Wednesday, 14 May 2025
NEWS

'หลวงพ่อสงวน' นักบุญผู้สร้างคน เลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสมานานถึง 25 ปี  ถึงแม้วันนี้จะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ไม่คิดที่จะเลิกทำ

(2 ส.ค. 66) ‘หลวงพ่อสงวน’ นักบุญผู้สร้างคน เลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสมานานถึง 25 ปี ถึงแม้วันนี้จะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ไม่คิดที่จะเลิกทำ

25 ปี แห่งความเมตตาของ ‘หลวงพ่อสงวน’ หรือ พระครูวิบูลประชากิจ เจ้าอาวาสวัดบ้านอ้อ อายุ 76 พรรษา พระนักบุญแห่งเมืองเก่าอยุธยา รับเด็กด้อยโอกาสในพื้นที่ชายขอบมาเลี้ยงดู ส่งเสียจนจบปริญญา ถึงวันนี้แม้ท่านจะอาพาธเดินไม่ได้ แต่ยังไม่ลดละความพยายามที่จะดูแลเด็กเหล่านี้ต่อไป ด้วยเชื่อว่า ‘การสร้างคน คือ การสร้างชาติ’

“อยากจะสร้างคน... คนนี้สำคัญนะ ตามหลักพระพุทธเจ้า ถ้าคนมีคุณภาพทุกอย่างดีหมด เมื่อเราสร้างคนแล้ว คนก็จะไปสร้างบ้าน พอเขาสร้างบ้านเขาได้ เขาก็ไปจะสร้างประโยชน์ให้ชาติบ้านเมือง”

การเลี้ยงดูเด็กด้อยโอกาสของ ‘หลวงพ่อสงวน’ ได้เริ่มขึ้นภายหลังที่ ‘หลวงพ่อสงวน’ ได้รับตำแหน่งเจ้าอาวาส วัดบ้านอ้อ ทดแทนพระครูประดิษฐ์ศีลาคุณ หรือ ‘หลวงพ่อเติม’ ที่มรณภาพไปเมื่อปี 2541

โดยตลอดระยะเวลา 56 พรรษา แห่งการถือเพศบรรพชิตของ ‘หลวงพ่อสงวน’ นั้นท่านได้สนใจใผ่เรียนรู้ ทั้งปริยัติและปฏิบัติจนแตกฉาน นำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาเผยแพร่เกื้อกูลสังคมมาอย่างต่อเนื่องและที่สำคัญคือส่งเสริมการศึกษาให้เด็กด้อยโอกาส

“เด็กพวกนี้หลวงพ่อฯ ไปรับมาจากอุ้มฝาง จังหวัดตาก เป็นชนเผ่าม้ง พ่อแม่เด็กเขาทำไร่ หาเช้ากินค่ำ บางคนก็อยู่กับย่า กับยาย จะไปโรงเรียนทีก็ลำบาก เพราะเดินทางไกล เงินทองก็ไม่มี หลวงพ่อก็ไปรับมา เด็กสุดตอนนี้ก็ 3 ขวบได้มั้ง...อยู่ที่นี่ก็มีอาหารให้ 3 มื้อ มีที่นอนให้ มีค่าขนมให้ไปโรงเรียนทุกคน ใครรักเรียนหน่อยก็จะส่งให้เขาจนจบปริญาตรี ไปเป็นครู เป็นวิศวะก็มี”

เด็กๆ ที่มาอยู่ที่วัดนี้ จะได้รับการศึกษากันทุกคน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษา ที่โรงเรียนวัดบ้านอ้อ (บ้านอ้อวิทยาคาร) แล้วไปต่อในระดับที่สูงขึ้น ตามความสนใจทั้งในด้านวิชาชีพและปริญญาตรี โดย ‘หลวงพ่อสงวน’ จะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจนจบการศึกษา

“ตอนนี้เด็กที่หลวงพ่อดูแล มี 135 คนตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญา ไปเรียนราชภัฎฯ เวลาไปเรียนหลวงพ่อต้องมีค่าขนมให้ทุกคน เด็กโตที่ไปเช่าพักข้างนอกหลวงพ่อก็มีค่าเช่าหอให้ มีค่าขนมให้ใช้จ่ายกันทุกคน"

ส่วนมาของเงินที่ใช้จ่ายในการดูแลสงเคราะห์เด็กนั้นล้วนมาจากผู้ใจบุญที่ศรัทธาในตัว ‘หลวงพ่อสงวน’

"เงินที่เอามาใช้กับเด็กๆ หลวงพ่อฯ ก็เอามาจากที่โยมมาทำบุญบ้าง ไปเทศน์มาบ้าง นิมนต์งานบุญบ้าง ไม่เคยของงบหลวง เราทำของเราเอง ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน หรือมาทำให้หม่นหม่อง”

นอกจากการเลี้ยงดูเด็กจำนวนนับร้อยชีวิตต่อเนื่องยาวนานแล้ว ‘หลวงพ่อสงวน’ ยังมีเมตตาช่วยเหลือสนับสนุนพัฒนาโรงเรียนวัดบ้านอ้อ (บ้านอ้อวิทยาคาร) โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัด ให้เป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพในระดับชุมชน ตลอดไปจนถึง การหาเงินทุนงบประมาณมาสนับสนุนก่อสร้างอาคารเรียน ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง โดย นางสาวมณฑา มงคลแพร ผู้อำนวยการของโรงเรียน เล่าให้ฟังว่า

“โรงเรียนเราได้รับการอุปการะจากหลวงพ่อฯ ในหลายด้าน ไม่ว่าจะขาดเหลืออะไร ท่านจะคอยใส่ใจมาถามตลอด อย่างเรื่องห้องดนตรีไทย หลวงพ่อฯ ท่านก็ช่วยหาอุปกรณ์ที่ขาดแคลนมาให้ ทำให้ที่นี่เด็กจะเด่นเรื่องดนตรีไทยมาก เพราะอุปกรณ์เราพร้อม ครูดนตรีไทยเราก็เป็นคนที่มีความรู้ ที่ผ่านมา ครูเขาเคยพาเด็กนักเรียนไปแข่งขันดนตรีไทย ประเภทฆ้องวงเล็กได้รางวัลระดับชาติ ดนตรีวงปี่พาทย์จากพระเทพฯ ซึ่งทักษะดนตรีเหล่านี้ เด็กจะสามารถไปต่อยอดหารายได้ช่วยที่บ้านได้ เพราะเวลาชุมชนมีงานศพ งานบวช เขาก็จะไปเล่นได้ค่าจ้างเป็นกำลังใจนำไปส่งให้ผู้ปกครอง”

ปัจจุบันสุขภาพของ ‘หลวงพ่อสงวน’ เริ่มเสื่อมถอย ด้วยหลายโรคที่รุมเร้า ล่าสุด ป่วยอาพาธด้วยเส้นเลือดในสมองตีบ ส่งผลให้ท่านจำเป็นต้องลดกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำในแต่ละวันลงไป

