วิเคราะห์!! 'ดอลลาร์' จะยังเป็น King อีกยาวไหม? ขณะที่ 'จีน-รัสเซีย' ดัน 'หยวน-ทองคำ' มาทุบ

ข่าวที่ว่าดอลลาร์จะเสื่อมค่ากลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอานั้น ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งอำนาจนิยมที่กล่าวว่าตนเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความต้องการทำลายชาวยิว ! ดังนั้นเรื่องที่ว่าดอลลาร์จะพังไม่มีใครเอาจริงหรือไม่นั้น ? เป็นประเด็นที่เราต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อข่าวจากฝั่งที่โจมตีว่าดอลลาร์จะพังอย่างเดียวโดยไม่คิดให้ดี !

โดยเฉพาะในประเทศไทย มีนักวิเคราะห์และกลุ่มคนที่ยกตัวเป็นกูรูด้านเศรษฐศาสตร์-การเงินจำนวนมากมายออกมา “แนะนำ” ให้คนทิ้งดอลลาร์และถือทองคำ-เงินหยวนแทน ! พร้อมกับกล่าวว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และระบบการเงินโลกดอลลาร์กำลังจะพังทลายกลายเป็นหายนะ ?

คนเหล่านี้มักจะแสดงตัวกับสังคมบ่อย ๆ ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องการเห็นคนอื่นรู้ทันโลกและฉลาดทางการเงินอย่างแท้จริง แต่เบื้องลึกจะเป็นอย่างที่แสดงออกมาจริง ๆ หรือไม่ ? อาจเป็นคำถามที่เราต้องตามดูกันยาว ๆ ก่อนจะรีบสรุปจากสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา

และหากเราฟังข่าวจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มศัตรูของสหรัฐฯ บ้าง เราจะได้มุมมองที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นล่าสุด Larry Summers อดีตขุนคลังสหรัฐฯ ผู้ที่เคยทำนายสถานการณ์เงินเฟ้อได้อย่างแม่นยำ กล่าวว่าข่าวโจมตีต่าง ๆ ที่ว่าเงินดอลลาร์จะพังนั้นไม่เป็นความจริง ?

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะลดสัดส่วนในการเป็นทุนสำรองทั่วโลกลงจาก 70% เหลือ 58% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ยูโร (ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ) เข้ามามีบทบาทเป็นทางเลือก ! แต่ขณะเดียวกันในแง่ของการค้าและในด้านอื่น ๆ พบว่าทั่วโลกยังคงใช้ดอลลาร์มากกว่า 80% ขณะที่หยวนมีสัดส่วนไม่ถึง 5%

ซึ่ง Summers ชี้ให้เห็นอีกว่าสัดส่วนดอลลาร์ในทุนสำรองที่ลดลงเหลือ 58% นั้นก็อาจเป็นการ “พูดเกินจริง” ไปด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วดอลลาร์อาจยังมีสัดส่วนมากกว่าที่สถิติชี้ให้เห็น ขณะที่ทางจีน-รัสเซียนั้นพยายามดันเงินหยวน-ทองคำ (รวมถึง Bitcoin และ Crypto อื่น ๆ) ขึ้นมาทุบดอลลาร์อย่างเต็มที่

ในกลุ่มนักวิเคราะห์ฝั่งจีน-รัสเซีย รวมถึงในไทยส่วนใหญ่ กำลังมีการกระหน่ำข่าวให้ซื้อทองคำกันรัว ๆ โดยไม่กล่าวถึงความเสี่ยงใด ๆ ของทองคำเลย มีแต่บอกว่าทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะพัง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่จะพัง !

