาตอบไป แพลงก์ตอนบลูมเกี่ยวกับเอลนีโญมั้ย?

ตอบไปแล้วไงล่ะ

มันจะแรงขึ้น มันจะทำนายยากขึ้น มันจะส่งผลกระทบมากขึ้น อันนี้สิคือคำตอบที่แท้จริง และเรายังไม่อยู่ในสภาพที่สามารถแจ้งเตือน รับมือ และปรับตัวได้เพียงพอ เพราะนักวิทยาศาสตร์เจอแต่คำถาม แต่ความสนับสนุนเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบ ยังมีน้อยไปมากๆ ทำให้คำตอบดูคลุมเครือ ไม่กล้าฟันธง และวนไปมา

ผมมาญี่ปุ่น ผมเห็นหลายอย่างที่เขากำลังพยายามยกระดับรับมือเอลนีโญและโลกร้อน เห็นการศึกษาวิจัยที่ใช้เครื่องมือก้าวหน้า ความสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้ เพื่อระบบแจ้งเตือนที่ดี และเพื่อการปรับตัวที่ทันการณ์แพลงก์ตอนบลูมเกี่ยวข้องกับเอลนีโญไหม? 
คำถามที่แท้จริงควรเป็นว่า เราพร้อมช่วยชีวิตอ่าวไทยในยุคทะเลเดือดไหม?

นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามวัดไข้ทะเล แต่ถ้ามีความสนับสนุนอย่างที่บ้านเมืองอื่นเขากำลังทำ เราจะทำได้ดีกว่าวัดไข้ เช่น ยกระดับการสำรวจและเฝ้าระวังทะเล ติดตามสภาพความเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ปรับปรุงอุปกรณ์และสนับสนุนกิจกรรมด้านการศึกษาวิจัย จัดจุดติดตามถาวร บูรณาการข้อมูลและ GIS ใช้เทคโนโลยีทันสมัย/รีโมทเซนซิง จัดทำโมเดลอ่าวไทย/EEC จัดทำระบบแจ้งเตือนผู้ใช้ประโยชน์ ติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเล/สมุทรศาสตร์แบบเรียลไทม์ จัดทำแผนการลดผลกระทบด้านธาตุอาหารจากแหล่งแม่น้ำลำคลอง สำรวจและดูแลอาขีพชาวประมงการท่องเที่ยวรายย่อย ฯลฯ

ในขณะที่คนทั่วไปสามารถช่วยได้ด้วยการลดผลกระทบด้านต่างๆ อย่าซ้ำเติมธรรมชาติ เช่น ลดโลกร้อน ลดขยะ บำบัดน้ำ สนับสนุนกิจการท้องถิ่น แจ้งเหตุผิดปรกติ ฯลฯ เราจะลดความสูญเสียได้มหาศาลครับ

ยังมีอีกข่าวคือแม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่ที่ภูเก็ต นั่นเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ที่น่าสงสัยคือทำไมแม่เต่าวางไข่ตอนนี้ ปกติเต่ามะเฟืองจะวางไข่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม ตุลาคมยังพอว่า แต่กรกฎาคมเนี่ยนะ?

ผมไม่เคยได้ยินว่ามีมาก่อน โดยเฉพาะกับสัตว์ที่แม่นยำต่อเวลาและสถานที่เช่นเต่ามะเฟือง การวางไข่ในช่วงเวลาที่ผิดปกติ อาจส่งผลต่อเนื่อง ลูกเต่าฟักออกจากไข่ในอีก 60 วัน ประมาณปลายกันยา ยังไม่หมดลมมรสุมดีด้วยซ้ำ แล้วลูกเต่าจะฝ่าคลื่นลมออกไปกลางทะเลไหวไหม
ในขณะที่ลูกเต่าทั่วไปจะออกทะเลช่วงกุมภาพันธ์/มีนาคม ทะเลอันดามันสงบ มันมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นเรื่อยๆ ในโลกยุคนี้ที่ธรรมชาติแปรปรวนอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนครับ

‘บิ๊กป้อม’ เสียใจ เหตุโรงงานประทัดระเบิด ที่ จ.นราธิวาส ส่ง สส.พปชร ลงพื้นที่ดูแล-บรรเทาความเดือดร้อน ปชช.

