Wednesday, 14 May 2025
NEWS

‘มท.1’ เร่งหาแหล่งเงินเยียวยา ปชช.เหตุพลุระเบิดนราธิวาส ลั่น!! ภาครัฐจะดูแลให้ดีที่สุด พร้อมล่าตัวเจ้าของโกดังดำเนินคดี

(4 ส.ค. 66) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุโกดังเก็บดอกไม้ไฟระเบิด ตำบลบ้านมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส ว่า มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของแต่ละหน่วยงานที่จะดูแล โดยเฉพาะในส่วนของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือเรื่องการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด ซึ่งมีปัญหาทั้งเรื่องความแออัด และปัญหาน้ำท่วม จึงจะใช้แนวทางการปฏิรูปที่ดิน เพื่อจัดรูปแบบใหม่

ซึ่งวันเดียวกันนี้ ได้เตรียมทางเลือกมารายงานให้นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว ก่อนจะนำไปให้ประชาชนพิจารณา รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องแหล่งเงิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมและอยู่ดีกินดีขึ้น

เมื่อถามถึงกรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าวงเงินที่ใช้ในการฟื้นฟูผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์นี้น้อยไป พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวยืนยันว่า รัฐบาลจะพยายามทำให้ดีที่สุด จากแหล่งเงินหลายแห่ง หากดูตามประวัติศาสตร์ การจ่ายเงินเกินอำนาจเป็นไปไม่ได้ กฎหมายอนุญาตให้จ่ายได้เท่าไหร่ รัฐฯ พยายามทำให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของผู้เสียชีวิตกว่า 10 ราย

เมื่อถามต่อถึงการดำเนินคดีกับเจ้าของโกดังที่หลบหนีไปต่างประเทศ และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้กำลังดำเนินการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น ขอให้ประชาชนเข้าใจ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะบุคคลที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น

'ในหลวง' ทรงช่วยเด็กชาย 9 ขวบเมืองคอน หลังถวายฎีกาขอพระเมตตาซ่อมแซมบ้าน

เมื่อวานนี้ (3 ส.ค. 66) นายโสภณ พรหมแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ช่าง เดินทางไปตรวจความคืบหน้าการซ่อมแซมเปลี่ยนซ่อมหลังคาบ้านให้ใหม่ ที่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ภายหลัง ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อายุ 10 ปี นักเรียน ชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านคดศอก ต.ขุนทะเล ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเลขที่ดังกล่าวได้เขียนจดหมายถวายฎีกาถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีข้อความลงวันที่ 4 เม.ย 2566 ว่า 

"กระผมชื่อ ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อายุ 9 ปี 7 เดือน อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช มีความจำเป็นเกี่ยวกับบ้านของกระผม บ้านของกระผมปลวกกินไม้ กระผมนอนตอนกลางคืนกลัวไม้จะหล่นใส่หัวของกระผมวันไหน กระผมหารู้ไม่ กระผมเขียนหนังสือขอความช่วยเหลือจากพระองค์ท่าน ร.10 กระผมไม่มีแม่ ซึ่งแม่กระผมเสียชีวิตแล้ว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2561 ด้วยเนื้องอกในสมอง ตอนนี้กระผมอยู่กับป้า กระผมไม่มีเงินซ่อมแซมบ้าน ขอให้พระองค์ท่านทรงเมตตาเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างกระผมด้วย...."

ต่อมาสำนักงานองคมนตรี ได้มีหนังสือลงวันที่ 4 พ.ค. 2566 ถึง ผวจ.นครศรีธรรมราช กรณี ด.ช.ธีธัช ทองเพชร อยู่บ้านเลขที่ 180 หมู่ 9 ต.ขุนทะเล อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายฎีกาถึง กรณีบ้านพักอาศัยหลังคาบ้าน ที่ทำจากไม้และมีสภาพทรุดโทรมเกรงว่า จะเกิดอันตรายกับครอบครัวของ ด.ช.ธีธัช มีความประสงค์ขอพระราชทานความช่วยเหลือเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยจึงขอพระมหากรุณาเป็นที่พึ่งดังกล่าว

ล่าสุด จังหวัดนครศรีธรรมราช สั่งการเทศบาลตำบลขุนทะเล ดำเนินการช่วยเหลือเบื้องต้นแล้วโดยทาง นายโสภณ พรหมแก้ว นายกเทศมนตรีตำบลขุนทะเล ลงพื้นที่สำรวจ ซ่อมทันที โดยให้เจ้าหน้าที่ช่าง ดำเนินการรื้อหลังคาไม้ทั้งหมดออกแล้วเปลี่ยนเป็นหลังคาเหล็กที่มั่นคงถาวร โดยใช้งบประมาณซ่อมแซมกว่า 6 หมื่นบาท คาดว่าจะเสร็จภายใน 1 อาทิตย์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ ด.ช.ธีธัช ซึ่งอาศัยอยู่กับป้า สร้างความปลาบปลื้มปิติดีใจให้กับ ด.ช.ธีธัช และนางพรทิพย์ อัฐพร อายุ 54 ปี ผู้เป็นป้า ในความเมตตาของในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงมีเมตตาสั่งซ่อมหลังคาบ้านในครั้งนี้

'ปัตตานี' ระอุ!! ลอบบึ้มรถทหารตาย 1 เจ็บ 7 ราย เชื่อ!! ฝีมือกลุ่มก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์

