Thursday, 2 May 2024
ทองคำ

‘ตุรกี’ ไฟเขียว!! เดินหน้าทำธุรกรรมการค้ากับรัสเซียต่อ เปิดทาง ‘รูเบิล - หยวน - ทองคำ’ ไม่ง้อ ดอลลาร์/ยูโร

เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อตุรกีรายงานว่า ‘ราเซป ไทยิป แอร์โดกัน’ ประธานาธิบดีตุรกี ได้หารือกับ ‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซียผ่านทางโทรศัพท์ ในกรณีข้อพิพาทระหว่าง ‘รัสเซีย-ยูเครน’ และรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ตุรกี -รัสเซีย’ ที่จะดำเนินต่อไปหลังจากนี้ โดยทางตุรกี ยังคงวางตัวเป็นกลางและจะสนับสนุนในการหาทางออกด้วยสันติวิธีอย่างเต็มที่เท่าที่จะสามารถทำได้

นอกเหนือจากเรื่องสถานการณ์ในยูเครนแล้ว ทั้ง 2 ผู้นำแห่งย่านทะเลดำ ก็ได้ถกกันเกี่ยวกับการทำธุรกรรมการค้าระหว่างกัน อันเนื่องจากตอนนี้รัสเซียถูกคว่ำบาตรจากสถาบันการเงินในโลกตะวันตกอย่างหนัก ด้วยการตัดธนาคารรัสเซียออกจากระบบ SWIFT Payment ทำให้รัสเซียไม่สามารถทำธุรกรรมรับโอนเงินผ่านระบบธนาคารสากลได้ 

‘นักลงทุน’ แห่ช้อปทองคำ เหตุเป็น ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ ลุ้นนิวไฮใหม่ทองคำ ปี 65 อาจทะลุบาทละ 32,100 บาท

พิษแบงก์มะกันล้ม นักลงทุนแห่ช้อปทองคำ ลุ้นทะลุนิวไฮบาทละ 32,100 บ. ขณะที่หุ้นหายตื่นดีดแรงบวก 41 จุด

(15 มี.ค.66) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีการปิดตัวลงของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank : SVB) และซิกเนเจอร์แบงก์ (Signature Bank) ในสหรัฐ ว่า คงไม่มีผลกระทบกับแผนเงินกู้ในตลาดตราสารหนี้ ที่จับตาดูอยู่ยังไม่มีอะไร และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังดูแลอยู่ เชื่อว่าจะมีการจำกัดผลกระทบส่วนนี้ให้น้อยลง หากเกิดความผันผวนขึ้นมาในช่วงรัฐบาลยุบสภา สามารถใช้มาตรการเข้าไปดูแลในช่วงรักษาการได้หรือไม่นั้น ก็ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาใด ๆ ที่ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง จำเป็นต้องเข้าไปดำเนินมาตรการเพื่อดูแลประชาชน คาดหวังว่าเหตุที่เกิดขึ้นในสหรัฐจะไม่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง หากไม่ได้เป็นประเทศที่ไปลงทุน และฝากเงินใน 2 แบงก์นั้นจำนวนมาก

“ส่วนถามว่าจำเป็นต้องออกมาตรการมาดูแลเช่นใดนั้น ก็ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบว่าปัญหาจะเป็นเรื่องอะไร วิกฤตที่เกิดขึ้นในสหรัฐ แบงก์ที่ปิดตัวเป็นธนาคารในภูมิภาค แม้จะอยู่ที่อันดับ 16 ก็ตาม แต่หากขยายไปสู่แบงก์ยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ ก็อาจจะมีผลกระทบ” นายอาคมกล่าว

นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดทองคำ นับตั้งแต่ต้นปี 2566 ถึงปัจจุบัน ปรับขึ้นมาแล้วกว่า 1,150 บาทต่อบาททองคำ โดยเฉพาะในเดือนมีนาคมนี้ บวกแล้ว 800 บาทต่อบาททองคำ ราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่บริเวณ 31,100 บาทต่อบาททองคำ ราคาทองคำปรับขึ้นร้อนแรงตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ตอบรับวิกฤตธนาคารสหรัฐขาดสภาพคล่องจนต้องปิดตัวไปแล้ว 3 แห่ง ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่รายรอปิดตัวเพิ่มอีก ทำให้ทองคำถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหรือเซฟเฮฟเว่นในการลงทุนอีกครั้ง เพราะขณะนี้ตลาดมีความกังวลกับการล้มของแบงก์สหรัฐสูงมาก

“มีการมองภาพย้อนกลับไปเมื่อปี 2551 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในสหรัฐ ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องพิมพ์เงินเพิ่มจำนวนมาก (คิวอี) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งถือเป็นการทำคิวอีครั้งแรกในรอบนั้นด้วย โดยในช่วง 10 ปีก่อนหน้าทองคำถือเป็นฮีโร่ในช่วงวิกฤตการเงิน ทำให้นักลงมุนมองว่า ทองคำอาจเป็นฮีโร่อีกครั้งได้ แต่ภาพปัจจุบันแตกต่างกัน เพราะดอกเบี้ยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ระดับต่ำมาก แต่ตอนนี้ก็คงค้างอยู่สูงมาแทน” นายพิบูลย์ฤทธิ์กล่าว

ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้น  จับตาดอลลาร์ vs 'ทองคำ-หยวน-Bitcoin'

⚠️ ตอนนี้ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ! เมื่อจีน-รัสเซียกำลังเร่งเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำลายค่าเงินและอำนาจของเงินดอลลาร์ลงให้ได้ ! ซึ่งคำถามสำคัญคือใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ ?!? ระหว่างเงินดอลลาร์, ทองคำ, เงินหยวน หรือ Bitcoin ?