“หลอดเลือดสมองตายไปข้างนึง เป็นเมื่อพฤษภาฯ ที่ผ่านมา ตอนนี้เดินไม่ได้ ซีกซ้ายไม่รู้สึกเลย จะไปไหนก็ลำบากหน่อย กิจนิมนต์ก็รับไม่ไหว จะออกไปแค่ข้างหน้ากุฏิก็หน้ามืดแล้ว เวียนหัวไปหมด...แต่ก็คิดอยู่ในใจว่า หลวงพ่อฯ จะต้องทำให้เด็กมีกินให้ได้ โชคดีที่หลวงพ่อฯ พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่นี่ก็ลดลงไปมากแล้วเหมือนกัน เวลาไม่มีก็ต้องหามาหมุนเอา (ถ้าไม่ไหวหลวงพ่อฯ คิดว่าจะหยุดไหมครับ?) ไอ้หยุด ไม่หยุดหรอก เพราะถ้าหยุดเด็กจะลำบาก...แต่ก็อาจจะต้องลดค่าขนมเด็กลง ส่วนอาหารต้องมีให้เขาครบ 3 มื้อ ไม่หยุด ไม่ท้อหรอกโยม”

สำหรับเด็กที่นี่ อย่างโชคชัย เหล่าภักดี เด็กชายวัย 16 ปี เด็กชาวเขาเผ่าม้งที่มาอาศัยกับหลวงพ่อฯตั้งแต่ยังเล็ก เขารับรู้ดีว่า ถ้าไม่มี ‘หลวงพ่อสงวน’ ชีวิตเขาและเด็กๆ ที่นี่คงจะไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ

“ครอบครัวผมยากจนมาก ถ้าไม่มีหลวงพ่อฯ คงไม่ได้เรียน ไม่รู้ชีวิตจะเป็นอย่างไร ผมเลยคิดว่าอยากขอบคุณหลวงพ่อฯ ที่เมตตากับผมกับน้องๆอีกหลายคนมาก ผมอยากให้หลวงพ่อฯ หายป่วยไวๆ ส่วนผมก็จะตั้งใจเรียน จบมาก็จะส่งเงินมาช่วยหลวงพ่อฯครับ”

หากต้องการร่วมบริจาคทำบุญกับ ‘หลวงพ่อสงวน’ สามารถโอนเงินไปได้ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาผักไห่ ชื่อบัญชี พระครูวิบูลประชากิจ เลขบัญชี 1021115452 หรือติดต่อได้ที่ 081-913-8383

‘รองโฆษกฯ’ วอนปชช.อย่าแชร์ ข่าวลือ ‘กองทุนประกันสังคม’ เสี่ยงล้ม ยัน!! สถานะยังแกร่ง เงินสะสม 2.3 ล้านล้านบาท ไม่ล้มละลายแน่นอน

(2 ส.ค. 66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีมีข่าวปลอมแพร่ระบาดโดยอ้างว่ากองทุนประกันสังคม เสี่ยงล้มละลายภายใน 30 ปี เนื่องจากค้างจ่าย 7 หมื่นล้านบาท ว่า สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กองทุนประกันสังคม มีเสถียรภาพมั่นคง สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง และเพียงพอ มีการบริหารสภาพคล่องโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการถือครองหลักทรัพย์ในระยะยาว เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่กองทุน

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนประกันสังคม มีเงินสะสม 2.3 ล้านล้านบาท สถานะของกองทุนมีเม็ดเงินที่เพียงพอสำหรับการจ่ายสิทธิประโยชน์ในทุกกรณี ไม่ได้เสี่ยงล้มละลายหรือค้างจ่าย จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่งต่อ หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานประกันสังคม สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญและห่วงใยผู้ประกันตน ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการใช้เงินกองทุนประกันสังคมให้เกิดประโยชน์ ตอบสนองผู้ประกันตน และปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน โดยปรับปรุงแก้ไขสิทธิประโยชน์กองทุนประกันสังคมกรณีชราภาพ ให้ผู้ประกันตนสามารถนำเงินกรณีชราภาพบางส่วนออกมาใช้ก่อน 3 รูปแบบ ขอเลือก ขอคืน และขอกู้ และยังเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีอื่น เช่น เพิ่มเงินทดแทนกรณีขาดรายได้จากการทุพพลภาพ เพิ่มการจ่ายเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร และขยายอายุขั้นสูงของผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง จากเดิมอายุ 60 ปีบริบูรณ์ เป็น 65 ปีบริบูรณ์ เพื่อพัฒนาระบบประกันสังคมให้ทันสมัย สอดคล้องกับสถานการณ์ตอบโจทย์ของทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ประกันตนให้ดีขึ้น 

นราธิวาส-ผบ.พล.ร.15/ผบ.บก.ควบคุมสุริโยทัย  ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมอบกำลังใจ แก่กำลังพล และครอบครัว ผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด 

ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ บ้านเลขที่ 43/2 หมู่ 1 ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 /ผู้บังคับกองบังคับการควบคุมสุริโยทัย พร้อมกับ คุณสมฤดี ขำเขียว ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขากองพลทหารราบที่ 15 และกำลังพลจิตอาสา เดินทางลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งมอบกำลังใจ และมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ตลอดจนถุงยังชีพ ให้แก่กำลังพล และครอบครัว จำนวน 1 ครัวเรือน  คือ พลทหาร ซูไฮดี  สามานุง ตำแหน่ง พลปืนเล็ก หมู่ชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 2 หมวดชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 2 สังกัด กองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดนที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566  ที่ผ่านมา ซึ่งบ้านพักอาศัยได้รับความเสียหาย แต่ครอบครัวไม่มีผู้เสียชีวิต โดย พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้สอบถาม ความเป็นอยู่ ของกำลังพล และครอบครัว ตลอดจน สอบถามความต้องการที่จะให้ หน่วยงานรัฐเข้าให้ความช่วยเหลือ  พร้อมทั้งกล่าวว่า “เพราะ พวกเรา คือ ครอบครัวเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งกัน ในสถานการณ์ ที่กำลังพล และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน“

จากนั้น พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้เดินต่อไปยังบ้านของ นาย เด่น ดาโอ๊ะ โดยป็นผู้แทน ดร. สุธาสินี นิติสาครินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิล์มมาสเตอร์ จำกัด/ที่ปรึกษา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า มอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น พร้อมทั้งถุงยังชีพ ให้กับทายาท ของ นาย เด่น ดาโอ๊ะ ผู้ประสบเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟ ระเบิด ในพื้นที่ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส จำนวน 1 ครัวเรือน เป็นจำนวนเงิน 50,000 บาท ซึ่งเบื้องต้นจากเหตุการณ์ดังกล่าวในพื้นที่หมู่ 1 บ้านมูโนะ ตำบลมูโนะ อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส มีประชาชนได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทั้งบ้านเรือน ทรัพย์สิน รถยนต์พังเสียหาย และร้านค้า เกิดความเสียหาย จำนวน 427 ครัวเรือน 1,935 ราย และเบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 209 ราย รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จำนวน 10 ราย เสียชีวิต 12 ราย โดยในจำนวนนี้รอพิสูจน์อัตลักษณ์อีก 2 ราย

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร  ขำเขียว ได้เน้นย้ำให้หน่วยทหารทุกหน่วยในพื้นที่ ได้เตรียมความพร้อม ในการให้ความช่วยเหลือ บรรเทาสาธารณภัย ให้แก่ผู้ประสบภัยในทุกรูป  บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ตอดจน เน้นย้ำกำลังพล และเครื่องมือยุทโธปกรณ์ ต้องมีความพร้อม ในการประสานการปฏิบัติตลอด 24 ชั่วโมง

‘หมอยง’ เผย WHO กำหนดชื่อฝีดาษลิงเป็น Mpox แล้ว ช็อก!! ‘ไทย’ พบผู้ป่วยมากสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2 ส.ค. 66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ ‘ฝีดาษวานร Mpox’ ระบุว่า

วานร องค์การอนามัยโลกกำหนดชื่อเป็น Mpox เพื่อไม่ต้องการให้ใช้ชื่อสัตว์ สถานที่ บุคคลมาตั้งชื่อ ให้เป็นตราบาป ดังเช่นถ้าเรียกฝีดาษลิง ทุกคนจะไปโทษลิง ซึ่งที่จริงแล้ว ไม่ใช่ต้นเหตุของการระบาดครั้งนี้

การระบาดทั่วโลกของฝีดาษ Mpox รวมทั้งสิ้น รวม 90,000 ราย พบมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับประเทศไทยมีรายงานแล้วมากกว่า 120 ราย สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะยอดในปีนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากเดือนมิถุนายน ที่มีเทศกาล

โรคไม่รุนแรงจึงเห็นได้ว่าอัตราเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ หรือมีการติดเชื้อ HIV ร่วมด้วย

การเปลี่ยนแปลงทางด้านระบาดวิทยา สำหรับโรคที่ไม่รุนแรง จะยากในการควบคุม ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการตรวจกรองเฝ้าระวัง การดูแลรักษา และวัคซีนป้องกัน ได้ดีกว่าประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศยากจนกว่า

ในอนาคต โรคนี้คงไม่หมดไป เพราะเกี่ยวข้องกับสัมผัส เพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกลุ่มพิเศษ และจะยังคงมีการระบาดในประเทศที่ระบบสาธารณสุข ที่ การควบคุม ป้องกัน และการศึกษา รวมทั้งวัคซีนในการป้องกันที่มีทรัพยากรน้อยกว่า

ประเทศไทยที่พบกว่า 100 ราย ก็ไม่ได้น้อย และยังมีการพบประปรายอยู่ตลอด แต่ความตื่นตัว ของโรคนี้ในปัจจุบัน น้อยกว่าในระยะแรกๆ เราจำเป็นที่จะต้องให้ความรู้ความเข้าใจ การระบาดของโรคโดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อลดการระบาดในประเทศไทย

‘การทางพิเศษฯ’ จัดประชุมรับฟังความคิดเห็น สะพานสมุย ครั้งที่ 1  ชวน ปชช. ร่วมถกแผน ‘หาพื้นที่เหมาะสม’ เพื่อลดผลกระทบรอบด้าน

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า…

ประชุมรับฟังความคิดเห็น สะพานสมุย ครั้งที่ 1 ร่วมวางแผน หาเส้นทาง และพื้นที่เหมาะสม ลดผลกระทบ 8-10 สิงหาคม 66 ในพื้นที่ สุราษฎร์ธานี, สมุย และนครศรีธรรมราช

วันนี้เอาข่าวการวางแผนก่อสร้าง สะพานเชื่อมเกาะสมุยกับชายฝั่งสุราษฎร์ธานี ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเจ้าภาพงานนี้คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย

ซึ่งครั้งนี้เป็นการประชุมปฐมนิเทศโครงการในครั้งแรก เพื่อจะทำความเข้าใจกับโครงการ และหาเส้นทางที่เหมาะสมกับการก่อสร้างสะพาน

โดยเปิดให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

ซึ่งจะมีการรับฟังความคิดเห็นในครั้งแรก ในช่วงวันที่ 8-10 สิงหาคม 2566 รายละเอียดตามนี้
- วันที่ 8 สิงหาคม 66 เวลา 8:30-12:30 น. ที่ โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน จังหวัดนครศรีธรรมราช
- วันที่ 9 สิงหาคม 66 เวลา 8:30-12:30 น. ที่ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี
- วันที่ 10 สิงหาคม 66 เวลา 8:30-12:30 น. ที่ ห้องประชุมเพชรสมุย เทศบาลนครเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมได้ตามลิ้งค์นี้
https://docs.google.com/.../1FAIpQLSeihOrVZ26RMk.../viewform

ซึ่งเบื้องต้นในโครงการได้เลือกจุดเริ่มต้น (ฝั่งสุราษฎร์ธานี) และจุดสิ้นสุด (ฝั่งเกาะสมุย) ไว้อย่างละ 3 จุด ได้แก่

- จุดเริ่มต้นโครงการ (ฝั่งสุราษฎร์ธานี)
1. หาดนางกา
2. อ่าวประทับ
3. หาดแขวงเภา

- จุดสิ้นสุดโครงการ (ฝั่งเกาะสมุย)
1. อ่าวพังกา
2. ท่าเรือเกาะแตน
3. ท้ายอ่าวหินลาด

ซึ่งแต่ละทางเลือกก็จะมีเส้นทางที่แตกต่างกัน เพื่อหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ และด้านสิ่งแวดล้อม

จุดที่สำคัญที่สุด คือการเข้าร่วมแสดงความคิดเห็น ในรายละเอียดโครงการ ซึ่งสามารถติดตามได้จาก
- Line Openchat
https://line.me/.../Tn4RyFFsK6xyAY7vOw38-XPDgXDzEYy...
- Facebook เพจ โครงการทางพิเศษเชื่อมเกาะสมุย
- เว็บไซต์โครงการ
https://samuibridge.com/

‘สถานทูต’ พร้อมดูแล หลัง ‘คนไทย’ ดับในงาน Tomorrowland  เผย สาเหตุการเสียชีวิตยังไม่แน่ชัด อยู่ระหว่างการสืบสวน

เมื่อไม่นานมานี้ เทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ได้มีคนเสียชีวิตเพิ่มอีกแล้ว สำหรับเทศกาล Tomorrowland ที่จัดขึ้นที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยียม โดยรายล่าสุดยืนยันว่าเป็นชายไทยอายุประมาณ 30 ปี

ตามรายงานจากผู้จัดคอนเสิร์ต เด็บบี เวล์มเซน รายงานถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ชายไทยอายุราว 30 ปี ได้หมดสติโดยมีเจ้าหน้าที่ช่วยกันปั๊มหัวใจในโซนวีไอพี ก่อนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และได้รับการยืนยันในเวลาต่อมาว่าเสียชีวิตขณะกำลังกู้ชีพที่โรงพยาบาล

อย่างไรก็ตามสาเหตุของการเสียชีวิตยังไม่ได้รับการเปิดเผย และยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตอยู่ในขณะนี้

ทางด้าน เวล์มเซน ได้ยืนยันว่าทางผู้จัดการได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาร่วมงาน อย่างไรก็ตามทางทีมงานไม่สามารถควบคุมเรื่องของสภาพอากาศและการกระทำส่วนบุคคลได้

ก่อนหน้านี้ได้มีการเปิดเผยว่าทีมงานวัย 26 ปี ได้เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาดซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนเหตุการณ์ของชายไทย นอกจากนั้นเมื่อปี 2019 ชายชาวอินเดียวัย 27 ปี ก็เสียชีวิตในเทศกาลดนตรีนี้เช่นกันซึ่งสาเหตุครั้งนั้รเกิดจากการเสพยาเกินขนาด