(3 ส.ค. 66) เมื่อเวลา 10.00 น. พ.ต.อ.ธีรพจน์ ยินดี ผกก.สภ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุลอบวางระเบิดมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดบนถนนสายนราธิวาส-ปัตตานี ม.3 ต.ตันหยงดาลอ หลังรับแจ้งจึงรายงานให้ พล.ต.ต.อาซาน จันทร์ศิริ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี ทราบพร้อมประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดและนำกำลังไปที่เกิดเหตุ ไปถึงเจ้าหน้าที่ได้ปิดเส้นทางฝั่งปัตตานี-นราธิวาส ชั่วคราวเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและเก็บวัตถุพยานในที่เกิดเหตุ พบรถบรรทุก 6 ล้อของทหาร ป้ายกงจักร 3036 ในสภาพรถด้านหน้าพังเสียหาย กระจกแตก ล้อขวาด้านหน้าแตก ทำให้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บทันที 6 นายในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 1 นาย ถูกนำส่ง รพ.ยะหริ่ง แพทย์พยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ ก่อนจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทราบชื่อ ส.อ.ศุภกร ศิริเสถียร ทำหน้าที่พลขับมีบาดแผลถูกสะเก็ดระเบิดที่ใบหน้าและลำตัวหลายแห่ง ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 นาย แพทย์ได้ทำการรักษาจนปลอดภัยแล้ว ทราบชื่อ จ.ส.อ. สถาพร กล้าจริง, พลฯ เจษฎา คงโต, พลฯ พัชรพล วิจิตรโสภา, พลฯ ธรรมรัก จิ้วบุญชู และ พลฯ ไตรวิชญ์ นุ่นด้วง นอกจากนี้ยังมีประชาชนถูกลูกหลงบาดเจ็บ 2 ราย ทราบชื่อ นายมะการิง สามะ อายุ 50 ปี และนายอับดุลรอฮิง หามะ อายุ 51 ปี ทั้งสองถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ขาซ้าย

จากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบว่าจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากรถบรรทุกของทหารคันเกิดเหตุประมาณ 20 เมตร พบหลุมระเบิดอยู่บริเวณโค่นต้นไม้ บริเวณเกาะกลางถนนแรงระเบิดทำให้ต้นไม้หักทันทีและมีชิ้นส่วนระเบิด สะเก็ดระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนก่อนเกิดเหตุทราบว่า ทหารชุดดังกล่าวมาจาก กองพันทหารราบที่ 151 ค่ายกัลยานิวัฒนา อ.เมือง จ.นราธิวาส มี จ.ส.อ. สถาพร กล้าจริง เป็นหัวหน้าชุดนำกำลังมาจากค่ายเพื่อมารับสิ่งของสนับสนุนกำลังพลภายในค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ปรากฏว่าเมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายได้กดระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 10 กิโลกรัม ซุกไว้บริเวณโค่นต้นไม้เกาะกลางถนน จนเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ส.อ.ศุภกรพยายามแข็งใจขับรถหลบหนี แต่เนื่องจากสภาพลำตัวถูกสะเก็ดระเบิดหลายแห่งทำให้หมดสติรถเสียหลักชนเสาไฟฟ้าเกาะกลางถนนข้ามไปถนนอีกฝั่งก่อนจะเสียชีวิตในที่สุด

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ขจรศักดิ์ อินทร์ทอง ผบ.ฉก.ปัตตานี สั่งการให้หน่วยกำลังในพื้นที่กระจายกำลังปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เกิดเหตุทันทีในรัศมี 500 เมตร เชื่อคนร้ายน่าจะเป็นกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ หลังก่อเหตุมีแนวร่วมในพื้นที่ให้การช่วยเหลือเพื่อหลบหนี

ขณะที่เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 2 ส.ค. พ.ต.ท.สมศักดิ์ รัตนพันธ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.มายอ จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเจ้าหน้าที่ถูกยิงเสียชีวิต เหตุเกิดบนถนนบ้านเขาจ๊ะ ริมถนนคลองชลประทาน พื้นที่ ม.1 ต.มายอ นำกำลังไปตรวจสอบพบร่าง ส.ต.อ.ไซฟูดีน เจ๊ะซอ ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.มายอ นอนเสียชีวิตอยู่ใกล้รถ จยย. สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ผู้ตายได้ขับขี่รถ จยย.ออกจากบ้านพักเพื่อไปพบแหล่งข่าวในพื้นที่ แต่ปรากฏว่าถูกคนร้ายขับรถ จยย.ไล่ตามหลังแล้วใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดกระหน่ำยิงจนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์

'แฟนคลับ' รอชม!! หนังสารคดีชีวิต 'รุ้ง-ปนัสยา'  เตรียมฉายเปิดตัวในเทศกาล Chain NYC ที่นิวยอร์ก

ภาพยนตร์แนวสารคดีสั้น เรื่อง 'The Cost of Freedom' กำกับโดย พริมริน พัวรัตน์ (เปียโน) และ อรอริสา ทรัพย์สมปอง (แพง) 2 ผู้กำกับหญิงของไทย

'The Cost of Freedom' เป็นสารคดีชีวิตของ 'รุ้ง' น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล นักเคลื่อนไหวทางการเมืองไทย กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม เตรียมที่จะฉายเปิดตัวในเทศกาล Chain NYC Film Festival ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

หวังว่า ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ จะได้มีโอกาสฉายในประเทศไทย และจะได้พื้นที่อิสระในการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพต่อไป

ผู้ว่าฯ 'ชัชชาติ' ชี้!! มีการแจ้งทักท้วง 'แอชตัน อโศก' หากขัด กม.ต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด

(3 ส.ค. 66) กทม. นำโดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร และ รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมมพล รองผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร และนายสุรัช ติระกุล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมอาคาร แถลงข่าวประเด็นโครงการแอชตัน อโศก เผยไทม์ไลน์ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ระบุ กทม. ได้มีการแจ้งทักท้วงเรื่องแบบแปลนและที่ดิน รฟม. ไปแล้ว 3 ครั้ง ระหว่างปี 2558 - 2559 

ไทม์ไลน์การยื่นแจ้งของโครการแอชตัน อโศก มีดังนี้ 

-23 ก.พ.2558 ยื่นแจ้งก่อสร้างครั้งที่ 1 (ไม่รับทราบแบบแปลน)
-26 พ.ค.2558 แจ้งขอทักท้วง เรื่องแบบแปลน

-16 ก.ค.2558 ยื่นแจ้งดัดแปลงครั้งที่ 2 (ไม่รับทราบแบบแปลน)
-27 ต.ค.2558 แจ้งขอทักท้วง เรื่องแบบแปลนและที่ดิน รฟม.

-2 มิ.ย.2559 สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ได้ยื่นฟ้อง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส.53/2559
-22 มิ.ย.2559 ยื่นแจ้งดัดแปลงครั้งที่ 3
-17 ส.ค.2559 แจ้งขอทักท้วง เรื่องแบบแปลนและที่ดิน รฟม.

-21 พ.ย.2556 บ.ยื่นแก้ไขข้อทักท้วง ยืนยันว่า รฟม. ให้ใช้ทางเข้าออกผ่านที่ดิน รฟม. ตามหนังสือที่ รฟม. 012/1139 ลว.4 ก.ค.2557 และหนังสือที่ รฟม. 014/1568 ลว.4 ก.ย.2557 ประกอบการขออนุญาตได้

-30 ม.ค.2560 กทม. มีหนังสือรับทราบแบบแปลนการยื่นแจ้งครั้งที่ 3 และแจ้งเงื่อนไขการนำที่ดิน รฟม.มาใช้
-9 มี.ค.2560 สยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ยื่นฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ 450/2560
-17 พ.ย.2560 ยื่นแจ้งดัดแปลงครั้งที่ 4

-26 ธ.ค.2560 กทม. มีหนังสือรับทราบแบบแปลนการยื่นแจ้งครั้งที่ 4 และแจ้งเงื่อนไขการนำที่ดิน รฟม.มาใช้ และการออกใบรับรองการดัดแปลง
-24 ม.ค.2561 แจ้งผลว่าดัดแปลงไม่แล้วเสร็จ 

-5 ก.พ.2561 ยื่นแจ้งขอใบรับรองดัดแปลงอาคาร กทม.
-28 ก.พ.2561 แจ้งผลว่าดัดแปลงไม่แล้วเสร็จ  

-20 มี.ค.2561 บริษัทฯ ขออุทธรณ์ ว่าอาคารก่อสร้างแล้วเสร็จแต่ สนย. ไม่ออกใบรับรองให้ 
-11 เม.ย.2561 สนย. ส่งเรื่องบริษัทฯ ขออุทธรณ์หนังสือ ให้ คกก.พิจารณาอุทธรณ์
-4 มิ.ย.2561 แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เพิกถอนหนังสือแจ้งผลการดัดแปลง เนื่องจากการไม่ออกใบรับรองโดยอ้างเหตุว่ามีการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนต่อไป

-11 มิ.ย.2561 สนย. ออกใบรับรองการก่อสร้าง และแจ้งเงื่อนไข
-30 ก.ค.2564 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนใบรับแจ้งฯ ทุกฉบับโดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ออกแต่ละฉบับ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน
-24 พ.ย.2565 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาให้ใช้อำนาจตามมาตรา 41 และ 42 แล้วแต่กรณี ภายใน 90 วัน

-27 ก.ค.2566 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางให้เพิกถอนใบรับแจ้งฯ ทุกฉบับโดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่ออกแต่ละฉบับ

กทม. ระบุว่า การออกใบรับรองการก่อสร้างและดัดแปลงอาคารลงวันที่ 11 มิ.ย.2561 เป็นการออกใบรับรองแบบมีเงื่อนไข ระบุว่า

"เรื่องที่ดินที่ตั้งโครงการซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาของศาลปกครองกลาง ที่มีผู้ฟ้องคดีกรณีโครงการใช้ที่ดินของ รฟม. หากศาลมีคำสั่งพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดแล้วผลการพิพากษาทำให้อาคารของโครงการขัดต่อกฎหมาย ผู้ได้รับใบรับรองจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น"

📌สรุปตลาดหุ้น ประจำวันที่ 3 ส.ค. 66 

📌สรุปตลาดหุ้น ประจำวันที่ 3 ส.ค. 66 
 

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “สร้างอาชีพ สร้างชีวิต” ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาสในพื้นที่ จ.พิษณุโลก ในโครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี พร้อมนำหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกบริการประชาชนฟรี

วานนี้ (วันที่ 2 สิงหาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นางจินดา บุญลาภทวีโชค กรรมการตรวจสอบ และนางสาวดวงชุตา  ติยะพจนพรกุล  ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม ซึ่งอยู่ในความดูแลของสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านสองแคว จังหวัดพิษณุโลก จำนวน 21 ราย พร้อมมอบรถเข็นวีลแชร์แก่คนพิการ จำนวน 10 ราย รวมงบประมาณเป็นเงินทั้งสิ้น 348,650 บาท (สามแสนสี่หมื่นแปดพันหกร้อยห้าสิบบาทถ้วน) เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน โดยมี นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว  นายวาทิต ปัญญาคม รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก พร้อมด้วย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง และอาสาสมัครศิลปิน นำโดย นางสาวอัญชลี จงคดีกิจ (ปุ๊-อัญชลี) ร่วมแจกจ่ายในครั้งนี้  ณ ศาลาประชาคมจังหวัดพิษณุโลก (ศาลากลางจังหวัด) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น  และบริการตัดผม ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ เปิดเผยว่า สำหรับโครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมูลนิธิฯ กำหนดมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ รวม 8 ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี สงขลา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และจังหวัดพิษณุโลก ให้ได้มีวัสดุอุปกรณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว เพื่อเป็นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป โดยนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการลงพื้นที่ในเดือนเมษายนจนถึงในวันนี้ มูลนิธิฯ มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพรวมมอบ 8 แห่ง จำนวน  61  ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น  980,940 (เก้าแสนแปดหมื่นเก้าร้อยสี่สิบบาทถ้วน) 

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ต่อไป

#ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต#
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

ใจหาย!! ‘ช่องบูมเมอแรง’ ประกาศยุติออกอากาศ 1 ก.ย.นี้ หลังอยู่คู่เด็กไทยมานาน 10 ปี เหลือให้ดูต่อแค่ทางออนไลน์

สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องบูมเมอแรง ซึ่งเป็นช่องการ์ตูนชื่อดัง ประกาศยุติออกอากาศ 1 ก.ย.นี้ หลังออกอากาศมานานถึง 10 ปี พบผลประกอบการรายได้ลดลง จาก 69 ล้าน เหลือ 45 ล้าน แต่กำไรตัวเขียวอยู่ ล่าสุดยังประกาศจัดโรดโชว์ศูนย์การค้าดังตลอดปี 66

(2 ส.ค. 66) เฟซบุ๊ก Boomerang Thailand ของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ช่องบูมเมอแรง (BOOMERANG) ซึ่งเป็นช่องการ์ตูนชื่อดัง โพสต์ข้อความ ระบุว่า

"เรียนผู้ชมทุกท่าน ช่องบูมเมอแรงจะยุติการออกอากาศตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 66 ขอขอบพระคุณผู้ชมทุกท่านที่ติดตามชมและให้การสนับสนุนสถานีด้วยดีเสมอมา ทางสถานีหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ส่งมอบความบันเทิงให้ทุกท่านในโอกาสต่อไป และทุกท่านสามารถรับชมออนไลน์ต่อได้ที่ Facebook : Boomerang Thailand และ Youtube : Boomerang Thailand ขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้"

สำหรับช่องบูมเมอแรง เป็นสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมในรูปแบบช่องการ์ตูน เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2556 หรือเมื่อ 10 ปีก่อน ในยุคที่โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมกำลังเฟื่องฟู โดยมีบริษัท เมเจอร์ กันตนา บรอด แคสติ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป กับ กันตนา ร่วมทุนกับ บริษัท เทิร์นเนอร์ เอเชีย แปซิฟิค เวนเจอร์ จำกัด ร่วมทุนเปิดบริษัท เอ็ม เทิร์นเนอร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท แบ่งเป็น เมเจอร์ กันตนา 51% และเทิร์นเนอร์ 49%

โดยทางเทิร์นเนอร์ต้องการใช้ช่องบูมเมอแรงเป็นหัวหอกเจาะตลาดแมส เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น จากเดิมที่ทางเทิร์นเนอร์ใช้ช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์ค ที่ออกอากาศทางทรูวิชั่นส์สำหรับเจาะกลุ่มพรีเมียมไปแล้ว โดยมีกลุ่มเป้าหมายอายุ 4-14 ปี นอกจากนี้ ยังเปิดช่องการ์ตูนใหม่อีก 1 ช่อง คือ ช่องทูนามิ (Toonami) ช่องบันเทิงที่รวมเอาการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่จากทั่วโลกไว้ให้ชมกันมากที่สุด โดยจะเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มเดิมของช่องบูมเมอแรง

ที่ผ่านมาช่องบูมเมอแรงได้รับการจัดอันดับเรตติ้งให้เป็นอันดับ 1 ของทีวีดาวเทียมและเคเบิลในประเทศไทย กระทั่งปัจจุบันยังคงติดอันดับเรตติ้งรวมกับทีวีดิจิทัล ในระหว่างอายุ 4-14 ปี โดยการจัดเรตติ้ง เอจีบี เน็ลสัน มีเดีย รีเสิร์ช รวมทั้งมีกิจกรรมเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวและเด็ก เช่น งานวิ่ง งาน BOOMERANG RUN & TRAIL COLORFUL JUNGLE ที่สวนนงนุช และล่าสุดมีกิจกรรมโรดโชว์ที่ชื่อว่า BOOMERANG LAND ร่วมกับศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ ตลอดปี 2566

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า รายได้ย้อนหลัง 5 ปี บริษัท เอ็ม เทิร์นเนอร์ จำกัด มีดังนี้

ปี 2561 มีรายได้รวม 69,919,465.00 บาท กำไรสุทธิ 13,724,125.00 บาท
ปี 2562 มีรายได้รวม 66,778,770.00 บาท กำไรสุทธิ 11,003,453.00 บาท
ปี 2563 มีรายได้รวม 54,971,573.00 บาท กำไรสุทธิ 3,717,807.00 บาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 46,358,021.00 บาท กำไรสุทธิ 5,463,987.00 บาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 45,204,671.00 บาท กำไรสุทธิ 4,094,812.00 บาท