(4 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ปัจจุบันเงินดอลลาร์ยังคงครองการค้าโลกอยู่ราว 88% ของสัดส่วนสกุลเงินทั้งหมดที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ในขณะที่เงินหยวนของจีนมีสัดส่วนเพียง 3-7% เท่านั้น (แต่ล่ะสื่อรายงานตัวเลขไม่เท่ากันแต่อยู่ใน Range ระหว่างนี้)

บางคนมองว่าอีกไม่นานหยวนจะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทนดอลลาร์ได้ในที่สุด ? แต่ก็มีอีกฝั่งที่มองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากนโยบายการบริหารประเทศของจีนและภาคการเงินนั้นเป็นระบบที่ค่อนข้างปลายปิด ซึ่งไม่อนุญาตให้เงินไหลเข้า-ออกประเทศได้อย่างอิสระ

และแม้จะมีข่าวว่าซาอุฯ กำลังเล็งขายน้ำมันบางส่วนเป็นเงินหยวน ทำให้หลายคนกำลังตั้งความหวังที่จะเกิด Petroyuan แทน Petrodollar แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจยังห่างไกลกันมาก โดยเฉพาะเมื่อสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลางมีความอ่อนไหวต่อค่าเงินดอลลาร์มากเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นคู่ค้าที่สำคัญมาก ๆ ของหลายประเทศ แต่โดยรวมแล้วการค้าโลกก็ยังถูกเงินดอลลาร์ครองตลาดอยู่ทิ้งห่างลิ่วจากสกุลเงินหยวน แม้จีนจะพยายามผลักดันการใช้เงินหยวนมาหลายปี แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าความต้องการเงินดอลลาร์จะยังคงสูงกว่าจนถึงปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตจีนมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองและเปิดกว้างสำหรับตลาดเงินหยวนมากขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของเงินหยวนในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสที่การครอบงำตลาดของเงินดอลลาร์จะลดลงในะระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นนี้จะยังไม่เห็นภาพก็ตาม

📌 ส่วนทางด้านของทองคำนั้น ดูเหมือนจะเป็นคู่ฟัดที่ดูมีโอกาสมากที่สุดในการทุบอำนาจของเงินดอลลาร์ โดยทั่วโลกกำลังจับตาว่าทองคำจะยืนเหนือระดับ 2,000 $/Oz ได้หรือไม่ ? เพราะถ้ายืนได้ก็มีโอกาสที่จะทะลุเพดานไปอีก แต่ถ้ายืนไม่ได้ราคาทองคำโลกก็อาจร่วงลงมาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

โดยรัสเซียนั้นได้กลายเป็น 1 ในประเทศที่กำลังผลักดันให้โลกกลับไปสู่ระบบการเงินที่หนุนหลังด้วยทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นเพียงไม่กี่ทางเลือกที่รัสเซียจะสามารถหลีกหนีการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกไปได้ ซึ่งปัจจุบันรัสเซียกำลังร่วมมือกับอิหร่านในการทดลองใช้ Token ดิจิทัลที่หนุนหลังด้วยทองคำเพื่อทดแทนระบบเงินดอลลาร์ ขณะที่จีนเองก็มีข่าวว่าได้เข้าตุนทองคำเอาไว้เป็นปริมาณมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทุบอำนาจดอลลาร์ที่โลกฝั่งคอมมิวนิสต์ต้องการ

ธนาคารต่าง ๆ ในรัสเซียถูกรัฐบาลสั่งให้คิดค่าดอกเบี้ยในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สูงขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนและโดนคว่ำบาตร ในขณะเดียวกันก็ออกกฏหมายหนุนให้ผู้คนหันไปหาเงินหยวนและทองคำมากขึ้นแทน ทำให้ Demand ทองคำจากผู้บริโภคในรัสเซียสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นั้นมา

โดยรวมในปี 2022 พบว่า Demand ทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้นราว +18% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้ออย่างมหาศาลของธนาคารกลาง ซึ่งหากคิดเฉพาะ Demand จากธนาคารกลางจะถือว่าเข้าซื้อมาที่สุดในรอบราว 50 ปีเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าธนาคารกลางรัสเซียน่าจะเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ แต่ไม่มีข้อมูลทางสถิติออกมายืนยันเพราะรัสเซียหยุดรายงานความเคลื่อนไหวในการซื้อขายทองคำและปริมาณตุนสำรองไปหลังจากที่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น

ขณะที่จีนก็พยายามผลักดันทองคำอยู่แบบเงียบ ๆ พร้อมกับการดันเงินหยวนให้มีความเป็นสากลมากขึ้น นั่นทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโลกคอมมิวนิสต์กำลังปฏิบัติการเพื่อทำลายค่าเงินดอลลาร์อยู่ โดยใช้ทองคำเป็น 1 ในอาวุธหลัก เนื่องจากเหตุผลว่ามันคือ Safe Haven ที่รักษามูลค่าได้ตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมา

แต่จะสามารถล้มอำนาจของดอลลาร์และดึงโลกกลับไปสู่มาตรฐานทองคำได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องรอดูกันต่อไปในฉากหน้า ! โดยทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีความพยายามในการดัน Gold Standard กลับมาเรื่อย ๆ แต่ปรากฏว่าโลกก็ยังไม่ได้กลับไปใช้ทองคำหนุนหลังค่าเงินอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราต้องลุ้นกันว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือคว้าน้ำเหลว ?

