Sunday, 19 May 2024
Hard News Team

‘จอยซ์ TK’ เล่าชีวิตในคุก 8 ปี ทุกข์ใจ-นั่งกาปฏิทินทุกวัน สุดท้ายตกผลึกกับตัวเอง-ปรับเปลี่ยนแนวคิดในหลายๆ เรื่อง

พ้นโทษออกมาได้เกือบ 11 ปีแล้ว สำหรับ ‘จอยซ์ TK’ (ไทรอัมพ์ส คิงดอม) หรือ ‘กรภัสสรณ์ รัตนเมธานนท์’ หลังต้องโทษคดียาเสพติด ต้องติดคุกนาน 8 ปี 10 เดือน ซึ่งในช่วงเวลาที่ต้องอยู่ในเรือนจำ ก็ทำให้เจ้าตัวได้เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างมากมาย โดย จอยซ์ ได้ออกมาเปิดใจแบบหมดเปลือก ผ่านรายการ Made My Day วันนี้ดีที่สุด ทางช่อง Thai PBS ในเทปวันที่ 29 เม.ย. 67 กับพิธีกร ‘อุ๋ย บุดด้าเบลส’ ว่าในการต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เหมือนกับสถานที่ที่เปลี่ยนชีวิต และสร้างตัวตนใหม่ให้กับเธอไปตลอดกาล

“ตอนโดนจับชีวิตเปลี่ยน มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงให้เป็นในวันนี้ แต่เหตุที่จะต้องโดนก็โทษใครไม่ได้ อยู่สน.ไม่โทร.หาใครเลย เพราะเรารู้ว่ามันผิด เราไม่ควรขอความช่วยเหลือจากใคร ขอจบด้วยตัวเอง ทุกคนรู้ว่าอยู่สน.ตอนออกข่าว แม้กระทั่งป๊า ป๊านี่คือสุดยอด เขาไม่เคยทิ้งเลย เขาอยู่เคียงข้างเราในทุก ๆ มิติ เขาไม่มีคำพูดว่า เขาเดินเข้ามาตบไหล่ ไม่เป็นไรนะ ๆ ป๊าอยู่ตรงนี้ สามัญสำนึกมาเลย ว่าเราทำแบบนี้ได้ยังไง ปลดล็อกด้วยตัวเอง"

"ไม่เคยถามว่าป๊ารู้สึกยังไง หรือป๊าโทษตัวเองไหม แต่คิดว่ามันก็เป็นปัญหาแหละ การที่เราไปอยู่ในเรือนจำ หมายความว่าเรากำลังสร้างความทุกข์ให้คนในครอบครัว ทุกคนร่วมทุกข์ไปกับเรา อย่างน้อยเขาต้องโดนสังคมว่า พ่อไอ้ขี้คุก แล้วเขาก็เผชิญชีวิตอยู่อย่างนั้นมาในระยะเวลาที่เราติดคุก แต่เขาก็ไม่เคยมาพูดว่าเขาเจออะไรบ้าง แต่ป๊าเขาก็ปลีกตัวจากสังคมประมาณหนึ่งเหมือนกัน"

"วันที่เราเข้าไปข้างใน คือวันที่โดนจับ จัดการความรู้สึกตัวเองไปแล้ว เรายังรู้สึกว่าเราไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร เรารู้สึกว่าการเข้าไปอยู่ข้างใน คือการปรับตัวที่เราต้องจัดการกับความรู้สึกตัวเอง ถามว่าวันนั้นแคร์ใครข้างนอกไหม ว่าเขาทุกข์แล้ว วันนั้นยังคิดไม่ได้หรอก เอาทุกอย่างแค่ตัวเอง พอเข้าไปอยู่แล้ว แรก ๆ คิดว่าปรับตัวได้ กูเก่ง กูต้องอยู่ได้สิวะ เปลี่ยนที่นอน เหมือนไปนอนบ้านเพื่อน" 

"คิดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกเลย จนกระทั่งผ่านไป 3-4 ปี คือมันตกผลึก มันมีช่วงเวลาที่เราเข้าไป แล้วเราคิดว่าก็เหมือนไปนอนบ้านเพื่อนเปล่าวะ ก็แค่เปลี่ยนที่นอน ทุกวันนี้พฤติกรรมถูกละลาย จากการไปอยู่ในเรือนจำมาแล้วปลดล็อกความคิด ทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองชอบแบบนี้ ชอบตัวเองที่มองตัวเองมาแล้วชอบและภูมิใจ"

"สิ่งที่ไปเผชิญมีเรื่องของการปรับตัว การตื่นเช้า สวดมนต์ ต่อแถวอาบน้ำ 3 ขัน ห้องแรกรับในสมัยที่เราเข้าไป มันเป็นห้องที่เข้าไปเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบ และปรับตัวในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนจะถูกจำแนกไปที่อื่น แล้วสมมติว่าจังหวะที่เราเข้าไป มีคนโดนจับพร้อมกัน 50 คน ทุกคนก็จะไปรวมกันอยู่ห้องนี้ นั่นหมายความว่า ห้องเล็ก ๆ ห้องนี้อจะเบียดไปด้วย 50 คน เวลานอนก็จะนอนติด ๆ กัน เพื่อนตะแคงซ้าย ก็ต้องตะแคงทั้งแถว ถ้าลุกไปเข้าห้องน้ำก็ที่หาย นี่คือการปรับตัวที่ต้องปรับกับคนหลาย ๆ รูปแบบ"

