Friday, 6 June 2025
Hard News Team

จีนออกหมายจับแฮ็กเกอร์ไต้หวัน 20 ราย พร้อมแบนบริษัทโยงขบวนการหนุนเอกราช

(5 มิ.ย. 68) ทางการจีนออกหมายจับชาวไต้หวัน 20 ราย ฐานต้องสงสัยเป็นผู้ดำเนินภารกิจแฮ็กข้อมูลในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยอ้างว่ากระทำในนามพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนเอกราชไต้หวัน

ตำรวจเมืองกวางโจวระบุว่าผู้ต้องหาอยู่ภายใต้การนำของบุคคลชื่อ 'หนิง เอินเหว่ย' แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความผิดทางอาญา ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนยังได้สั่งห้ามการติดต่อทางธุรกิจกับบริษัทไต้หวันชื่อ Sicuens International Company Ltd.

โดยบริษัทดังกล่าวถูกกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับนายพูม่า เสิ่น (Puma Shen) และบิดา ซึ่งทางการจีนเรียกว่าเป็น “ผู้สนับสนุนเอกราชไต้หวันระดับฮาร์ดคอร์” โดยนายเสิ่นยังเป็นหัวหน้าของ Kuma Academy ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการเตรียมความพร้อมของพลเรือนในกรณีเกิดสงคราม

โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีนระบุว่า “จีนจะไม่อนุญาตให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสนับสนุนเอกราชไต้หวันมาแสวงหาผลกำไรในแผ่นดินใหญ่” ขณะที่ หวันยังคงตอบโต้ด้วยการเสริมกำลังทางทหาร และส่งเสริมการฝึกอบรมด้านสงครามกองโจรในภาคประชาชน

เคทีซี -สมิติเวช เปิดวงเสวนาสุขภาพดี-การเงินแกร่ง ส่งเสริมแนวคิดการวางแผนชีวิตอย่างสมดุล

เคทีซีร่วมมือโรงพยาบาลสมิติเวชเปิดเวที KTC FIT Talk ครั้งที่ 14 ภายใต้หัวข้อ “สร้างภูมิ-ปลดล็อกภาระการเงินและปัญหาสุขภาพ ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ” ส่งเสริมแนวคิดการวางแผนชีวิตอย่างสมดุล ทั้งด้านสุขภาพและการเงิน รับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน

นางสาวสิรีรัตน์ คอวนิช ผู้บริหารสูงสุด ฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต หมวดสุขภาพและความงาม 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผย “พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต และมีการใช้จ่ายที่สะท้อนเป้าหมายชีวิตในระยะยาว มากกว่าการบริโภคเพื่อความสะดวกชั่วคราว โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและจำนวนสมาชิกที่ใช้บัตรต่างเติบโตมากขึ้นกว่า 50%” 

“ในปี 2568 นี้ เคทีซีวางกลยุทธ์จะขยายความร่วมมือไปยังพันธมิตรสุขภาพให้มากขึ้นทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงกลุ่มสมาชิกเคทีซีและผู้บริโภคให้มากที่สุด กล่าวคือ ไปที่ใดต้องเห็นสิทธิพิเศษจากเคทีซี รวมถึงกลุ่ม Wellness Lifestyle โดยจับมือกับพันธมิตรในกลุ่มโรงพยาบาล ฟิตเนส รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกายและเทคโนโลยีสวมใส่ (Wearable Devices) เพื่อตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่เน้นการดูแลสุขภาพของตัวเองและครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มคนอายุ 20-29 ปี มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ทั้งในกลุ่มโรงพยาบาล สปอร์ตและฟิตเนส ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการที่คนหันมาสนใจในเรื่องการดูแลสุขภาพเร็วขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย” 

นายแพทย์นรศักดิ์ สุวจิตตานนท์ อายุรแพทย์โรคหัวใจและการกีฬา โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เผยว่า “ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ แนวคิดใหม่ของการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่ทางการแพทย์ได้นำมาใช้ในการวินิจฉัยและติดตามข้อมูลสุขภาพของผู้บริโภค คือ Wearable Devices อย่างนาฬิกาอัจฉริยะ (Smartwatch) หรือแหวนอัจฉริยะ (Smart Ring) เพื่อยกระดับการดูแลสุขภาพเชิงรุก เปลี่ยนจากการรักษาเมื่อป่วยเป็นการตรวจจับความเสี่ยงและสัญญาณผิดปกติในระยะเริ่มต้น (Early Detection)”