⚠️ อีกอาวุธหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงว่าจะนำมาใช้ล้มอำนาจของเงินดอลลาร์ก็คือ Bitcoin และ Crypto ซึ่งราคาของ Bitcoin ได้ปรับตัวสูงขึ้น +71% ในไตรมาสแรกของปี 2023 นี้ ! และท่ามกลางวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นก็พบว่าราคา Bitcoin ยังคงดีดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเทรดอยู่ราว ๆ 28,300 $/BTC ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่านี่จะใช่การกลับมาผงาดของมันหรือไม่ ? หลังจากเป็นกระแสข่าวแล้วราคาร่วงยับในก่อนหน้านี้

หลายสื่อรายงานว่าสภาพคล่องในตลาด Bitcoin กำลังอยู่ในภาวะ “แห้งเหือด” แม้ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง Trading Volumes ที่ลดลงหมายความว่าผู้ถือครองรายใหญ่จะสามารถปั่นราคาเหรียญได้ง่ายกว่าเดิมโดยใช้ปริมาณเงินน้อยกว่าเดิม ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าที่ราคาปรับตัวขึ้นมาได้เมื่อเร็ว ๆ นี้อาจเป็นเพราะ Volumes ที่ลดลง ?

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin มองว่าอนาคตของมันยังอีกไกล ? และ Bitcoin จะไม่ใช่แค่แทนที่ดอลลาร์ ? แต่จะแทนที่ทองคำด้วย ? ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ? เพราะสำหรับขาเชียร์ Bitcoin พวกเขาก็จะ Discredit ระบบเงิน Fiat และทองคำเป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่ Bitcoin ยังเป็นกระแสจนราคาร่วงยับ -70%

อนึ่ง ในช่วงที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังเร่งตรวจสอบอุตสาหกรรมคริปโตอยู่นี้ พบว่าทางฮ่องกงก็กำลังเร่งเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตระดับโลก ! กลับลำ 180 องศาจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนออกมาประกาศก้องโลกว่าจะไม่เอา Crypto และยังสั่งให้ประชาชน-ธุรกิจต่าง ๆ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเหรียญเหล่านี้

ดังนั้นก็คงต้องรอดูว่าอนาคตของ Crypto จะถูกกำหนดออกมาอย่างไร เพราะปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ ซึ่งคงต้องพิจารณาควบคู่กับการมาถึงของ CBDC ว่าจะให้ Crypto อยู่ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกต่อไป หรือว่าจะแบนทิ้งกันแน่ ? ส่วนเรื่องที่ Bitcoin จะแทนที่ดอลลาร์รักษามูลค่าไปเรื่อย ๆ ได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องคุยกันหลังจากประเด็นนี้ผ่านก่อน

📌 ขณะเดียวกันนี้ ทาง OPEC+ ได้ตกลงกันที่จะลดกำลังผลิตน้ำมันดิบลงกว่า -1 ล้านบาร์เรล/วัน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ OPEC+ กล่าวว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นตามไปด้วย

แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นการสร้างเงินเฟ้อให้แก่โลกไปด้วย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะทำลายเศรษฐกิจของประเทศตะวันตกด้วยการดันให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นในระดับสูงอย่างที่นักวิเคราะห์ฝ่ายโปรรัสเซียส่วนใหญ่พยายามออกมาชี้ในก่อนหน้านี้ว่าประเทศตะวันตกจะต้องเผชิญเงินเฟ้อครั้งใหญ่จากการทำสงครามกับรัสเซีย ?

ราคาน้ำมันดิบโลกอย่าง WTI และ Brent ดีดขึ้นราว +6% ในวันนี้กลับมาอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้งหลังมีการประกาศลดกำลังผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันดิบโลกจะพุ่งสูงขึ้นอีกหรือไม่ ? เพราะหากเศรษฐกิจและภูมิภาคโลกยังมีความตึงเครียดอยู่ ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลก็ไม่ได้ถือว่าไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับน้ำมัน

มองกระแส ‘ราคาทองคำ’ ทะยานเฉียด 2,050 $/Oz  หรือสงครามการเงินโลกจะอยู่ใต้กำมือคอมมิวนิสต์

(5 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ยังไงต่อดีสำหรับตลาดทองคำโลก !!! หรือว่าระบบการเงินกำลังจะกลับไปสู่มาตรฐานทองคำตามความต้องการของฝ่ายคอมมิวนิสต์กันแน่ ?? หลังจากล่าสุด Gold Futures พุ่งทะยานเฉียด 2,050 $/Oz เข้าไปแล้ว ! หรือพูดง่าย ๆ ว่าใกล้ระดับ All Time High เข้าไปทุกที !

ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “สงครามการเงินโลก” ที่กำลังเดือดขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีจีน-รัสเซียเป็นแกนนำหลักในการถล่มค่าเงินดอลลาร์ ทั้งในทางตลาดเงินและปฏิบัติการทางข่าวสาร ! โดยเราคงได้เห็นข่าวมากมายแล้วว่าตอนนี้จีน-รัสเซียกำลังดันหยวนขึ้นเป็นสกุลเงินสำรองใหม่ของโลก เพื่อทุบอำนาจของเงินดอลลาร์และมีแนวโน้มที่จะใช้ทองคำเป็น 1 ในสินทรัพย์สำคัญที่จะมาหนุนค่าเงินของประเทศต่าง ๆ

แม้แต่ทางด้าน Citigroup เองออกมากล่าวว่าราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นสูงถึง 2,300 $/Oz ในระยะสั้น ! โดยมีปัจจัยหนุนหลายอย่างตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น รวมถึงคาดการณ์ของตลาดที่ว่า FED จะลดดอกเบี้ยหรือใกล้ถึงจุด Peak ของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

