Friday, 6 June 2025
Hard News Team

ชายแดนตึงเครียด!..ทหารกัมพูชาลาดตระเวนเข้ม พบวางทุ่นระเบิดเพิ่ม เตือนประชาชนหลีกเลี่ยงเข้าป่า

(4 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊กข่าวทหาร รายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาให้เพิ่มความระมัดระวังขั้นสูงสุด หลังพบรายงานว่าทหารกัมพูชาได้เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวน และมีการวางทุ่นระเบิดเพิ่มเติมในบางจุด ซึ่งเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต หากเผลอเข้าใกล้โดยไม่รู้ตัว

โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มที่นิยมเข้าป่า หาเห็ด หรือหาของป่า ถูกขอความร่วมมือหลีกเลี่ยงการเดินทางในพื้นที่แนวชายแดนในช่วงนี้อย่างเด็ดขาด ห้ามเข้าไปคนเดียว และควรแจ้งผู้นำชุมชนหรือเจ้าหน้าที่ก่อนทุกครั้งหากมีความจำเป็น รวมทั้งควรระวังบุคคลแปลกหน้า ทหารต่างชาติ หรือวัตถุต้องสงสัยต่าง ๆ

ทั้งนี้ สถานการณ์ล่าสุดยังไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แต่ความเสี่ยงยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจึงควรติดตามประกาศจากทางการอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนกันภายในชุมชนเพื่อความปลอดภัยร่วมกัน หากพบสิ่งผิดปกติให้โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีเพื่อรับความช่วยเหลือโดยเร็ว

'รัสเซีย' ประกาศชัด ต้องการชัยชนะ และจะทำลาย ‘ยูเครน’ ไม่ใช่เจรจาสันติภาพ

(4 มิ.ย. 68) ดมีทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียและรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ประกาศว่า รัสเซียมุ่งมั่นเอาชนะยูเครนและทำลายรัฐบาล 'นีโอนาซี' ไม่ใช่การประนีประนอม สร้างความปั่นป่วนให้กับการเจรจาสันติภาพระหว่างสองประเทศที่อิสตันบูลในสัปดาห์นี้ โดยเขาย้ำว่า “การแก้แค้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” หลังยูเครนโจมตีฐานทัพทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ของรัสเซียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เมดเวเดฟยังกล่าวถึงเอกสารบันทึกความเข้าใจของรัสเซียที่เสนอในการเจรจาวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงข้อเรียกร้องให้ยูเครนยอมสละดินแดนเพิ่มเติม ดำรงสถานะเป็นกลาง จำกัดขนาดกองทัพ และจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยการเจรจาใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง และยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้

แม้ทั้งสองฝ่ายจะตกลงแลกเปลี่ยนเชลยศึกและศพทหารกว่า 12,000 นาย แต่ไม่มีข้อสรุปเรื่องหยุดยิงถาวร รัสเซียระบุว่าเสนอหยุดยิงเฉพาะบางแนวรบเท่านั้น ขณะที่กองทัพรัสเซียยังคงเดินหน้าโจมตีต่อ และเมดเวเดฟย้ำว่า “สิ่งที่ควรระเบิดจะถูกทำลาย ผู้ที่ควรหายไปจะต้องหายไป”

คำแถลงของเมดเวเดฟสร้างกระแสวิพากษ์ในสหรัฐฯ โดยวุฒิสมาชิกลินด์ซีย์ เกรแฮม กล่าวประชดว่า “นี่คือช่วงเวลาที่หายากของความซื่อสัตย์จากฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซีย” พร้อมยืนยันว่ารัสเซียไม่มีความจริงใจต่อสันติภาพ ทั้งเกรแฮมและวุฒิสมาชิกอีกหลายคนเตรียมเสนอร่างกฎหมายคว่ำบาตร 'ขั้นโหด' ต่อมอสโก และเก็บภาษีพลังงานรัสเซียสูงถึง 500% เพื่อกดดันทางเศรษฐกิจต่อเนื่อง

จีนพร้อมเปิดตัว ‘วีซ่าอาเซียน’ สิทธิ์เข้าออกยาว 5 ปี สำหรับนักธุรกิจพาคู่สมรส-บุตร พำนักได้สูงสุด 180 วัน