“โรงพยาบาลสมิติเวช ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ ด้วย Samitivej Wearable Clinic บริการปรึกษาข้อมูลสุขภาพจาก Smartwatch และ Smart Ring ที่ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจากอุปกรณ์ผ่านแอปพลิเคชัน Well by Samitivej เพื่อประเมินสุขภาพเบื้องต้น (Pre-Screening) โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทั้งการนอนหลับ (Sleep) สุขภาพหัวใจ (ECG & Heart) โภชนาการ (Nutrition) การออกกำลังกาย (Sport) และสภาวะอารมณ์ (Emotion) ข้อมูลจาก Wearable Devices เป็นดัชนีสำคัญที่ช่วยให้แพทย์เข้าใจสุขภาพผู้ป่วยได้ดีขึ้น เช่น เห็นอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด อนาคตของการดูแลสุขภาพ Smartwatch จะเป็นอุปกรณ์ดูแลสุขภาพประจำตัว ข้อมูลจะถูกนำมาใช้กับระบบ Telemedicine เพื่อการรักษาเฉพาะบุคคลแบบเรียลไทม์ ทุกที่ทุกเวลา ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องใกล้ตัว ทำได้ทุกวัน ไม่ต้องรอให้ป่วย โรงพยาบาลสมิติเวช มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลจาก Wearable Devices พร้อมให้คำปรึกษาเฉพาะบุคคล ทั้งที่โรงพยาบาลและผ่านช่องทางออนไลน์ (Virtual Hospital) เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงคำแนะนำจากแพทย์ได้ง่ายยิ่งขึ้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ Call Center โทร 0 2022 2222 หรือ LINE @Samitivej”

นายอภิเชษฐ์ เกียรติวรคุณ, CFA  ผู้อำนวยการ - การเงิน 'เคทีซี' หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชูแนวคิดวางแผนการเงิน-สุขภาพอย่างสมดุล รับมือเศรษฐกิจผันผวนครึ่งหลังของปี 2568 “ในยุคที่เศรษฐกิจเปราะบางจากปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าและภาวะดอกเบี้ยขาลง ผู้บริโภคไทยจำเป็นต้องมีการวางแผนชีวิตที่รอบด้าน ทั้งในเรื่องการเงิน สุขภาพและจิตใจ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น คนไทยมีพัฒนาการด้านความรู้ทางการเงินดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการคิดก่อนซื้อและการออม แต่สิ่งที่ควรเพิ่มคือการวางแผนเกษียณในระยะยาวและแผนรับมือกับเหตุฉุกเฉิน ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ากว่า 80% ของคนไทยยังไม่มีแผนเกษียณที่ชัดเจน มีภาระหนี้สิน และสิ่งสำคัญที่อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนอาจมองข้าม คือ การมีโรคประจำตัวเรื้อรังที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการดูแลรักษา” 

“ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอน ผู้บริโภคและสมาชิกเคทีซีจึงจำเป็นต้องวางแผนด้านการเงินและสุขภาพอย่างรอบคอบมากยิ่งขึ้น สำหรับวัยทำงานควรเริ่มต้นจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ตั้งเป้าหมายทางการเงินตามสูตร 50-30-20 หรือ 60-20-20 มีเงินสำรองฉุกเฉิน และลงทุนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงของตนเอง รวมถึงฝึกวินัยทางการเงินผ่านระบบออมอัตโนมัติ ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และทบทวนแผนทุก 6 เดือน”

“สำหรับทางเลือกเพื่อพิจารณาในการลงทุนเพื่อการออม รับมือเศรษฐกิจปี 2568 ในกลุ่มหุ้น (Selective Underweight) ควรเน้นกลุ่มสาธารณูปโภค สินค้าอุปโภคและสุขภาพ หรือเลือกลงทุนในหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ที่มีตลาดกระจายหลายประเทศมากกว่าที่มีการกระจุกตัวของตลาด เน้นหุ้นบริโภคในประเทศที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ลดหุ้นส่งออกไปสหรัฐฯ โดยเฉพาะที่ไม่มีสิทธิยกเว้นภาษี ตราสารหนี้ เพิ่มน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและระยะยาว เลี่ยงตราสารหนี้เอกชนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น   อสังหาริมทรัพย์ และลดการถือพันธบัตรอิงเงินเฟ้อจากแนวโน้มเงินเฟ้อต่ำ สำหรับทองคำ สามารถค่อยๆ เพิ่มการลงทุนระยะยาวเพื่อป้องกันความเสี่ยง แนะนำถือทองในรูปแบบ USD รับมือค่าเงินบาทผันผวน หรือเข้าซื้อแบบทยอยเพื่อเฉลี่ยต้นทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจยังมีความผันผวน และอยากสนับสนุนให้ผู้บริโภคและสมาชิกเคทีซีให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการเงินและสุขภาพอย่างสมดุลและมีวินัย เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนให้กับชีวิตและครอบครัว”

นางสาวสิรีรัตน์กล่าวเพิ่มเติม “บัตรเคทีซีไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการใช้จ่าย แต่เป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยให้สมาชิกใช้เงินอย่างมีการวางแผน มีเป้าหมายและมีความรับผิดชอบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์อย่างเข้าใจ เพื่อให้สมาชิกเคทีซีได้ใช้ชีวิตที่มีคุณภาพอย่างที่ต้องการ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการใช้จ่าย จากใช้เพื่อความสะดวก เป็นใช้เพื่อคุณภาพชีวิต สำหรับสมาชิกเคทีซีที่ต้องการใช้บริการรับคำปรึกษาสุขภาพเชิงป้องกันผ่านนวัตกรรมเทคโนโลยี หรือดูแลรักษาสุขภาพที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพกับเคทีซีมายาวนาน สามารถรับโค้ดส่วนลด SMVxKTC  เมื่อรับบริการปรึกษาแพทย์ที่ Samitivej Wearable Clinic มูลค่า 800 บาท (ไม่รวมค่าบริการโรงพยาบาล) และชำระค่าบริการด้วยบัตรเครดิตเคทีซีผ่านแอปฯ Well by Samitivej ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2568 - 31 สิงหาคม 2568 นอกจากนี้สมาชิกบัตรเคทีซียังจะได้รับส่วนลด 10% สำหรับค่าห้อง และรับเครดิตเงินคืนไม่จำกัด เมื่อใช้บริการด้านสุขภาพต่างๆ ที่โรงพยาบาลสมิติเวช และมียอดใช้จ่ายตามกำหนด ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ธันวาคม 2568 รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://bit.ly/43ajCZd

SPCG กดปุ่มจ่ายไฟโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่น เสริมแกร่งธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

ตอกย้ำความสำเร็จร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ร่วมเปิดโครงการ Kagoshima Oura Mega Solar กำลังการผลิต 8.02 MW เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

บมจ.เอสพีซีจี หรือ SPCG ตอกย้ำความสำเร็จการร่วมลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น ร่วมพิธีเปิดโครงการ Kagoshima Oura Mega Solar กำลังการผลิต 8.02 MW ในเมืองคาโนยะ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ที่บริษัทร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 และเริ่ม COD ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ

ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางแผนมุ่งขยายการลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน และเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจรวมถึงความมั่นคงแก่ผลการดำเนินงานในระยะยาว 

ล่าสุด บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการเข้าร่วมลงทุนกับ TESS Holdings Co., Ltd. ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Kagoshima Oura Mega Solar ในเมืองคาโนยะ จังหวัดคาโกชิมะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง SPCG ร่วมลงทุนในสัดส่วนร้อยละ 20 คิดเป็นมูลค่าประมาณ 85,282,000 เยน

