Sunday, 19 May 2024
Hard News Team

'บัสบาส' ผู้ต้องขังคดี ม.112 เรือนจำเชียงราย เลิกอดอาหารแล้ว นิ่งหลังรู้ 'บุ้ง' เสียชีวิต คาดยังชั่งน้ำหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไป

(16 พ.ค.67) นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย เปิดเผยว่า นายมงคล ถิระโคตร หรือ ‘บัสบาส’ อายุ 30 ปี ชาว อ.พาน จ.เชียงราย ต้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และคดีเกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ต่างกรรมต่างวาระ มีโทษจำคุกรวมกันเป็นเวลา 55 ปี ซึ่งถือเป็นอัตราโทษที่สูง ถูกส่งตัวเข้าสู่เรือนจำกลางเชียงรายเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2567 หรือเป็นเวลา 4 เดือนกว่า

ขณะนี้เป็นผู้ต้องขังอยู่ในแดน 1 หรือแดนควบคุมพิเศษ เรือนจำกลางเชียงราย ซึ่งจะคุมขังรวมกับนักโทษคนอื่น ๆ รวมกันประมาณ 200 คน โดยใช้ชีวิตตามปกติ โดยยังอยู่ในระหว่างอุทธรณ์และฎีกาซึ่งถือว่ายังไม่ใช่นักโทษเด็ดขาด และทราบมาว่าทนายความของนายมงคลได้ยื่นประกันตัวเพื่อให้ออกไปสู้คดีอยู่

นายพัศพงศ์กล่าวว่า ระหว่างถูกคุมขังพบว่านายมงคลได้มีการอดอาหารเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ก่อนจะยกเลิกไปเมื่อวันที่ 24 เม.ย. จากนั้นก็ใช้ชีวิตในแดน 1 ตามปกติ รับประทานอาหาร และปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำ โดยระหว่างอดอาหารเป็นเวลา 1 เดือนกว่าก็ยังดื่มน้ำและเครื่องดื่มตามปกติ ซึ่งตนได้ให้เจ้าหน้าที่เรือนจำเฝ้าระวังเรื่องสุขภาพและให้นักจิตวิทยาเข้าไปพูดคุยดูแลสภาพจิตใจรวมทั้งให้พยาบาลเข้าไปตรวจร่างกายทุกอาทิตย์ ยกเว้นมีอาการอ่อนแรงหรือใจสั่นก็จะให้พยาบาลเข้าไปตรวจเป็นกรณีพิเศษ

ทั้งนี้ เราได้บอกกับเขาว่าการอดอาหารจะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารและได้รับผลกระทบแต่นายมงคลก็ยืนยันจะอดอาหารอยู่ เจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลก็ไม่สามารถบังคับได้ ก็หันมาดูแลเรื่องสุขภาพทำให้ที่ผ่านมาไม่มีปัญหาใด ๆ โดยนายมงคลยังมีร่างกายที่แข็งแรงดีอยู่

สำหรับกรณี น.ส.บุ้ง ที่เสียชีวิตนั้น นายพัศพงศ์กล่าวว่า ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ว่านายมงคลยังคงนิ่งเฉยและไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ รวมทั้งไม่ได้อดอาหาร คาดว่าอาจจะยังคงชั่งน้ำหนักว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเขาเคลื่อนไหวในลักษณะเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมด ซึ่งนายมงคลได้คุยกับเจ้าหน้าที่เรือนจำว่าจะปฏิบัติตามกฎระเบียบของเรือนจำตามปกติ ในส่วนของการต่อสู้ก็ยังจะดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หลังจากยกเลิกการอดอาหารครั้งดังกล่าวแล้ว

"ฝากประชาสัมพันธ์เรื่องผู้ต้องขังกรณีเจ็บไข้ เจ้าหน้าที่เรือนจำจะดูแลเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง ฝากพี่น้องประชาชนไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนโทษคดีที่สูง ๆ เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว กรมราชทัณฑ์เรามีหน้าที่ควบคุม แก้ไข ฟื้นฟู ดูแลเรื่องความเป็นอยู่ สุขภาพ ตามหลักสิทธิมนุษยชนและระเบียบของทางราชการโดยเคร่งครัด จะเห็นได้ว่าแม้ป่วยตอนตี 1 ตี 2 ถ้าพยาบาลในเรือนจำดูแล้วไม่สามารถรักษาได้ก็จะเรียกรถ 1669 ให้ไปรับผู้ต้องขังเพื่อนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ซึ่งทางผู้บริหารระดับสูงได้เน้นยำให้ปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามหลักสิทธิมนุษยชนอย่างเครงครัด" นายพัศพงศ์กล่าว

กำลังพลที่เหลวไหล จะไม่มีโอกาสได้เจริญเติบโต

ทหารเรือ มีไว้ทำไม?...‘พลเรือเอก อะดุง พันธุ์เอี่ยม’ ผบ.ทร.คนที่ 57 จะมาเผยถึงภารกิจกองทัพเรือ ที่สังคม ‘ไม่ค่อยได้เห็น’ เพราะชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนผืนน้ำ

“ทหารเรือต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นและศรัทธา“

“ป้องกันประเทศ / เฝ้าระวังคนหลบหนีเข้าเมือง / สกัดลักลอบขนยาเสพติด สินค้าเถื่อน / ป้องปราบการทำประมงผิดกฎหมาย ขบวนการทำลายทรัพยากรใต้น้ำ / ป้องกันฐานขุดเจาะพลังงาน / ช่วยเหลือภัยพิบัติ ฯลฯ.”