"ตอนที่โดนตัดสิน เราเห็นตัวเลขเรา 8 ปี เราแม่xกาปฎิทิน ว่าอีก 3 ปีกูทนไหววะ อีก 2 ปีกูทนไหววะ อีกนิดหนึ่งวะ แต่พอวันหนึ่งไปฟังอุทธรณ์มา เป็นตลอดชีวิต เหลือ 33 ปี ช็อตเลย กลับมาไข้ขึ้นเลยจ๊ะ"

"ก็เลยเปลี่ยนชีวิตตัวเอง หาทางจัดการกับความทุกข์ เริ่มจากไปอ่านหนังสือไปยืมหนังสือจากในห้องสมุด เราสามารถอ่านหนังสือเล่มหนา ๆ ภายใน 4 วันจบ ไม่ได้เป็นคนรักการอ่าน ไม่ได้รักการเรียน ไม่เคยสนใจเรื่องการอ่านหนังสือเลย แต่พออ่านปุ๊บ เฮ้ย…ดีวะ ได้ประโยชน์จากหนังสือเยอะแยะ เหมือนพาเราออกไปประเทศโน่น ประเทศนี้ มีความคิด เลยรู้สึกว่าเราสามารถอยู่ได้ด้วยการเอ็นจอยกับต้นไม้ กับนกบนท้องฟ้า อย่างน้อยข้างนอกเขาก็เห็นก้อนเมฆก้อนเดียวกับเรานะ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ตรงนี้ทำให้เราพ้นทุกข์"

"เปลี่ยนมุมมอง จากอ่านหนังสือ เรียนหนังสือ มาวางแผนเรียนปริญญาโท สมมติต้องอยู่อีก 20 ปี กำหนดโทษ 15 ปี ถ้า 15 ปีสามารถย้ายไปคุกนี้ได้ คุกนี้สามารถเรียนปริญญาโทได้ เดี๋ยวพอถึงอีก 12 ปี เราค่อยไปเรียนปริญญาโทที่นี่แล้วกันนะ พอไปเรียนแล้วค่อยมาดูว่าชีวิตจะยังไงต่อไป เราวางแผนแบบนั้น ถามว่ารู้ว่าตัวเองติดเยอะ แล้วจะเรียนไปทำไม สำหรับเรา เรารู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์ มันมีเรื่องให้เราภูมิใจ เรารู้สึกว่ากูทำมันได้วะ รู้สึกว่ากูมีความสามารถ พอเราภูมิใจมันก็จะหลุดจากเรื่องทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ควรจะทุกข์ออกมา"

"เราเรียนสายอาชีพตั้งแต่ตัดผม งานศิลปะ เรียนภาษาอังกฤษ เรียนคอมพิวเตอร์ ทำทุกอย่างเลย ใบประกาศนียบัตรเป็นปึก ถ้าจะบอกว่าอย่างหนึ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจเราตอนอยู่ในนั้นคือความภูมิใจ ก็น่าจะใช่ แต่มันช่วยบำบัดจิตใจเราได้ในช่วงเวลาที่ทุกข์ ช่วยให้มีสติปัญญามากขึ้น และทำให้ได้ความรู้ ส่วนกำลังใจหลัก ๆ ก็มาจากครอบครัว อาทิตย์หนึ่งมาเยี่ยมได้ 1 ครั้ง แล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ก็คือป๊านั่นแหละ ที่จะมาหาเราทุกอาทิตย์ เราก็รู้สึกโหยหาครอบครัวนะ บางทีก็ร้องไห้งอแงใส่เขา จากที่เป็นคนร้องไห้ยาก แต่ข้างในปรับพฤติกรรมเราหมด"

"พอคำสั่งฏีกามาว่าพรุ่งนี้ต้องไปศาล เราก็แค่ไปศาลแล้วฟังคำตัดสิน เราเลิกหวังกับเรื่องข้างนอกตั้งแต่อุทธรณ์มาแล้ว ไม่คิดว่าจะได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ไม่คิดว่าจะได้กลับบ้านวันนั้นด้วยซ้ำ เราไม่เคยเห็นภาพตัวเองและไม่เคยจินตนาการ ว่าวันหนึ่งจะได้ออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอกอย่างอิสระ"

"โมเมนต์ที่รู้ว่าจะได้ออกวันนั้นคือช็อก ไม่อยากกลับบ้าน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดูเตรียมใจมาเลย ช็อก ร้องไห้ อยากวิ่งกลับเข้าไปในคุกเลย เพราะไม่ได้เตรียมใจ ไม่ได้วางแผน ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตยังไง ไม่รู้จะทำยังไงให้คนอื่นเขาโอเคกับเรา คิดไปต่าง ๆ นานา ว่าพอเราก้าวออกไป สายตาคนอื่นที่เขามองมา เขาต้องมองเราเป็นไอ้ขี้คุกแน่เลย แล้วเราจะดำเนินชีวิตในสังคมยังไง เราไม่มีอะไรที่มันได้ตั้งตัวเลยสักเรื่องหนึ่ง จนกระทั่งวันที่ได้ออกมาจริง ๆ ก็ยังกลัวเข้าไปใหญ่ นักข่าวรอเต็มไปหมด ความที่เราปิดตัวเองมาเกือบ 9 ปี ก็ยังงงกับสื่อและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปหมด เป็นอยู่อย่างนั้นประมาณ 1-2 เดือน"