โครงการ Kagoshima Oura Mega Solar ดำเนินการโดย Kagoshima Oura Solar LLC มีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 8.02 เมกะวัตต์ (MW) โดยมีบริษัท Tess Engineering Co., Ltd. ในเครือของกลุ่ม Kazuki Yamamoto และเป็นพันธมิตรของ SPCG มาอย่างยาวนาน รับผิดชอบการดำเนินงานด้านวิศวกรรม จัดซื้อจัดจ้าง และก่อสร้าง (EPC) ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2566 และดำเนินการส่งมอบโครงการสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนมีนาคม 2568 รวมถึงเริ่มผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยมี Kyushu Electric Power Co., Inc. เป็นผู้รับซื้อไฟฟ้า เป็นระยะเวลารวม 18 ปี 1 เดือน อัตรารับซื้อไฟฟ้าในรูปแบบ FiT ที่ 36 เยนต่อหน่วย ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนตั้งแต่ไตรมาส 2/2569 ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งแก่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้มีพิธีเปิดโครงการดังกล่าวอย่างเป็นทางการที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีนาย Kazuki Yamamoto ประธานและ CEO ของบริษัท Tess Engineering Co., Ltd. เป็นประธานในพิธีร่วมกับตัวแทนจากบริษัทฯ และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและก่อสร้างโครงการ

“การลงทุนครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ SPCG ในการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ ตามเป้าหมายเป็นผู้นำในการลดคาร์บอนและขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาด โดย SPCG มุ่งมั่นหาโอกาสขยายการลงทุนในโครงการพลังงานที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการด้านพลังงานที่ยั่งยืน” ดร.วันดี กล่าว

'หมอเหรียญทอง' เปิดพื้นที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ เตรียมพร้อมรองรับการรักษาชีวิตกำลังรบ

(5 มิ.ย.68) พลตรี นายแพทย์เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ผมเป็นทหารเก่าและแก่แล้ว ถึงแม้ผมจะเรียนแพทย์ แต่ผมมีกำเนิดทางทหารมาจากการเป็นนักเรียนทหาร ผมถูกหล่อหลอมและเติบโตจากชีวิตนักเรียนทหารจนเริ่มรับราชการก็เป็นผู้บังคับหมวดเสนารักษ์ กองพันทหารราบ และไต่เต้าเติบโตเรื่อยมา

ชีวิตของผมจึงไม่ใช่แค่ชีวิตแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่ชีวิตของผมมีชีวิตของการเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่เพื่อนและน้องทหาร พวกเราชาวทหารมีจิตวิญญาณของการเป็นทหารแห่งองค์จอมทัพไทย รักชาติ ปกป้องเอกราชและอธิปไตยด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ

ยามใดที่พี่เพื่อนน้องของเราต้องรบ เราจะพร้อมรบ แม้เป็นทหารเก่า และแก่แล้ว หลายท่านแก่มากย่างอายุ 100 หรือเกิน 100 ก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน

เมื่อเอกราชอธิปไตยของชาติถูกคุกคาม บั่นทอน พวกเราจะมีความรู้สึกเดียวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย

เพราะนี่คือ จิตวิญญาณทหาร ของพวกเรา

ใครทำอะไรได้ก็จะสนับสนุนเกื้อกูลกัน ผมเป็นทหารบำนาญ เป็น ผอ.รพ.เอกชน ผมก็ยังพร้อมตามศักยภาพเท่าที่ผมทำได้ ผมอาจจะใช้อาวุธไม่เก่ง แต่ผมรักษาชีวิตกำลังรบได้ อนุรักษ์กำลังรบได้ ยังมีสมอง มีทักษะบางประการที่สนับสนุนกองทัพได้

ทหารเก่าๆ แก่ๆ อย่างผมและพี่ๆ จำนวนมาก คิดกันอย่างนี้ ไม่ได้มีแค่ไม่กี่คน...พวกเราไม่มีใครบ้าสงคราม แต่พวกเราพร้อมสละชีพเพื่อเอกราชและอธิปไตยโดยไม่เคยเสียดาย พวกเราหล่อหลอมกันมาอย่างนี้

