(21 เม.ย. 68) ศึกชิงเก้าอี้ สส.เขต 8 นครศรีฯเกิดจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งของ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 นครศรีฯ พรรคภูมิใจไทย ตามคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พูดง่ายๆคือให้ใบแดงนั้นเอง
กกต.กำหนดให้เลือกตั้งวันที่ 27 เมษายน 2568 มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง 6 คน จาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย
หมายเลข 1 : ไสว เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย สามีของมุกดาวรรณนั้นเอง
หมายเลข 2 : ชินวรณ์ บุณยเกียรติ จากพรรคประชาธิปัตย์ อดีต สส.เขตนี้ 9 สมัย
หมายเลข 3 : ณัฐกิตติ์ อยู่ด้วง จากพรรคประชาชน
หมายเลข 4 : ว่าที่พันตรี กวี ไกรทอง จากพรรคพร้อม
หมายเลข 5 : ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ลูกเขยของชินวรณ์
หมายเลข 6 : พิษณุ รสมาลี จากพรรคทางเลือกใหม่
อาจกล่าวได้ว่า สนามเลือกตั้งนี้ สูสีกันมาก ไม่มีใครกล้าฟันธงว่า ใครจะเข้าวิน มีแต่พูดกันในแวดวง หรือโต๊ะกาแฟ แต่ภาพกว้างๆ คือ มีผู้สมัครจากพรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรค คือ ประชาธิปัตย์ กล้าธรรม และภูมิใจไทย และซีกฝ่ายค้าน อย่างพรรคประชาชน ส่วนพรรคพร้อม และพรรคทางเลือกใหม่ ยังไม่มี สส.ในสภา บางคนอาจจะมองว่า พรรคร่วมรัฐบาล 3 พรรคแย่งคะแนนกันเอง อาจจะกอดคอกันแพ้ และทำให้ตาอยู่อย่างพรรคประชาชนคว้าพุงปลามันไปกิน แต่ในทางการเมืองไม่ง่ายขนาดนั้น ต้องยอมรับความจริงก่อนว่า คนใต้ยังไม่ให้โอกาสกับพรรคประชาชนในทุกสนามเลือกตั้ง ยังติดภาพของ ม.112 และการหาเสียงครั้งนี้การพยายามสร้างกระแสนั้น กระแสยังไม่ขึ้น ไม่เหมือนครั้งการเลือกตั้งที่ราชบุรี หรือพิษณุโลก
ส่วนพรรคซีกรัฐบาล 3 พรรค น่าจะคนละฐานเสียงกัน ต่างพรรคต่างคนต่างก็มีฐานของตัวเอง งานนี้ใครจัดตั้งได้ดี มีเครือข่ายเหนียวแน่นจึงมีโอกาสชนะ ผมคงไม่วิเคราะห์ในเชิงของการใช้ปัจจัยชี้นำ
ขออนุญาตที่จะวิเคราะห์ในเชิงตัวเลข โดยภาพรวมประชากร 150,000 คน จะมี สส.ได้ 1 คน กล่าวสำหรับเขต 8 นครศรีฯ อันประกอบด้วย ฉวาง ช้างกลาง นาบอน และพิปูน และฐานใหญ่อยู่ที่ฉวาง
อ.ฉวาง ถิ่นของชินวรณ์ และก้องเกียรติ มีประชากร 64,749 คน อ.ช้างกลาง ถิ่นของไสว มีประชากร 28133 คน พิปูน ถิ่นของณัฐกิตติ์ มีประชากร 28808 และนาบอน มีประชากร 26046 คน โดยรวมแล้วมีประชากร 147,735 คน น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ 2265 คน
ประชากรผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เอาตัวเลขกลมๆ ประมาณ 120,000 คน สมมุติว่า มาใช้สิทธิ์ 60% ก็น่าจะมีตัวเลขผู้มาใช้สิทธิ์ 72,000 กว่าคน ประมาณการณ์ได้ว่า ผู้สมัครคนใดทำคะแนนได้เกิน 20,000 ต้นๆ ก็จะมีสิทธิ์คว้าชัยชนะ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” ที่เคยชนะก็มีคะแนน 20,000 ต้นๆ ตามด้วย สุนทร รักษ์รงค์ จากพรรคพลังประชารัฐ เกือบ 18.000 คะแนน
ชินวรณ์ ก้องเกียรติ และไสว มีโอกาสที่จะทำคะแนนถึง 20.000 ใกล้เคียงกัน ส่วนฐานเดิมของพรรคประชาชน ก็อยู่ในหลักหมื่นต้นๆ ด้วยชินวรณ์เคยเป็น สส.เขตนี้มายาวนานโครงสร้างเครือข่ายยังมีอยู่ แต่ประมาทไสวไม่ได้กับการเป็น สส.มาสองปีของภรรยา และยังเคยเป็น ส.อบจ.มาก่อนด้วย ย่อมจะสร้างเครือข่าย สร้างฐานมวลชนไว้ไม่น้อย ประกอบกับไสวเคยเป็นครูในย่านนี้ลูกศิษย์ลูกหามีอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับก้องเกียรติ ที่เคยเป็น ส.อบจ.ฉวางมาก่อน ย่อมจะมีเครือข่าย ฐานมวลชนอยู่ในมือเป็นกอบเป็นกรรม เพียงแต่ว่าช่วง 20 กว่าวันของการหาเสียงกับอีก 7 วันสุดท้าย ใครจะทำอะไรได้มากกว่ากัน มากกว่าการที่ใจถึงควักจ่ายมากกว่ากัน
พรรคภูมิใจไทยอย่าได้คิดว่า จะเอาคะแนนของมุกดาวรรณ กับคะแนนของสุนทรมารวมกันแล้ว มีคะแนนเกือบ 40,000 แล้วจะชนะ เพราะไม่ควรลืมว่า คราวนี้สุนทรไม่ได้ลงสมัครเอง คะแนนเดิมของสุนทรอาจจะแกว่งไปไหนก็ได้ เช่นกันคะแนนที่เคยเลือกมุกดาวรรณ อาจจะแปลเปลี่ยนไปเลือกใครก็ไม่รู้ กับบาดแผล “ใบแดง” หรือว่าใบแดงอาจจะแปรเป็นคะแนนสงสารก็ได้
โค้งสุดท้ายแล้ว หรือมวยยกสุดท้าย สำหรับศึกเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ เขาจึงได้เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของแต่ละพรรคลงไปเต็มพื้นที่แล้ว 27 เมษายน วันพิพากษาของประชาชน ใครจะเดินเข้าวิน กองเชียร์ระทึกครับ