(6 มิ.ย. 68) จากประเด็นความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังร้อนระอุในขณะนี้ รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ 'กรรมกรข่าว คุยนอกจอ' ของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ถึงแนวทางที่รัฐบาลไทยควรใช้เพื่อตอบโต้กดดันทางการกัมพูชา ให้ยอมหันหน้าเข้าโต๊ะเจรจาอย่างสันติ โดยที่ไม่ให้ไทยต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
โดยนายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า ประเทศไทยไม่ควรเลือกใช้เส้นทางสงครามทางทหาร ในการแก้ไขปัญหาชายแดน เนื่องจากทั้งสองประเทศต่างทราบดีว่าการบุกรุกยึดครองกันนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง และหากเกิดการปะทะด้วยอาวุธ ก็จะนำมาซึ่งความสูญเสียและสร้างบาดแผลที่ยากจะเยียวยาในอนาคต ซึ่งจะส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่บริเวณชายแดน
ในฐานะที่ประเทศไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่ากัมพูชาอย่างมาก และมีประวัติศาสตร์ที่มีชั้นเชิงในการเจรจา จึงไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นการรบ แต่ควรเอาชนะความขัดแย้งนี้ด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงการบีบคั้นทางเศรษฐกิจ มุ่งเป้าไปที่ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย และมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฐานอำนาจของกัมพูชา โดยเฉพาะ 'ออกญา' ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในพื้นที่ต่างๆ โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์มักจะไปตั้งฐานในพื้นที่เหล่านี้ และเชื่อว่าออกญามีรายได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายนี้
นายรังสิมันต์ ชี้ว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทย และ ไฟฟ้าในพื้นที่ปอยเปตก็มาจากฝั่งไทย หากประเทศไทยสามารถตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตและไฟฟ้าในพื้นที่ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ได้ จะเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เพราะเป็นการหยุดรายได้มหาศาลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา และเป็นการแก้ปัญหาภายในประเทศของเราเองด้วย
นอกจากนี้นายรังสิมันต์ยังได้ระบุด้วยว่าไม่ทราบว่ามี 'ออกญา' คนใดที่เกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้าง แต่ทราบว่าบางคนมีสัญชาติไทย ดังนั้นทางการไทยสามารถใช้กลไกกฎหมายในประเทศเข้าจัดการได้เลย
ทั้งนี้นายรังสิมันต์มองว่าจะยังไม่ควรไปถึงข้อเสนอเรื่องปิดด่าน เพราะพื้นที่ซื้อขายในด่านชายแดนเป็นฝั่งไทยที่ได้ดุลการค้า แต่ก็ควรมีมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยข้ามไปเล่นคาสิโนในกัมพูชา เนื่องจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเล่นคาสิโนมาจากฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของกัมพูชา
นายรังสิมันต์เน้นย้ำว่า กัมพูชากำลังพยายามสร้างแต้มต่อให้มากที่สุด ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทูต และการทหาร เพื่อให้ตนเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบในการเจรจา ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องแก้โจทย์นี้ โดยต้องสร้างความชอบธรรมในเวทีนานาประเทศ ทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายรังแกกัมพูชาก่อน เพื่อให้ทุกประเทศเห็นว่าการเจรจาทวิภาคีเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ทั้งนี้นายรังสิมันต์ ตั้งข้อสังเกตว่า หลายประเทศรอบบ้านไม่ได้ 'เห็นหัว' ประเทศไทยเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 2557 ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทบทวนตัวเองในระยะยาว