Sunday, 19 May 2024
Hard News Team

เชียงใหม่-ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งวัยรุ่นก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน 5 พื้นที่

วันที่ 16 พ.ค.67 เวลา 11.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวสมิตระกูล รอง ผบช.ภ.5, รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,รอง ผบก.สส.ภ.5, ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ และ ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.5 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งวัยรุ่น จำนวน 3 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน  5  พื้นที่  ได้แก่ สภ.สันป่าตอง, หางดง, หนองตอง, ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ และ สภ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่  

โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คดีที่ 1  คดีปล้นทรัพย์ ฯ ของ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์  จับกุมผู้ต้องหา 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567  เวลาประมาณ 05.30 น. นายกังสชิต ฯ และนายทักษ์ดนัย ผู้เสียหาย จำนวน 2 คน เล่นสเก็ตพื้นที่ของเอกชน อยู่ที่เขต ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่  ได้มีคนร้ายซึ่งเป็นชายวัยรุ่น จำนวน 3  คน ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาบริเวณลานสเก็ต หนึ่งในคนร้าย  ได้ใช้อาวุธมีดทำร้ายฟันผู้เสียหายบริเวณหน้าผาก  และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และคนร้ายได้หยิบทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้เสียหายที่ไปประกอบด้วย บุหรีไฟฟ้า, บุหรี่ยี่ห้อ LM แดง จำนวน 1 ซอง, น้ำดื่มเอสรสลิ้นจี่ จำนวน 2 ขวด, แก้วเยติ  จำนวน 1 ใบ

ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.67 เวลาประมาณ 23.00 น. ได้ทำการสืบสวนทราบว่าคนร้ายทั้ง 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  เจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงได้นำตัวนายพลาธิปฯ และ ด.ช.น้ำหนึ่ง ฯ มาซักถามปากคำ โดยทั้ง 2 ยอมรับว่าได้ร่วมกันกับนายอนุเดช หรือ บังพีท ก่อเหตุจริง ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พ.ค.67 ได้ทำการจับกุมตัวนายอนุเดช หรือบังพีช ตามหมายจับของ ศาลจังหวัดเชียงใหม่  พร้อมควบคุมตัวนายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 2 จับกุมตัวนายจักรกฤษ ฯ ภูมิลำเนา ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ จำนวน 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สิน 1  ครั้ง เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง ครั้งแรก ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอ สีชมพู ไปก่อเหตุที่เขต สภ.สันป่าตอง ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่สอง ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอฯ ไปก่อเหตุที่เขต สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด 

ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 เวลาประมาณ 13.30น. ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไปใช้ก่อเหตุ ในเขตพื้นที่ สภ.หนองตอง จ.เชียงใหม่ เมื่อ ได้ทรัพย์สินเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท นำไปขายที่ร้านทองจำชื่อ ภายในห้างในพื้นที่ ต.ช้างเผือก ในวันเดียวกับวันที่ก่อเหตุ 
ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 16.00น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในเขตพื้นที่ สภ.ช้างเผือกจ.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่ห้า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 18.50น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองลำพูน แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
รวมก่อเหตุทั้งหมด 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งเดียว คือ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง 

ตำรวจภูธรภาค 5 ขอยืนยันว่ามีความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนและยังคงเน้นย้ำในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ทั้งนี้หากพบเห็นอาชญากรรมหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดโปรดแจ้ง 191 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง หรือแจ้งผ่านไลน์ ผบช.ภ.5 ไอดี @police5 

“เชียงราย”จก.กร.ทบ. ร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน ไทย – เมียนมา ของ ฉก.ทัพเจ้าตากในพื้นที่แม่สาย”

ในวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 พลโท อานุภาพ ศิริมณฑล เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารบก พร้อมด้วย พันเอก ฌฑี  ทิมเสน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ลงพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมโครงการหมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดนไทย – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างคู่หมู่บ้านปางห้า ตำบลเกาะช้าง  อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับ บ้านป่ากุ๊ก เมืองพง จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และคู่ของ บ้านป่าแดง ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย กับ บ้านดินดำ เมืองพง จังหวัดท่าขี้เหล็ก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งจัดโดย หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ร่วมกับ อำเภอแม่สาย และ หัวหน้าส่วนราชการ, กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนในพื้นที่ โดยมีกิจกรรมประกอบด้วย การพบปะพัฒนาสัมพันธ์, การเดินขบวนรณรงค์ป้องกันภัยชุมชน, การให้บริการทางการแพทย์, การให้บริการตัดผมฟรี, การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้าน, การแข่งขันฟุตบอล, การแข่งขันกีฬาพื้นบ้าน ณ โรงเรียนบ้านปางห้า และ พิธีบวชป่า, กิจกรรมปลูกป่า พร้อมทั้งกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ตำบลเกาะช้าง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 200 คน

สันติ วงศ์สุนันท์/หัวหน้าศูนย์ข่าวอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย/รายงาน

‘กัปตันเครื่องบิน’ เล่าประสบการณ์ ‘บั้งไฟ’ พุ่งเฉียดเครื่องบินสูง 8,000 ฟุต ยัน!! เข้าใจเรื่องประเพณี แต่ควรขอนุญาต-ไม่ควรผลิตให้พุ่งสูงขนาดนี้

(16 พ.ค.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘บันทึกไม่ลับของคนขับเครื่องบิน’ ได้โพสต์เรื่องราวสุดช็อก เมื่อเจอบั้งไฟยิงผ่านเครื่องบินเกือบ 8,000 ฟุต โดยข้อความระบุว่า… 

"นอกจากทางทางเหนือมีโคมลอยแล้ว ทางภาคอีสานก็ยังมีบั้งไฟอีกที่เป็นอันตรายต่อการบินมาก

อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะ เข้าใจว่ามันเป็นประเพณีที่ทำกันมายาวนาน แต่อยากให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับประเพณีนี้ขอให้มีจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยของส่วนรวมด้วย เพราะมันอันตรายกับอากาศยานมาก รวมถึงผู้โดยสารบนเครื่องบินครับ

ถ้าจะปล่อยบั้งไฟขอให้ขออนุญาตหน่วยงานด้านการบินก่อน และทำการปล่อยในจุดที่ขออนุญาต รวมถึงการเล่นการพนันขันต่อว่าบั้งไฟลูกไหนจะสูงกว่ากัน เลิกเถอะครับเพราะอันนี้มันไม่ใช่ประเพณีแล้ว ยิ่งมีคนเดิมพัน คนยิ่งผลิตก็ยิ่งพัฒนาให้บั้งไฟสูงขึ้นไปอีก

อย่างวันนี้ผมเทคออฟจากอุบล จากพิกัด radial 266 จากสนามบิน เจอบั้งไฟห่างจากเครื่องบินผมไม่ถึง 200 เมตร ขนาดผมอยู่ที่ความสูง 6,000 ฟุต บั้งไฟยังขึ้นไปสูงกว่าผมอีก (มองด้วยสายตาน่าจะความสูง 8,000 ฟุต) ซึ่งมันอันตรายมาก หายนะเกิดได้ง่าย ๆ เลยกับการกระทำแบบนี้ เพราะผมแจ้งหอว่าบริเวณนี้มีการปล่อยบั้งไฟ และหอไม่มีการรายงานการขออนุญาตในเขตพื้นที่แถว ๆ นี้ หลังจากนั้นเครื่องบิน ATR ของกองทัพอากาศก็รีพอร์ตบั้งไฟลูกอื่น ๆ ตามมา หอบังคับการบินต้องให้คำแนะนำทิศทาศนักบินบินหลบกันอุตลุด คิดดูมันอันตรายแค่ไหนครับ”

คณะทำงาน ‘ไทย-จีน’ ได้ข้อสรุป!! ไม่ยกเลิกสัญญา จ่อขยายสัญญา 1,200 วัน พร้อมติดเครื่องยนต์จีน

(16 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการเจรจาแก้ปัญหาเรือดำน้ำ ระหว่าง พลเอกสมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับตัวแทนหน่วยงานด้านยุทโธปกรณ์ ของกระทรวงกลาโหมจีน และตัวแทนบริษัท CSOC ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิต ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 ได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และมีข้อสรุปเบื้องต้นว่าจะเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำจีนต่อ 