โดยทีมผู้จัดงานได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวผู้สูญเสีย โดยยืนยันว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผู้จัดงานไม่อยากให้เกิดขึ้น

ทางสถานทูตไทยในกรุงบรัสเซลล์ ได้เข้าดูแลเรื่องของการขันสูตรศพพร้อมประสานงานไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต เยื้องต้นทางสถานทูตยืนยันว่า ชายไมยรายนี้ได้เดินทางมาพร้อมกับกรุ๊ปทัวร์ โดยไกด์ทัวร์จะเข้าพบกับทางสถานทูตในวันที่ 31 ก.ค. เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม

ผบ.ตร.สั่งเข้ม ให้ ผบช.ภ.9 ย้าย 4 เสือ สภ.มูโน๊ะ ประจำ ศปก. พร้อมตั้งกรรมการตรวจสอบส่วยพลุระเบิด

เมื่อวันที่ (1 ส.ค. 66 ) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า “ จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้ โกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟ ในพื้นที่ สภ. มูโน๊ะ  จนมีผูัได้เสียชีวิตหลายราย เกิดความเสียหายจำนวนมาก

หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้สั่งการให้  พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9  ดำเนินการทุกมิติทั้งการช่วยเหลือเยียวยา เร่งรัดการสอบสวนดำเนินคดี ขยายผลดำเนินการผู้เกี่ยวข้อง โดยนำนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ รวมทั้งการขยายผลไปตรวจค้นโกดังพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอึก

ความคืบหน้าทางคดีขณะนี้มีการออกหมายจับเจ้าของโกดัง 2 สามีภรรยา ซึ่งขณะนี้หลบหนีอยู่ประเทศมาเลเซีย โดย ผบ.ตร.กำชับให้ประสานไปยังตำรวจมาเลเซียในการช่วยติดตามจับกุม แม้จะหลบหนีไปที่ไหน ก็ต้องนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้

ส่วนประเด็นข้อสงสัยของสังคม ว่าโกดังเก็บพลุและดอกไม้ไฟ มาตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชนได้อย่างไร มีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ ได้ย้ำให้ ผบช.ภ.9 เร่งทำความจริงให้ปรากฎ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่รัฐ เรียกรับผลประโยชน์ รู้เห็นเป็นใจ ปล่อยปละละเลย ให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง ให้ดำเนินการเด็ดขาดทั้งอาญา วินัย และปกครอง ซึ่ง ผบช.ภ.9 ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้แล้ว โดยมี พล.ต.ต.ปราบพาล มีมงคล รอง ผบช.ภ.9 เป็นหัวหน้าฯ โดยจะเร่งดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จ แล้วรายงานผลให้ ตร.ทราบโดยเร็วทันที

ในเบื้องต้นเพื่อให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เป็นธรรม ให้สังคมเกิดความเชื่อมั่น พล.ต.ต.อนุรุธ อิ่มอาบ ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้มีคำสั่งย้ายข้าราชการตำรวจ สภ.มูโน๊ะ จำนวน 4 รายประกอบด้วย ผกก., รอง ผกก.ป , สว.ป.และ สว.สส. ส่วนอีก 1  ตำแหน่ง รอง ผกก.สส.ได้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นตำแหน่งว่าง โดยให้มาช่วยราชการที่ ศปก.ภ.จว.นราธิวาส

โฆษก ตร. กล่าวอีกว่า “ ผบ.ตร.ได้กำชับให้ทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมาทุกมิติ ทุกประเด็นข้อสงสัย ต้องทำความจริงให้ปรากฎ หากพบว่าใครเกี่ยวข้องในการกระทำผิด ให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดทุกราย หากพี่น้องประชาชนมีข้อมูลเบาะแสเพิ่มเติม สามารถแจ้งมายัง ตร.ได้ที่หมายเลข 1599 ยืนยันว่า ทุกข้อมูลจะดำเนินการตรวจสอบอย่างจริงจัง”

เปิดเบื้องลึก ต้นกำเนิด 'โรงพยาบาลศิริราช' มุ่งมั่นเพื่อทุกชีวิต โดยพระมหากษัตริย์ไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @aun_mareeyah ได้แชร์คลิปวิดีโอ ‘ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา’ อธิการบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ที่ได้ออกมาเล่าต้นกำเนิดของ ‘โรงพยาบาลศิริราช’ ที่หลายคนอาจไม่ทราบมาก่อน โดยระบุว่า…

“วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2430 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ท่านสูญเสียพระราชโอรสองค์ที่ 5 คือ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์’ ในขณะนั้นมีพระชนมายุ 1 ปี 7 เดือน ทรงประชวรด้วย ‘โรคบิด’ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มียาปฏิชีวนะ ท่านเป็นพระราชโอรสที่ท่านทั้งสองพระองค์รักมาก คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจว่าการสูญเสียสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ คือต้นกําเนิดของโรงพยาบาลศิริราช แต่จริงๆ ถูกเพียงแค่ส่วนเดียว เพราะอีก 3 เดือนต่อมา ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2430 ปีเดียวกัน ทั้งสองพระองค์ก็สูญเสียพระราชธิดาองค์โต คือ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัตมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์’ ซึ่งมีพระชนมายุ 8 พรรษา”

“ครั้งที่สูญเสียหนึ่งพระราชโอรส และหนึ่งพระราชธิดา ตอนนั้นกําลังจะมีการจัดสร้างพระเมรุ 5 ยอด ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ของทั้งสองพระองค์ ในขณะนั้นเอง ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เผยว่า แม้แต่ลูกเรา ลูกเจ้าฟ้า เจ้าพระยา ยังรักษาไม่อยู่ แล้วลูกชาวบ้านจะเป็นอย่างไร… ดังนั้น เมื่อเสร็จงานพระราชพิธีแล้ว ท่านจึงทรงรับสั่งให้ถอดอุปกรณ์ที่ใช้สร้างพระเมรุ 5 ยอด ออกมาสร้างเป็นโรงผู้ป่วยให้กับ ‘โรงศิริราชพยาบาล’ ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า ‘โรงศิริราชพยาบาล’

แต่ทั้งหมดยังไม่จบเพียงเท่านั้น อีก 3 เดือนต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นปีเดียวกัน ทั้งสองพระองค์ก็ทรงสูญเสียพระราชโอรส คือ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพ็ชรุตม์ธำรง’ ไปอีกพระองค์หนึ่ง…

อันนี้จะพูดง่ายๆ เวลาเราสื่อสารให้กับประชาคมศิริราชที่เข้ามาใหม่ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านคือ พ่อแม่คู่หนึ่งสูญเสียลูกไปถึง 3 คน ภายใน 6 เดือน แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ท่านกลับใส่พระทัยในคนที่เดือดร้อนมากกว่า นั่นคือ ‘ราษฎร’ คือชาวบ้านที่เดือดร้อนมากกว่า…

เพราะฉะนั้น เราพูดกันตลอดเวลาว่า ‘ต้นกําเนิดโรงพยาบาลศิริราช’ เป็นต้นกําเนิดมาจาก ‘การใส่ใจดูแลผู้ที่เขาเดือดร้อน’ มากกว่าเรา”