โดยในกรณีที่ FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ย จะสามารถอธิบายตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นเหตุผลที่มาหนุนทองคำได้ ! เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้จ่ายปันผลหรือดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นจึงทำให้ทองคำมีความน่าดึงดูดใจน้อยลง แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มถึงจุด Peak หรือกำลังจะลดลง ทองคำจึงมีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง Recession และความเสี่ยงเชิงระบบต่าง ๆ ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วทำให้นักลงทุนแห่เข้าหาทองคำที่ถูกมองเป็น 1 ใน Safe Haven ของโลกมากขึ้น

📌 ทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนกำลังมองว่าราคาทองคำจะพุ่งทะยานขึ้นอีก โดย Saxo Bank เป็น 1 ในสถาบันการเงินที่ออกมาทำนายว่าราคาทองคำจะพุ่งทะยานไปได้ถึง 3,000 $/Oz ภายในปี 2023 นี้ !!! หรือพูดง่าย ๆ ว่าพุ่งขึ้นอีกประมาณ 1,000 $/Oz จากระดับปัจจุบันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในกรณีที่ระบบการเงินของสหรัฐฯ พังลงจากการทุบทำลายของจีน-รัสเซีย

นอกจากนี้ Saxo Bank ยังทำลายอีกว่าเงินเยนจะไปถึง 200 ต่อ 1 ดอลลาร์เนื่องจากระบบการเงินของญี่ปุ่นจะมีปัญหา รวมถึงการเกิดวิกฤตทางการเมืองในยุโรป และเมื่อระบบการเงินของประเทศใหญ่ ๆ เผชิญวิกฤต ราคาทองคำก็มักจะพุ่งทะยานเสมอ

และท่ามกลางความพยายามที่จะทุบค่าเงินดอลลาร์นี้ Saxo Bank กล่าวอีกว่า OPEC+, จีน และอินเดีย มีแนวโน้มจะถอนตัวออกจาก IMF และร่วมมือกันสร้างกองทุนใหม่ที่จะไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์เป็นหลัก

ขณะเดียวกัน การเริ่มกลับมาเปิดประเทศใหม่ของจีนจะดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกให้สูงขึ้นเนื่องจาก Demand เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะเมื่อ FED ไปถึงจุด Peak ของการขึ้นดอกเบี้ยและการทำ QT จะยิ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นตลาดดีขึ้นและ Demand ทางเศรษฐกิจพุ่งสูงขึ้น ซึ่งถูกมองเป็นปัจจัยที่หนุนราคาทองคำ

⚠️ นั่นทำให้ Saxo Bank มองว่าราคาทองคำมีลุ้นจะไปที่ 3,000 $/Oz ซึ่งหากจะสรุปเป็นข้อ ๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ จะได้ปัจจัยที่หนุนทองคำดังนี้

1. ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความต้องการทุบค่าเงินดอลลาร์ของจีน-รัสเซีย

2. การพิมพ์เงินของธนาคารกลางจำนวนมากในก่อนหน้านี้ รวมถึงสงครามการดันเงินเฟ้อให้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศตะวันตก ซึ่งนำโดยรัสเซีย จีน และกลุ่ม OPEC+ ที่ล่าสุดออกมาลดการผลิตน้ำมันเพื่อดันราคาขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ถูกมองว่าใกล้ถึงจุด Peak

3. Demand ทางเศรษฐกิจและความต้องการทองคำจริงในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกมีความเสี่ยง

4. ความเชื่อมั่นดั้งเดิมในทองคำ ซึ่งตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ตัวเองว่ารักษามูลค่าเทียบกับทุกสกุลเงินบนโลกได้ดี

📌 นอกจากนี้ ล่าสุดทาง Jamie Dimon ซึ่งเป็น CEO ของ JPMorgan ยังออกมากล่าวอีกว่า “วิกฤตธนาคารยังไม่จบ” แม้ว่าจะไม่เหมือนกับในปี 2008 แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีการระเบิดเป็นโดมิโน่ในบางส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งผลกระทบอาจคงอยู่ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า

เขาแนะว่าในอนาคตธนาคารต่าง ๆ ควรได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกับ Big Bank ซึ่งจำเป็นต้องยกเลิกกฏระเบียบที่ผ่อนคลายลงในยุคของทรัมป์ ซึ่งเป็น 1 ในต้นเหตุให้ธนาคารต่าง ๆ ใช้เงินอย่างประมาทและเกิด Bank Run ขึ้น

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ติว่ากฏระเบียบของสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารต่าง ๆ นิยมสะสมพันธบัตรในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการขาดทุนค้างพอร์ตจำนวนมากถึง -21.5 ล้านล้านบาทหรือ -6.2 แสนล้านดอลลาร์

วิเคราะห์!! 'ดอลลาร์' จะยังเป็น King อีกยาวไหม? ขณะที่ 'จีน-รัสเซีย' ดัน 'หยวน-ทองคำ' มาทุบ

ข่าวที่ว่าดอลลาร์จะเสื่อมค่ากลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอานั้น ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งอำนาจนิยมที่กล่าวว่าตนเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความต้องการทำลายชาวยิว ! ดังนั้นเรื่องที่ว่าดอลลาร์จะพังไม่มีใครเอาจริงหรือไม่นั้น ? เป็นประเด็นที่เราต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อข่าวจากฝั่งที่โจมตีว่าดอลลาร์จะพังอย่างเดียวโดยไม่คิดให้ดี !

โดยเฉพาะในประเทศไทย มีนักวิเคราะห์และกลุ่มคนที่ยกตัวเป็นกูรูด้านเศรษฐศาสตร์-การเงินจำนวนมากมายออกมา “แนะนำ” ให้คนทิ้งดอลลาร์และถือทองคำ-เงินหยวนแทน ! พร้อมกับกล่าวว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และระบบการเงินโลกดอลลาร์กำลังจะพังทลายกลายเป็นหายนะ ?