"ด้วยความที่บ้านมีฟาร์มกุ้งอยู่ที่ตราด เราก็ไปเก็บตัวอยู่ในฟาร์ม ไม่ติดต่อใคร ไม่เอาอะไรเลย โบ (สุรัตนาวี สุวิพร) ชวนไปไหนก็ไม่ไป ไม่อยากเจอใคร ไม่ได้คิดว่าคนอื่นมองเราไม่ดี แต่รู้สึกว่าชีวิตเรายังไม่ปลอดภัย ต่อให้คนนั้นเป็นโบเพื่อนเราก็ตาม ยังไม่พร้อม เราไปอยู่ในโลกนานจนเรารู้สึกว่าเราทำใจกับช่วงเวลาเหล่าน้้นมาเกือบ 9 ปีแล้ว เรามีเพื่อนที่ดีอยู่ในนั้น เราสามารถแชร์หรือร้องไห้กับเพื่อนตรงนั้นได้ เวลาเราโมโห วันนี้ไม่อยากคุยกับใคร"

"แต่มาหายได้ตอนขึ้นคอนเสิร์ตพี่บอย อยู่ ๆ ได้ยินเสียงกรี๊ด แล้วคนก็ร้องไห้ มันเป็นสิ่งที่เราเห็นและสัมผัสได้ ว่าความรักมีอยู่ หลังจากนั้นถึงกล้าขึ้นรถเมล์ ลองไปขึ้นเรือ เดินข้ามถนน หายแบบหายจริง ๆ เลย เราได้ออกมาตอนเดือนตุลาคม ขึ้นคอนเสิร์ตตอนเดือนธันวาคม ก็ใช้เวลาเป็นเดือน จริง ๆ โบชวนหลายคอนเสิร์ต แต่ปฏิเสธไป มาแค่คอนเสิร์ตนี้ เพราะเราไม่กล้า ต้องเกาะป๊าตลอด แต่คุณพ่อเสียชีวิตไป 2 ปีแล้ว ตอนนี้ก็เป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีแม่ มีน้อง มีญาติ ๆ ซึ่งความสัมพันธ์ก็ปกติดีค่ะ"

"หลังจากออกมาเรามีความสุขง่ายขึ้น จนกลายเป็นคนติดตลกติ๊งต๊องไปหมดแล้ว แต่ทุกวันนี้ยังไม่กล้าไปสอนใคร เรามีประสบการณ์ชีวิตมาแบบนี้ แต่ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะไปสอนใคร มันจะมีคอมเมนต์ว่า ไอ้ขี้คุกอย่างมึงจะมาสอนใครได้ เราก็รู้สึกว่าเราไม่มีสิทธิ์จะไปสอนใคร แต่จะสื่อสารว่าดูชีวิตฉันนะ”

'พาณิชย์จีน' ค้าน 'สหรัฐฯ' ขึ้นภาษีนำเข้า 'อีวี-โซลาร์เซลล์' ชี้!! เป็นการขัดระเบียบการค้าโลก ควรยกเลิกทันที

(17 พ.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘Salika’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (14 พ.ค.67) กระทรวงพาณิชย์ของจีนออกมาแสดงการคัดค้านและประท้วงกรณีสหรัฐฯ ปรับขึ้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีนบางส่วน และจะดำเนินมาตรการขั้นเด็ดขาดเพื่อคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของจีน

สหรัฐฯ มีมติปรับขึ้นการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับการนำเข้าสินค้าจีน ได้แก่ ยานยนต์ไฟฟ้า ในอัตรา 102.5% จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ในอัตรา 27.5% ส่วน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน, โซลาร์เซลล์, แร่ธาตุสำคัญ, เซมิคอนดักเตอร์, เหล็กและอะลูมิเนียม และเครน เป็น 25% จากปัจจุบันที่อยู่ระหว่าง 0 - 7.5% ภายใต้มาตรา 301

ทั้งนี้ทางโฆษกกระทรวงฯ ระบุว่าจีนไม่พึงพอใจอย่างยิ่งกับกระบวนการทบทวนการจัดเก็บภาษีศุลกากรตามมาตรา 301 โดยมิชอบของสหรัฐฯ ซึ่งมีแรงผลักดันจากประเด็นทางการเมืองภายในประเทศและการปรับขึ้นภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับสินค้าจีนบางส่วน

"การดำเนินการนี้ของสหรัฐฯ ใช้การค้ามาสร้างประเด็นทางการเมืองและใช้เป็นเครื่องมือ 'ชักใยทางการเมือง' ตามแบบฉบับ ทั้งที่องค์การการค้าโลก (WTO) ชี้ชัดแล้วว่าการจัดเก็บภาษีศุลกากรตามมาตรา 301 ขัดต่อระเบียบข้อบังคับขององค์การฯ แต่สหรัฐฯ ยังคงทำผิดต่อไป"

สำหรับการปรับขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังขัดกับฉันทามติที่ผู้นำของสองประเทศเห็นพ้องต้องกัน รวมถึงสวนทางกับคำมั่นสัญญาของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อบรรยากาศความร่วมมือทวิภาคี

ทางกระทรวงฯ ยังเน้นย้ำว่าฝ่ายสหรัฐฯ ควรแก้ไขข้อผิดพลาดโดยทันที และยกเลิกมาตรการจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติมกับจีน

ถกสนั่น!! ติ๊กต็อกเกอร์ รับแอดมินช่วยตอนไลฟ์ ค่าจ้างเดือนละ 100 บาท เผย!! ที่ให้เท่านี้ เพราะรายได้ไม่เยอะและให้ทำแค่ 'จ.-พ.-ศ.' วันละชั่วโมง

(17 พ.ค.67) ปัจจุบันอาชีพ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เติบโตและมีอิทธิพลอย่างมากในประเทศไทย หลาย ๆ คน สร้างชื่อเสียง เงินทอง ได้จากการอัปโหลดคลิปวิดีโอลงโซเชียล จนบางครั้งเมื่อมีชื่อเสียงมากขึ้น ก็อาจจะทำงานคนเดียวไม่ไหว ต้องมีการจ้างงานคนอื่นเพิ่มเติม

ล่าสุด ดาวติ๊กต็อกคนหนึ่ง ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 4.9 หมื่นคน ได้ตกเป็นประเด็นดรามาในโลกออนไลน์ หลังเธอประกาศรับสมัครคนช่วยทำงานในตำแหน่ง ‘แอดมิน’

คอยทำหน้าที่อ่านคอมเมนต์ในไลฟ์สด เนื่องจากเธอมีปัญหาทางสายตา คุณสมบัติคือ อายุ 17 ขึ้นไป, ใจเย็น, ละเอียด, รอบคอบ, ตรงต่อเวลา, พูดจาสุภาพ, มีความอดทนสูง

ทำงานวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 16.00 น. ประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวัน หากวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลาว่างตรงกันก็สามารถนัดเวลากันได้ จากนั้นก็ได้มีคนทักไปสอบถามรายละเอียด ก่อนจะต้องตกใจ เมื่อพบว่า งานนี้ได้รับค่าจ้าง 100 บาท ต่อเดือน

เมื่อเกิดดรามาหนักขึ้น เจ้าของช่อง ก็ได้ออกมาตอบประเด็นนี้ บอกว่าเรื่อง ค่าจ้างเดือนละ 100 บาท นั้นเป็นเรื่องจริง ที่ให้เท่านี้ เพราะรายได้ของเธอก็ไม่ได้เยอะ อีกทั้งให้ทำงานแค่ จันทร์ พุธ และศุกร์ วันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

ทั้งยังบอกว่าตอนนี้ปิดรับสมัครไปแล้ว ไม่ได้อยากออกมาพูด แต่เห็นมีคอมเมนต์ถามทุกคลิป เลยออกมาเคลียร์ดีกว่า พร้อมปิดท้ายว่า “คนทำงานไม่พูด คนพูดไม่ทำงาน”

ทำเอาชาวเน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่น ว่าแบบนี้ไม่เหมาะสมอย่างแรง กรมแรงงานควรตรวจสอบเพราะหากจ้างเดือนละ 100 บาท นำมาหารเฉลี่ยก็ได้วันละไม่ถึง 10 บาท เงินจำนวนแค่นี้ ไม่สามารถนำไปดำรงชีวิตอะไรได้เลยด้วยซ้ำ

จากนั้น ดาวติ๊กต็อก เจ้าของช่อง ก็เข้ามาตอบว่าจะมีการพิจารณาขึ้นเงินเดือนจาก 100 เป็น 1,000 บาทให้ แต่ต้องขอปรึกษากับคุณแม่ก่อน

‘ธนกร’ ซัด ‘ปิยบุตร’ สนแต่ปลุกนิรโทษฯ คนผิด ม.112 แต่ไม่เคยหนุนจัดการ ‘คนบิดเบือน-เบื้องหลังเยาวชน’

(17 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เรียกร้องให้ผู้มีอำนาจและรัฐบาล ตรากฎหมายนิรโทษกรรมโดยรวมคดีผู้กระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เข้าด้วย หลังเกิดเหตุ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เสียชีวิตในเรือนจำ โดยอ้างว่าคดีนี้มีแรงจูงใจจากการเมือง ว่า ส่วนตัว ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ‘บุ้ง’ ด้วย เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ตนก็ไม่เห็นด้วยกับทั้งการแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงการนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดในคดีมาตรา 112 ดังกล่าว เพราะถือเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ และย้ำมาโดยตลอด ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงขอคัดค้านหากมีผู้เสนอให้รวมคดีนี้ เป็นคดีการเมือง เพราะมาตราดังกล่าวถือเป็นความมั่นคงของชาติที่ต้องมีไว้ปกป้องประมุขแห่งรัฐ ซึ่งผู้ใดจะละเมิดมิได้ ซึ่งควรมุ่งไปแก้ไขที่ต้นเหตุ คือผู้ที่ให้ข้อมูลบิดเบือน และอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวมากกว่า หากไม่มีผู้ใหญ่กลุ่มนี้ คอยยุยง ส่งเสริมให้ข้อมูลผิด ๆ คงไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

เมื่อถามว่า กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวต้องการให้มีการแก้กฎหมายเกี่ยวกับการประกันตัวนั้น? นายธนกร กล่าวว่า กฎหมายให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่ผู้ต้องหาตามกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งในกรณีของ ‘บุ้ง’ นั้น ต้องแยกส่วน เรื่องศาลถอนประกันกับการประกาศอดอาหาร เป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งการถอนประกัน ตนเชื่อว่า ศาลมีการวินิจฉัยที่รอบคอบพิจารณาจากหลักฐานและพฤติการณ์การกระทำความผิดซ้ำหรือไม่ ซึ่งถือว่าเป็นดุลยพินิจของศาล ตนไม่ขอก้าวล่วง