รับชมภารกิจส่วนหนึ่งของทหารเรือ จากคำบอกเล่า ผบ.ทร. ได้ที่: https://youtu.be/ci6kC3rjTjU?si=ulLRjwUGryy5bM6X 

'พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร.' ลงพื้นที่ตรวจสอบ ร่วมสังเกตการณ์ และเร่งแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานคร รองรับการเปิดภาคเรียน มุ่งลดอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชน

ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว โดยได้รับฟังสภาพปัญหาและแนวทางการพัฒนาของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการจราจร ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหารถโดยสารสาธารณะ แท็กซี่ และรถสามล้อ จอดกีดขวางส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้โดยสาร และเกิดปัญหาการจราจรติดขัด ประกอบกับเป็นช่วงของการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 และเข้าสู่ฤดูฝนในบางพื้นที่อาจเกิดผลกระทบในด้านการจราจร

วันนี้ (15 พฤษภาคม 2567) เวลา 17.00 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และคณะ ลงพื้นที่ตรวจการจราจรบริเวณแยกปทุมวัน แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อรับฟังแนวทางการดำเนินการเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัดเป็นเวลานาน และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดภาคเรียนการศึกษาของโรงเรียนส่วนใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ภายในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) ในการอำนวยความสะดวกการจราจรให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้ความสำคัญการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด เช่น พื้นที่ที่มีรถรับจ้างสาธารณะ รถขนส่งจอดกีดขวางพื้นผิวการจราจร และเส้นทางที่มีการจราจรติดขัดเป็นประจำในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน เพื่อรองรับช่วงการเปิดการศึกษาและบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดแบบต่อเนื่อง

โดย พล.ต.ท.กรไชย ฯ ได้ดูการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า MBK และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นสถานที่ตั้งของสถานศึกษาหลายแห่งในบริเวณใกล้เคียง อยู่ในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น โดยจะประเมินสภาพการจราจรในช่วงเปิดภาคเทอม ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญส่งผลกระทบกับปัญหาการจราจรในภาพรวมทั้งระบบ 

พล.ต.ท.กรไชย ฯ กล่าวว่า วันนี้ได้สั่งการให้แต่ละพื้นที่วิเคราะห์สถานการณ์การจราจรในห้วงการเปิดภาคการศึกษาวันแรกทั้งช่วงเช้าและช่วงเย็น ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติที่หน่วยปฏิบัติมีแนวทางดำเนินการอยู่แล้ว แต่อาจมีปัจจัยด้านอื่นที่ส่งผลทางอ้อม เช่น ปริมาณรถที่เพิ่มมากขึ้น สภาพอากาศ ฝนตก น้ำท่วมขัง หรือพื้นผิวการจราจรที่ซ่อมสร้าง เป็นต้น ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรกว่า 4,000 นาย คอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรบริเวณหน้าสถานศึกษา ประสานการทำงานในพื้นที่ต่อเนื่องเพื่อรับรถเข้าเมือง เร่งระบายออกเมือง และบริหารสัญญาณไฟจราจรให้มีความสัมพันธ์กับปริมาณรถ ซึ่งสภาพการจราจรอาจจะมีติดขัดบ้างตามหน้าสถานศึกษาที่มีปัญหาการจราจรหนาแน่น โดยกำชับความร่วมมือระหว่างตำรวจ ผู้ปกครอง และสถานศึกษา ในการบริหารจัดจุดรับส่งนักเรียน-นักศึกษาอย่างเป็นระบบ มีการนำจิตอาสาจราจรมาช่วยในการอำนวยความสะดวกให้กับเด็กนักเรียน ผู้ปกครอง และผู้ใช้รถใช้ถนน บริเวณหน้าโรงเรียน โดยเฉพาะบริเวณทางข้ามทางม้าลาย พร้อมรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา ปฏิบัติตามกฎจราจร โดยเฉพาะการใช้อุปกรณ์นิรภัยในการขับขี่ ได้แก่ การสวมหมวกนิรภัย การรัดเข็มขัดนิรภัย ตลอดจนขอความร่วมมือกับโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ในการใช้มาตรการองค์กร เพื่อให้ผู้ปกครอง นักเรียน และนักศึกษา ปฏิบัติตามกฎจราจร ทั้งภายในและบริเวณโดยรอบพื้นที่ ทั้งนี้ ตำรวจจราจรได้มีการประสานงานกับสถานีตำรวจนครบาลข้างเคียง ให้ปล่อยสัญญาณไฟจราจรให้สัมพันธ์กัน และจะได้มีการประชุมเพื่อปรับแผนการอำนวยจราจรในภาพรวมทั่วประเทศ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่มีสภาพการจราจรหนาแน่นคล้ายกับพื้นที่กรุงเทพมหานครให้ดียิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้ได้กำชับในการเพิ่มมาตรการกวดขันวินัยจราจรและอำนวยความสะดวก ขนส่งสาธารณะ การบริหารจัดการจราจรในภาพรวม รวมทั้งการรณรงค์เสริมสร้างวินัยจราจรร่วมกับโรงเรียนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ พร้อมประสานงานภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มในจุดที่เป็นปัญหา เพื่อเสริมการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนได้สั่งห้ามไม่ให้มีการเรียกรับประโยชน์โดยมิชอบเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด ซึ่งมีโทษทางวินัยและอาญาเป็นตัวกำกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว

นอกจากนี้ พล.ต.ท.กรไชย ฯ กล่าวว่า ขอฝากถึงผู้ขับรถโดยสารสาธารณะ รถประจำทาง ขอให้การจอดรับส่งผู้โดยสารในจุดที่กำหนด เพื่อไม่ให้กระทบกับปัญหาจราจรโดยรวม และฝากถึงผู้ขับรถโดยสารแท็กซี่ หรือรถตุ๊กตุ๊ก ว่า การเรียกเก็บค่าโดยสารขอให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม เป็นธรรมกับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ หากมีมิเตอร์ขอให้กดมิเตอร์เพื่อให้ราคาอยู่ในอัตราที่กำหนดในทุกกรณี เพื่อร่วมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ

(สุรินทร์) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 มอบทุนการศึกษาให้กับบุตรของกำลังพล เพื่อเป็นสวัสดิการ ลดรายจ่ายในครัวเรือนให้กับกำลังพล

วันที่ 15 พฤษภาคม 2657 ที่ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน มณฑลทหารบกที่ 25 พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 พร้อมด้วย นางอุไรวรรณ เจริญพิบูลย์ ประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานมอบทุนการศึกษาเรียนดี ให้กับบุตรข้าราชการ ลูกจ้างและพนักงานราชการ ประจำปี 2567 จำนวน 145 ทุน แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้  ทุนระดับชั้นประถมศึกษา ถึง มัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 106 ทุน ทุนละ 1,500 บาท รวมเป็นเงิน 159,000 บาท ทุนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ถึง อนุปริญญา จำนวน 23 ทุน ทุนละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 46,000 บาท ทุนระดับปริญญาตรี 16 ทุน ทุนละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 40,000 บาท รวมทุนทั้ง 3 ระดับ รวมทุนทั้ง 3 ระดับ เป็นเงินทั้งสิ้น 245,00 บาท โดยมี พันเอก จิตรกร จันทร์สว่าง รองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ร่วมมอบทุนในครั้งนี้ 

จากนั้น พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ได้มอบทุนการศึกษาให้กับหน่วยสำนักงานสัสดีจังหวัดสุรินทร์ สัสดีจังหวัดศรีษะเกษ และหน่วย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดศรีสะเกษ รวม 40 ทุน เป็นเงิน 68,000 บาท ทั้งนี้ พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 กล่าวว่า การมอบทุนการศึกษาในช่วงเปิดเทอมนี้ เพื่อเป็นสวัสดิการ ลดรายจ่ายในครัวเรือนให้กับกำลังพล ในช่วงเปิดเทอมใหม่ และเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และเป็นการดูแลในเรื่องสวัสดิการของกำลังพลชั้นผู้น้อย ตามนโยบายเร่งด่วนของผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการส่งเสริมและกระตุ้นให้บุตรของกำลังพล ได้ตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน ให้มีความภาคภูมิใจในผลการเรียน เพื่อเป็นอนาคตที่สำคัญของครอบครัว สังคม และประเทศชาติต่อไป

บึงกาฬ  ดราม่ารพ.พรเจริญประกาศเฟสบุ๊คเหลือหมอ 1 คนจะให้พยาบาลตรวจจ่ายยา

บึงกาฬ  ดราม่ารพ.พรเจริญประกาศเฟสบุ๊คเหลือหมอ 1 คนจะให้พยาบาลตรวจจ่ายยา
เปลี่ยนรัฐมนตรีสาธารสุขคนใหม่ ก็เกิดเหตุดราม่าจากโรงพยาบาลพรเจริญ มีหมอลาออกและไปเรียนต่อ เหลือแพทย์ประจำอยู่คนเดียว จึงประกาศผ่านเฟสบุ๊ค จะให้พยาบาลช่วยตรวจพร้อมสั่งจ่ายยาแทน และขอยืมแพทย์จาก รพ.ใกล้เคียง จึงขออภัยในความไม่สะดวกกับผู้ป่วยและญาติที่มาใช้บริการ
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 15 พ.ค.ผู้สื่อข่าวจังหวัดบึงกาฬ ได้เดินทางไปที่ โรงพยาบาลพรเจริญ อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ จากกรณีดรามา เพจเฟซบุ๊ค "โรงพยาบาลพรเจริญ" โพสต์ประกาศประชาสัมพันธ์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ผ่านมา ระบุข้อความว่า ตั้งแต่วันที่ 27-31 พ.ค. 2567 โรงพยาบาลพรเจริญ จะมีแพทย์ประจำเหลือ 1 คน และ แพทย์ประจำต้องดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน จึงได้กำหนดให้มีแนวทางแก้ปัญหาการให้บริการดังนี้

1. ประสานยืมแพทย์ช่วยตรวจจากโรงพยาบาลข้างเคียง 2. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน,ความดันโลหิตสูง,สุขภาพจิต,ไทรอยด์ ที่มีนัดในช่วงดังกล่าว ผู้ป่วยสามารถมารับบริการได้ตามปกติ โดยหากผลตรวจปกติ หรืออาการป่วยคงที่พยาบาลวิชาชีพจะสั่งยาเดิมให้ (ไม่ต้องพบแพทย์) และจะปรึกษาแพทย์ในรายที่มีผลเลือดผิดปกติ หรืออาการผิดปกติเท่านั้น 3. ผู้ป่วยคลอดและอุบัติเหตุฉุกเฉินให้บริการ 24 ชั่วโมง โรงพยาบาลพรเจริญจึงขอแจ้งให้ผู้รับบริการทราบ และต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้หากการบริการเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าปกติ โรงพยาบาลจะให้บริการได้ตามปกติตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป

จากเหตุการณ์ดรามาขาดแคลนแพทย์ดังกล่าว ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางเข้าพบ เพื่อสอบถามปัญหากับ นพ.ตฤณกฤต สิทธิศร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรเจริญ โดยได้รับการชี้แจงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า  เนื่องจากมีแพทย์ได้ลาออกช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ประกอบกับแพทย์ที่มีอยู่ก็ไปศึกษาต่อทำให้แพทย์ในโรงพยาบาลพรเจริญที่มีน้อยอยู่แล้วจึงขาดแคลน และอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาใช้บริการไม่ทั่วถึง  จึงได้แก้ปัญหาโดยให้พยาบาลช่วยตรวจและประสานยืมแพทย์จากโรงพยาบาลข้างเคียงมาช่วย แต่ก็อาจช่วยได้ไม่เต็ม เพราะเรายืมมาเขาก็ขาด เหตุการณ์ก็จะวนอยู่อย่างนี้ อย่าไรก็ตามการขาดแคลนแพทย์ก็มีหลายโรงพยาบาลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้โรงพยาบาลพรเจริญจะให้บริการเริ่มกลับมาปกติช่วงเดือนมิถุนายน 2567 เป็นต้นไป แต่ก็คงจะยังให้บริการไม่ได้เต็มที่

ด้านนายวิเชียร โคตรศรีเมือง ชาวบ้านหนองหัวช้าง ต.หนองหัวช้าง อ.พรเจริญ  ได้พาภรรยามาตรวจครรภ์ ก็ได้รับความสะดวกดี แต่ก็ล่าช้าบ้าง การได้รับบริการจากโรงพยาบาลตามขั้นตอนดี เอาใจช่วยเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลครับ

ส่วนนางสี วิณโรจน์ ชาวบ้านหัวแฮด ต.ท่าสะอาด อ.เซกา ที่มีพื้นที่ติดกันและบ้านใกล้ รพ.พรเจริญ ก็มาใช้บริการในโรงพยาบาลด้านกายภาพบำบัด ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า คุณยายมาทำกายภาพที่โรงพยาบาลแห่งนี้สาเหตุเดินไม่สะดวกคล่องแคล่ว  เจ้าหน้าที่ก็ดูแลเป็นอย่างดีตามขั้นตอนการทำกายภาพ มีเจ้าหน้าที่สลับกันทำงาน เชื่อว่าโรงพยาบาลก็คงพยายามสับเปลี่ยนบุคลากรมาทำงานมากยิ่งขึ้น จึงให้กำลังใจให้กับบุคลากรของโรงพยาบาลพรเจริญ เพื่อดูแลประชาชนต่อไป 

แต่อย่างไรก็ตามเสียงสะท้อนจากทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้มารับบริการจากโรงพยาบาลพรเจริญก็อยากจะเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือกระทรวงสาธารสุข ออกมาเร่งแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าวให้เร็วที่สุด.ทั้งนี้นายแพทย์ภมร ดรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่า จากกรณีข่าวที่แชร์ออกไปว่า ช่วงวันที่ 27 – 31 พฤษภาคม 2567 ที่จะถึงนี้ โรงพยาบาลพรเจริญมีแพทย์ประจำ 1 คน และจะมีการปิดการให้บริการ นั้น เป็นข่าวที่มีความคลาดเคลื่อน ซึ่งความเป็นจริงแล้ว คือ โรงพยาบาลพรเจริญช่วงนั้นก็เหลือแพทย์เพียง 1 คนจริง เนื่องจากว่าเป็นช่วงที่แพทย์ประจำคนอื่น ๆ นั้น ย้ายไปเรียนต่อ และส่วนหนึ่งก็ลาออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลพรเจริญ และชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกแห่งได้ประสานจะยืมแพทย์ทั้งโรงพยาบาลภายในจังหวัด และแพทย์จากต่างจังหวัด เช่น หนองคาย, สกลนคร และนครพนม มาในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งยืนยันว่า โรงพยาบาลพรเจริญ เปิดให้บริการได้ตามปกติ แต่อาจจะมีความล่าช้าไปบ้าง จึงออกประกาศมาให้พี่น้องประชาชนได้ทราบถึงสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว และการบริการต่าง ๆ จะเป็นปกติตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นช่วงที่แพทย์ใหม่มาทำงานพอดี 

โดยในช่วงเวลาดังกล่าว หากมีกรณีฉุกเฉินต่าง ๆ เกิดขึ้น เราก็จะมีแพทย์เวรประจำอยู่แล้ว ซึ่งแพทย์ที่ยืมมาช่วยก็จะช่วยอยู่เวรด้วย เพื่อไม่ให้แพทย์ที่เหลืออยู่ 1 คนเหน็ดเหนื่อยเกินไป ส่วนพยาบาลก็ขึ้นเวรเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาตรงนั้น 

ท้ายที่สุด นายแพทย์ภมร ดรุณ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬ ฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า ในส่วนของการให้บริการที่โรงพยาบาลภายในจังหวัดบึงกาฬยังคงให้บริการเต็มที่ แม้ว่าแพทย์เราจะมีน้อย แต่ว่าเราก็ตั้งใจทำงานกันทุกคน บางช่วงก็อาจจะมีความขาดแคลนไปบ้าง แต่เราก็พยายามให้หมอจากจังหวัดต่าง ๆ ลงมาช่วย รวมทั้งทีมพยาบาลก็ช่วยคัดกรองคนไข้ รวมถึงช่วยตรวจโรคเบื้องต้นได้อย่างเต็มที่ เราขอให้ความเชื่อมั่นว่า เราจะดูแลพี่น้องประชาชนคนบึงกาฬอย่างเต็มที่ และตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป เราเริ่มมีแพทย์มากขึ้น และสัญญาว่าจะทำการให้บริการที่ดีขึ้นกว่าเดิม