“หลังจากนั้นก็สืบทอดต่อมา ผู้ที่จะสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านอย่างมากเลย คือ ‘สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก’ หรือ ‘สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล’ ท่านเป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 ซึ่งสมัยนั้น ประเทศไทยอยู่ท่ามกลางยุคล่าอาณานิคม ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เวลานั้น ท่านส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจให้เกิดความสมดุลกัน ทางด้านสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลก็ทรงเสด็จเข้าไปศึกษาทางด้านการทหารเรือ”

“แต่วันหนึ่งท่านเสด็จกลับเข้ามาในกรุงเทพฯ ก็มีเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง คือ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร’ ท่านออกกุศโลบาย ชวนสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลท่องเที่ยวทางเรือ แล้วมายังที่ของโรงศิริราชพยาบาล ก็ทรงชวนขึ้นมาดูเพื่อเจตนาให้เห็นโรงผู้ป่วยในเวลานั้น ซึ่งไม่ถูกสุขลักษณะ สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลท่านพินิจเห็นก็มีความรู้สึกว่า ถ้าดูแลแบบนี้ชาวสยามเวลานั้นจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร? 

นั่นจึงเป็นจุดผกผันที่สําคัญ ท่านก็ตัดสินพระทัย ขอพระบรมราชานุญาตจากล้นเกล้า รัชกาลที่ 6 (ณ ขณะนั้นเข้าสู่ช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 6) ท่านก็ทรงมีพระราชานุญาตให้สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล เสด็จไปศึกษาการสาธารณสุขกับการแพทย์ ท่านเสด็จไปถึงสถานีที่เมืองบอสตันรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้น ท่านได้สําเร็จการศึกษาและกลับมาประเทศไทย ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2471”

“ในเวลานั้น โดยฐานันดรแล้ว สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลเวลานั้นจะเป็นองค์รัชทายาทโดยอนุโลม หรือผู้ที่จะขึ้นเป็น ‘พระเจ้าแผ่นดิน’ องค์ถัดไป เพราะฉะนั้น โอกาสที่ท่านจะได้ดูแลสามัญชนทั่วๆ ไปก็คงยาก แต่ท่านมีพระราชประสงค์อยู่แล้ว คืออยากจะกลับมาเป็นหมอ ดังนั้น ท่านจึงตัดสินพระทัยเสด็จขึ้นไปที่เชียงใหม่ โดยท่านเสด็จไปถึงเชียงใหม่วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2472

หากถามว่าแล้วท่านเสด็จขึ้นไปทำไม? เพราะพอต้องขึ้นไปที่เชียงใหม่ ถ้าท่านไปรักษาที่โรงพยาบาล หลวง โรงพยาบาลของราชการ ก็คงไม่สามารถดูแลคนไข้ได้ ท่านเสด็จไปส่งงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เป็นโรงพยาบาลของคณะมิชชันนารี เพราะฉะนั้น ท่านจึงสามารถดูแลชาวบ้านสามัญชนที่นั่นได้”

“ดังนั้น ผมจึงชอบอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบว่า “ตะวันตกมี ‘Lady of the lamp’” คือ ‘ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล’ ที่ทุกคืนก่อนนอนจะจุดเทียน แล้วก็ไปถามคนไข้แต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง ประเทศไทยของเราก็มีเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่งทรงทำแบบเดียวกัน ที่ทุกคืนก่อนจะทรงบรรทม ท่านจะเสด็จไปเยี่ยม คนไข้ในโรงพยาบาลแมคคอร์มิค พอเสร็จหมดเรียบร้อย ท่านค่อยเข้าบรรทม จนเชียงใหม่ขนานนาม พระองค์ท่านว่า ‘หมอเจ้าฟ้า’”

“ต่อมา เผอิญว่าในช่วงนั้นมีเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง สิ้นพระชนม์ในกรุงเทพฯ ท่านก็เสด็จกลับลงมา แต่ปรากฏว่าหลังจากกลับลงมาแล้ว ไม่ได้เสด็จกลับขึ้นไปที่เชียงใหม่อีกเลย จากนั้นการประชวรของพระองค์ท่านก็ทรงเป็นมากขึ้น ซึ่งในอีก 7 เดือนต่อมา เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 ท่านก็เสด็จสวรรคต นี่คือเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของราชวงศ์จักรี ที่สืบสานพระราชปณิธานมาจากรัชกาลที่ 5 ทําประโยชน์ให้กับผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วย”

“ตลอดระยะเวลา 10 ปี ‘สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล’ ทรงมีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบัน และการสาธารณสุขของประเทศไทย ทรงบําเพ็ญพระราชกรณียกิจไว้มากมาย อุทิศทั้งพระราชทรัพย์และพระวรกาย อีกทั้งพระราชทานทุนเพื่อการศึกษาและค้นคว้า เพื่อการก่อสร้างตึกต่างๆ และขยายพื้นที่โรงพยาบาลศิริราช พระองค์ทรงมีพระราชหฤทัยห่วงศิริราช ยามใดที่มีผู้ใกล้ชิดเข้าเฝ้า จะรับสั่งถึงงานโรงพยาบาลศิริราชเสมอ ซึ่งพระราชปณิธานนั้น ก็ได้สืบทอดต่อมาจนถึงรัชสมัยของในหลวงรัชกาลที่ 9”

'น้องเทนนิส' คว้าแชมป์ปัญญาชนโลก 3 สมัยรวด เตะถอนแค้น 'คู่ปรับเก่า-แชมป์โลกคนล่าสุด' 2-0 ยก

(1 ส.ค.66) การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยโลก ครั้งที่ 31 'เฉิงตูเกมส์ 2021' ที่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน เมื่อวันที่ 1 ส.ค.66 โดยกีฬาเทควันโด ประเภทต่อสู้ มีจอมเตะไทย ลงชิงชัย 3 คน ไฮไลต์อยู่ที่รุ่น 49 กก.หญิง 'น้องเทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เจ้าของเหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์ 2020 และเจ้าของเหรียญกีฬาปัญญาชนโลก 2 สมัยรวด โดยเคยทำได้ที่ไต้หวันและอิตาลี รอบ 16 คน พาณิภัค เอาชนะ ครี ลีเดน จากกัมพูชา 2-0 ยก เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ชนะ อูชราล บัต-เออร์เดเน จากมองโกเลีย 2-0 ยก จากนั้นรอบรองชนะเลิศ เอาชนะ หลัว เหมียวอี้ จากจีน 2-0 ยก

ในรอบชิงชนะเลิศ 'น้องเทนนิส' เจอกับ แมร์เว ดินเซน แชมป์โลกคนล่าสุด ที่เอาชนะ ศุภรดา คัลคิสต์ ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน 2-0 ยก คู่นี้เพิ่งเจอกันมาในศึกชิงแชมป์โลก 2023 ที่อาเซอร์ไบจาน ซึ่ง แมร์เว ดินเซล เป็นฝ่ายชนะมา

ส่วนครั้งนี้ 'น้องเทนนิส' โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมถอนแค้นเอาชนะไป 2-0 ยก (5-3, 5-1) ผงาดคว้าเหรียญทอง 3 สมัยติดต่อกันรวดมาอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ทำได้อีกด้วย