อีกด้านหนึ่ง ข้อมูลจากสายงานกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ระบุว่า ช่องรายการ BOOMERANG มี บริษัท เอ็มบีทีวี จำกัด เป็นผู้ขอรับใบอนุญาต โดยได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2564 สิ้นอายุใบอนุญาตวันที่ 3 พ.ย. 2574 รวมทั้งยังมี บริษัท มี บรอดแคสติ้ง จำกัด ผู้ประกอบการ NT IPTV, บริษัท ซุปเปอร์ บรอดแบนด์ เน็ทเวอร์ค จำกัด ผู้ประกอบการ AIS PLAY และ บริษัท ทรี บีบี ทีวี จำกัด ผู้ประกอบการ 3BB GIGATV ได้ขออนุญาตนำช่องรายการ BOOMERANG มาออกอากาศเช่นกัน

'ในหลวง ร.10' ไม่ทอดทิ้ง 'ประชาชน-ผู้เดือดร้อน' เหตุพลุระเบิด ทรงรีบจัดหาโรงครัว-รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

(2 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ปริม พาดาฤดี' ได้โพสต์ข้อความถึงการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุพลุระเบิดที่นราธิวาส โดยในหลวง ร.10 ทรงรีบให้การช่วยเหลือประชาชนของท่านทันที ระบุว่า...

ในวันที่พลุระเบิด มีคนตายนับสิบ บาดเจ็บนับร้อย ก็มีแต่พระเจ้าอยู่หัวนี่แหละ ที่ทรงรีบจัดหาโรงครัวไปช่วยเหลือ รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

ส่วนนักการเมืองนั้น เขาห่วงพวกคุณได้แค่หน้าเฟสหรือบนทวิตเตอร์ ไข่สักฟองเขายังไม่สละมาช่วยเลย

'หลวงพ่อสงวน' นักบุญผู้สร้างคน เลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสมานานถึง 25 ปี  ถึงแม้วันนี้จะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ไม่คิดที่จะเลิกทำ

(2 ส.ค. 66) ‘หลวงพ่อสงวน’ นักบุญผู้สร้างคน เลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสมานานถึง 25 ปี ถึงแม้วันนี้จะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ไม่คิดที่จะเลิกทำ

25 ปี แห่งความเมตตาของ ‘หลวงพ่อสงวน’ หรือ พระครูวิบูลประชากิจ เจ้าอาวาสวัดบ้านอ้อ อายุ 76 พรรษา พระนักบุญแห่งเมืองเก่าอยุธยา รับเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ชายขอบมาเลี้ยงดู ส่งเสียจนจบปริญญา ถึงวันนี้แม้ท่านจะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ยังไม่ลดละความพยายามที่จะดูแลเด็กเหล่านี้ต่อไป ด้วยเชื่อว่า ‘การสร้างคน คือ การสร้างชาติ’

“อยากจะสร้างคน... คนนี้สำคัญนะ ตามหลักพระพุทธเจ้า ถ้าคนมีคุณภาพทุกอย่างดีหมด เมื่อเราสร้างคนแล้ว คนก็จะไปสร้างบ้าน พอเขาสร้างบ้านเขาได้ เขาก็ไปจะสร้างประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง”

การเลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสของ ‘หลวงพ่อสงวน’ ได้เริ่มขึ้นภายหลังที่ ‘หลวงพ่อสงวน’ ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดบ้านอ้อ ทดแทนพระครูประดิษฐ์ศีลาคุณ หรือ ‘หลวงพ่อเติม’ ที่มรณภาพไปเมื่อปี 2541

โดยตลอดระยะเวลา 56 พรรษา แห่งการถือเพศบรรพชิตของ ‘หลวงพ่อสงวน’ นั้นท่านได้สนใจใผ่เรียนรู้ ทั้งปริยัติและปฏิบัติจนแตกฉาน นำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาเผยแพร่เกื้อกูลสังคมมาอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญคือส่งเสริมการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส

“เด็กพวกนี้หลวงพ่อฯ ไปรับมาจากอุ้มฝาง จังหวัดตาก เป็นชนเผ่าม้ง พ่อแม่เด็กเขาทำไร่ หาเช้ากินค่ำ บางคนก็อยู่กับย่า กับยาย จะไปโรงเรียนทีก็ลำบาก เพราะเดินทางไกล เงินทองก็ไม่มี หลวงพ่อก็ไปรับมา เด็กสุดตอนนี้ก็ 3 ขวบได้มั้ง...อยู่ที่นี่ก็มีอาหารให้ 3 มื้อ มีที่นอนให้ มีค่าขนมให้ไปโรงเรียนทุกคน ใครรักเรียนหน่อยก็จะส่งให้เขาจนจบปริญาตรี ไปเป็นครู เป็นวิศวะก็มี”

เด็กๆ ที่มาอยู่ที่วัดนี้ จะได้รับการศึกษากันทุกคน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษา ที่โรงเรียนวัดบ้านอ้อ (บ้านอ้อวิทยาคาร) แล้วไปต่อในระดับที่สูงขึ้น ตามความสนใจทั้งในด้านวิชาชีพและปริญญาตรี โดย ‘หลวงพ่อสงวน’ จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจนจบการศึกษา

“ตอนนี้เด็กที่หลวงพ่อดูแล มี 135 คนตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญา ไปเรียนราชภัฎฯ เวลาไปเรียนหลวงพ่อต้องมีค่าขนมให้ทุกคน เด็กโตที่ไปเช่าพักข้างนอกหลวงพ่อก็มีค่าเช่าหอให้ มีค่าขนมให้ใช้จ่ายกันทุกคน"