(4 มิ.ย. 68) กระทรวงการต่างประเทศจีนเปิดเผยว่า จีนได้เปิดตัว 'วีซ่าอาเซียน' สำหรับ 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และติมอร์-เลสเต เพื่อส่งเสริมการเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค โดยผู้ที่มีคุณสมบัติจะได้รับวีซ่าประเภทเข้าหลายครั้งภายใน 5 ปี สำหรับการเดินทางเพื่อธุรกิจ พร้อมสิทธิให้คู่สมรสและบุตรพำนักได้สูงสุดครั้งละ 180 วัน

หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า ความร่วมมือระหว่างจีนกับอาเซียนในช่วงหลังมีความก้าวหน้าอย่างมาก ทั้งในมิติความมั่นคง เศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน จึงมีความมุ่งหวังร่วมกันในการส่งเสริมความสะดวกในการเดินทางระหว่างกันมากขึ้น

นอกจากนี้ จีนยังขยายมาตรการยกเว้นวีซ่าให้แก่พลเมืองของประเทศในลาตินอเมริกา เช่น บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ทำให้จำนวนประเทศที่ได้รับสิทธิเดินทางเข้าจีนโดยไม่ต้องขอวีซ่าเพิ่มเป็น 43 ประเทศ

โฆษกฯ ย้ำว่า มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของจีนในการเปิดประเทศในระดับสูง และสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง โดยในไตรมาสแรกของปี 2025 จีนต้อนรับชาวต่างชาติเกิน 9 ล้านคน และมีบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนใหม่กว่า 18,000 แห่ง เพิ่มขึ้นกว่า 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

กรณีสถานการณ์ชายแดน ‘ไทย-กัมพูชา’ ย้ำจุดยืน แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

(4 มิ.ย. 68) เมื่อเวลา 07.00น. รัฐบาลออกแถลงการณ์ “กรณีสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา” มีใจความว่า

รัฐบาลขอยืนยันว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญสูงสุดในการ ปกป้องอธิปไตย และคุ้มครองบูรณภาพของดินแดนไทยอย่างเต็มที่โดยยึดหลักการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี สอดดคล้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และยึดมั่นในหลักมนุษยธรรม

โดยจุดเริ่มต้นของสถานการณ์นี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ในขณะที่กองกำลังฝ่ายไทยลาดตระเวนตามปกติในพื้นที่ฝ่ายไทยซึ่งเป็นแนวที่ถือปฏิบัติเสมอมา แต่ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะกันในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างกองกำลังไทยและกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานีซึ่งสถานการณ์จากการปะทะดังกล่าวทำให้กองกำลังไทยจำเป็นต้องป้องกันตัว และ ปกป้องพื้นที่อธิปไตยของไทย เป็นการดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ

ภายหลังจากเกิดเหตุรัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้หารืออย่างใกล้ชิตในทุกระดับรวมถึงนายกรัฐมนตรี ของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยกันด้วยความห่วงใยในสถานการณ์ ผลจากการพูดคุยรัฐบาลทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า จะร่วมมือกันทำให้สถานการณ์กลับสู่ปกติและ ไม่ลุกลามบานปลาย และเห็นพ้องที่จะใช้กลไกทวิภาคีต่างๆที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งหนึ่งในกลไกนั้นคือกลไก JBC ตามที่ ผู้บัญชาการทหารบก ของทั้งสองฝ่ายได้หารือกันไว้เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา

ส่วนประเด็นที่ได้รับการสอบถามเกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ที่อาจประสงค์จะใช้กลไกทางศาลหรือฝ้ายที่สามมาพิจารณาเรื่องนี้นั้น ขอเรียนว่าประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านของกัมพูชามีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธีบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สนธิสัญญาและความตกลงต่างๆ เช่น MOU 2543 และข้อมูลหลักฐานต่างๆ รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม และไทยพร้อมที่จะเจรจากับฝ้ายกัมพูชาผ่านกลไกระดับทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกันเช่น

- JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม)ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี ซึ่งขณะนี้ฝ้ายกัมพูชาได้ตอบรับตามคำขอ ของฝ่ายไทยที่จะจัดขึ้น (ในวาระที่ฝ้ายกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ) ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา

- GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา)ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค)ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพทัพภาคซึ่งทั้ง GBC และ RBC มีหน้าที่หลักในการดูแลสถานการณ์ชายแดนให้มีความสงบเรียบร้อยนอกจากนี้ รัฐบาลทั้งสองฝ่ายยังเห็นฟ้องกันที่จะให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ

รัฐบาลขอยืนยันว่า ปัจจุบันสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั่วไปมีความสงบเรียบร้อย รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจว่าทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอย่างเต็มที่ตามขั้นตอนในการปกป้องอธิปไตยของไทยและรักษาสิทธิทางกฎหมายของไทยอย่างครบถ้วนและเชื่อมั่นว่า ไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี เพื่อความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดนรวมถึงความเป็นครอบครัวของสมาชิก"อาเซียน"ด้วยกัน

ภูเขาไฟเอตนาปะทุ!!...นักท่องเที่ยวอเมริกันผวา ควันแดง-เสียงระเบิด ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง ‘ปอมเปอี’

(4 มิ.ย. 68) ภูเขาไฟเอตนา มีความสูง 3,323 เมตร ตั้งอยู่ในเมืองคาตาเนีย ของแคว้นซิซิลี ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นสูงที่สุดในยุโรป เกิดการปะทุอย่างรุนแรงในเช้าวันจันทร์ ปล่อยเถ้าถ่านและก๊าซร้อนสีแดงทะยานขึ้นฟ้า จนเกิดเป็นกลุ่มเมฆรูปเห็ดขนาดใหญ่ เหตุการณ์นี้ทำให้หน่วยงานด้านการบินของอิตาลีประกาศเตือนระดับสีแดงแก่เครื่องบินในพื้นที่

สถาบันธรณีฟิสิกส์และภูเขาไฟวิทยาแห่งชาติอิตาลี (INGV) ประเมินว่า กลุ่มเถ้าถ่านลอยขึ้นสูงถึง 6,500 เมตร และเคลื่อนไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ภาพจากกล้องวงจรปิดเผยให้เห็นการปะทุเริ่มต้นจากลาวาไหล ก่อนกลายเป็นกลุ่มเถ้าควันขนาดใหญ่ที่ลอยเหนือปล่องภูเขาไฟ

ขณะเดียวกัน คู่รักชาวอเมริกันจากนิวยอร์กที่กำลังฮันนีมูนในอิตาลี เผยว่าพวกเขาอยู่บนภูเขาในขณะเกิดการปะทุ มิเชล และ นิโคลัส ดิเลโอนาร์ดี เล่าว่าเห็นกลุ่มควันกลายเป็นสีแดงเข้มและได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น ทำให้รู้สึกหวาดกลัวและรีบออกจากพื้นที่ทันที โดยเปรียบเทียบเหตุการณ์ว่า “เหมือนกับปอมเปอี” ที่ถูกลาวาภูเขาไฟวิสุเวียสกลืนกินในอดีต

จากการรายงานของสื่อท้องถิ่น ANSA ระบุว่า ส่วนหนึ่งของปล่องภูเขาไฟอาจพังถล่มลงมา อย่างไรก็ตาม ทางการได้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวเข้าใกล้บริเวณภูเขาไฟเพื่อความปลอดภัย ขณะที่สนามบินในเมืองคาตาเนียยังคงเปิดให้บริการตามปกติ เนื่องจากกลุ่มเถ้าถ่านเคลื่อนตัวออกจากเส้นทางบินแล้ว

ปัจจุบันเจ้าหน้าที่กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยรายงานล่าสุดระบุว่าการปะทุเริ่มลดความรุนแรงลง และไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือได้ความเสียหายรุนแรงจากเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้ชีวิตในบริเวณรอบภูเขาไฟเอตนากลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง แม้จะยังคงมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

‘สมเด็จพระพันปีหลวง’ กับพระตำหนักเสื่อลำแพน พระเมตตาธิคุณที่เกื้อการุณย์ให้แก่ ‘ชาวเขมรอพยพ’

(4 มิ.ย. 68) เพจเฟซบุ๊ก ดร.โญ มีเรื่องเล่า ของ ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคลได้โพสต์ข้อความว่า ...พระตำหนักเสื่อลำแพน ราชการุณย์ ณ เขาล้าน จังหวัดตราด 

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลเขมรกำลังหาเรื่องหาราวเพื่ออยากให้กลายเป็นประเด็นข้อพิพาทระหว่างประเทศ มีเรื่องที่อยากเล่า ซึ่งครั้งนี้นำมาเล่าเป็นครั้งที่ 3 แล้ว เป็นเรื่องราวที่แสดงให้เห็นถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระเมตตาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งไม่เพียงพสกนิกรชาวไทยของพระองค์เท่านั้น น้ำพระทัยของพระองค์ยังแผ่ให้ความเมตตาแก่ประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านผู้ซึ่งหนีร้อนมาพึ่งเย็นอีกด้วย