โดย นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ได้เข้าร่วมรับฟังการประชุม ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2567 ด้วย ทั้งนี้การเจรจาแก้ปัญหาเรือดำน้ำ ระหว่างไทยจีนดำเนินการมาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมาการเจรจาอาจจะล่าช้า เพราะทางฝ่ายจีน อยู่ในช่วงปรับโครงสร้างกองทัพ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลายหน่วยงาน แต่ขณะนี้ได้รวมศูนย์หน่วยงานด้านยุทโธปกรณ์ เป็นหน่วยงานเดียวขึ้นกับกระทรวงกลาโหมจีน ซึ่งได้เดินทางมาร่วมพูดคุย หาทางออกในครั้งนี้ด้วย

โดยหน่วยงานของจีนที่ส่งมาคือ The Bureau of Military Equipment and Technology Cooperation (BOMETEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองการขายอาวุธที่มีใช้ในกองทัพจีนให้กับต่างประเทศ และ ‘The State administration of Science, Technology and Industry for national Defense (SASTIND)’ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับรองบริษัทที่ขายอาวุธให้ต่างประเทศ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับทางออกในการแก้ปัญหาโครงการเรือดำน้ำ มีเพียง 2 ทาง คือ 1. เดินหน้าต่อ หรือ 2. ยกเลิก ซึ่งหากการเปลี่ยนจากโครงการเรือดำน้ำ เป็นเรือฟริเกต หรือเรือ OPV ก็เท่ากับการยกเลิกโครงการเรือดำน้ำด้วยเช่นกัน ซึ่งจากการหารือ และประเมินข้อดี-ข้อเสียแล้วพบว่า การยกเลิกโครงการจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี โดยฝ่ายไทย อาจต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเรื่องเงินค่างวดที่จ่ายไปล่วงหน้า และอาจได้คืนเพียงบางส่วน ไม่ครบตามจำนวนที่จ่ายไปทั้งหมด ดังนั้น ทั้งสองฝ่ายจึงเลือกเดินหน้าโครงการจัดหาเรือดำน้ำต่อ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีมาอย่างยาวนาน

โดยทางฝ่ายจีนยินดีที่จะสนับสนุนทางการทหาร เช่น การสนับสนุนยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำ ทั้งเครื่องช่วยฝึก หรือ Simulator และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ รวมถึงเรื่องระบบประกัน / การฝึกศึกษา ซึ่งมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท แต่ทางจีนยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด เพราะต้องการให้ โครงการเรือดำน้ำเดินหน้าอย่างชัดเจนก่อน

สำหรับขั้นตอนต่อไป คือ กระทรวงกลาโหมจะสรุปผลการเจรจานำเสนอ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พิจารณา เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพราะจะต้องมีการแก้สัญญา 2 ส่วน ได้แก่ การขยายเวลาสัญญาต่อเรือดำน้ำออกไปอีกราว 1,200 วัน และ การเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเยอรมัน MTU 396 เป็นเครื่องยนต์จีน CHD620 เพื่อให้ ครม. เห็นชอบต่อไป

ทั้งนี้มีข้อมูลว่าเครื่องยนต์ CHD 620 ได้ผ่านมาตรฐานจากสมาคมจัดชั้นเรือของประเทศอังกฤษ และประเทศปากีสถาน ได้จัดซื้อเรือ ดำน้ำจีนที่ติดตั้งเครื่องยนต์ CHD 620 ซึ่งน่าจะได้เห็นประสิทธิภาพของเรือดำน้ำในอีกไม่นานนี้