คนเหล่านี้มักจะแสดงตัวกับสังคมบ่อย ๆ ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องการเห็นคนอื่นรู้ทันโลกและฉลาดทางการเงินอย่างแท้จริง แต่เบื้องลึกจะเป็นอย่างที่แสดงออกมาจริง ๆ หรือไม่ ? อาจเป็นคำถามที่เราต้องตามดูกันยาว ๆ ก่อนจะรีบสรุปจากสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา

และหากเราฟังข่าวจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มศัตรูของสหรัฐฯ บ้าง เราจะได้มุมมองที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นล่าสุด Larry Summers อดีตขุนคลังสหรัฐฯ ผู้ที่เคยทำนายสถานการณ์เงินเฟ้อได้อย่างแม่นยำ กล่าวว่าข่าวโจมตีต่าง ๆ ที่ว่าเงินดอลลาร์จะพังนั้นไม่เป็นความจริง ?

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะลดสัดส่วนในการเป็นทุนสำรองทั่วโลกลงจาก 70% เหลือ 58% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ยูโร (ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ) เข้ามามีบทบาทเป็นทางเลือก ! แต่ขณะเดียวกันในแง่ของการค้าและในด้านอื่น ๆ พบว่าทั่วโลกยังคงใช้ดอลลาร์มากกว่า 80% ขณะที่หยวนมีสัดส่วนไม่ถึง 5%

ซึ่ง Summers ชี้ให้เห็นอีกว่าสัดส่วนดอลลาร์ในทุนสำรองที่ลดลงเหลือ 58% นั้นก็อาจเป็นการ “พูดเกินจริง” ไปด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วดอลลาร์อาจยังมีสัดส่วนมากกว่าที่สถิติชี้ให้เห็น ขณะที่ทางจีน-รัสเซียนั้นพยายามดันเงินหยวน-ทองคำ (รวมถึง Bitcoin และ Crypto อื่น ๆ) ขึ้นมาทุบดอลลาร์อย่างเต็มที่

ในกลุ่มนักวิเคราะห์ฝั่งจีน-รัสเซีย รวมถึงในไทยส่วนใหญ่ กำลังมีการกระหน่ำข่าวให้ซื้อทองคำกันรัว ๆ โดยไม่กล่าวถึงความเสี่ยงใด ๆ ของทองคำเลย มีแต่บอกว่าทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะพัง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่จะพัง !

📌 ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ฝั่งจีน-รัสเซียใช้นั้น อธิบายว่าเงินดอลลาร์จะเสื่อมค่าอย่างหนักเพราะอนาคตจะมีการใช้งานน้อยลง กลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอา ? และยังชี้ไปถึงการที่สหรัฐฯ พิมพ์เงินออกมาได้ไม่จำกัดโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง พร้อมกับเพดานหนี้ที่ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ

ทำให้พวกเขามองว่าทองคำนั้นจะมีมูลค่าพุ่งทะลุเพดานหลังจากปฏิบัติการล้มดอลลาร์เสร็จสิ้นลงแล้ว ! หรือพูดง่าย ๆ ว่าจีน-รัสเซีย “มองว่าชาวยิวนั้นโง่เรื่องการเงิน” และดำเนินนโยบายอย่างผิดพลาดที่พิมพ์ดอลลาร์ออกมาโดยไม่มีอะไรหนุนหลัง และมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาดล้ำโลกที่เชื่อในทองคำมากกว่าดอลลาร์

ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นแม้ว่าจีน-รัสเซียจะตามหลังสหรัฐฯ อยู่ในหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ระบบการเงิน วิทยาศาสตร์ ขณะที่กลไกการเงินแทบทั้งหมดบนโลกก็เป็นชาวยิวทั้งนั้นที่คิดมาให้เราใช้ ไม่เว้นแม้แต่เทคโนโลยีสุดล้ำต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากสมองชาวยิวแทบทั้งสิ้น รวมถึงอัจฉริยะที่เปลี่ยนโลกส่วนใหญ่ก็เป็นยิว

⚠️ ดังนั้นเราคงต้องดูกันว่าฝั่งอำนาจนิยมจะล้มชาวยิวได้จริงหรือไม่ ? และชาวยิวโง่จริงหรือ ? ที่พิมพ์ดอลลาร์โดยไม่มีทองคำหนุนหลัง หรือว่าเป็นฝ่ายอำนาจนิยมกันแน่ที่โง่คิดไม่ทันชาวยิว ? สุดท้ายดอลลาร์หรือทองคำกันแน่ที่จะพัง ? อะไรกันแน่ที่กำลังเป็นฟองสบู่ ?

📌 ปัจจุบันนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างก็กำลังจับตามองตลาดหุ้นและระบบการเงินดอลลาร์จะพังทลายตามคำทำนายของฝ่ายอำนาจนิยมจริงหรือไม่ ? หรือว่าเศรษฐกิจของฝ่ายที่พยายามโจมตีสหรัฐฯ กันแน่ที่จะพังเสียเอง ?? โดยดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ราว ๆ 102 หน่วยในตอนนี้ จากอดีตเคยอยู่ที่ 70 หน่วย ขณะที่เงินรูเบิลรัสเซียอ่อนค่ากว่า -3x เท่าจากเคยอยู่ที่ 25 ต่อ 1 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 82 ต่อ 1 ดอลลาร์ไปแล้ว

ส่วนดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ เช่น S&P500, NASDAQ100, Dow Jones ก็ปรับตัวขึ้นมาจากจุด Low ในช่วงปี 2020 แม้มีข่าวถล่มมาตลอดหลายสิบปีแล้วว่ากำลังจะเป็นหายนะ พัง ไร้ค่า ไม่มีใครเอา มีเพียงอย่างเดียวที่ยังจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับดอลลาร์ได้ในตอนนี้ก็คือทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความหวังหลักของฝ่ายอำนาจนิยมที่จะใช้ทุบดอลลาร์ให้กลายเป็นแบงก์กงเต็ก