'ผู้ว่าฯ ชัชชาติ-จนท.' เคลียร์พื้นที่ชุมชนทิ้งเศษซากขยะ หลังภาพรถไฟญี่ปุ่นวิ่งกลางขยะ จนเป็นไวรัลสนั่นโซเชียล

(1 ส.ค.66) หลังจากที่โลกโซเชียลมีการแชร์คลิป รถไฟขบวน KIHA 183 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นได้บริจาคให้การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมมีการระบุข้อความไว้ว่า "นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นมาดูรถไฟ KIHA 183 ที่บริจาคให้ไทย พอมาเห็นนางก็เป็นช็อก แล้วยิงคำถามว่า จะให้รถไฟเขาวิ่งในสภาพเศษแก้ว เศษขยะแบบนี้อีกนานมั้ย? ขอร้องให้หน่วยงานไทยจัดการให้หน่อย ฟีลสงสารรถไฟตัวเอง แต่ดูสภาพเป็นใครก็ต้องสงสาร แถมเสียดาย"

ล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ลงพื้นที่ทันทีบริเวณชุมชนแดงบุหงา ชุมชนบุญร่มไทรและชุมชนโค้งรถไฟยมราช เขตราชเทวี แขวงทุ่งพญาไท กทม. บริเวณสถานีพญาไท โดยพบว่าจุดนี้ชาวบ้านเพิ่งมีการรื้อถอนบ้านเรือนออกไปโดยได้ทิ้งเศษซากขยะไว้ หลังจากที่ภาพกลายเป็นกระแสข่าว เจ้าหน้าที่กทม.จึงเข้ามาเร่งเก็บทำความสะอาดขยะบางส่วนออกไป

‘กองทัพเรือ’ ชี้แจง เหตุ ‘เรือหลวงนเรศวร’ เสียหายระหว่างฝึกซ้อม เผย!! กำลังพลปลอดภัย พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง

(1 ส.ค.66) พล.ร.อ.ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณี เรือหลวงนเรศวร ได้รับความเสียหาย ขณะเทียบท่าเรือ ภายในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ว่า เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ก.ค.66 ขณะที่เรือหลวงนเรศวร กำลังทำการฝึกซ้อมแผนความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (ISPS CODE) ภายในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด 2566 ภายใต้รหัสการฝึก "Naval  Security Port and Ship Map Taphut Excercise  2023" (NASMEX 2023) ซึ่งจัดที่มีการฝึกในระหว่างวันที่ 25-27 กรกฎาคม 2566 ในพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อำเภอเมือง จังหวัดระยอง  

โดยการฝึกดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในการบูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐ หน่วยงานของรัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่น เรือและท่าเรือ ในการร่วมตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามที่มาจากทางทะเล ทดสอบความพร้อมของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มีความพร้อมรับสถานการณ์ ตามแนวทางปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (International Ship and Port Facility Security Code : ISPS Code)  

“ในขณะที่เรือหลวงนเรศวร กำลังนำเรือออกจากท่าเทียบเรือ ตัวเรือกราบซ้ายได้ไปกระแทกกับมุมท่าเทียบเรือ ทำให้แท่นยิงตอร์ปิโดและแพชูชีพ ได้รับความเสียหาย ในขณะที่ตัวเรือได้รับความเสียหายเล็กน้อยโดยเป็นรอยถลอก ส่วนกำลังพล ปลอดภัยไม่มีนายได้รับบาดเจ็บ ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ศูนย์ปฏิบัติการทัพเรือภาคที่ 1 ได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อรายงานผลการสอบสวนให้กองทัพเรือได้รับทราบ พร้อมทั้ง ประสานไปยังหน่วยด้านเทคนิคที่รับผิดชอบอุปกรณ์ที่เสียหายในเบื้องต้น เพื่อประเมินความเสียหาย” พล.ร.อ.ปกครอง กล่าว  

โฆษกกองทัพเรือ​ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพเรือได้รับรายงานในเบื้องต้น​แล้ว  พร้อมทั้งได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนต่อกรณีดังกล่าว​ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอุบัติเหตุหรือไม่​อย่างไร​ ทั้งนี้​ ต้องรอผลการสอบสวนจากคณะสอบสวนต่อไป​ สำหรับความเสียหายของอุปกรณ์​ นั้น​ หน่วยเทคนิคที่เกี่ยวข้องได้เข้าทำการซ่อมทำแล้ว

เผยความจริง ‘ในหลวงรัชกาลที่ 10’ ทรง 'สืบสาน-รักษา-ต่อยอด' ตามรอยพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อปวงชนชาวไทย

(1 ส.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี @user4667894730230 ได้แชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงปิดทองหลังพระและทรงทำงานอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด เพื่อให้เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะทุรกันดารแค่ไหน ตามพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา ต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ โดยในคลิปได้ระบุว่า…

ส่วนใหญ่คนที่อ้างว่า ‘ในหลวงรัชกาลที่ 10’ ไม่เห็นทําอะไรเลย เราต้องดูว่าท่านขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลปัจจุบันมาแล้วกี่ปี หากจะไปเปรียบเทียบกับรัชกาลที่แล้วของพ่อท่าน ก็คงไม่ได้ เพราะสิ่งที่ท่านทํา ท่านได้เคยพูดเอาไว้แล้วตั้งแต่วันนั้น คือ ‘การสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ ซึ่งขณะนี้ท่านก็ได้ทรงต่อยอดอยู่ ไม่ว่าจะเป็น โครงการเกษตรวิชญา, โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ แก้ปัญหาภัยแล้ง, โครงการก่อสร้างระบบประปาบ้านผัง 16, โครงการฝายห้วยโสกรังพร้อมระบบส่งน้ำ ซึ่งโครงการเหล่านี้ที่เราได้นำเสนอมา คือโครงการในรัชกาลปัจจุบันที่พระองค์ท่านทรงทําและริเริ่มขึ้นมาในสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนจริงๆ แล้วพวกเราเดือดร้อนเรื่องอะไร? ดูได้จากเรื่องน้ำ ตรงไหนที่แห้งแล้ง น้ำก็ไปถึงประชาชน จนสามารถอยู่ดีกินดี และมีน้ำใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเลี้ยงสัตว์ หรือทําการเกษตร มีฝาย มีโคกหนองนา เคยรู้หรือเปล่าว่าสิ่งเหล่านี้คือของในหลวงรัชกาลที่ 10 หากศึกษาให้ดี ยังสามารถลองเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้อีกด้วย อย่างน้ำบาดาล ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่ไหนแห้งแล้งน้ำก็ไปถึง จนสามารถทําการเกษตรได้แบบที่เปลี่ยนไปเลย จากที่ทําแล้วเก็บเป็นรายปีไป ตอนนี้สามารถทําได้ทุกวันแล้ว

“ทุกวันนี้สบายกันเร็ว ตั้งแต่มีโครงการพระราชดําริเข้ามา ทำให้เราเลือกกินเลือกใช้ได้ จนสามารถใช้คําว่าสบายได้เลย” ชาวบ้านท่านหนึ่ง ได้กล่าว

นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดทางด้านอาชีพได้อีกด้วย จากสิ่งที่เห็นในรัชกาลปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำบาดาล ทําฝาย โคกหนองนา หรืออื่นๆ สำหรับคนที่มองว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่ทําอะไร อยากให้ไปดูและท่านจะได้เบิกเนตรว่าของจริงเป็นแบบนี้ ถ้าไม่รู้จริงๆ ไม่ควรพูด และไม่เปรียบเทียบดีกว่า เพราะสิ่งที่ได้เห็นจากการไปลงพื้นที่ และคิดว่าหลายๆคนอาจยังไม่ทราบ อย่างโครงการน้ำบาดาล ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จเปิดพิธีเอง แต่หากพูดถึงเรื่องน้ำอยากจะบอกว่ามันชัดเจนมากสำหรับบ้านเราในหลายๆที่ที่ขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จไปถึง แล้วไปดูว่าประชาชนได้เขียนจดหมายถึงในหลวงว่าพวกเขาเดือดร้อนอะไรกันบ้าง แล้วท่านก็รับทราบปัญหานี้ ซึ่งก็อยู่ในพระเนตรพระกรรณมาตลอด จากนั้นท่านก็ทรงแก้ปัญหาให้ 

หลังจากนั้นได้มีชาวบ้านต่างเล่าว่าพระองค์จะคอยส่งคนถวายฎีกามาเฝ้าติดตามและมาสอบถามเสมอ “ที่นี่ดีขึ้น เพราะว่าโครงการทำให้ ไม่ว่าอะไรท่านก็ทำให้หมด”

มันมีคนดื้อด้านที่ไม่ยอมรับ ประมาณว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทํามาเยอะแล้ว 4 พัน 5 พันโครงการ ใช่…คุณรู้แค่นั้น แต่รัชกาลปัจจุบันท่านทํา คุณไม่รู้ไง…เพราะท่านทรงทําผ่านโครงการต่างๆ

“มีพื้นที่ทําในหมู่บ้านแล้วไม่ต้องไปที่ไหน เราสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ในหมู่บ้านได้เลย ที่สําคัญเกษตรกรจะมีรายได้ตลอดหมุนเวียน” ทั้งนี้ ได้มีชาวบ้านท่านหนึ่ง เอ่ยพร้อมน้ำตาที่ซึมว่าตนนั้นรักพระมหากษัตริย์มากแค่ไหน 

“เพราะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด และทรงทํางานอย่างเงียบๆ แต่เข้าถึงความต้องการของคนไทย ไม่ว่าจะถิ่นทุรกันดารแค่ไหน ในหลวงก็ไปถึง”

นักแสดงหนุ่มรุ่นใหญ่!! 'บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์' ชวนดารานักแสดงช่อง 7 และพุทธศาสนิกชน เข้าวัดทำบุญขอพร 'พระครูแจ้' ในวันอาสาฬหบูชา

ที่วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ นายบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ดารานักแสดงชื่อดังและนักสังคมสงเคราะห์ พร้อมด้วย นายชนะพล สัตยา ดารานักแสดง ช่อง 7 สี และเหล่าเพื่อนดารานักแสดงร่วมในพิธีทำบุญตักบาตร ถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ประจำปี 2566 ณ วัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยได้รับความเมตตา จากท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ประธานสงฆ์ พร้อมนำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง รับบิณฑบาตข้าวสาร อาหารแห้ง จากพุทธศาสนิกชน จากนั้น ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้แสดงพระธรรมเทศนาเนื่องในวันอาสาฬหบูชา ต่อมานำคณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง ประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถา 

โดยมี นายฉะโอด รุ่งเรือง อดีตนายก อบต.บางพลีใหญ่ และไวยาวัจกร นายโสภณ มหาบุญ รองนายก อบต.บางพลีใหญ่ นายภูมินันท์ ขวัญเมือง อดีตรอง ผอ.สพป.เขต 2 สมุทรปราการ พ.ต.อ.กรวัฒน์ หันประดิษฐ์ อดีตรอง ผบก.ชลบุรี ดร.วีร์สุดา รุ่งเรือง นายก อบต.บางพลีใหญ่ ข้าราชการตำรวจ สภ.บางพลี และข้าราชการพลเรือน ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดสมุทรปราการ ร่วมในพิธี

และสำหรับในช่วงบ่าย เวลาประมาณ 14.00 น. คณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง ร่วมประกอบพิธีเจริญชัยมงคลคาถาสวดปาติโมกข์ เนื่องในวันอาสาฬหบูชา จากนั้น ในช่วงเวลา 17.00 น. คณะสงฆ์วัดบางพลีใหญ่กลาง พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนและเหล่าดารานักแสดง ร่วมประกอบพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ เนื่องในวันอาสาฬหบูชา อีกทั้ง เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวอีกด้วย

'พล.ต.อ.รอยฯ /ผอ.ศจร.ตร.' กำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศเตรียมพร้อมดูแลประชาชน ที่เริ่มทยอยเดินทางกลับ อำนวยความสะดวกจราจร ขอ ปปช.ให้ความร่วมมือ ขับขี่ด้วยความไม่ประมาท และให้ใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษเนื่องจากในห้วงนี้ มีฝนตกหนักและถนนเปียกลื่น

วันนี้ (1 ส.ค.66) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการกำชับให้ดูแลอำนวยความสะดวกด้านการจราจรแก่พี่น้องประชาชนที่ใช้เส้นทางการจราจรในการเดินทางกลับหลังจากวันหยุดต่อเนื่อง โดยวันนี้เป็นวันหยุดวันที่ 5 แล้ว ทั้งประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนา และที่เดินทางออกไปท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด ต่างเริ่มทยอยเดินทางกลับที่พัก ทำให้การจราจรมีปริมาณรถหนาแน่น สภาพการจราจรโดยรวมบนถนนสายหลักในหลายพื้นที่ติดขัดเป็นบางช่วง จึงกำชับตำรวจจราจรทั่วประเทศ พร้อมอำนวยความสะดวกจราจร ป้องกัน เเละลดอุบัติเหตุทางถนนของประชาชนในพื้นที่ ขอให้ประชาชนตรวจสอบความพร้อมของร่างกาย สภาพรถและตรวจสอบเส้นทางก่อนออกเดินทางเพื่อความปลอดภัย ประกอบกับมีประกาศเตือนของ กรมอุตุนิยมวิทยา เรื่อง ฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งวันที่ 1 – 2 ส.ค.2566 นี้มีฝนตกหนักเกือบทั้งประเทศ ซึ่งอาจจะทำเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ เนื่องจากทัศนวิสัยในการขับขี่จะลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่มีฝนตกหนัก ถนนมีสภาพเปียกลื่น ขอให้พี่น้องประชาชนใช้ความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษด้วย หากต้องขับขี่ยานพาหนะขณะที่เกิดฝนตกหนักดังกล่าวตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งเตือน  ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเน้นในการจับกุมเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุใน 10 ข้อหาหลัก ได้แก่ 
1. ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด
2. ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร
3. ขับรถย้อนศร
4. ไม่พกพาใบขับขี่
5. ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
6. แซงในที่คับขัน
7. ขับขี่รถขณะเมาสุรา
8. ไม่สวมหมวกกันน็อก
9. ใช้รถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่ปลอดภัย
10. ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ

ด้าน พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศจร.ตร. กล่าวว่า ตามที่ ผบ.ตร. ได้ออกข้อบังคับหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร เพื่อกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงใช้ในการเปิดช่องทางพิเศษ เร่งระบายรถให้กับพี่น้องประชาชนในการเดินทางในห้วงวันหยุดยาว (28 ก.ค. – 2 ส.ค.66) นั้น เบื้องต้นกองบังคับการตำรวจทางหลวง มีความพร้อมในการปฏิบัติตามข้อบังคับดังกล่าว และหากในถนนมิตรภาพ ถนนพหลโยธิน และถนนสายเอเชีย มีปริมาณรถมากในช่วงใด เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ก็จะดำเนินการเปิดช่องทางพิเศษ เพื่อเร่งระบายรถให้พี่น้องประชาชนได้รับความสะดวกมากขึ้นในการเดินทาง 

นอกจากนี้ข้อมูลสถิติจากศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน (https://www.thairsc.com/) พบว่าในห้วงวันหยุดที่ผ่านมานั้นตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ก.ค.66 มียอดผู้เสียชีวิตสะสมแล้วถึง 153 ราย และเมื่อวาน (31 ก.ค.66) วันเดียว มียอดผู้เสียชีวิตถึง 45 ราย บาดเจ็บ 2,173 ราย สาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุก็คือ ขับรถเร็ว หลับใน ขับรถตัดหน้า/เปลี่ยนช่องทางเดินรถ(เลน)ในระยะกระชั้นชิด และเมาแล้วขับ ในส่วนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในความผิดฐานเมาแล้วขับ ตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ก.ค.66 มียอดจับกุมสะสม 958 ราย ขอแจ้งเตือนประชาชนว่าหากท่านขับขี่รถในขณะเมาสุราและเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุแล้วมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตนั้น จะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี ปรับ 200,000 บาท และจะต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถในทันทีอีกด้วย  

ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลือ ประชาชนสามารถสอบถาม แจ้งขอความช่วยเหลือ และแจ้งเหตุขัดข้องด้านการจราจร ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่
โทร. 191 จราจรทุก สน./สภ.
โทร. 1197 สายด่วนตำรวจจราจรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
โทร. 1193 ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศ

ในห้วงหยุดยาวนี้ ขอให้ประชาชนทุกท่านขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เคารพกฎจราจร มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมทาง เดินทางท่องเที่ยว และกลับภูมิลำเนาโดยสวัสดิภาพ ด้วยความห่วงใยจาก ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สภาพ 'คลองผดุงฯ' วันนี้ กลับมาเน่าเหมือนเดิม หวัง!! ผู้ว่าฯ แก้ปัญหาคลองด้วยระบบหมุนเวียนน้ำ

เมื่อวานนี้ (31 ก.ค.66) เพจเฟซบุ๊ก 'โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure' ได้โพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า...

คลองผดุงกรุงเกษม กลับมาเน่าเหมือนเดิม...จากคลองสวย แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ กลางกรุงเทพฯ ฝากผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แก้ปัญหาคลองเน่า ด้วยการหมุนเวียนน้ำ (Flushing) วันนี้ขอมาพูดถึงเรื่องการแก้ปัญหาน้ำเน่าเสีย ในคลองของกรุงเทพหน่อยครับ

ล่าสุดมีลูกเพจส่งภาพ คลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งน้ำในคลองมีสีดำ สภาพเน่าเสีย!! กลับไปสู่สภาพก่อนมีการปรับปรุงอีกครั้ง!! ซึ่งผมไปมาเองกับตัว ชัดเจนว่าน้ำนิ่งไม่มีการไหลเวียน กลิ่นน้ำเน่า ค่อนข้างแรง พร้อมกับ ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นก็คอนเฟิร์มว่า บางวันน้ำเป็นสีดำสนิท

ผมเลยอยากฝากถึงการวางแผนการหมุนเวียนน้ำในคลอง (Flushing) ตามระบบเดิมที่เคยออกแบบไว้ เพื่อให้น้ำในคลองมีความสะอาด และไม่เน่าเสีย

รายละเอียดการปรับปรุงคุณภาพน้ำในคลองผดุงกรุงเกษม
https://www.thethaipress.com/2020/12240

ระบบการหมุนเวียนน้ำ (Flushing) ในคลองผดุงกรุงเกษม สำคัญอย่างไร???

***ความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม
น้ำเสีย สามารถบริหารจัดการ และลดค่าความเน่าของน้ำ (BOD) ด้วยจากการเจือจาง คู่ขนานกับการหมุนเวียนน้ำเพื่อเพิ่ม ออกซิเจน ลงสู่น้ำเพื่อให้ แบคทีเรียใช้อากาศ (แบคทีเรียดี) มีออกซิเจนเพียงพอในการย่อยสลายความเน่าเสียที่รั่วไหลลงสู่คลอง

ตัวอย่างแผนการแก้ปัญหาน้ำเสียในคลองช่องนนทรี ซึ่งมีการหมุนเวียนน้ำเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสีย https://fb.watch/a4Skoj_2xI/ ในคลองผดุงกรุงเกษม เป็นโครงข่ายคลองกรุงเทพชั้นใน ซึ่งเชื่อมต่อกับคลองแสนแสบ บริเวณโบ๊เบ๊ โดยคลองเป็นระบบเปิด มีประตูน้ำ และปั๊มสูบน้ำ ขนาดใหญ่ทั้ง ประตูน้ำเทเวศร์ และ ประตูน้ำกรุงเกษม นอกจากนั้นฝั่งประตูน้ำกรุงเกษมยังมีโรงบำบัดน้ำเสียสี่พระยา ที่สามารถบำบัดน้ำลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้กว่า 30,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน

การทำงานของโรงบำบัดน้ำเสียสี่พระยา https://youtu.be/vOvVO1EHZmA ซึ่งคลองผดุงกรุงเกษมได้มีการปรับปรุง โดยการขุดลองตะกอนน้ำเสีย และปรับปรุงสภาพแวดล้อมริมคลองไปแล้ว

จากนั้นก็มีการบริหารจัดการป้องกันน้ำเน่าเสีย โดยการหมุนเวียนน้ำ ให้เกิดการไหลของน้ำ โดยมีการผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา เข้ามาจากทางฝั่งเทเวศร์ และฝั่งกรุงเกษม ตามจังหวะน้ำขึ้น-น้ำลง และจะมีการสูบน้ำจากฝั่งประตูน้ำฝั่งตรงข้าม ซึ่งถ้ามีการวางระบบการหมุนเวียนน้ำได้อย่างสมบูรณ์ สามารถเปลี่ยนทางไหลของน้ำเสีย หลังจากการบำบัดจากโรงบำบัดน้ำเสียสี่พระยา มาช่วยสร้างการหมุนเวียนได้อีกด้วยเช่นกัน

ซึ่งจากแผนเดิม จะมีการทำท่อรองรับน้ำเสีย ในคลองผดุงกรุงเกษม และคลองแสนแสบ เพื่อจะลดการรั่วไหลของน้ำเสียลงสู่คลอง

ก็หวังว่าจะได้เดินงานหน้าโครงการระบบรวบรวมน้ำเสียส่วนเกิน เพื่อจะแก้ปัญหาน้ำเสียในคลองได้อย่างยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top