ส่วนมาของเงินที่ใช้จ่ายในการดูแลสงเคราะห์เด็กนั้นล้วนมาจากผู้ใจบุญที่ศรัทธาในตัว ‘หลวงพ่อสงวน’

"เงินที่เอามาใช้กับเด็กๆ หลวงพ่อฯ ก็เอามาจากที่โยมมาทำบุญบ้าง ไปเทศน์มาบ้าง นิมนต์งานบุญบ้าง ไม่เคยของงบหลวง เราทำของเราเอง ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน หรือมาทำให้หม่นหม่อง”

นอกจากการเลี้ยงดูเด็กจำนวนนับร้อยชีวิตต่อเนื่องยาวนานแล้ว ‘หลวงพ่อสงวน’ ยังมีเมตตาช่วยเหลือสนับสนุนพัฒนาโรงเรียนวัดบ้านอ้อ (บ้านอ้อวิทยาคาร) โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัด ให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพในระดับชุมชน ตลอดไปจนถึง การหาเงินทุนงบประมาณมาสนับสนุนก่อสร้างอาคารเรียน ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง โดย นางสาวมณฑา มงคลแพร ผู้อำนวยการของโรงเรียน เล่าให้ฟังว่า

“โรงเรียนเราได้รับการอุปการะจากหลวงพ่อฯ ในหลายด้าน ไม่ว่าจะขาดเหลืออะไร ท่านจะคอยใส่ใจมาถามตลอด อย่างเรื่องห้องดนตรีไทย หลวงพ่อฯ ท่านก็ช่วยหาอุปกรณ์ที่ขาดแคลนมาให้ ทำให้ที่นี่เด็กจะเด่นเรื่องดนตรีไทยมาก เพราะอุปกรณ์เราพร้อม ครูดนตรีไทยเราก็เป็นคนที่มีความรู้ ที่ผ่านมา ครูเขาเคยพาเด็กนักเรียนไปแข่งขันดนตรีไทย ประเภทฆ้องวงเล็กได้รางวัลระดับชาติ ดนตรีวงปี่พาทย์จากพระเทพฯ ซึ่งทักษะดนตรีเหล่านี้ เด็กจะสามารถไปต่อยอดหารายได้ช่วยที่บ้านได้ เพราะเวลาชุมชนมีงานศพ งานบวช เขาก็จะไปเล่นได้ค่าจ้างเป็นกำลังใจนำไปส่งให้ผู้ปกครอง”

ปัจจุบันสุขภาพของ ‘หลวงพ่อสงวน’ เริ่มเสื่อมถอย ด้วยหลายโรคที่รุมเร้า ล่าสุด ป่วยอาพาธด้วยเส้นเลือดในสมองตีบ ส่งผลให้ท่านจำเป็นต้องลดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำในแต่ละวันลงไป

“หลอดเลือดสมองตายไปข้างนึง เป็นเมื่อพฤษภาฯ ที่ผ่านมา ตอนนี้เดินไม่ได้ ซีกซ้ายไม่รู้สึกเลย จะไปไหนก็ลำบากหน่อย กิจนิมนต์ก็รับไม่ไหว จะออกไปแค่ข้างหน้ากุฏิก็หน้ามืดแล้ว เวียนหัวไปหมด...แต่ก็คิดอยู่ในใจว่า หลวงพ่อฯ จะต้องทำให้เด็กมีกินให้ได้ โชคดีที่หลวงพ่อฯ พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่นี่ก็ลดลงไปมากแล้วเหมือนกัน เวลาไม่มีก็ต้องหามาหมุนเอา (ถ้าไม่ไหวหลวงพ่อฯ คิดว่าจะหยุดไหมครับ?) ไอ้หยุด ไม่หยุดหรอก เพราะถ้าหยุดเด็กจะลำบาก...แต่ก็อาจจะต้องลดค่าขนมเด็กลง ส่วนอาหารต้องมีให้เขาครบ 3 มื้อ ไม่หยุด ไม่ท้อหรอกโยม”

สำหรับเด็กที่นี่ อย่างโชคชัย เหล่าภักดี เด็กชายวัย 16 ปี เด็กชาวเขาเผ่าม้งที่มาอาศัยกับหลวงพ่อฯตั้งแต่ยังเล็ก เขารับรู้ดีว่า ถ้าไม่มี ‘หลวงพ่อสงวน’ ชีวิตเขาและเด็กๆ ที่นี่คงจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ

“ครอบครัวผมยากจนมาก ถ้าไม่มีหลวงพ่อฯ คงไม่ได้เรียน ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผมเลยคิดว่าอยากขอบคุณหลวงพ่อฯ ที่เมตตากับผมกับน้องๆอีกหลายคนมาก ผมอยากให้หลวงพ่อฯ หายป่วยไวๆ ส่วนผมก็จะตั้งใจเรียน จบมาก็จะส่งเงินมาช่วยหลวงพ่อฯครับ”

หากต้องการร่วมบริจาคทำบุญกับ ‘หลวงพ่อสงวน’ สามารถโอนเงินไปได้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาผักไห่ ชื่อบัญชี พระครูวิบูลประชากิจ เลขบัญชี 1021115452 หรือติดต่อได้ที่ 081-913-8383

‘รองโฆษกฯ’ วอนปชช.อย่าแชร์ ข่าวลือ ‘กองทุนประกันสังคม’ เสี่ยงล้ม ยัน!! สถานะยังแกร่ง เงินสะสม 2.3 ล้านล้านบาท ไม่ล้มละลายแน่นอน