ทั้งนี้ตนเห็นด้วยที่ก่อนหน้านี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรมมีคดีที่มาจากแรงจูงใจทางการเมือง มีข้อสรุปออกมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว ว่า เรื่องการกระทำความผิดตาม ป.อาญา ม.112 นั้น ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย การจะนิรโทษกรรม ควรเป็นคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ทั้งที่เป็นแกนนำและมวลชนที่ร่วมชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบัน หากเป็นคดีที่ไม่ร้ายแรง ก็เข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรมได้

“คนที่พูดกล่าวหา ให้ร้ายดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำผิดมาตรา 112 แบบซ้ำซาก หากมีการเหมารวมยกเข่งนิรโทษกรรมให้คนเหล่านี้ ถือเป็นการ เหยียบย่ำหัวใจคนไทยมากเกินไป เพราะกฎหมายนี้ มีไว้ปกป้องประมุขของประเทศไม่ให้ถูกละเมิด เชื่อว่า ถ้านิรโทษฯ ให้ไม่มีใครรับได้แน่นอน” นายธนกร กล่าว

'อ.เจษฎา' เผย!! อันตรายหลังเลิกอดข้าว แล้วกลับมากินใหม่ เผื่อเป็นแนวทางในการดูแล 'ผู้ประสบเหตุ' ที่ต้องอดอาหาร

(17 พ.ค.67) จากการเสียชีวิตของ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ก่อนหน้านี้เคยอดอาหารประท้วงจนป่วย และกลับมาทานอาหารอีกครั้ง ก่อนจะเสียชีวิต เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

ล่าสุด รศ. ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักสื่อสารวิทยาศาสตร์และอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า

(note: โพสต์นี้เป็นการให้ข้อมูลเชิงวิชาการ ไม่ได้โพสต์วิพากษ์วิจารณ์สังคม แต่อย่างไรนะครับ)

ระวัง ‘รีฟีดดิ้ง ซินโดรม (Refeeding Syndrome)’ อันตรายหลังเลิกอดข้าว แล้วกลับมากินใหม่

หลังจากมีข่าว คุณบุ้ง นักกิจกรรมทางการเมือง เสียชีวิตหลังจากที่เคยอดอาหารประท้วงจนป่วย และกลับมาทานอาหารอีกครั้ง (ภายใต้การดูแลของแพทย์) เลยทำให้นึกถึงคำเตือนสมัย ‘13 ทีมหมูป่า ติดถ้ำ’ เรื่อง ‘อย่ารีบกินอาหาร หลังจากอดข้าวมานานหลายวัน อาจเกิดภาวะ Refeeding Syndrome ได้’ ครับ

เลยอยากจะยกเรื่องนี้ ขึ้นมาทบทวนกันหน่อย เผื่อเป็นแนวทางในการดูแลผู้ประท้วงอดอาหาร หรือผู้ที่ประสบอุบัติเหตุใด ๆ จนต้องอดอาหารยาวนานหลายวัน

#ภาวะรีฟีดดิ้งซินโดรมคืออะไร

- จากกรณีนักฟุตบอลเยาวชน 13 ชีวิต ทีมหมูป่า อะคาเดมี่ ติดอยู่ในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย นานนับ 10 วัน มีแค่น้ำหยดให้กินเล็กน้อย ซึ่งทุกคนต้องอยู่ในภาวะขาดสารอาหาร จึงมีคำเตือนจากกลุ่มโภชนาการ ให้ระวังภาวะ ‘รีฟีดดิ้ง ซินโดรม’ (Refeeding Syndrome) เวลาช่วยเหลือออกมาได้ โดยต้องระมัดระวังการให้น้ำและอาหาร

- การเกิดรีฟีดดิ้ง ซินโดรม นั้น เป็นภาวะที่มีความรุนแรง และค่อนข้างรวดเร็ว เนื่องจากร่างกายขาดอาหารเป็นเวลานาน หากได้รับอาหารเข้าไปทันที ไม่ว่าจะเป็นจากน้ำเกลือ ที่มีน้ำตาลเด็กซโตส (Dextrose) , อาหารทางปาก , อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง , อาหารทางสาย หรืออาหารทางหลอดเลือดดำ  ก็เป็นอันตรายได้

- คนที่มีภาวะขาดสารอาหารมาก่อน สภาพร่างกายที่อดอาหารนาน ๆ จะมีการขาดแร่ธาตุ โพแทสเซียม ฟอสเฟต แมกนีเซียม และแคลเซียม ด้วย

- ดังนั้น เมื่อได้รับอาหารอีกครั้ง ร่างกายจะย่อยและดูดซึมอาหาร เพื่อให้มีการนำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ เพื่อสร้างเป็นพลังงาน โดยร่างกายจะหลั่งสารอินซูลิน (Insulin) เพิ่มการสร้างไกลโคเจน (Glycogen) โดยมีวิตามินบี 1 เป็นตัวช่วย

-  ระหว่างการนำกลูโคสเข้าเซลล์ ก็จะมีการนำแร่ธาตุต่าง ๆ ดังกล่าว เข้าไปในเซลล์ด้วยเป็นจำนวนมาก

- เลยยิ่งส่งผลให้ร่างกาย เกิดภาวะแร่ธาตุในเลือดต่ำ ทำให้ระดับวิตามินบี 1 ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลทำให้เกิดภาวะสมดุลเกลือแร่ผิดปกติ อย่างรุนแรง