ณฐพรหม อิทธิพัทธ์พล//บึงกาฬ 0645960906

'แกร็บ' ผนึก 'ภาครัฐ-เอกชน' จัดงาน 'GrabNEXT 2024' ชู 'T.R.A.V.E.L' ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทย สู่อนาคตที่ดีกว่า

(15 พ.ค.67) นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เดินหน้าส่งเสริมและผลักดันการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล พร้อมร่วมเป็นประธานเปิดงานเสวนาเชิงนโยบายประจำปี ‘GrabNEXT 2024: Driving towards the Future of Tourism ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว สู่อนาคตที่ดีกว่า’ ซึ่งจัดขึ้นโดย แกร็บ ประเทศไทย เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางในการส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ ด้วยการยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้พร้อมตอบสนองพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่ผ่านกลยุทธ์ ‘T.R.A.V.E.L.’

พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน อันได้แก่ นายนิธิ สีแพร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรติ นางสาวเพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการตลาดด้านการท่องเที่ยวและพันธมิตร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “การทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ถือเป็นเป้าหมายของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปีนี้ ซึ่งนอกจากการที่กระทรวงต้องการยกระดับประเทศไทยให้เป็น Tourism Hub หรือศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค เรายังต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายของการเป็น Aviation Hub ที่มีศักยภาพรองรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางกว่า 150 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573 ตามนโยบายของรัฐบาลด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากการที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นจุดแข็งของประเทศไทย ทำให้ทางกระทรวงมีการตั้งเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 3.5 ล้านล้านบาท

โดยการที่จะบรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากหน่วยงานทุกภาคส่วน ซึ่งทางกระทรวงต้องขอขอบคุณ แกร็บ ประเทศไทย ที่จัดงานในครั้งนี้ พร้อมทั้งยังช่วยสนับสนุน ผลักดัน การเดินทางท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพทั่วประเทศไทยด้วยดีเสมอมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์กรต่าง ๆ จะเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และนำพาเศรษฐกิจไทยให้เจริญรุดหน้าต่อไป”

นายวรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “การพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวถือเป็นเป้าหมายหลักที่รัฐบาลเร่งผลักดันเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้รัฐบาลได้ประกาศวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในวิสัยทัศน์สำคัญคือการพลิกฟื้นการท่องเที่ยว และตั้งเป้าผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาค (Tourism Hub) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศและส่งเสริมเศรษฐกิจ แกร็บจึงได้จัดงาน GrabNEXT เพื่อนำความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี และความแข็งแกร่งของอีโคซิสเต็มของแกร็บที่ให้บริการครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเติมเต็มและสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ไร้รอยต่อ ผ่านกลยุทธ์ ‘T.R.A.V.E.L.’ ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมายังประเทศไทย พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและมหภาค และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน”

เพื่อเป็นการสานต่อแนวทางการดำเนินงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในการยกระดับการท่องเที่ยวให้พร้อมตอบสนองพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ แกร็บจึงได้เผยกลยุทธ์ T.R.A.V.E.L. ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

>> Technological Integration การนำเทคโนโลยีดิจิทัลอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยวในกลุ่ม F.I.T. (Free Independent Travelers) หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตนเองกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ แกร็บ จึงได้ออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีมาเพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่การวางแผนการเดินทางไปจนถึงการอำนวยความสะดวกระหว่างการท่องเที่ยว อาทิ หน้าจอต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถสำรวจ และวางแผนการเดินทางบนแอปพลิเคชัน Grab ตั้งแต่ก่อนมาถึงประเทศไทย การพัฒนาแอปพลิเคชันให้มีหลายภาษา ทั้งอังกฤษ จีน ญี่ปุ่นและเกาหลี หรือ การเชื่อมต่อกับ แอปพลิเคชันชั้นนำให้สามารถใช้บริการเรียกรถของ Grab ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง WeChat Booking.com และ Trip.com ได้ รวมถึง การขยายช่องทางการชำระเงินดิจิทัลผ่าน Alipay และ Kakao Pay

>> Reliability & Safety การสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว

ความปลอดภัยเป็นปัจจัยหลักที่นักท่องเที่ยวคำนึงถึงในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่พัก หรือการใช้บริการขนส่งสาธารณะต่าง ๆ ดังนั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว แกร็บ จึงได้ยกระดับความปลอดภัยผ่านการพัฒนา 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย อาทิ ฟีเจอร์ Safety Centre สำหรับแจ้งขอความช่วยเหลือ หรือ ฟีเจอร์ Audio Protect เพื่อบันทึกเสียงระหว่างการเดินทาง มาตรการด้านความปลอดภัย ด้วยการคัดกรองและอบรมพาร์ทเนอร์คนขับ การกำหนดมาตรฐานการให้บริการที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย และการทำประกันเพื่อคุ้มครองทั้งผู้โดยสารและพาร์ทเนอร์คนขับ และสุดท้ายกับการจัดแคมเปญรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย ที่ล่าสุด แกร็บได้จับมือกับกรุงเทพมหานคร เพื่อรณรงค์เรื่องการขับขี่ปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา

>>  Accessibility การส่งเสริมการเดินทางเพื่อเข้าถึงเมืองหลัก และเมืองรอง

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติหันมาสนใจเดินทางไปยังเมืองรองมากขึ้น สะท้อนจากรายได้จากการท่องเที่ยวเมืองรองในปีที่ผ่านที่เติบโตขึ้นถึง 38%1 ดังนั้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังจังหวัดในเมืองหลักและเมืองรองได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แกร็บ จึงได้มุ่งสร้างประสบการณ์การเดินทางแบบไร้รอยต่อด้วยบริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชันที่มีให้บริการแล้วใน 71 จังหวัด ครอบคลุมทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ทั้งยังได้ผนึกความร่วมมือกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เปิดจุดรับ-ส่งผู้โดยสารเพื่อให้บริการในสนามบินหลัก ทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ ดอนเมือง และสุวรรณภูมิ

>> Valuable Experiences การสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำ

ความเป็นเลิศในด้านการบริการที่สอดแทรกเสน่ห์ของความเป็นไทยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดและพิชิตใจนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางกลับมายังประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวในทุกเที่ยวการเดินทาง แกร็บ จึงได้พัฒนาศักยภาพให้กับพาร์ทเนอร์คนขับผ่านคอร์สอบรมออนไลน์ภายใต้โครงการ GrabAcademy ครอบคลุมทั้งในด้านมาตรฐานการให้บริการการสื่อสารภาษาต่างประเทศเบื้องต้น และการขับขี่อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ยังได้ยกระดับประสบการณ์การเดินทางให้พิเศษยิ่งขึ้นผ่านบริการ GrabCar Premium ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยมอบความสะดวกสบายสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับนักท่องเที่ยวในทุกการเดินทาง

>> Environmentally Friendly การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบรักษ์โลก

การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมถือเป็นประเด็นสำคัญที่คนทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ ซึ่งจากการสำรวจพบว่ากว่า 90% ของนักท่องเที่ยวให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืน2 เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืน แกร็บ จึงได้มุ่งพัฒนาและนำเสนอตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การริเริ่มโครงการ Grab EV ที่ส่งเสริมให้พาร์ทเนอร์คนขับเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในการให้บริการเรียกรถ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้โดยสาร และการพัฒนาฟีเจอร์ชดเชยการปล่อยคาร์บอน (Carbon Offset) ที่ผู้ใช้บริการสามารถร่วมบริจาคเงิน 2 บาทต่อการเดินทาง หรือ 1 บาทจากการสั่งอาหาร เพื่อนำไปปลูกต้นไม้เพื่อชดเชยคาร์บอน ซึ่งจากการบริจาคเงินของผู้ใช้บริการในปี 2566 แกร็บสามารถนำไปปลูกต้นไม้ได้เป็นจำนวนกว่า 150,000 ต้น 

>> Local Touch การผลักดันให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น

การดึงเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาพัฒนาเป็นซอฟต์พาวเวอร์ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวถือเป็นกลยุทธ์ระดับชาติในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยจากการสำรวจพบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวให้ความสนใจที่จะมาสัมผัสวัฒนธรรมท้องถิ่น3 ไม่ว่าจะเป็น การไปเทศกาลประจำจังหวัดต่าง ๆ การได้ลิ้มลองอาหารพื้นบ้าน หรือการอุดหนุนสินค้าชุมชน ดังนั้น แกร็บ ในฐานะแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้บริโภคกับผู้ประกอบการรายย่อย และพาร์ทเนอร์คนขับ จึงได้มุ่งสนับสนุนการเข้าถึงประสบการณ์ท้องถิ่นและวัฒนธรรมไทยในมิติต่าง ๆ อาทิ การส่งเสริมการเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจผ่านการทำหนังสือไกด์บุค Grab & Go ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การโปรโมทอาหารไทยเมนูเด็ดจากร้านอาหารรายย่อยผ่าน GrabFood และการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่นฝีมือคนไทยผ่าน GrabMart เพื่อให้ชาวต่างชาติสามารถเลือกซื้อได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น

ภายในงานยังได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ ‘พลิกโฉมประสบการณ์การท่องเที่ยวไทย สู่มาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืน’ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้แก่ นายนิธิ สีแพร รองผู้ว่าการด้านการสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร นางสาวเพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการตลาด ด้านการท่องเที่ยวและพันธมิตร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นางสาวเมธิณี อนวัชกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจการเดินทางและบริหารพาร์ทเนอร์คนขับ แกร็บ ประเทศไทย มาร่วมแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นและหารือถึงแนวทางในการผลักดันท่องเที่ยวให้ตอบรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นไปที่ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ ทิศทางและอนาคตการท่องเที่ยวของประเทศไทย การกำหนดยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยของการท่องเที่ยว การสนับสนุนประสบการณ์ท้องถิ่นชูจุดเด่นซอฟต์พาวเวอร์ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างสมดุลระหว่างสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน GrabNEXT 2024 ได้ที่ grb.to/GrabNEXT2024

‘แม่เด็ก 14’ อึ้ง!! เจอซองผงขาว-ไฟแช็กในถุงเสื้อผ้าลูกชาย ลั่น!! เชื่อ 50/50 แต่ถ้าเป็นของลูกจริง จะพาไปตรวจหาสารเสพติด

(15 พ.ค. 67) ภายหลังจากเเม่ของเด็กชายอายุ 14 ปีที่สูบบุหรี่ในห้องน้ำโรงพยาบาล เเล้วถูกหมอชื่อดังตบหน้า เข้าให้ปากคำที่ สน.ทุ่งสองห้อง เด็กชายวัย 14 ปี พร้อมมารดาเดินทางไปที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ เพื่อขอรับทรัพย์สินคืน หลังขึ้นไปบนชั้น 8 ในระหว่างการตรวจรับสิ่งของเจ้าหน้าที่ได้หยิบเสื้อผ้า มือถือ สิ่งของ ออกมาจากถุงพลาสติกสีฟ้า 