แหล่งข่าวกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ในการเจรจาครั้งนี้ หน่วยงานทางการจีนได้รับข้อเสนอของไทยในการเพิ่มเติมการสนับสนุน โดยไม่ได้ใช้คำว่าชดเชย และจะนำกลับไปพูดคุยกับคณะกรรมาธิการกลางทหารของจีนอีกครั้ง เช่นเดียวกับข้อแลกเปลี่ยนสินค้าทางด้านการเกษตรฯ แต่ที่สำคัญคือการจะเดินหน้าต่อ รัฐบาลไทยต้องมีมติในเรื่องการเดินหน้าโครงการเรือดำน้ำ และการเปลี่ยนเครื่องยนต์ ทำให้ทางไทยยังไม่เปิดเผยรายการที่ทางจีนจะให้กับไทยอย่างละเอียด

ขณะที่มี รายงานข่าวในกระทรวงกลาโหมว่า การเจรจากับสาธารณรัฐประชาชนจีนยังไม่จบทั้งหมด แต่ช่วงนี้คณะพูดคุยคงยังไม่เดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีน และอาจจะไม่ไป เพราะจะคุยกันผ่านทางวิดีโอคอล คาดว่าน่าจะจบเร็ว ๆ นี้ และคงต้องไปหานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่กำกับดูแล เพราะต้องไปรายงานเรื่องเรือดำน้ำ เมื่อมีความคืบหน้าในระดับหนึ่งเมื่อได้ทิศทางที่ชัดเจน

รวมพลคนตาบอดเมืองตรัง เปิดร้านนวดเพื่อสุขภาพ ลูกค้าถูกใจ ราคาไม่แพง ช่วยสร้างงานให้คนพิการ

(16 พ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ร้านอารมณ์นวดแผนไทยเพื่อสุขภาพ ถนนพัทลุง ซอย 7 (ซอยโกข้ม) ซึ่งเป็นซอยที่อยู่ตรงข้ามกับ สภ.เมืองตรัง มีคนตาบอด 4-5 คนรวมตัวกันเปิดร้านนวดเพื่อสุขภาพ โดย 2 วันแรก (14-15 พ.ค.) เปิดให้บริการฟรี เพื่อให้ลูกค้าได้มาทดลอง จับเส้น นวดคลายเส้น บรรเทาอาการปวดข้อเข่า คอเคล็ด ไหลยึดและอาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเส้นประสาทส่วนต่าง ๆ หรือจะนวดเพื่อผ่อนคลาย ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น โดยคิดค่าบริการชั่วโมงละ 150-200 บาท และนอกสถานที่คิดชั่วโมงละ 250 บาท

สำหรับลูกค้ามีทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่มีปัญหาโรคออฟฟิศซินโดรม ปัญหาเกี่ยวกับข้อเข่า เส้นเอ็นและนวดเพื่อสุขภาพ โดยคนตาบอดกลุ่มนี้ ผ่านการอบรมหลักสูตรการนวดแผนไทย ได้รับใบประกาศนียบัตรมาแล้วทุกคน ประสบการณ์นานกว่า 5-10 ปี บางคนทำงานนวดเพื่อสุขภาพจนสามารถส่งลูกเรียนจบระดับปริญญาตรีได้ และมีลูกค้าขาประจำกระจายอยู่ในหลายจังหวัดภาคใต้ 

โดยก่อนหน้านี้ นางอารมณ์ มีแก้ว ประธานกลุ่มคนตาบอดนวดเพื่อสุขภาพ ได้เปิดร้านนวดอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช แต่เมื่ออายุมากขึ้น จึงคิดอยากจะกลับมาอยู่บ้านเกิดที่ จ.ตรัง โดยได้ชักชวนสมาชิกคนตาบอดที่มีความสนใจมาร่วมงานด้วย ซึ่ง 2 วันแรกปรากฎว่าได้รับผลตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี และมีการบริจาคเงินให้ส่วนหนึ่ง เพื่อให้กลุ่มคนตาบอดกลุ่มนี้ได้มีงานทำอย่างต่อเนื่อง 

โดยร้านจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 08.00 -20.00 น. พร้อมบริการน้ำดื่ม ชา กาแฟ ลูกอมฟรี และรับจองคิวล่วงหน้าสำหรับผู้ที่สนใจ โดยติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 082-6257162 และ 083-9182707 