(2 ส.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีมีข่าวปลอมแพร่ระบาดโดยอ้างว่ากองทุนประกันสังคม เสี่ยงล้มละลายภายใน 30 ปี เนื่องจากค้างจ่าย 7 หมื่นล้านบาท ว่า สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กองทุนประกันสังคม มีเสถียรภาพมั่นคง สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง และเพียงพอ มีการบริหารสภาพคล่องโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการถือครองหลักทรัพย์ในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กองทุน

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนประกันสังคม มีเงินสะสม 2.3 ล้านล้านบาท สถานะของกองทุนมีเม็ดเงินที่เพียงพอสำหรับการจ่ายสิทธิประโยชน์ในทุกกรณี ไม่ได้เสี่ยงล้มละลายหรือค้างจ่าย จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานประกันสังคม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญและห่วงใยผู้ประกันตน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการใช้เงินกองทุนประกันสังคมให้เกิดประโยชน์ ตอบสนองผู้ประกันตน และปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน โดยปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อน 3 รูปแบบ ขอเลือก ขอคืน และขอกู้ และยังเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีอื่น เช่น เพิ่มเงินทดแทนกรณีขาดรายได้จากการทุพพลภาพ เพิ่มการจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร และขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จากเดิมอายุ 60 ปีบริบูรณ์ เป็น 65 ปีบริบูรณ์ เพื่อพัฒนาระบบประกันสังคมให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ตอบโจทย์ของทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนให้ดีขึ้น 

นราธิวาส-ผบ.พล.ร.15/ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย  ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมอบกำลังใจ แก่กำลังพล และครอบครัว ผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ บ้านเลขที่ 43/2 หมู่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 /ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย พร้อมกับ คุณสมฤดี ขำเขียว ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองพลทหารราบที่ 15 และกำลังพลจิตอาสา เดินทางลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมอบกำลังใจ และมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตลอดจนถุงยังชีพ ให้แก่กำลังพล และครอบครัว จำนวน 1 ครัวเรือน  คือ พลทหาร ซูไฮดี  สามานุง ตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 2 หมวดชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 2 สังกัด กองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566  ที่ผ่านมา ซึ่งบ้านพักอาศัยได้รับความเสียหาย แต่ครอบครัวไม่มีผู้เสียชีวิต โดย พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้สอบถาม ความเป็นอยู่ ของกำลังพล และครอบครัว ตลอดจน สอบถามความต้องการที่จะให้ หน่วยงานรัฐเข้าให้ความช่วยเหลือ  พร้อมทั้งกล่าวว่า “เพราะ พวกเรา คือ ครอบครัวเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งกัน ในสถานการณ์ ที่กำลังพล และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน“

จากนั้น พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้เดินต่อไปยังบ้านของ นาย เด่น ดาโอ๊ะ โดยป็นผู้แทน ดร. สุธาสินี นิติสาครินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด/ที่ปรึกษา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมทั้งถุงยังชีพ ให้กับทายาท ของ นาย เด่น ดาโอ๊ะ ผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 1 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งเบื้องต้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวในพื้นที่หมู่ 1 บ้านมูโนะ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส มีประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งบ้านเรือน ทรัพย์สิน รถยนต์พังเสียหาย และร้านค้า เกิดความเสียหาย จำนวน 427 ครัวเรือน 1,935 ราย และเบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 209 ราย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จำนวน 10 ราย เสียชีวิต 12 ราย โดยในจำนวนนี้รอพิสูจน์อัตลักษณ์อีก 2 ราย

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้เน้นย้ำให้หน่วยทหารทุกหน่วยในพื้นที่ ได้เตรียมความพร้อม ในการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาสาธารณภัย ให้แก่ผู้ประสบภัยในทุกรูป  บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ตอดจน เน้นย้ำกำลังพล และเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ต้องมีความพร้อม ในการประสานการปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง

‘หมอยง’ เผย WHO กำหนดชื่อฝีดาษลิงเป็น Mpox แล้ว ช็อก!! ‘ไทย’ พบผู้ป่วยมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2 ส.ค. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ฝีดาษวานร Mpox’ ระบุว่า

วานร องค์การอนามัยโลกกำหนดชื่อเป็น Mpox เพื่อไม่ต้องการให้ใช้ชื่อสัตว์ สถานที่ บุคคลมาตั้งชื่อ ให้เป็นตราบาป ดังเช่นถ้าเรียกฝีดาษลิง ทุกคนจะไปโทษลิง ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ต้นเหตุของการระบาดครั้งนี้

การระบาดทั่วโลกของฝีดาษ Mpox รวมทั้งสิ้น รวม 90,000 ราย พบมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศไทยมีรายงานแล้วมากกว่า 120 ราย สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะยอดในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเดือนมิถุนายน ที่มีเทศกาล

โรคไม่รุนแรงจึงเห็นได้ว่าอัตราเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือมีการติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย

การเปลี่ยนแปลงทางด้านระบาดวิทยา สำหรับโรคที่ไม่รุนแรง จะยากในการควบคุม ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการตรวจกรองเฝ้าระวัง การดูแลรักษา และวัคซีนป้องกัน ได้ดีกว่าประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจนกว่า

ในอนาคต โรคนี้คงไม่หมดไป เพราะเกี่ยวข้องกับสัมผัส เพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกลุ่มพิเศษ และจะยังคงมีการระบาดในประเทศที่ระบบสาธารณสุข ที่ การควบคุม ป้องกัน และการศึกษา รวมทั้งวัคซีนในการป้องกันที่มีทรัพยากรน้อยกว่า