- จะเกิดมีอาการเหนื่อย หอบ หัวใจเต้นผิดปกติ และอาจเสียชีวิตได้ ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกว่า ภาวะรีฟีดดิ้ง ซินโดรม

#แนวทางในการป้องกันภาวะรีฟีดดิ้งซินโดรม

- ก่อนจะให้อาหาร ควรให้วิตามินบี 1 ประมาณ 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน ร่วมกับวิตามินและแร่ธาตุรวม

- การเริ่มให้อาหาร จำเป็นต้องเริ่มอาหารอ่อน ในปริมาณน้อย ๆ

- ถ้าสามารถทำได้ ควรตรวจระดับโพแทสเซียม ฟอสเฟต แมกนีเซียม และแคลเซียม ในเลือดก่อน และแก้ไขหากมีระดับเกลือแร่ผิดปกติ และติดตามอาการทางคลินิกและการเปลี่ยนแปลงระดับแร่ธาตุเหล่านี้ในเลือดอย่างใกล้ชิด

- การกินวิตามิน ที่มีส่วนประกอบของวิตามินบี 1 มีหลักการ ดังนี้

1. ก่อนจะให้อาหาร ควรให้วิตามินบี 1 ในปริมาณ 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน 1-2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง ร่วมกับวิตามินแร่ธาตุรวม วันละครั้ง และควรให้ต่อเนื่องกัน อย่างน้อย 2 วัน หรืออาจให้ต่อไปจนถึง 10 วัน หรือจนกว่าจะได้รับพลังงาน วิตามินรวม และแร่ธาตุอื่น ๆ อย่างครบถ้วนตามเป้าหมาย

2. เริ่มให้อาหาร พลังงานไม่เกิน 5-10 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน ขึ้นกับภาวะทุพโภชนาการ  ค่อยๆ เพิ่มปริมาณทีละนิดภายใน 4-7 วัน โดยใน 4 วันแรก ควรให้พลังงานประมาณ 5-10 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน จากนั้นค่อย ๆ ปรับเพิ่มพลังงานอย่างช้าๆ เช่น เพิ่มครั้งละ 5-10 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัมต่อวัน จนถึงพลังงานเป้าหมายภายในเวลา 4-7 วัน

และ 3. ติดตามเป็นระยะทุกวัน โดยเฉพาะในช่วง 4-7 วันแรก ต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์

'อิสราเอล' เผย!! 2 ตัวประกันไทยในกาซาตายแล้ว คาดตั้งแต่เหตุโจมตี 7 ต.ค. ด้าน 'รมว.กต.ไทย' ลั่น!! ขอให้ปล่อยอีก 6 ตัวประกันคนไทยโดยทันที

(17 พ.ค. 67) กองทัพอิสราเอลเปิดเผยในวันพฤหัสบดี (16 พ.ค.) ตัวประกันไทย 2 คน ที่เดิมทีเชื่อว่ามีชีวิตรอดอยู่ในกาซา แท้จริงแล้วเสียชีวิตในเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และศพของทั้งคู่ถูกกักอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยรุดออกมาแสดงความเสียใจ และบอกว่าจะติดต่อประสานงานให้ความช่วยเหลือครอบครัวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

"เราได้แจ้งกับครอบครัว 2 พลเมืองไทยที่ถูกลักพาตัว ซึ่งทำงานในภาคเกษตรกรรมในที่เพาะปลูกแห่งหนึ่งใกล้กับคิบบุตซ์บีรี (นิคมการเกษตรบีรี) ว่าพวกเขาถูกฆาตกรรมในเหตุโจมตีก่อการร้ายเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม และศพของพวกเขาถูกกักไว้โดยพวกฮามาส" จากการเปิดเผยของดาเนียล ฮาการี โฆษกของกองทัพอิสราเอล

กองทัพอิสราเอลกับกลุ่มครอบครัวตัวประกันและผู้สูญหาย (Hostages and Missing Families Forum) ระบุชื่อชายทั้ง 2 คน ได้แก่นายสนธยา อัครศรี และนายสุทธิศักดิ์ รินทลักษ์ ซึ่งได้รับการยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศของไทยเช่นกัน

จากการนับของเอเอฟพีบนพื้นฐานข้อมูลของฝั่งอิสราเอล สำนักข่าวเอเอฟพีเชื่อว่าตอนนี้เหลือตัวประกันไทยที่ยังถูกควบคุมในกาซา อยู่ 6 คน

Hostages and Missing Families Forum ระบุในถ้อยแถลงว่า "ในขณะที่เราเศร้าโศกต่อเหตุฆาตกรรมอันน่าเศร้าของ 2 ตัวประกันไทย มันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับประชาคมนานาชาติที่ต้องตระหนักว่าวิกฤตตัวประกันมีขอบเขตเกินเลยมากไปกว่าการเป็นประเด็นปัญหาของอิสราเอลแต่เพียงฝ่ายเดียว" พร้อมเรียกร้องการตอบสนองด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกัน

เอเอฟพีรายงานว่า ไทยมีพลเมืองในอิสราเอลราว 30,000 คน ส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรกรรม

เหตุโจมตีของพวกฮามาส เล่นงานทางภาคใต้ของอิสราเอลอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,170 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน มันกระตุ้นให้อิสราเอลแก้แค้นด้วยการเปิดปฏิบัติการทางทหารในกาซา สังหารผู้คนไปแล้ว 35,272 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือนเช่นกัน

ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เผยแพร่ถ้อยแถลงเรื่องการเสียชีวิตของตัวประกันไทย 2 ราย ในกาซา ระบุว่ากระทรวงการต่างประเทศได้รับแจ้งจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟว่า คณะกรรมการด้านการประเมินสถานภาพตัวประกันของรัฐบาลอิสราเอล ได้พิจารณาหลักฐานแวดล้อมที่เชื่อถือได้ และแจ้งว่า ตัวประกันคนไทย 2 ราย จากจำนวนที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว 8 ราย ได้เสียชีวิตแล้ว ประกอบด้วย นายสนธยา อัครศรี และนายสุทธิศักดิ์ รินทลักษ์ โดยคาดว่าเป็นการเสียชีวิตตั้งแต่ช่วงต้นของเหตุการณ์เมื่อเดือนตุลาคม 2023

ถ้อยแถลงระบุต่อว่า รัฐบาลไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยสถานเอกอัครราชทูต และกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ได้ติดต่อครอบครัวทั้ง 2 แล้ว และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะประสานงานในการให้ความช่วยเหลือครอบครัวในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

รัฐบาลไทยขอย้ำการเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันที่เหลือทั้งหมดโดยเร็วที่สุด รวมถึงตัวประกันคนไทยอีก 6 คน ให้กลับคืนสู่มาตุภูมิโดยปลอดภัย รวมถึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความพยายามอย่างสูงสุดเพื่อบรรลุการเจรจา และนำไปสู่การแก้ไขวิกฤตด้านมนุษยธรรมในกาซาโดยทันที ถ้อยแถลงของกระทรวงการต่างประเทศระบุ

'CHANGAN' ตั้งเป้าปีหน้าใช้ชิ้นส่วนในไทย 60% ป้อนโรงงาน คว้า 'ไทยซัมมิท-ซัมมิท-อาปิโก้' รับงานล็อตแรก 2 หมื่นล้าน

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค.67) นายเซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีสเอเชีย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อฉางอาน (CHANGAN) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เช่น ซัมมิท, ไทยซัมมิท และอาปิโก้ โดยได้มีการวางแผนจัดซื้อรวมกว่า 20,000 ล้านบาท สำหรับการผลิตรถไฟฟ้ารุ่นแรกของเรา ซึ่งจะเริ่มผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีหน้าด้วย

ล่าสุดบริษัทเข้าร่วมงาน Subcon Thailand 2024 เพื่อช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ให้เข้าไปสู่ซัพพลายเชนกลุ่มอุตสาหกรรมของฉางอาน เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยก้าวไปสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลกอีกด้วย

โดยงาน Subcon Thailand 2024 เป็นงานแสดงชิ้นส่วนอุตสาหกรรม และจับคู่ธุรกิจชั้นนำของอาเซียน โดยปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรม โดยทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ได้นำ 7 ค่ายรถยนต์ไฟฟ้า รายใหญ่ที่ลงทุนในไทยเข้าร่วมงาน และฉางอานได้มีโอกาสร่วมแชร์ประสบการณ์ และเผยถึงทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าผ่านกิจกรรม 'BOI Symposium : EV Supply Chain'

ปัจจุบันฉางอานมีการจัดตั้งบริษัทในประเทศไทย 3 แห่ง มีการลงทุนมูลค่าสูงถึง 8.8 พันล้านบาท ในส่วนฐานการผลิตจังหวัดระยอง ซึ่งจะครอบคลุมกระบวนการการผลิตยานยนต์ทั้งหมดตั้งแต่การเชื่อม การพ่นสี การประกอบแบตเตอรี่ไปจึงถึงการประกอบขั้นสุดท้าย โดยระยะที่ 1 มีกำลังการผลิตอยู่ 100,000 คันต่อปี ในไตรมาสแรกของปี 2025 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คันในปีถัดไป

ทั้งนี้ฉางอานวางเป้าหมายในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่มากกว่า 15 รุ่นให้กับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าชาวไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์ ในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือการสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นซึ่งมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจในต่างประเทศ มีความเปิดกว้าง และโปร่งใส เป้าหมาย คือ เพื่อให้ห่วงโซ่อุปทานสามารถให้บริการทั้งตลาดในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัทตั้งเป้าในการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% และสนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย และทำให้ประเทศไทยกลายเป็นห่วงโซ่อุปทานรถที่ใช้พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle-NEV) ในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

States TOON EP.162

ประจวบเหมาะ!!

***สงวนลิขสิทธิ์ภาพดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียนแบบ ดัดแปลง หรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งไปใช้ แต่อนุญาตให้นำไปเผยแพร่ต่อได้ ตามต้นฉบับนี้ โดยไม่ต้องขออนุญาต 

ความท้าทายของทหารในยุคปัจจุบัน คือการทำให้สังคมรู้ว่า “เมื่อไรที่ต้องรบ เราต้องไม่แพ้”

‘กองทัพเรือ’ ยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อชาติ ภายใต้กรอบการลดกำลังพล ตามที่สังคมอยากเห็น

ทหารเรือ มีไว้ทำไม?...‘พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม’ ผบ.ทร.คนที่ 57 จะมาเผยถึงภารกิจกองทัพเรือ ที่สังคม ‘ไม่ค่อยได้เห็น’ เพราะชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนผืนน้ำ

“ทหารเรือต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา“

“ป้องกันประเทศ / เฝ้าระวังคนหลบหนีเข้าเมือง / สกัดลักลอบขนยาเสพติด สินค้าเถื่อน / ป้องปราบการทำประมงผิดกฎหมาย ขบวนการทำลายทรัพยากรใต้น้ำ / ป้องกันฐานขุดเจาะพลังงาน / ช่วยเหลือภัยพิบัติ ฯลฯ.”