ก่อนหน้านี้ พล.ต. นพ.เหรียญทอง ได้โพสต์ข้อความเรียนผู้บัญชาการทหารสูงสุด รพ.มงกุฎวัฒนะพร้อมเป็นอาสาสมัครพลเรือน สนับสนุนกองบัญชาการกองทัพไทยและเหล่าทัพ หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติการบินขนส่งลำเลียงผู้ป่วยทางอากาศ

ทั้งนี้ รพ.มงกุฎวัฒนะจะไม่เพียงแค่รับการส่งต่อผู้ป่วยทางอากาศเท่านั้น แต่จะสนับสนุนการรักษาผู้ป่วยอาการหนักขั้นสมบูรณ์อย่างเบ็ดเสร็จให้ด้วย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาศักยภาพพลเรือน รพ.มงกุฎวัฒนะ เพื่อบรรจุไว้ในแผนส่งกำลังบำรุงสายแพทย์ และแผนปฏิบัติการพลเรือน

หมายเหตุ

1. รพ.มงกุฎวัฒนะจะรื้อราวกันตกตามภาพแล้ว ติดตั้งตาข่ายนิรภัย[Safety net] พร้อมระบบไฟแสงสว่างนำร่อง-กรวยลม-อุปกรณ์ลานเฮลิคอปเตอร์และสัญลักษณ์[Marking]ตามมาตรฐาน ICAO ในทันทีที่กองทัพไทยต้องการให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ เป็น 'ที่ขึ้นลง' ในการส่งต่อผู้ป่วยทางอากาศ

2. รพ.มงกุฎวัฒนะเตรียมการลานเฮลิคอปเตอร์ ตั้งแต่ออกแบบ และก่อสร้างมานานแล้ว สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์ Maximum Take-Off Weight [MTOW] น้ำหนัก 4,500 กิโลกรัม (ผมเป็นอดีตหัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์การบิน กองทัพบก ผ่านการฝึกจากองค์การบริหารการบินสหรัฐฯ [FAA] และเป็นกรรมการนิรภัย กรมการบินพาณิชย์ตามข้อกำหนด ICAO)

รัสเซียขึ้นบัญชีดำ British Council อ้างเป็นภัยต่อความมั่นคงชาติ

(5 มิ.ย. 68) สำนักงานอัยการสูงสุดรัสเซียประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ได้รับรองให้กิจกรรมของ British Council องค์กรนานาชาติของสหราชอาณาจักร เป็น 'กิจกรรมที่ไม่พึงประสงค์' ภายในประเทศ โดยระบุว่าองค์กรนี้แม้จะอ้างตัวว่าเป็นหน่วยงานอิสระ แต่กลับดำเนินงานสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร และได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ

ด้านหน่วยงานความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (FSB) ออกแถลงการณ์แนะประเทศพันธมิตรให้ปิดกิจกรรมของ British Council เช่นกัน โดยอ้างว่าหน่วยงานนี้พยายามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของรัสเซียในช่วงปฏิบัติการพิเศษในยูเครน

FSB ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้ตรวจพบการทำงานด้านข่าวกรองของกองทุน Oxford Russia Fund จากสหราชอาณาจักร ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ถูกจัดให้เป็นองค์กรไม่พึงประสงค์เช่นกัน โดยกล่าวว่าเป็นกิจกรรมแทรกแซงและบ่อนทำลายเสถียรภาพของประเทศ

ท่าทีล่าสุดนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียและสหราชอาณาจักรที่ยังคงเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสงครามในยูเครน และข้อกล่าวหาเรื่องแทรกแซงทางการเมืองและข่าวกรองระหว่างประเทศ

สำหรับ British Council เป็นองค์กรระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักร ก่อตั้งขึ้นในปี 1934 โดยมีภารกิจหลักในการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประเทศผ่านการแลกเปลี่ยนด้านภาษา วัฒนธรรม และการศึกษา โดยทำงานในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รวมถึงรัสเซีย ซึ่งเริ่มดำเนินงานในประเทศตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990 หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต โดยมีบทบาทในการส่งเสริมภาษาอังกฤษและความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างรัสเซียกับสหราชอาณาจักร

‘ชัยชนะ’ นำคณะ กมธ. ตำรวจ ลงพื้นที่ช่องบก ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชายแดนปกป้องแผ่นดินไทย