จากนั้นแม่เด็กก็ได้ตรวจสอบ แล้วเจ้าหน้าที่ก็ทักว่า ยังมีสิ่งของในถุงอีกแล้วเทออกมา ปรากฏว่า มีไฟแช็ก ซองถุงซิปล็อกสีขาวตกลงมา ลักษณะเป็นผงสีขาว หลอดตักยา และไฟเเช็กที่ปะปนอยู่กับเสื้อผ้า ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกใจ เเละพยายามจะไม่เชื่อว่าเป็นของเด็ก มีการถามว่ามาจากไหน เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ทราบ แต่พบในเสื้อเด็ก

เมื่อถามว่า มีคลิปวีดีโอ ตอนที่เก็บเสื้อผ้าเด็กไว้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ก็ยืนยันว่ามีกล้องวงจรปิดในโรงพยาบาล จากนั้นทางโรงพยาบาลได้ประสานไปที่ตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อให้มาตรวจสอบว่า วัตถุที่อยู่ในถุงซิปล็อกคืออะไร

เมื่อตำรวจมาถึงได้นำถุงทั้งหมดกลับไปให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อ ระบุมีซองพลาสติกสีขาวจริง ต้องส่งให้พฐ.ตรวจพิสูจน์ต่อไป ส่วนจะเชิญแม่กับเด็กให้สอบปากคำอีกหรือไม่ ต้องรอพนักงานสอบสวนแจ้ง

ด้าน แม่เปิดเผยภายหลังว่า ยอมรับว่าตกใจที่เห็นถุงซิปล็อกที่มีผงสีขาวอยู่ในถุงเสื้อผ้าของลูก ซึ่งตอนแรกยังไม่เห็น แต่พอเทถุงแล้วพบว่าเจออยู่ในก้นถุง ยังไม่รู้ว่าคืออะไร ตอนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และยังไม่ได้คุยกับลูกชาย แต่ถ้าหลังจากนี้ตรวจสอบแล้วหากเป็นของลูกชายก็จะพาไปตรวจหาสารเสพติด

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาน้องเคยมีประวัติเสพสารเสพติดหรือไม่ แม่บอกว่าไม่รู้เลย และถ้าผลตรวจออกมาว่าลูกชายเสพสารเสพติดก็ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย

'อ.ไชยันต์' ชี้!! คนอยู่เบื้องหลังม็อบเด็กใจอำมหิต  แนะ!! อย่าแก้ 112 ที่ปลายเหตุ ต้องแก้ที่คนบิดเบือน

(15 พ.ค.67) เฟซบุ๊ก Chaiyan Chaiyaporn ของ ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความระบุว่า "ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง คือ ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก เพราะพวกเขาใช้อนาคตและชีวิตของเยาวชนเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกเขาต้องการ โดยพวกเขาเท่านั้น คือ ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง"

อีกข้อความหนึ่ง ระบุว่า "แก้ ม.112 เพื่อช่วยเยาวชนผู้ต้องหาเป็นการแก้ปลายเหตุ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ-ผู้ให้ข้อมูลบิดเบือน"

‘TOC - Table of Contents’ คาเฟ่น้องใหม่ ‘ย่านบรรทัดทอง’ แปลงโฉมขนมไทยสุดว้าว แต่คงรสชาติความเป็นไทยชัดเจน

นับว่าเป็นคาเฟ่แห่งใหม่ที่น่าไปเยือนอีกหนึ่งแห่งในย่านบรรทัดทองเลยก็ว่าได้ สำหรับร้าน TOC - Table of Contents ที่ขณะนี้มีเมนูน่ารัก แถมยังน่าอร่อยอย่าง ‘DoughKo หรือ โดโกะ’ ที่นับว่าเป็นหนึ่งใน ‘ขนมไทยแปลงร่าง’ และเป็นความตั้งใจของทางร้าน ที่ต้องการนำเสนอขนมไทย ในรูปแบบที่แตกต่าง แต่ยังคงได้รสชาติความเป็น ‘ไทย’ ที่ชัดเจน

‘DoughKo หรือ โดโกะ’ เป็นการนำแป้งปาท่องโก๋ สูตรลับที่ต้องนวดมือเท่านั้น มาแปลงให้เป็นองค์ประกอบหลัก จากนั้นก็นำขนมไทยที่เราคุ้นเคยมาแปลงร่างเป็นไส้ต่าง ๆ ที่เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะต้องร้อง “อ๋อ…” เมื่อภาพขนมไทยเหล่านั้นไหลกลับมาในหัว

ในช่วงเปิดตัวมี 8 รสชาติแนะนำ ได้แก่ บ้าบิ่น ขนมครกต้นหอม ขนมครกข้าวโพด ขนมเบื้อง ขนมเปียกปูน ขนมใส่ไส้ มะขามเคิร์ด และ มะนาวเคิร์ด ข้อแนะนำพิเศษคือใช้มือทาน ใส่คำโต ๆ จะได้ลิ้มรสชาติเต็มปากเต็มคำ

ต่อมาคือ ‘คานาเล่’ ข้าวเหนียวปิ้งไส้เผือก ขนมหวานสัญชาติฝรั่งเศส ที่ถูกจับมาถ่ายทอดผ่านความกรอบนอกนุ่มใน ให้ออกมาในรสชาติของข้าวเหนียวปิ้ง ด้วย Texture ของข้าวเหนียวปิ้งทำให้มีความเหนียวนุ่มเคี้ยวเพลินไปอีกแบบ