'พระตำหนักเสื่อลำแพน'

ครั้งเกิดสงครามกลางเมืองเขมร มีการอพยพเข้ามาในฝั่งไทย
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไม่ทรงนิ่งนอนใจ
แม้จะไม่ใช่คนไทยแต่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เสด็จฯ ไปยังพื้นที่อันตรายเพื่อสร้างศูนย์อพยพ

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ ออกไปควบคุมการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง บางครั้งก็ทรงค้างคืนบนสถานที่คล้ายศาลาโล่งๆ ฝาทำด้วยเสื่อลำแพน ด้านหนึ่งเป็นพระพุทธรูปบูชา เพราะทรงถือว่าพระเป็นจุดรวมจิตที่เราจะยึดเป็นที่พึ่งทางใจ

ทรงสอนให้ผู้ที่อยู่ศูนย์รู้จักสวดมนต์กลางคืน โดยเปิดเทปบทสวด 'องค์ใดพระสัมพุทธ' กระหึ่มกังวานไปทั่ว และทรงนำน้ำพระพุทธมนต์ไปพรมเพื่อปัดรังควาน ให้ทุกคนปลอดภัยและอยู่เย็นเป็นสุข..

พระองค์บรรทมบนเสื่อกระจูด หันพระเศียรไปทางที่ตั้งพระพุทธรูป พระเขนย(หมอน)ก็ไม่มี ทรงใช้ฉลองพระองค์กันฝนม้วนๆ รองพระเศียร นางสนองพระโอษฐ์ และผู้ตามเสด็จฯ นอนเรียงรายรอบพระองค์ แม้จะมีอาการคันบ้าง เพราะตัวไรที่อาศัยอยู่กับเสื่อกระจูดมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอย่างไม่เป็นทางการ แต่ทุกคนไม่บ่น เพราะสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถมิได้ทรงปริพระโอษฐ์บ่นเลยสักคำเดียว

วันที่ 22 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2522 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ร (ในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสิริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร) ไปทรงเยี่ยมศูนย์สภากาชาดไทยแห่งใหม่ ซึ่งสร้างเสร็จแล้ว และประทับพักแรม ณ ศูนย์ฯแห่งใหม่ อนึ่งจนถึงวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2522 เวลาค่ำได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หน่วยแทพย์เตรียมห้องผ่าตัด และรับสั่งให้หน่วยแพทย์พักแรมในศูนย์สภากาชาดไทยด้วย

ราชการุณย์.. ณ เขาล้าน เรื่องที่ชาวไทยควรรับรู้

เมื่อไปเที่ยวที่ศูนย์ราชการุณย์ เขาล้าน จ.ตราด ทำให้ทราบว่า พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง  ไม่เพียงแต่พี่น้องชาวไทยเท่านั้น ยังแผ่กว้างไปถึงพี่น้องชาวเขมรผู้ตกทุกข์ได้ยาก 

…. ในคราวที่คนเขมรนำกำลังเวียดนามมายึดประเทศตัวเอง และเข็นฆ่าคนเขมรด้วยกันเอง………………………..

นำมาจาก “หนังสือราชการุณย์” 

 …. วันที่เสด็จพระราชดำเนินไปคราวแรก ตรงกับวันที่ 26 พฤษภาคม 2522 ทรงพระราชนิพนธ์ว่า 

 “ฉันยังจำได้ดี เดือนพฤษภาคม 2522 ขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับแรมที่หัวหิน ผู้ว่าราชการจังหวัดตราดแจ้งมาว่า มีเขมรลี้ภัยหลั่งไหลเข้ามาในเขตไทยบริเวณเขาล้าน อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ผ่านเข้ามาทางแนวเทือกเขาบรรทัดจำนวนกว่าสองแสนคนอยู่ในสภาพทุกข์ทรมานแสนสาหัส มีเด็ก ๆ เจ็บหนักเนื่องจากขาดอาหาร จำนวนคนมีกรรมหนาที่หลั่งไหลเข้ามานี้มากเกินความสามารถของทางจังหวัดที่จะรับผิดชอบช่วยเหลือได้ 