กูรูฝั่งอำนาจนิยมส่วนใหญ่กล่าวว่าเมื่อทองคำยืนเหนือ 2,000 $/Oz ได้แปลว่าราคาจะไปต่ออีกมาก บางคนมองว่าทองคำจะพุ่งทะยานไปถึง 5,000 $/Oz หรือมากกว่านั้นเมื่อดอลลาร์พังลงตามคำทำนายของพวกเขา ? แต่ล่าสุดพบว่าราคาทองคำจะส่ายไปส่ายมาไม่สามารถทะลุ All Time High ใหม่เหนือ 2,075 $/Oz ได้สักที ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าฝั่งอำนาจนิยมจะพยายามดันราคาทองคำไปได้ถึงไหน ? หรือว่าทองคำกำลังเป็นฟองสบู่ที่รอวันระเบิดแทนที่จะเป็นดอลลาร์ ?

⚠️ เมื่อเราฟังมุมมองที่ Bias ในทองคำไปแล้ว ขอยกตัวอย่างคนที่มองว่าทองคำแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยกันบ้าง ! โดยปู่ Warren Buffett รวมถึง Bill Gates ซึ่งเป็นระดับตำนานของโลก ต่างก็มองว่าทองคำนั้นแทบไม่มีมูลค่าอะไรจริง ๆ เลย และไม่ได้ให้ผลผลิตอะไรในทางเศรษฐกิจด้วย ทำได้ก็แค่ซื้อมาเป็นเครื่องประดับหรือเก็งกำไรหวังว่าจะมีการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต และแม้ว่าปัจจุบันทองคำจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์บางอย่างด้วยความสามารถในการนำไฟฟ้าของมัน แต่ก็ยังคิดเป็นส่วนน้อยมาก ๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ

Bill Gates เน้นย้ำว่าทองคำเป็นเรื่องของจิตวิทยาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นอะไรที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เราจึงไม่ได้ Bias ในทองคำ ขณะที่ปู่ Warren Buffett กล่าวว่าทองคำเป็นสิ่งที่ปู่จะไม่ลงทุน เพราะทำได้แค่นั่งดูและหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นในอนาคต สู้เอาเงินไปซื้อที่ดินทำเกษตร หรือซื้อหุ้นดีกว่าเยอะ โดยปู่เคยกล่าวอีกว่าถ้าคุณซื้อทองคำเมื่อตอน 20 $/Oz ปัจจุบันมันจะมีมูลค่าราว 2,000 $/Oz แต่ถ้าคุณซื้อหุ้น Berkshire พร้อม ๆ กันกับทอง (ตอนนั้นมีมูลค่า 15 $/หุ้น) ปัจจุบัน Berkshire ได้มีมูลค่าสูงถึง 496,404 $/หุ้น ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่เจ็บแสบไม่น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอวัดกันต่อไปว่าทองคำจะทุบดอลลาร์ได้จริงหรือไม่ ? แต่อย่างที่ World Maker บอกไปว่าเราไม่ควร Bias ทองคำมากเกินไปตามข่าวของฝั่งอำนาจนิยม เราต้องเข้าใจด้วยว่าข่าวถล่มดอลลาร์และเชียร์ซื้อทองคำส่วนใหญ่นั้นมีผลประโยชน์ทางการเมืองระดับโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีความเป็นจิตวิทยาสูง ซึ่งแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้จริงที่ราคาทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะเสื่อมค่า แต่ในโลกการเงินของจริงนั้น ไม่ว่าสินทรัพย์อะไรก็ล้วนเป็นฟองสบู่ได้เช่นกัน ไม่เกี่ยวกับว่าอยู่มานานแล้วหรือพึ่งเกิดใหม่ (อย่างเช่น Bitcoin, Crypto)

📌 ขณะเดียวกัน ตอนนี้หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ รวมถึง FED กำลังเตรียมยกเครื่องกฏระเบียบทางการเงินครั้งใหญ่ ! โดยเฉพาะการเพิ่มการตรวจสอบบริษัทและสถาบันการเงินขนาดเล็ก-กลาง ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Non-Banks (บริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารแต่มีความสำคัญทางการเงิน) อีกด้วย ! แน่นอนว่าการยกระดับครั้งนี้เป็นการ Reset ใหม่จากกฏหมายในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ (ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย) ทำให้บริษัทขนาดเล็ก-กลาง ไม่จำเป็นต้องผ่านการทำ Stress Test อย่างเข้มงวดเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ และเป็น 1 ในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

10 ปี 'ไทยถือครองทองคำ' สัดส่วนเพิ่มอันดับ 2 ของเอเชีย

ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนการถือครอง ‘ทองคำ’ ของประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายมาเป็นอันดับ 2 ของทวีปเอเชีย!!