(30 ก.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) รวมถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องประชาชนชาว ตำบลมูโน๊ะ อำเภอสุไหง-โกลก จังหวัดนราธิวาส จากอุบัติเหตุโรงงานประทัดระเบิดเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก รวมถึงบ้านเรือนและทรัพย์สินเสียหายในวงกว้าง

โดยมอบหมายให้นายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส และนายอามินทร์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส ลงพื้นที่เปิดครัว และที่พักชั่วคราว พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการให้ความช่วยเหลือและดูแลพี่น้องประชาชนในเบื้องต้น นอกจากนั้นในฐานะรองนายกดูแลด้านความมั่นคง ได้สั่งการลงในพื้นที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยด่วน

แฟนคลับกรี๊ด!! ‘หน่อง ปลื้มจิตร์’ โพสต์ภาพร่วมเฟรม ‘คิม ยอน คยอง’  พร้อมแคปชัน “พบปะเพื่อนร่วมสาย” กระชับสัมพันธ์ไทย-เกาหลีใต้

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 เป็นที่รักของแฟนๆ วอลเลย์บอลทั่วโลกจริงๆ สำหรับ ‘คิม ยอน คยอง’ (Kim Yeon Koung) อดีตหัวเสาตัวแบกของทีมชาติเกาหลีใต้ ที่ตอนนี้แม้จะวางมือจากทีมชาติไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นเธอเฉิดฉายไม่เปลี่ยนในลีกในประเทศ

แต่ด้วยความที่ไม่ได้เล่นให้ทีมชาติอีกแล้ว ทำให้แฟนๆ กีฬาชาวไทยแอบผิดหวังว่าจะไม่ได้เจอ คิม ในฐานะนักกีฬาอีกแล้ว แต่กระนั้น คิม ก็ยังคัมแบ็กทีมชาติอีกครั้ง ในรอบ 2 ปี แต่เป็นการกลับมาในฐานะที่ปรึกษาทีมวอลเลย์บอลหญิง ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษาน้องในทีม แต่ไม่ได้มีส่วนช่วยเรื่องการฝึกซ้อมแต่อย่างใด

แต่สิ่งที่น่าจับตาก่อนหน้านี้ก็คือ ‘นุศรา ต้อมคำ’ อดีตมือเซตเบอร์หนึ่ง ได้อัลฟอลโลอินสตาแกรมของ คิม ยอน คยอง ซึ่งทำให้แฟนวอลเลย์บอลใจหายความว่าสัมพันธ์ในวงการวอลเลย์บอลไทย-เกาหลีใต้ยังดีอยู่หรือไม่

ก่อนที่ ‘ซาร่า นุศรา ต้อมคำ’ จะออกมาอธิบายว่า ความสัมพันธ์ที่เคยดีต่อกันระหว่างตัวเธอกับคิมได้ยุติลงแล้ว ส่วนการอันฟอลโลอินสตาแกรม ก็เพื่อประกาศความชัดเจน แต่ไม่ขอพูดถึงสาเหตุที่เลิกกัน ส่วนที่ออกมาชี้แจงเพราะต้องการหยุดกระแสในสื่อโซเชียลที่เริ่มไปไกลเกินจริงแล้ว โดยเฉพาะการพาดพิงไปยังบุคคลอื่นๆ

ล่าสุด ‘หน่อง ปลื้มจิตร์ ถินขาว’ ได้ลงภาพที่เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาไม่น้อยในโลกออนไลน์ ซึ่งตำนาน บอลเร็ว NO.5 ทีมชาติไทยได้โพสต์ภาพของเพื่อนๆ ร่วมทีมชาติและที่สะดุดตาที่สุดก็คือ มีคิมอยู่ในนั้นด้วย

พร้อมกันนี้ หน่อง ปลื้มจิตร์ ยังได้เขียนแคปชันด้วยว่า “พบปะเพื่อนร่วมสาย” ซึ่งแม้ไม่ชัดเจนว่าภาพดังกล่าวถูกถ่ายขึ้นที่ใด แต่แฟนๆ วอลเลย์บอลก็แอบลุ้นไม่ได้ว่า เร็วๆ นี้วอลเลย์บอลทั้งไทยและเกาหลีใต้จะมีโปรเจกต์อะไรร่วมกันหรือไม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top