ฉันเป็นสภานายิกาของกาชาดจึงบินไปดูด้วยตนเอง พบว่า บริเวณเขาล้านไปจนชายทะเล แน่นขนัดไปด้วยชาวเขมรลี้ภัยไม่น่าเชื่อว่าพื้นที่ใหญ่ ๆ เช่นนั้น ซึ่งมีลมทะเลพัดอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอุจจาระและปัสสาวะจะคลุ้งตลบไปหมดถึงเพียงนี้ 

ภาพเขมรบ้านแตกเมืองล่มที่เห็นอยู่ต่อหน้านั้น เป็นภาพที่ประทับอยู่ในความทรงจำของฉันไม่มีวันลืมเลือน พวกเขานอนบนพื้นดินแฉะ ๆ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง 

แต่ละก้าวของฉันที่เดินตรวจตราดูผู้ลี้ภัย ยังต้องคอยระวังมิให้เหยียบไปบนคนที่นั่งนอนระเกะระกะ และเสบียงอาหารที่เขาฉวยติดตัวมาด้วย คือปลาเล็ก ๆ ที่วางผึ่งแดดอยู่คละไปกับกองอุจจาระ 

ตลอดจนไถ้ใส่ข้าวสารที่เขาแบกสะพายมา พื้นดินบ้างก็เป็นบ่อ เวลาฝนตก น้ำจะขังอยู่เป็นแอ่ง… นั้นแหละคือน้ำที่เขาใช้ดื่มกิน สภาพของผู้คนที่สุดแสนจะน่าเวทนาเหล่านี้ เป็นภาพที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งฉันอยากให้ผู้ที่สุขสบายอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ได้เห็นสภาพของคนที่สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน เช่นนี้เหลือเกิน..” 

สภาพของเขมรอพยพในครั้งนี้เป็นภาพที่น่าสลดใจของผู้พบเห็นดังพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกตอนหนึ่งว่า 

“…. ความโง่ทำให้คนเราประมาท ครั้งญวณล่ม ลาวแตก ฉันตกใจ...ตกใจมาก แต่มันยังไม่กระทบใจ ไม่ซึมซาบเท่ากับภาพที่กระทบตาฉันอยู่ขณะนี้ อย่างภาพเด็ก ๆ ที่อดอาหารนอนเป็นโครงกระดูกอยู่ สักแต่ว่ามีลมหายใจอยู่เท่านั้น…” 

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ บรมราชินีนาถ ผู้ทรงพระราชทานกำเนิดศูนย์อพยพเขาล้าน เพื่อชาวเขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร " …ฉันตัดสินใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เหล่านี้ เท่าที่กำลังความสามารถของฉันจะมี…”  พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ พระบรมราชินีนาถ 26 พ.ค. 2522 

นายปัญญา ฤกษ์อุไร ผู้ว่าราชการจังหวัด(ในขณะนั้น) ได้เล่าถึงความรู้สึก ในหนังสือเล่มนี้ บางส่วน ….เมื่อเมืองศรีประจันตคีรีเขตและเมืองเกาะกงแตกแล้วแม่ทัพภาคที่ 5 ของเวียดนามก็ไม่รั้งรอ มีคำสั่งด่วนให้กองพลที่ 4 5 และ 6 รีบรุกไล่บรรดาเขมรแดงฝ่ายพอลพตและบรรดาประชาชนพลเมืองฝ่ายที่เข้าข้างพอลพตทั้งหมด ….คำสั่งของเขาคือจับตายไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ใช้อาวุธทุกชนิดที่มีอยู่ทำการรุกไล่อย่างกระชั้นชิดโดยไม่ลดละ 

…..ฉะนั้น ในระยะตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2522 จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2522 บรรดาเขมรอพยพหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารมากขึ้นเป็นลำดับ ….พอถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2522 ปรากฏว่ามีเขมรหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารถึง 90,000 คน ซึ่งเป็นการเกินสติกำลังปัญญาของข้าพเจ้าในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดจะช่วยเหลือบรรดาเขมรอพยพเหล่านี้อย่างทั่วถึงและให้ได้ผลได้ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรกับภาระอันแสนหนักในครั้งนี้ ….ทางรัฐบาลและนโยบายกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งถึงผู้ว่าฉบับเดียวคือให้จังหวัดผลักดันพวกเขมรเหล่านี้ออกไปให้ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องพูด ส่วนวิธีผลักดันจะทำกันอย่างไร ไม่มีการอธิบายเพิ่มเติมหรือแนะแนวทางให้จังหวัดปฏิบัติ คงสั่งให้ผลักดันเท่านั้น