ขณะที่นายเกรียงศักดิ์ กีรติกรพิสุทธิ์ อายุ 73 ปีลูกค้ารายหนึ่ง กล่าวว่า ปกติตนก็จะไปนวดทุกที่ แต่เมื่อวานได้ข่าวว่าที่นี่เปิดร้านนวดคนตาบอดและให้นวดฟรี 2 วันตนจึงตั้งใจมาลองดู เมื่อนวดไปแล้วอาการที่ตนเป็นอยู่มันดีขึ้น อาการที่ชัดเจนที่สุดคือ ตนขึ้นลงบันไดแล้วปวดเข่า กินยามาสักอาทิตย์หนึ่งแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ตั้งใจว่าจะไปโรงพยาบาล แต่พอได้ข่าวว่ามีการนวดจึงตัดสินใจว่ามาลองนวดก่อน ถ้านวดแล้วไม่ดีจะไปหาหมออีกที แต่พอนวดไปแล้วบอกตรง ๆ ว่าลงจากเตียงขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านได้สบาย รู้สึกว่าตำแหน่งที่เราปวด มันหายไป

ด้านนางอารมณ์ มีแก้ว ประธานกลุ่มคนตาบอดนวดเพื่อสุขภาพ จ.ตรัง กล่าวว่า ค่าบริการคิดชั่วโมงละ 150-200 บาท นอกสถานที่ 250 บาท ที่เปิดให้บริการฟรี 2 วันแรกเพราะยังไม่รู้จักลูกค้าเพิ่งมาอยู่ ลูกค้าวันแรกมีอยู่ วันนี้วันที่ 2 ได้ 3-4 คนแล้ว คนมานวดเขาบอกว่าเขาดีขึ้น หายทุกคน หนักสุดคือปวดขา มานวดใช้เวลาอาทิตย์ละครั้งก็หาย

‘หมอเหรียญทอง’ ยัน!! ไม่ได้ยัดยาใส่ถุงเสื้อผ้าเด็ก 14 ปี จ่อดำเนินคดีผู้ที่แพร่ข่าว-ใส่ร้าย เหตุทำให้เสียชื่อเสียง

(16 พ.ค.67) จากกรณี นพ.พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ตบหน้าเด็กอายุ 14 ปี หลังฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และทนายรัชพล พาแม่และเด็กไปวัย 14 ปี เข้าแจ้งความฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา หลังเรียกเด็กวัย 14 ปี ว่า ‘ไอกุ๊ย’ แล้วนั้น กระทั่งเมื่อวานนี้พบยาเสพติดบรรจุใส่ถุงใส อยู่ในถุงเสื้อผ้าของเด็กวัย 14 ปี จนกลายเป็นกระแสขึ้นมาบางส่วนว่าหมอยัดยาหรือไม่

ล่าสุดวันนี้ นพ.พล.ต.เหรียญทอง กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ประชาชนบางราย ตั้งข้อสงสัยว่าทางโรงพยาบาลยัดยาเสพติดใส่ถุงเสื้อผ้า ของเด็กวัย 14 ปี นั้น ยืนยันไม่ได้ยัดยา ซึ่งส่วนตัว รู้สึกโกรธกับเรื่องดังกล่าวเพราะถือเป็นเรื่องเท็จ เสมือนใส่ร้ายหมิ่นประมาท

ซึ่งจากนี้เตรียมดำเนินคดีกับบุคคลที่เผยแพร่ข่าวและใส่ร้าย เพราะทำให้ชื่อเสียงของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะและตนเองรวมถึงบุคลากรเสียหาย

ซึ่งต้นตอของเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมีความผิดมาจากการเลี้ยงบุตรดูที่ไม่ถูกวิธี และทอดทิ้งไม่ใส่ใจลูกของแม่เด็ก จนส่งผลทำให้เด็กเยาวชนวัย 14 ปี มาสร้างความเดือดร้อนให้สังคม

อาทิ เรื่องครอบครองยาเสพติด และสูบบุหรี่ในสถานพยาบาล ซึ่งแม่เด็กต้องมีส่วนรับผิดชอบ และยืนยันว่าจากนี้จะเริ่มปฏิบัติการโต้ตอบแม่เด็กอย่างรุนแรง ซึ่งจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ยอมความ หรือเจรจาไกล่เกลี่ยแน่นอน