‘ธนาคารกลางทั่วโลก’ ตุนทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 176% เครื่องชี้วัดความกลัวเศรษฐกิจถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

‘สภาทองคำโลก’ ระบุไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มปริมาณทองคำสำรองขึ้น 176% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วน ‘จีน’ เพิ่มทองคำสำรองติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ด้านกูรู ชี้ทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ปั่นป่วน

หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ‘ราคาทองคำ’ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,082.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อย โดยเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ตอบสนองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อีก 0.25% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ส่งผลให้ ‘ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด’ ขยับขึ้นแตะ 5-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ก่อนวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ 

ทั้งนี้เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเสื่อมมูลค่าของเงินดอลลาร์ อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศที่ยังอยู่ในขาขึ้น ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งวิกฤติในภาคธนาคารของสหรัฐฯ ทั้งหมดจึงส่งผลให้รัฐบาลกลางของหลายประเทศ เดินหน้าสะสมสินทรัพย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น

ด้านสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า จีน, สิงคโปร์ และตุรกี เป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก โดยสภาทองคำโลก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 228.4 ตัน หรือประมาณ 176% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ส่วนสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ก็ได้รายงานเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 66 ว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBOC) เพิ่มปริมาณทองคำสำรองในประเทศเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ปีที่แล้ว โดยล่าสุดในเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้น 8.09 ตัน ส่งผลให้ปริมาณทองคำสำรองในคลังทั้งหมดของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,076 ตัน

สอดคล้องกับข้อมูลซึ่งรวบรวมโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนในเดือนเม.ย. เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 2.09 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.897 แสนล้านบาท) มาอยู่ที่ประมาณ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 105.6 ล้านล้านบาท) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่เสื่อมลง สวนทางกลับราคาสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลกที่ปรับตัวสดใสมากขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อยู่ในเกณฑ์ดีหลังจากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid)

ขณะที่บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวโกลบอล ไทม์ส (Global Times) ของทางการจีน กล่าวว่า “ทองคำยังคงเป็นเหมือนหลุมหลบภัยที่มีประสิทธิภาพ สำหรับเงินทุนระหว่างประเทศโดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงอื่น ๆ มากมาย”

ฟาก ตง เติ้งซิน (Dong Dengxin) ผู้อํานวยการสถาบันการเงิน และหลักทรัพย์ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อู่ฮั่น ประเทศจีน กล่าวว่า ท่าทีของบรรดาธนาคารกลางของหลายประเทศครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนทั่วโลกสูญเสียความไว้วางใจในการถือครองสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เหล่านี้ และเข้าซื้อทองคำอย่างร้อนแรง

“ที่สำคัญ ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการส่งออกที่เฟื่องฟู และการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศ” ตง ระบุ

ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ประเทศไทย กล่าวว่า ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตอบรับข่าวการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งยังสะท้อนว่านักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับภาคการเงินของสหรัฐฯ และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยหากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐยังไม่คลี่คลาย และมีข่าวร้ายเพิ่มเติมอีก ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จากความต้องการที่สูงขึ้น ดันราคาทองไปยืนใกล้ระดับ 2,000 ต่อออนซ์อีกครั้ง และเพิ่มสูงขึ้นราว 11% นับจากต้นปี และเพิ่มขึ้น 24% จากระดับต่ำสุดในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ทองคำมองว่า ราคาทองจะยังอยู่ระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ส่วนการคงอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐฯ จะมีส่วนกดดันให้ภาคธนาคารยังอ่อนแอต่อไป

ที่มา: บลูมเบิร์ก / กองทุนบัวหลวง

'รัฐบาลทหารไนเจอร์' ดับเครื่องชนฝรั่งเศส ระงับการส่งออก 'แร่ยูเรเนียม-ทองคำ' แล้ว

(2 ส.ค. 66) กลายเป็นความสัมพันธ์ที่หวานอม ขมกลืนกันไปเสียแล้วระหว่างฝรั่งเศส และ ไนเจอร์ ประเทศที่เคยอยู่ใต้อาณานิคม และเป็นพันธมิตรมาอย่างยาวนาน มาวันนี้ ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นเหมือนเซ็นใบหย่าเสียแล้ว หลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารล้มผู้นำไนเจอร์คนล่าสุด โมฮัมเหม็ด บาซูม โดยคณะปฏิวัติจากสภาพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา

สร้างความยุ่งยากใจให้กับรัฐบาลฝรั่งเศสไม่น้อย เพราะ เอมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส เคยฝากความหวังไว้อย่างมากกับ โมฮัมเหม็ด บาซูม ผู้นำไนเจอร์ ว่าจะเป็นเสาหลักให้กับฝรั่งเศสในแอฟริกา หลังจากที่ฝรั่งเศสเสียมาลีไปแล้วจากการรัฐประหารโค่นล้ม รัฐบาลของ อิบราฮิม บูบาการ์ คีตา อดีตผู้นำมาลีศิษย์เก่าฝรั่งเศสในปี 2020

ตามมาด้วยการรัฐประหารที่บูร์กีนา ฟาโซ ที่ได้ยกเลิกข้อตกลงด้านการทหารกับฝรั่งเศสไปแล้วเมื่อต้นปี 2023 โดยกล่าวว่า กองทัพของบูร์กินา ฟาโซ สามารถป้องกันตนเองจากผู้ก่อการร้ายในประเทศได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพากองทัพฝรั่งเศสอีกต่อไป

ทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องสั่งให้ถอนฐานทัพของตนจากทั้งมาลี และ บูร์กินา ฟาโซ ไปปักหลักใหม่ที่ไนเจอร์ แต่ยังไม่ทันได้ข้ามปี ไนเจอร์ก็หนีไม่พ้นคลื่นกระแสรัฐประหารในภูมิภาคซาเฮลจนได้

และเมื่อไนเจอร์ กลายเป็นประเทศที่ปกครองด้วยรัฐบาลทหาร ขัดกับหลักการของฝรั่งเศส จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ทางฝรั่งเศสต้องแสดงจุดยืนด้วยการประกาศตัดความช่วยเหลือด้านการเงิน และ การทหารที่เคยให้แก่ไนเจอร์ทั้งหมด มีผลทันทีตั้งแต่ประกาศ จนกว่าอดีตผู้นำ โมฮัมเหม็ด บาซูม ที่ตอนนี้ถูกฝ่ายกองทัพคุมตัว จะกลับคืนสู่ตำแหน่งตามเดิม