รับชมภารกิจส่วนหนึ่งของทหารเรือ จากคำบอกเล่า ผบ.ทร. ได้ที่: https://youtu.be/ci6kC3rjTjU?si=ulLRjwUGryy5bM6X 

เชียงใหม่-ตำรวจภูธรภาค 5 แถลงข่าวการจับกุมแก๊งวัยรุ่นก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน 5 พื้นที่

วันที่ 16 พ.ค.67 เวลา 11.00 น.พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ดุลเดชา อาชวสมิตระกูล รอง ผบช.ภ.5, รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,รอง ผบก.สส.ภ.5, ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ และ ผกก.สส.1 บก.สส.ภ.5 ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหาแก๊งวัยรุ่น จำนวน 3 คน ก่อเหตุปล้นทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ และการจับกุมผู้ต้องหาก่อเหตุชิงทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ต่อเนื่องใน  5  พื้นที่  ได้แก่ สภ.สันป่าตอง, หางดง, หนองตอง, ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ และ สภ.เมืองลำพูน จ.ลำพูน ณ ห้องประชุมพระพุทธประทานยศบารมี ตำรวจภูธรภาค 5 อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่  

โดยมีรายละเอียด ดังนี้
คดีที่ 1  คดีปล้นทรัพย์ ฯ ของ สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์  จับกุมผู้ต้องหา 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  โดยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2567  เวลาประมาณ 05.30 น. นายกังสชิต ฯ และนายทักษ์ดนัย ผู้เสียหาย จำนวน 2 คน เล่นสเก็ตพื้นที่ของเอกชน อยู่ที่เขต ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่  ได้มีคนร้ายซึ่งเป็นชายวัยรุ่น จำนวน 3  คน ขับขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาบริเวณลานสเก็ต หนึ่งในคนร้าย  ได้ใช้อาวุธมีดทำร้ายฟันผู้เสียหายบริเวณหน้าผาก  และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ และคนร้ายได้หยิบทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้เสียหายที่ไปประกอบด้วย บุหรีไฟฟ้า, บุหรี่ยี่ห้อ LM แดง จำนวน 1 ซอง, น้ำดื่มเอสรสลิ้นจี่ จำนวน 2 ขวด, แก้วเยติ  จำนวน 1 ใบ

ต่อมาวันที่ 13 พ.ค.67 เวลาประมาณ 23.00 น. ได้ทำการสืบสวนทราบว่าคนร้ายทั้ง 3 คน คือ นายอนุเดช หรือ บังพีท นายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  เจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงได้นำตัวนายพลาธิปฯ และ ด.ช.น้ำหนึ่ง ฯ มาซักถามปากคำ โดยทั้ง 2 ยอมรับว่าได้ร่วมกันกับนายอนุเดช หรือ บังพีท ก่อเหตุจริง ต่อมาเมื่อวันที่ 15 พ.ค.67 ได้ทำการจับกุมตัวนายอนุเดช หรือบังพีช ตามหมายจับของ ศาลจังหวัดเชียงใหม่  พร้อมควบคุมตัวนายพลาธิป หรือออคิด และ ด.ช.น้ำหนึ่ง  มาดำเนินคดีตามกฎหมาย

คดีที่ 2 จับกุมตัวนายจักรกฤษ ฯ ภูมิลำเนา ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์ จำนวน 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สิน 1  ครั้ง เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง ครั้งแรก ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอ สีชมพู ไปก่อเหตุที่เขต สภ.สันป่าตอง ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่สอง ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นสกูปปี้ไอฯ ไปก่อเหตุที่เขต สภ.หางดง จ.เชียงใหม่ ไม่ได้ทรัพย์สินไปแต่อย่างใด 

ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 เวลาประมาณ 13.30น. ใช้รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ไปใช้ก่อเหตุ ในเขตพื้นที่ สภ.หนองตอง จ.เชียงใหม่ เมื่อ ได้ทรัพย์สินเป็นสร้อยคอทองคำน้ำหนัก 1 บาท นำไปขายที่ร้านทองจำชื่อ ภายในห้างในพื้นที่ ต.ช้างเผือก ในวันเดียวกับวันที่ก่อเหตุ 
ครั้งที่สี่ เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 16.00น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในเขตพื้นที่ สภ.ช้างเผือกจ.เชียงใหม่ แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
ครั้งที่ห้า เมื่อวันที่ 8 พ.ค.2567 เวลาประมาณ 18.50น. ใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำฯ ไปก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองลำพูน แต่ไม่ได้ทรัพย์สิน 
รวมก่อเหตุทั้งหมด 5 ครั้ง ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งเดียว คือ เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2567 ในพื้นที่ สภ.หนองตอง 

ตำรวจภูธรภาค 5 ขอยืนยันว่ามีความพร้อมในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนและยังคงเน้นย้ำในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ทั้งนี้หากพบเห็นอาชญากรรมหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำความผิดโปรดแจ้ง 191 ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง หรือแจ้งผ่านไลน์ ผบช.ภ.5 ไอดี @police5 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top