ส่วนประเด็นที่ ทนายรัชพล ศิริสาคร จะพาแม่และเด็กไปวัย 14 ปี เข้าแจ้งความฐานหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา หลังตัวเองเรียกเด็กวัย 14 ปี ว่าไอกุ๊ย นั้นนายแพทย์เหรียญทอง บอกว่า ไม่กังวลใจ และยินดีให้ดำเนินการตามกฎหมาย

โดยสาเหตุที่เรียกเพราะไม่รู้จักชื่อ อีกทั้งความหมายของคำว่า กุ๊ย คือ คนพาล คนไม่รู้กาลเทศะ ซึ่งก็ตรงกับพฤติกรรมของเด็กคนนี้ ส่วนบุคคลที่แสดงความเห็นถึง คำว่า ไอกุ๊ย หรือขยะสังคม ไม่เหมาะสม ส่วนตัวไม่สนใจ

นายแพทย์เหรียญทอง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับประเด็นที่มีบุคคลอยากให้ตนติดคุก ออกหมายจับ โดยไม่ออกหมายเรียก ส่วนตัวไม่รู้สึกกลัว หากตัวเองทำผิดจริง ก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ด้านของ สส.พรรคก้าวไกล ที่มาช่วยแม่เด็กและเยาวชนวัย 14 ปี จะเข้าข่ายโจมตีตัวเองหรือไม่ นั้น ยอมรับ น่าสงสัย หลังพรรคการเมืองนี้ มีอุดมการณ์ต่างจากตัวเอง และส่วนตัวก็ไม่ได้ใส่ใจกับพรรคการเมืองดังกล่าว

ยืนยันไม่ได้กล่าวหา สส.พรรคก้าวไกล อยู่เบื้องหลัง สส.พรรคก้าวไกล อาจต้องการช่วยประชาชน พร้อมเตือนนักการเมืองกลุ่มนี้ว่า ต้องการช่วยสังคมหรือช่วย บุคคลที่เปรียบเสมือนขยะสังคม ให้มีมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ช่วงบ่ายที่ผ่านมา กลุ่มเพื่อนนายแพทย์เหรียญทองจำนวนมาก ได้นำดอกไม้ มามอบให้ นายแพทย์เหรียญทอง เพื่อให้กำลังใจ

‘เจ้าสาว’ ระทึก!! ‘ออร์แกไนซ์’ เทงานในวันแต่งงาน โชคดี!! มีออร์แกไนซ์อีกเจ้ามาช่วยจัดงานได้ทันเวลา

(16 พ.ค.67) สมาชิก TikTok @pangorganizer0624416965 ซึ่งเป็นออร์แกไนซ์จัดงานแต่ง ได้รับงานด่วนมาช่วยเจ้าสาวที่ถูกออร์แกไนซ์เจ้าหนึ่งใน จ.นครศรีธรรมราช ทิ้งงาน โดยระบุว่า… 

“มีเวลาทำ 1:30 ชม. ปลุกทีมงานตอนตี 4 ทีมงานกว่า 15 ชีวิต….กรี๊ดหนักมาก แต่เราคือมืออาชีพ ทีมงานอัญมณีทองนครศรีธรรมราช #อัญมณีทองนครศรีธรรมราช #อัญมณีทองนครศรีธรรมราช #รับจัดงานแต่ง #จัดงานแต่งครบวงจร”

ซึ่งในคลิปเป็นช่วงที่ทางทีมงานรีบเร่งจัดดอกไม้และเตรียมพื้นที่สำหรับงานแต่ง โดยมีขบวนขันหมากกำลังเดินเข้ามาในพิธี และต้องเร่งจัดให้ทัน ทีมงานทุกคนต่างเร่งสุดฝีมือเพื่อให้งานผ่านไปได้ด้วยดี จนกระทั่งทันเวลา