ประเทศไทยที่พบกว่า 100 ราย ก็ไม่ได้น้อย และยังมีการพบประปรายอยู่ตลอด แต่ความตื่นตัว ของโรคนี้ในปัจจุบัน น้อยกว่าในระยะแรกๆ เราจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจ การระบาดของโรคโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดการระบาดในประเทศไทย

‘การทางพิเศษฯ’ จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น สะพานสมุย ครั้งที่ 1  ชวน ปชช. ร่วมถกแผน ‘หาพื้นที่เหมาะสม’ เพื่อลดผลกระทบรอบด้าน

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า…

ประชุมรับฟังความคิดเห็น สะพานสมุย ครั้งที่ 1 ร่วมวางแผน หาเส้นทาง และพื้นที่เหมาะสม ลดผลกระทบ 8-10 สิงหาคม 66 ในพื้นที่ สุราษฎร์ธานี, สมุย และนครศรีธรรมราช

วันนี้เอาข่าวการวางแผนก่อสร้าง สะพานเชื่อมเกาะสมุยกับชายฝั่งสุราษฎร์ธานี ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเจ้าภาพงานนี้คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

ซึ่งครั้งนี้เป็นการประชุมปฐมนิเทศโครงการในครั้งแรก เพื่อจะทำความเข้าใจกับโครงการ และหาเส้นทางที่เหมาะสมกับการก่อสร้างสะพาน

โดยเปิดให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

ซึ่งจะมีการรับฟังความคิดเห็นในครั้งแรก ในช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม 2566 รายละเอียดตามนี้
- วันที่ 8 สิงหาคม 66 เวลา 8:30-12:30 น. ที่ โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน จังหวัดนครศรีธรรมราช
- วันที่ 9 สิงหาคม 66 เวลา 8:30-12:30 น. ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- วันที่ 10 สิงหาคม 66 เวลา 8:30-12:30 น. ที่ ห้องประชุมเพชรสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมได้ตามลิ้งค์นี้
https://docs.google.com/.../1FAIpQLSeihOrVZ26RMk.../viewform

ซึ่งเบื้องต้นในโครงการได้เลือกจุดเริ่มต้น (ฝั่งสุราษฎร์ธานี) และจุดสิ้นสุด (ฝั่งเกาะสมุย) ไว้อย่างละ 3 จุด ได้แก่

- จุดเริ่มต้นโครงการ (ฝั่งสุราษฎร์ธานี)
1. หาดนางกา
2. อ่าวประทับ
3. หาดแขวงเภา

- จุดสิ้นสุดโครงการ (ฝั่งเกาะสมุย)
1. อ่าวพังกา
2. ท่าเรือเกาะแตน
3. ท้ายอ่าวหินลาด

ซึ่งแต่ละทางเลือกก็จะมีเส้นทางที่แตกต่างกัน เพื่อหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านสิ่งแวดล้อม

จุดที่สำคัญที่สุด คือการเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ในรายละเอียดโครงการ ซึ่งสามารถติดตามได้จาก
- Line Openchat
https://line.me/.../Tn4RyFFsK6xyAY7vOw38-XPDgXDzEYy...
- Facebook เพจ โครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะสมุย
- เว็บไซต์โครงการ
https://samuibridge.com/

‘สถานทูต’ พร้อมดูแล หลัง ‘คนไทย’ ดับในงาน Tomorrowland  เผย สาเหตุการเสียชีวิตยังไม่แน่ชัด อยู่ระหว่างการสืบสวน

เมื่อไม่นานมานี้ เทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ได้มีคนเสียชีวิตเพิ่มอีกแล้ว สำหรับเทศกาล Tomorrowland ที่จัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม โดยรายล่าสุดยืนยันว่าเป็นชายไทยอายุประมาณ 30 ปี

ตามรายงานจากผู้จัดคอนเสิร์ต เด็บบี เวล์มเซน รายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ชายไทยอายุราว 30 ปี ได้หมดสติโดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยกันปั๊มหัวใจในโซนวีไอพี ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาว่าเสียชีวิตขณะกำลังกู้ชีพที่โรงพยาบาล

อย่างไรก็ตามสาเหตุของการเสียชีวิตยังไม่ได้รับการเปิดเผย และยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตอยู่ในขณะนี้

ทางด้าน เวล์มเซน ได้ยืนยันว่าทางผู้จัดการได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาร่วมงาน อย่างไรก็ตามทางทีมงานไม่สามารถควบคุมเรื่องของสภาพอากาศและการกระทำส่วนบุคคลได้

ก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดเผยว่าทีมงานวัย 26 ปี ได้เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนเหตุการณ์ของชายไทย นอกจากนั้นเมื่อปี 2019 ชายชาวอินเดียวัย 27 ปี ก็เสียชีวิตในเทศกาลดนตรีนี้เช่นกันซึ่งสาเหตุครั้งนั้รเกิดจากการเสพยาเกินขนาด

โดยทีมผู้จัดงานได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวผู้สูญเสีย โดยยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผู้จัดงานไม่อยากให้เกิดขึ้น

ทางสถานทูตไทยในกรุงบรัสเซลล์ ได้เข้าดูแลเรื่องของการขันสูตรศพพร้อมประสานงานไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต เยื้องต้นทางสถานทูตยืนยันว่า ชายไมยรายนี้ได้เดินทางมาพร้อมกับกรุ๊ปทัวร์ โดยไกด์ทัวร์จะเข้าพบกับทางสถานทูตในวันที่ 31 ก.ค. เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top