 …. เมื่อจังหวัดขอความช่วยเหลือไปก็ไม่ได้ผล เพราะเมื่อสั่งให้ผลักดันแล้วก็ย่อมไม่มีงบประมาณช่วยเหลือใด ๆ ไม่ว่าข้าวปลาอาหารหรือแม้แต่ยารักษาโรค เป็นอันว่าเหลวทั้งสิ้น …..จะผลัดดันอย่างไรชาวเขมรตั้งเก้าหมื่นคน ลองให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมานั่งผลักดันดูเองเถอะน่า แล้วจะรู้ว่าผลักยังไงก็ไม่ไหว ข้าพเจ้าคิดอยู่แต่ในใจ แต่ไม่กล้าพูด

… …พอดีขณะนั้น นายวีระ อินทประเสริฐ เป็นกำนันตำบลไม้รูด มีที่ดินอยู่ที่บ้านเขาล้านติดถนนใหญ่และติดทะเลอีกด้านหนึ่ง อยู่หลังที่อยู่อาศัยของคนไทย มีเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ ข้าพเจ้าจึงเอยปากขอยืมใช้ให้เขมรอพยพอยู่ชั่วคราว ซึ่งแกก็ไม่ขัดข้อง จะขัดข้องได้อย่างไรเล่าครับ เมื่อผู้ว่าฯ เอ่ยปากขอยืมทั้งที อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าบอกว่าจะขอใช้ยืมชั่วคราวประหนึ่งว่า สักระยะหนึ่งแล้วจะให้เขมรอพยพพวกนี้ไปอยู่ที่อื่น แกคงไม่รู้หรอกว่าในที่สุดพวกเขมรอพยพยังคงปักหลักอยู่ที่เขาล้านบนที่ดินแห่งนี้ตราบเท่าจนทุกวันนี้ เพราะแกถูกคนร้ายลอบยิงตายกลางตลาดเทศบาลเมืองตราดในตอนเที่ยงของวันหนึ่งกลางเดือนมีนาคม 2522 จนบัดนี้ตำรวจยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ ขอให้บุญญานุภาพที่แกได้ให้ที่พักพิงแก่พวกเขมรอพยพเหล่านั้นได้อาศัยร่มไม้ชายคา จงดลบันดาลให้แก่ไปสู่ที่สุคติด้วยเถิด 

…. วันที่ 12 พฤษภาคม 2522 ข้าพเจ้าพร้อมด้วยคุณหมอบูรพา จนทสูตร และหมอกับพยาบาลโรงพยาบาลจังหวัดตราด ได้ไปรักษาบรรเทาทุกข์ให้กับผู้อพยพชาวเขมร วันนี้รู้สึกแช่มชื่นขึ้นทั้งหมอ พยาบาลและคนไข้เพราะมียาดี ๆ ตามที่ต้องการ เมื่อ 3 – 4 วันก่อนหรือครับ มีแต่ยาแอสไพริน ยาแดง ยาเหลือง เป็นอย่างดีที่สุดเหตุที่หายามาได้มากมายอย่างนี้ เป็นเพราะข้าพเจ้านั่งคิดนอนคิดอยู่สามวันสามคืนจนปวดหัว (ภาษาเขมรเขาว่าปวดกะบาล) ก็ยังคิดไม่ออกจนกระทั้งถึงวันเสาร์ตอนเช้าภรรยาข้าพเจ้ามาจากกรุงเทพฯ 

พอเห็นหน้าภรรยาข้าพเจ้าจึงสว่างไสว มีสติปัญญาเหมือนฟ้ามาโปรด …. 

ที่ข้าพเจ้าดีใจ เพราะภรรยาข้าพเจ้าทำให้เกิดความคิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน จะว่าภรรยาข้าพเจ้า คือ คำตอบที่คิดไม่ออกมาแล้วสามวันสามคืนก็คงจะได้ ด้วยเหตุที่หน้าที่ภรรยาข้าพเจ้าคือ หน้าที่ของนายกเหล่ากาชาดจังหวัด (นางบุญเลื่อน ฤกษ์อุไร) และนายกเหล่ากาชาด ก็คือ หน่วยหนึ่งของสภากาชาดไทยกรุงเทพฯ และสภากาชาดไทยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ เป็นองค์สภานายิกา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็มีโอกาสร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือไปยังสภากาชาดไทยผ่านภรรยาข้าพเจ้าได้ ….เราแจกกันอย่างมากก็ เอพีซี. หรือไม่ก็แอสไพริ

4 มิถุนายน พ.ศ. 2461 รัชกาลที่ 6 วางรากฐานโรงเรียนเอกชน ตรากฎหมายควบคุมคุณภาพการศึกษา

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2461 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา ‘พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์’ พุทธศักราช 2461 ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของไทยที่ควบคุมดูแลการจัดตั้งและดำเนินงานของโรงเรียนเอกชน ซึ่งในขณะนั้นเริ่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว

พระราชบัญญัติดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อ ควบคุมมาตรฐานการศึกษานอกภาครัฐ โดยกำหนดให้โรงเรียนราษฎร์ต้องขออนุญาตจัดตั้งจากกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) และต้องดำเนินการภายใต้หลักสูตรและข้อบังคับที่ทางราชการกำหนด เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของครู ผู้บริหาร และการตรวจสอบจากทางราชการ ตลอดจนบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืน จึงนับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการจัดระบบการศึกษาเอกชนให้เข้าสู่ระเบียบแบบแผนเดียวกับการศึกษาในภาครัฐ

พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ฉบับนี้ ได้กลายเป็นรากฐานของการพัฒนาโรงเรียนเอกชนในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน และสะท้อนถึงพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของรัชกาลที่ 6 ที่ทรงตระหนักถึงบทบาทของการศึกษาเอกชนในการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาประเทศในระยะยาว

‘เอเลียด คิปโชเก’ ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก ฑูตด้านการท่องเที่ยวกีฬาฯ โพสต์ถวายพระพร สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันเฉลิมฯ

(3 มิ.ย. 68) เอเลียด คิปโชเก ตำนานนักวิ่งมาราธอนโลก เจ้าของสถิติวิ่งมาราธอนได้ต่ำกว่า 2 ชม. และแชมป์โอลิมปิกเกมส์ 2 สมัยชาวเคนยา โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว Eliud Kipchoge ถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี 3 มิถุนายน 2568 โดยข้อความระบุว่า ... 

เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้รับเกียรติให้เข้าร่วมวิ่งมาราธอน Amazing Thailand Bangkok 10K ร่วมกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี นับเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำที่ได้ผ่านสถานที่สำคัญและสถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ หลายแห่ง

เนื่องในวันที่ 3 มิถุนายน 2568 นี้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ทรงพระเกษมสำราญ และทรงมีความสุขกับการเฉลิมฉลองในปีต่อ ๆ ไป

สำหรับ เอเลียด คิปโชเก ในฐานะ "ฑูตด้านการท่องเที่ยวกีฬาและวัฒนธรรม" ของประเทศไทย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้ร่วมวิ่งกับ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในระยะ 10 กม. การแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก ครั้งที่ 7 ประจำปี 2567 รายการ "อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์บาย โตโยต้า ครั้งที่ 7" ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยในปีนี้ เอเลียด คิปโชเก ก็จะมาร่วมการแข่งขันรายการนี้ ที่ประเทศไทย อีกครั้ง

‘เกาหลีใต้’ เปิดฉากเลือกตั้ง ‘ปธน.คนใหม่’ แทน ‘ยุน ซอกยอล’ โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งหมดกว่า 44 ล้านคน คาดรู้ผลพรุ่งนี้

(3 มิ.ย. 68) ชาวเกาหลีใต้เริ่มออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้วในวันนี้ เพื่อเลือกผู้นำคนใหม่แทนที่อดีตประธานาธิบดี ยุน ซอกยอล ที่ถูกถอดถอนไปก่อนหน้า

รายงานข่าวแจ้งว่า หน่วยเลือกตั้งกว่า 14,000 แห่งทั่วประเทศได้เปิดตั้งแต่เวลา 06.00 น. ตามเวลาเกาหลีใต้ และจะปิดในเวลา 20.00 น. จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดกว่า 44 ล้านคนนั้น มีประมาณ 34.7% ที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าไปแล้ว

ผลการเลือกตั้งที่ขับเคี่ยวกันระหว่าง 3 ผู้สมัครคนสำคัญ ได้แก่ อี แจมยอง ตัวเต็งจากพรรคประชาธิปไตย (DP), คิม มุนซู จากพรรคพลังประชาชน และ อี จุนซอก จากพรรคปฏิรูปใหม่ คาดว่าจะทราบผลได้ในวันพรุ่งนี้ (4 มิ.ย.)

ผู้ชนะจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นเวลา 5 ปี โดยตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้นั้นว่างลงตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. หลังจากที่นายยุนถูกถอดถอนตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่รับรองมติการถอดถอนของรัฐสภา สืบเนื่องจากการประกาศกฎอัยการศึกชั่วคราวของเขาเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

ตามผลสำรวจของแกลลัพ โคเรีย (Gallup Korea) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 พ.ค. นั้น อี แจมยอง มีคะแนนนำอยู่ที่ 49% ขณะที่คิม มุนซู ตามมาเป็นอันดับสองอยู่ที่ 35% ส่วน อี จุนซอก ได้รับคะแนน 11%

THAIFEX-ANUGA ASIA 2025 ผู้เข้าชมทะลุ 1.42 แสนคน ยกระดับสู่สากล มูลค่าการค้า!! พุ่งกว่า 1.35 แสนล้านบาท

(3 มิ.ย. 68) กระทรวงพาณิชย์ ประกาศความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับนานาชาติ “THAIFEX – ANUGA ASIA 2025” ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจากนักธุรกิจและผู้ซื้อจากทั่วโลก สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจอาหารของภูมิภาค และแหล่งสำรองอาหารที่มีบทบาทสำคัญของโลก พร้อมเป็นเวทีส่งเสริม “ครัวไทยสู่ครัวโลก” และยกระดับเศรษฐกิจการค้าของประเทศสู่ระดับสากล

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ความสำเร็จของ THAIFEX – ANUGA ASIA 2025 ไม่เพียงตอกย้ำศักยภาพของผู้ประกอบการไทย แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจจากนานาประเทศต่ออุตสาหกรรมอาหารไทยอย่างชัดเจน ซึ่งสอดรับกับนโยบายการขับเคลื่อน Soft Power ของรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่มุ่งผลักดันอาหารไทยให้เป็นทั้งจุดแข็งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจระดับโลก

“ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักธุรกิจต่างชาติ ไม่เพียงสร้างโอกาสทางการค้าแก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs และสตาร์ตอัป แต่ยังส่งผลเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจฐานราก ด้วยการสร้างรายได้และการจ้างงานในหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ” นายพิชัยกล่าว

สำหรับผลการจัดงานในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้าจำนวน 3,231 บริษัท 6,208 คูหา จาก 57 ประเทศทั่วโลก แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทย 1,184 ราย และผู้ประกอบการต่างชาติ 2,047 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมชมงานรวมทั้งสิ้น 142,370 คน แบ่งเป็นผู้ร่วมเจรจาการค้า 88,349 คน (ชาวต่างชาติ 20,566 คน และชาวไทย 67,783 คน) และประชาชนทั่วไปในวันจำหน่ายปลีกกว่า 54,021 คน

ขณะที่ด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจ งานสามารถสร้างมูลค่าการค้ารวมสูงถึง 135,678.07 ล้านบาท แบ่งเป็น: มูลค่าการซื้อขายในวันเจรจาธุรกิจ: 135,450.25 ล้านบาท (สั่งซื้อทันที: 271.81 ล้านบาท คาดการณ์การสั่งซื้อภายใน 1 ปี: 135,178.44 ล้านบาท) มูลค่าการซื้อขายในวันจำหน่ายปลีก: 227.82 ล้านบาท โดยเฉพาะมูลค่าการซื้อขายของผู้ประกอบการไทย คิดเป็นยอดรวม 99,099.28 ล้านบาท

สำหรับประเทศที่มีปริมาณการสั่งซื้อสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน ไทย อินเดีย เวียดนาม และญี่ปุ่น ขณะที่โซนสินค้าที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ได้แก่ Fine Food, Food Technology, Drinks, Frozen Food และ Fruits & Vegetables

งานครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์, หอการค้าไทย และโคโลญเมสเซ่ ซึ่งพร้อมเดินหน้าจัดงาน THAIFEX – ANUGA ASIA 2026 ให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พร้อมยกระดับสู่เวทีการค้าสากลที่รวมเทรนด์และนวัตกรรมอาหารจากทั่วโลก โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 – 30 พฤษภาคม 2569 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top