แต่วันนี้ รัฐบาลทหารของไนเจอร์ก็ประกาศดับเครื่องชนกับฝรั่งเศสเหมือนกัน ด้วยการสั่งระงับการส่งออกแร่ยูเรเนี่ยม และ ทองคำไปยังฝรั่งเศสทันที อย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งยังมีกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมาก ไปรวมตัวประท้วงกันที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศสในกรุงนีอาเม เพื่อขับไล่กองกำลังฝรั่งเศสออกจากประเทศและที่น่าสังเกตคือ มีหลายคนโบกธงชาติรัสเซียเย้ยออกสื่อเสียด้วย

ไนเจอร์เป็นหนึ่งในผู้ผลิต และ ส่งออกแร่ยูเรเนียมมากเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยเฉพาะส่งออกไปยังฝรั่งเศส ที่ใช้แร่ยูเรเนียมที่มาจากไนเจอร์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนถึง 17%

ซึ่งกิจการเหมืองแร่ขนาดใหญ่ของไนเจอร์ตั้งอยู่ที่เมืองอาร์ลิท ที่ห่างจากกรุงนีอาเม ประมาณ 1,100 กิโลเมตร โดยบริษัท SOMAÏR แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกิจการของรัฐ แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดคือ AREVA บริษัทด้านธุรกิจพลังงานนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ถือหุ้นอยู่ถึง 63.4% ส่วนที่เหลือเพียง 36.6% เป็นของรัฐบาลไนเจอร์

ทั้งทองคำ และ ยูเรเนียม เป็นหนึ่งสินค้าส่งออกที่เป็นรายได้หลักของไนเจอร์ทีเดียว โดยกว่า 50% ของแร่ยูเรเนียมที่ผลิตได้ถูกส่งไปเป็นวัตถุดิบในโรงไฟฟ้าของฝรั่งเศส ส่วนอีก 25% ส่งออกไปยังประเทศในสหภาพยุโรป

แต่ถึงแม้ว่า ไนเจอร์จะตัดการส่งออกยูเรเนียมไปฝรั่งเศส ก็อาจจะยังไม่ได้สร้างผลกระทบต่อการผลิตพลังงานในฝรั่งเศสมากมายนักในตอนนี้ เพราะโดยปกติทางฝรั่งเศสจะมีสต็อกแร่สำรองตุนไว้เสมอ เผื่อเกิดกรณีที่ไม่คาดฝันอย่าง ภัยธรรมชาติ หรือเหตุผลด้านการเมืองที่ควบคุมไม่ได้อย่างในครั้งนี้ 

ดังนั้น ฝ่ายที่เจ็บก่อนคือ ไนเจอร์ ที่ต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออกทั้งยูเรเนียม และ ทองคำ นับพันล้านเหรียญในแต่ละปี และทำให้ไนเจอร์ต้องหาตลาดใหม่มาทดแทน ที่คาดการณ์ว่าคงหนีไม่พ้นจีนอีกเช่นกัน

แต่การเจ็บคราวนี้ของไนเจอร์ ก็อาจเป็นการเจ็บแล้วจบก็ได้ ที่ตอนนี้รัฐบาลไนเจอร์จะได้โอกาสจัดการสัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนในธุรกิจทรัพยากรของประเทศใหม่ ให้ยุติธรรมและเหมาะสมกว่าที่เป็นอยู่

และหากไนเจอร์สามารถประคองตัวได้นานพอ ผล กระทบย่อมสะท้อนกลับมายังฝรั่งเศสเมื่อต้องเริ่มมองหาแหล่งที่ซื้อแร่ และ ทองคำใหม่ ถึงจะหามาทดแทนได้ไม่ยาก แต่มันจะไม่ใช่ราคาราคาที่เคยได้จากไนเจอร์แน่นอน และจะส่งผลต่อราคาแร่ยูเรเนียมในตลาดโลก รวมถึงค่าใช้จ่ายพลังงานในฝรั่งเศสอย่างแน่นอนในอนาคตอันใกล้

และสิ่งที่ทำให้ฝรั่งเศสเจ็บยิ่งกว่า คือการสูญเสียอิทธิพลที่เคยมีในย่านแอฟริกา ที่ไม่รู้ว่ามหาอำนาจเมืองน้ำหอมจะมีโอกาสได้แก้ตัวอีกไหมในดินแดนกาฬทวีปแห่งนี้ 

ทศวรรษแห่งความมั่งคั่ง!! ไทยถือครอง ‘ทองคำ’ เพิ่ม 60.20%

ประเทศไทยซื้อทองคำเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มมากที่สุดในเอเชียในรอบ 10 ปี โดยเพิ่มจาก 152.41 ต้นในปี 2556 มาอยู่ที่ 244.16 ตันในสิ้นปี 2565 โดยทุนสำรองที่เป็นทองคำเพิ่มขึ้นถึง 60.20% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

ธปท. วิเคราะห์ 'ดอลลาร์-ทองคำ-น้ำมัน' สารพัดปัจจัยต่างประเทศ ทำบาทอ่อน

ไม่นานมานี้ นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และอ่อนค่าผ่านระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปรับอ่อนค่าลงร้อยละ 6.75 จากต้นปี

สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค โดยการอ่อนค่าในช่วงหลังได้รับผลจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ 

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ประกอบกับนักลงทุนยังรอความชัดเจนของนโยบายการคลังและการระดมทุนของภาครัฐ 

ทั้งนี้ ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเข้าดูแลหากเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากผิดปกติเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ และในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง ภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top