(5 มิ.ย.2568) นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายวุฒิพงษ์ นามบุตร สส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ นำคณะ เดินทางลงพื้นที่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยเดินทางไปที่องค์การบริหารส่วนตำบลโดมประดิษฐ์ เพื่อมอบ น้ำดื่ม เครื่องบริโภค อุปโภค รวมทั้งให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ตชด. ที่ปฏิบัติหน้าที่เสียสละ เพื่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ

หลังจากนั้นได้นำคณะเดินทางไปเยี่ยมและให้กำลังใจกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ในการตั้งฐานปกป้องแผ่นดินไทย ที่ ช่องบก ด่านบ้านแก้งเรือง และด่านมรกต

นอกจากการเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจผู้พิทักษ์ชายแดนแล้ว คณะของนายชัยชนะและนายวุฒิพงษ์ ยังได้พูดคุยกับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย เพื่อหารือเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

นายชัยชนะ กล่าวเน้นย้ำว่า ในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจ และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะ สส. ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้อย่างถึงที่สุด เราขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้เสียสละ เพื่อความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศ

‘ทรัมป์’ หมดความอดทน ‘อีลอน มัสก์’ โจมตีร่างงบฯ ทำสัมพันธ์เริ่มสั่นคลอน และศึกนี้อาจไม่จบง่าย

(5 มิ.ย. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มหมดความอดทนแต่ยังคงเงียบ ไม่ตอบโต้แม้อีลอน มัสก์ จะวิจารณ์ร่างกฎหมายงบประมาณหลักอย่างหนัก โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวเผยว่า ทรัมป์ยังไม่ถือเป็นเรื่องส่วนตัว แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกพาดพิง ซึ่งช่วยให้สถานการณ์ยังไม่ลุกลามเป็นความขัดแย้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม การโจมตีของมัสก์ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่สอง ทำให้เจ้าหน้าที่บางรายเริ่มกังวลว่าทรัมป์อาจเปลี่ยนท่าที หากมัสก์ยังเดินหน้าโจมตี โดยเฉพาะผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นบททดสอบใหญ่ของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ที่เคยแน่นแฟ้น

มัสก์ใช้เวที X (เดิมคือ Twitter) วิจารณ์ร่างกฎหมายว่าเป็น 'ความน่ารังเกียจ' แม้เพิ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทรัมป์ในทำเนียบขาวเมื่อไม่กี่วันก่อน ขณะเดียวกันฝ่ายทรัมป์พยายามลดกระแส โดยชี้ว่ามัสก์โกรธเพราะร่างกฎหมายตัดสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เป็นประโยชน์ต่อ Tesla

แม้ที่ปรึกษาบางคนของทรัมป์เริ่มเสนอแนวทางตอบโต้ แต่ทรัมป์ยังไม่แสดงท่าทีสาธารณะใด ๆ โดยคาดว่าหากมีการตอบโต้ จะเกิดขึ้นบน Truth Social สื่อส่วนตัวของเขาเท่านั้น อย่างไรก็ตามความเงียบนี้อาจไม่ยั่งยืน หากมัสก์ประกาศสนับสนุนผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกันในอนาคต

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า แรงกดดันจากมัสก์อาจสร้างปัญหาให้ฝ่ายนิติบัญญัติที่ต้องเลือกระหว่างความจงรักภักดีต่อทรัมป์ กับอิทธิพลของมหาเศรษฐีที่มีทั้งแพลตฟอร์มและเงินทุนมหาศาล

‘เซเลนสกี’ ปัดข้อเสนอหยุดยิงจากรัสเซีย ชี้เป็นแค่ ‘ละครการเมือง’ เรียกร้องเจรจาโดยตรงกับปูติน

(5 มิ.ย. 68)  ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงจากรัสเซีย พร้อมเรียกร้องให้มีการเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน เพื่อยุติสงครามที่ยืดเยื้อเกือบ 3 ปีครึ่ง โดยระบุว่าการเจรจารอบที่สองในนครอิสตันบูลเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. เป็นเพียงการถ่วงเวลาและสร้างภาพว่ารัสเซียต้องการสันติภาพ