ซึ่งผู้โพสต์บอกว่า “เป็นทีมงานของอัญมณีทอง เนื่องจากมีออร์แกไนซ์ 1 เจ้าเทงานเจ้าสาว ทางเราก็เลยมาช่วย ซึ่งทีมงานตอนนี้ก็ยังไม่ได้นอน มาช่วยเจ้าสาวรวมกว่า 15 ชีวิต ซึ่งทันเวลาพอดี เรามาถึงหน้างานตอนตี 5 ครึ่ง แล้วพิธีสงฆ์ตอน 7 โมงเช้า กระชั้นชิดมาก”

‘ลิซ่า’ แกร่ง!! ผ่านทุกด่านทรหดในค่ายเพลงเกาหลีใต้ ส่งผลให้วันนี้ก้าวเดินอย่าง ‘สง่างาม’ ในเส้นทางของตนเอง

(16 พ.ค. 67) ผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กชื่อ ‘Sappisansook Yodmongkhon’ ได้โพสต์ข้อความถึงเส้นทางชีวิตการเป็นเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีจากค่ายใหญ่อันดับต้น ๆ ในประเทศเกาหลีใต้ของ ‘ลิซ่า’ ลลิษา มโนบาล สาวไทยสุดเก่งที่ขณะนี้กำลังโด่งดังไปทั่วโลก ว่า…

“ค่าย YG ดูแลเด็กในค่าย 2 มาตรฐาน ส่งลิซ่าไปออกรายการโหดมาก คนอื่น ๆ ไปออกรายการสวยงาม ดีที่น้องลิซ่ามีความอดทนแสดงความแข็งแกร่งเท่าที่จะทำได้ให้คนรอบตัวได้เห็น ขนาดพี่แมทธิวยังทนไม่ได้ต้องแอบช่วยน้อง แอบใช้มือตุ้มสัมภาระทหารของลิซ่าให้ ขอบคุณพี่แมทธิวมากๆ”

“ถ้าจำไม่ผิด รายการนี้รายการเดียวที่น้องลิซ่าได้ไปออกรายการคนเดียวในเกาหลี ลำบากหนักเหนื่อย คนอื่นได้ไปสบาย ๆ หมด รายการนี้ ศิลปิน ผช. ยังไม่ไป แต่ YG ส่งลิซ่าไป…”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ระบุเพิ่มว่า “ยังไม่นับอีกสารพัดที่น้องโดนจากค่ายหลังเดบิวส์ ไม่แปลกที่น้องไม่อาลัยอาวรณ์ ขอต่อสัญญาด้วยเงิน 2,400 ล้านวอน แต่น้องก็เซย์โน​ ลำพังน้องหาได้เยอะกว่านั้นอีกมหาศาล อย่าอ้างบุญคุณ เพราะน้องหาเงินให้เยอะแยะมหาศาล มันตอบแทนกันไปหมดนานแล้ว ตอนนี้ YG ที่ไม่มีลิซ่าขาดทุนยับ”

“เพราะลิซ่าได้ผ่านมาแล้วทุกความท้าทาย น้องจึงเป็นยอดเพชรประดับมงกุฎซึ่งทรงไว้ซึ่งความสง่างาม มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความรุ่งเรือง เลอค่า สมแล้วที่ใครก็ตามได้พบน้อง จะชื่นชมอย่างจริงใจ ไม่ว่า YG จะปฏิบัติกับน้องด้วยอคติ หรือเป็นแค่การทดสอบคนต่างชาติก็ตาม ขอบคุณที่ทำให้น้องเป็นเพชรจรัสแสงประกายเรืองโรจน์ เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงเรืองรองด้วยตนเองในที่สุด” 

‘ผอ.-ครู’ จ.สงขลา แต่งชุดแฟนซีจัดเต็ม รับเปิดเทอมวันแรก หวังสร้างสีสัน-ลดความกลัวต่อการมาโรงเรียนของเด็กอนุบาล

(16 พ.ค.67) ที่จ.สงขลา บรรยากาศเปิดเทอมวันแรก ที่โรงเรียนเทศบาล5 (วัดหาดใหญ่) ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครหาดใหญ่ ผู้อำนวยการโรงเรียนและครู 6 คน ได้แต่งกายด้วยชุดแฟนตาซี ทั้งแต่งเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง กัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ พระถังซัมจั๋ง สโนว์ไวท์ และเซเลอร์มูล ออกมารับนักเรียนที่ประตูทางเข้าโรงเรียนและพบปะกับผู้ปกครอง เพื่อสร้างสีสันในวันเปิดเทอมวันแรก และยังมีการแจกขนมให้ด้วย