ถัดมาคือ ‘Scone กลีบลำดวน’ ขนมหวานโซนผู้ดีอังกฤษ ที่หยิบเอาขนมกลีบลำดวนมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำ เปลี่ยนครีมชีสให้กลายเป็นครีมกล้วย ที่มีความ ‘นัว’ เป็นส่วนผสมลงตัวเมื่อตัดกับแยมเสาวรสที่ให้รสชาติเปรี้ยวนำ จานนี้ทานกับกาแฟของทางร้านเข้ากันได้ดีมาก

เมนูที่ห้ามพลาด ‘ชีสเค้ก หม้อแกง’ ดัดแปลงความนุ่มของชีส เปลี่ยนเป็นความละมุนของขนมหม้อแกงที่คนไทยรู้จักดี แถมด้วยการเอาหอมเจียวไปเบิร์นให้มีกลิ่นหอมจากน้ำตาลไหม้

และเมนูที่เห็นแล้วน้ำลายสอ ‘โรล ข้าวต้มมัด’ และ ‘ทองม้วนสด’ นับเป็นเมนูที่เดาไม่ออก ถ้าไม่ได้ลอง เป็นอีกหนึ่ง Signature ที่แปลงร่างขนมไทยอย่างข้าวต้มมัด และทองม้วนสด ให้มาอยู่ในรูปของโรลที่มีสีสันสวยงาม น่ารับประทานมาก

นอกจากขนมหน้าตาน่าอีทแล้ว ที่ TOC - Table of Contents ก็ยังมีเครื่องดื่มให้บริการด้วย โดยมีกาแฟ Blend พิเศษให้ได้ทดลอง 2 แบบ ได้แก่

TOC Blend : ที่ผสานรสชาติ Spice, Black Currant, Plum, Roasted Hazelnut, Milk Chocolate and Panela

Wheel of fortune : มี Taste note ของ White floral, Berry, Citrus, Almond, Peanut Butter and Nutella

สำหรับใครที่มองหาร้านนั่งชิว บรรยากาศดี ๆ แถมยังมีเครื่องดื่มและขนมอร่อย ๆ ให้รับประทาน ก็สามารถแวะมาได้ที่ TOC - Table of Contents จะมาคนเดียว มากับแฟน หรือแก๊งเพื่อน ทางร้านก็ยินดีให้บริการ

🕗ร้านเปิดทุกวัน (จันทร์-อาทิตย์) ตั้งแต่เวลา 07.30 น. - 22.00 น. 

📍 TOC - Table of Contents 
https://maps.app.goo.gl/P9AdH6RtPVy6itBr9

🗒สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 👉 Line @tableofcontents

🅿️ Parking : ที่จอดรถแบบมีค่าใช้จ่าย Dragon Town / สวนหลวงสแควร์ / อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ / I'm Park

‘มาเลเซีย’ แซง ‘ไทย’ ขึ้นแท่นเบอร์ 2 ตลาดรถยนต์ของอาเซียน หลังยอดขายไทยฮวบ ไตรมาสล่าสุดร่วง 25% สวนทางมาเลฯ

(15 พ.ค. 67) นิกเคอิเอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า มาเลเซียแซงหน้าไทยขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในภูมิภาคซึ่งได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในทวีปเอเชียใช้ห้ำหั่นกัน

นิกเคอิเอเชียรวบรวมข้อมูลยอดขายที่เผยแพร่โดยกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ไทย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม พบว่ายอดขายรถยนต์ในมาเลเซียซึ่งก่อนหน้านี้ครองอันดับ 3 ของอาเซียนมายาวนาน ได้แซงหน้ายอดขายในประเทศไทยแล้ว 3 ไตรมาสติดต่อกัน นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 มาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2024

จากข้อมูลของสมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซีย (Malaysian Automotive Association) ยอดขายรถยนต์ในมาเลเซียในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 202,245 คัน เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) หลังจากที่มีทำยอดขายรวมในปี 2023 ได้ 799,731 คัน เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้า

การยกเว้นภาษีรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเลเซีย เป็นแรงหนุนยอดขายรถยนต์ของแบรนด์ระดับชาติของมาเลเซีย อย่าง เปโรดัว (Perodua) และโปรตอน (Proton) ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันอยู่ประมาณ 60%

การยกเว้นภาษีรถยนต์ของมาเลเซียเริ่มต้นในปี 2020 และแม้ว่ามาตรการนี้จะสิ้นสุดลงในช่วงกลางปี 2022 แต่ยอดจองรถยนต์ในช่วงปลอดภาษียังคงเพิ่มตัวเลขยอดขายในปี 2023

“การเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่น รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวในราคาที่แข่งขันได้สูง ช่วยกระตุ้นยอดขาย” สมาคมยานยนต์แห่งมาเลเซียระบุในแถลงการณ์

ในทางตรงกันข้ามยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยซึ่งครองอันดับ 2 ของภูมิภาคมาอย่างยาวนานกลับตกต่ำลง ถึงขั้นที่ยอดขายในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 25% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า

ยอดขายรถยนต์รายเดือนของประเทศไทยเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY) ลดลงต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2023 เนื่องจากปัญหาสินเชื่อรถยนต์ที่ไม่ก่อรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้การปล่อยสินเชื่อรถยนต์เข้มงวดขึ้น บวกกับการบริโภคที่ซบเซาลงโดยทั่วไป

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน อีวีจีน

ส่วนอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนยังขาดแรงผลักดัน ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลง 24% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคลังเลในการซื้อรถ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top