เซเลนสกีกล่าวว่า เอกสารที่รัสเซียยื่นเสนอนั้นไม่มีสาระสำคัญและเปรียบเสมือน 'สแปมทางการทูต' ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกับการเจรจาล้มเหลวในช่วงเริ่มต้นของสงคราม พร้อมเสนอแนวคิดหยุดยิงชั่วคราวก่อนการจัดประชุมสุดยอดกับปูติน และอาจรวมถึงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยหลัก

ผู้นำยูเครนย้ำว่า การหยุดยิงควรเป็นเงื่อนไขก่อนการเจรจาผู้นำ เพื่อแสดงความจริงใจของทุกฝ่าย หากไม่มีความพร้อม การหยุดยิงจะสิ้นสุดทันทีหลังการประชุม แต่หากมีท่าทีร่วมมือ ก็สามารถขยายระยะเวลาหยุดยิง พร้อมการรับประกันจากฝ่ายสหรัฐ

ในอีกด้านของสมรภูมิ ยูเครนยังเดินหน้าโจมตีฐานทัพรัสเซีย โดยเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ได้ปฏิบัติการ 'ใยแมงมุม' โจมตีสนามบิน 4 แห่ง ทำให้เครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซียเสียหายราวหนึ่งในสาม ขณะที่รัสเซียยังคงตอบโต้ด้วยการยิงถล่มพื้นที่ชุมชนในยูเครน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บ 28 รายในเมืองซูมือ ใกล้ชายแดนตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน

คปท. จี้ ‘ภูมิธรรม’ ใช้กลไกสมช. แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ลั่น!! อย่าเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ‘ทักษิณ - ฮุนเซน’

กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย จี้ ‘ภูมิธรรม’ ใช้กลไก สมช. แก้ปมชายแดนไทย-กัมพูชา แนะให้อำนาจทหารตัดสินใจในพื้นที่ หวั่นฝ่ายการเมืองเกรงใจ ‘ทักษิณ-ฮุนเซ็น’ กดดันกองทัพ ชี้พร้อมจับตา JBC 14 มิ.ย. ห่วงชายแดนระอุซ้ำอีกครั้ง

(5 มิ.ย.68) - กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) นำโดย นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท. ได้เดินทางไปที่กระทรวงกลาโหม เพื่อแสดงจุดยืนและยื่นข้อเรียกร้องต่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เร่งแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังตึงเครียดให้เกิดความสงบเรียบร้อยโดยเร็ว

คปท. เสนอให้รัฐบาลใช้กลไกของ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานดูแลด้านความมั่นคงโดยตรง ให้เข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากกว่านี้

นายพิชิต ตั้งข้อสังเกตว่า นายภูมิธรรม อาจจะเกรงใจความสัมพันธ์ส่วนตัว ระหว่างสองครอบครัว และระหว่างนายทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซ็นอยู่หรือไม่ โดยย้ำว่าสถานการณ์ชายแดนวันนี้ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นความขัดแย้งที่อาจจะบานปลาย จึงมองว่าไทยต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนมากกว่านี้

แกนนำ คปท. ยืนยันว่า กลุ่มไม่ได้ออกมากดดันกองทัพ แต่ต้องการสื่อสารไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพลเรือน ซึ่งขณะนี้มีท่าทีตกเป็นรองทางการเมืองฝ่ายกัมพูชา รวมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ไม่เคยแสดงท่าทีตอบโต้อย่างชัดเจนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาปลุกระดมและอ้างสิทธิ์ในพื้นที่เขตแดนที่ยังตกลงกันไม่ได้ คปท. มองว่าแม้ทิศทางทางการเมืองตอนนี้จะตกเป็นรองกัมพูชา แต่ทิศทางด้านความมั่นคงต้องไม่ตกเป็นรอง

คปท. ย้ำว่าจะจับตาการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชาที่กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และเห็นว่าไทยต้องมีจุดยืนชัดเจนก่อนที่จะไปเจรจากับกัมพูชา