น้อง ๆ หนูชั้นอนุบาลที่ต้องมาโรงเรียนเป็นวันแรก บางคนอาจจะยังกลัวกับการมาโรงเรียน แต่ปรากฏว่าเมื่อมาเห็นคุณครูแต่งตัวแบบนี้เด็ก ๆ ก็ชอบไม่ร้องไม่งอแง เพราะว่าจะเห็นจากในหนังในทีวีอยู่แล้ว พอมาเห็นคุณครูแต่งกายแบบนี้ก็ชอบใจ ไม่เฉพาะนักเรียนแต่ผู้ปกครองเห็นแล้วก็ชอบใจยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้

นายธานินทร์ แก้วจุรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเทศบาล5 (วัดหาดใหญ่) ซึ่งแต่งเป็นเจ้าชาย บอกว่า วันเปิดเทอมวันแรกต้องการให้เด็ก ๆ สนุกสนานกับการมาโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กอนุบาลที่มาโรงเรียนวันแรกบางคนอาจจะยังกลัวกับการมาโรงเรียนกลัวครู แต่เมื่อมาเห็นคุณครูแต่งกายด้วยชุดตัวละคร ตัวการ์ตูนที่ตัวเองชื่นชอบก็ทำให้เด็ก ๆ ยิ้มสนุกไม่ร้อง และชอบกับการมาโรงเรียน

ซึ่งได้ผลจริง ๆ ปีนี้เด็ก ๆ สนุกสนานมากแทบไม่ร้องกันเลย ต่างจากทุกปีที่โรงเรียนวันแรกเด็กบางคนอาจจะกลัวและติดบ้านติดผู้ปกครองพากันร้องไห้

‘บริษัทจีน’ เปลี่ยน ‘ฟางพืช’ เป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ 6-7 แสนตันต่อปี

(16 พ.ค. 67) จีนกำลังเดินหน้าผลักดันการใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานชีวมวล เพื่อช่วยบรรลุเป้าหมายคาร์บอนคู่ขนาน (dual carbon) ซึ่งบริษัทแห่งหนึ่งในนครจี่หนาน มณฑลซานตงทางตะวันออกของจีนก็ได้ทำตามแผนการนี้ ด้วยการเปลี่ยนฟางพืชประเภทต่าง ๆ สู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เกาเส้าเฟิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยชีวมวลของเซิ่งเฉวียน กรุ๊ป (Shengquan Group) กล่าวว่าส่วนประกอบหลักในฟาง ได้แก่ เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) ลิกนิน (lignin) และเซลลูโลส (cellulose) ส่วนประกอบเหล่านี้สามารถนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ได้หลายแบบ อาทิ สารทดแทนปิโตรเลียมและถ่านหิน เมทานอลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เอทานอลจากเซลลูโลส น้ำมันก๊าดสำหรับการบิน น้ำมันดีเซลและน้ำมันก๊าดชีวภาพ และอื่น ๆ

บริษัทเซิ่งเฉวียน ดำเนินโครงการกลั่นชีวมวลระดับล้านตันแบบบูรณาการระยะแรกมาตั้งแต่ปี 2023 จนขณะนี้สามารถแปรรูปฟางพืชได้ 500,000 ตันต่อปี ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 600,000-700,000 ตันต่อปี

ด้านถังเจิงหยวน กรรมการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศของเซิ่งเฉวียน กรุ๊ป กล่าวว่าปัจจุบัน สินค้าส่งออกหลักคือฟีนอลิกเรซิน (phenolic resin) และเรซินสำหรับหล่อ โดยมีประเทศปลายทางส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป และอเมริกา พร้อมเสริมว่าเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจในต่างประเทศของบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอยู่ที่กว่าร้อยละ 20 ต่อปี และมีอัตราการเติบโตสูงสุดราวร้อยละ 30 เมื่อปีก่อน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top