นอกจากนี้ คปท. ยังเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้อำนาจกองทัพตัดสินใจในพื้นที่ชายแดนมากกว่านี้ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาชายแดนจากเบาไปหาหนัก เช่น ข้อเสนอการปิดชายแดน แต่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร

นายพิชิต เชื่อว่ากองทัพมีท่าทีที่ดีแล้ว แม้จะดูนิ่ง แต่ก็พร้อมรบ และไทยเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางกองทัพมากกว่ากัมพูชา แต่ที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองเป็นผู้ชักนำ และกองทัพก็ให้เกียรติฝ่ายการเมือง ดังนั้นวันนี้ถึงเวลาที่ฝ่ายการเมืองต้องให้เกียรติกองทัพตัดสินใจ โดยเชื่อว่าแผนที่กองทัพเสนอรัฐบาลมีหลายข้อแต่ถูกปฏิเสธไป และมองว่าหลังการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ อาจจะเกิดสถานการณ์รุนแรงขึ้นได้ จึงต้องเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช้กลไกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ เข้าแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาให้มากที่สุด

หลังจากนั้น คปท.ได้เคลื่อนไปแสดงจุดยืนที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก ราชดำเนิน เพื่อให้กำลังใจพลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในการดูแลสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบตำรวจภูธรภาค 4 จัดเสวนาสัญจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา ของพรรคประชาชน

(5 มิ.ย.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” โดยมี พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) , พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร์ รอง ผบช.ภ.4 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและอดีตผู้บังคับบัญชาของตำรวจภูธรภาค 4 ได้แก่ พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.อ.กวี สุภานันท์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจจบูลย์ อดีต ผบช.ภ.4 , พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ์ อดีต ผบช.ภ.4 , พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา อดีต ผบช.ภ.4  ตลอดจนผู้บังคับการตำรวจภูธรทุกจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมพิธี ณ ห้องประชุม ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4         

การเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่ สส.พรรคประชาชน ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยเสนอแก้ไขกฎหมายปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น โดยเฉพาะการให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน และการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ แม้บางฝ่ายจะเห็นว่าร่างกฎหมายเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวน แต่มีอีกหลายความเห็นที่มองว่าจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนงานสืบสวนสอบสวนที่ซ้ำซ้อน จนทำให้เกิดความล่าช้าโดยไม่จำเป็น กระทบสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับสิทธิของการอำนวยความยุติธรรมด้วยความรวดเร็ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวจากข้าราชการตำรวจ  องค์กรในกระบวนการยุติธรรม และประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้เริ่มรับฟังความเห็นในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1 และตำรวจภูธรภาค 7 ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีคณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นผู้จัดงานเสวนา  

สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้ตำรวจภูธรภาค 4 และคณาจารย์ของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชนบนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เชิญวิทยากรจากอัยการจังหวัดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4  อาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ร่วมการเสวนา ประกอบด้วย พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร  นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ/อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พ.ต.ต.สันติ มุริจันทร์  อัยการจังหวัดหนองบัวลำภู , นายอภิศิษฏ์  ภู่ภัทรางค์ รองอัยการจังหวัดขอนแก่น , ดร.สุชาติวัฒน์  ณัฏประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น และมีพนักงานสอบสวน ข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวน ระดับผู้กำกับการถึงรองสารวัตร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรภาค 4) อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย พร้อมด้วยภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 300 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญา ของพรรคประชาชนนั้น มีหลักการให้พนักงานอัยการเข้ามากำกับดูแลงานสอบสวน เช่น ให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ รวมทั้งตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญหรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งในการเสวนาวันนี้ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ถึงผลกระทบของร่างกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนกันของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซึ่งอาจทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น รวมทั้งไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาของประเทศไทย และไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของพนักงานอัยการที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้สรุปผลการเสวนาของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ รวบรวมกับการเสวนาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ครั้งก่อน (พื้นที่กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง) รวมทั้งที่จะจัดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 รวมทั้งสิ้นจำนวน 4 ครั้ง นำมาจัดทำเป็นความเห็นที่มีต่อร่างกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานไปยังสภาผู้แทนราษฎรต่อไป  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top