📌 ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ฝั่งจีน-รัสเซียใช้นั้น อธิบายว่าเงินดอลลาร์จะเสื่อมค่าอย่างหนักเพราะอนาคตจะมีการใช้งานน้อยลง กลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอา ? และยังชี้ไปถึงการที่สหรัฐฯ พิมพ์เงินออกมาได้ไม่จำกัดโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง พร้อมกับเพดานหนี้ที่ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ

ทำให้พวกเขามองว่าทองคำนั้นจะมีมูลค่าพุ่งทะลุเพดานหลังจากปฏิบัติการล้มดอลลาร์เสร็จสิ้นลงแล้ว ! หรือพูดง่าย ๆ ว่าจีน-รัสเซีย “มองว่าชาวยิวนั้นโง่เรื่องการเงิน” และดำเนินนโยบายอย่างผิดพลาดที่พิมพ์ดอลลาร์ออกมาโดยไม่มีอะไรหนุนหลัง และมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาดล้ำโลกที่เชื่อในทองคำมากกว่าดอลลาร์

ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นแม้ว่าจีน-รัสเซียจะตามหลังสหรัฐฯ อยู่ในหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ระบบการเงิน วิทยาศาสตร์ ขณะที่กลไกการเงินแทบทั้งหมดบนโลกก็เป็นชาวยิวทั้งนั้นที่คิดมาให้เราใช้ ไม่เว้นแม้แต่เทคโนโลยีสุดล้ำต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากสมองชาวยิวแทบทั้งสิ้น รวมถึงอัจฉริยะที่เปลี่ยนโลกส่วนใหญ่ก็เป็นยิว

⚠️ ดังนั้นเราคงต้องดูกันว่าฝั่งอำนาจนิยมจะล้มชาวยิวได้จริงหรือไม่ ? และชาวยิวโง่จริงหรือ ? ที่พิมพ์ดอลลาร์โดยไม่มีทองคำหนุนหลัง หรือว่าเป็นฝ่ายอำนาจนิยมกันแน่ที่โง่คิดไม่ทันชาวยิว ? สุดท้ายดอลลาร์หรือทองคำกันแน่ที่จะพัง ? อะไรกันแน่ที่กำลังเป็นฟองสบู่ ?

📌 ปัจจุบันนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างก็กำลังจับตามองตลาดหุ้นและระบบการเงินดอลลาร์จะพังทลายตามคำทำนายของฝ่ายอำนาจนิยมจริงหรือไม่ ? หรือว่าเศรษฐกิจของฝ่ายที่พยายามโจมตีสหรัฐฯ กันแน่ที่จะพังเสียเอง ?? โดยดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ราว ๆ 102 หน่วยในตอนนี้ จากอดีตเคยอยู่ที่ 70 หน่วย ขณะที่เงินรูเบิลรัสเซียอ่อนค่ากว่า -3x เท่าจากเคยอยู่ที่ 25 ต่อ 1 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 82 ต่อ 1 ดอลลาร์ไปแล้ว

ส่วนดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ เช่น S&P500, NASDAQ100, Dow Jones ก็ปรับตัวขึ้นมาจากจุด Low ในช่วงปี 2020 แม้มีข่าวถล่มมาตลอดหลายสิบปีแล้วว่ากำลังจะเป็นหายนะ พัง ไร้ค่า ไม่มีใครเอา มีเพียงอย่างเดียวที่ยังจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับดอลลาร์ได้ในตอนนี้ก็คือทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความหวังหลักของฝ่ายอำนาจนิยมที่จะใช้ทุบดอลลาร์ให้กลายเป็นแบงก์กงเต็ก

กูรูฝั่งอำนาจนิยมส่วนใหญ่กล่าวว่าเมื่อทองคำยืนเหนือ 2,000 $/Oz ได้แปลว่าราคาจะไปต่ออีกมาก บางคนมองว่าทองคำจะพุ่งทะยานไปถึง 5,000 $/Oz หรือมากกว่านั้นเมื่อดอลลาร์พังลงตามคำทำนายของพวกเขา ? แต่ล่าสุดพบว่าราคาทองคำจะส่ายไปส่ายมาไม่สามารถทะลุ All Time High ใหม่เหนือ 2,075 $/Oz ได้สักที ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าฝั่งอำนาจนิยมจะพยายามดันราคาทองคำไปได้ถึงไหน ? หรือว่าทองคำกำลังเป็นฟองสบู่ที่รอวันระเบิดแทนที่จะเป็นดอลลาร์ ?

⚠️ เมื่อเราฟังมุมมองที่ Bias ในทองคำไปแล้ว ขอยกตัวอย่างคนที่มองว่าทองคำแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยกันบ้าง ! โดยปู่ Warren Buffett รวมถึง Bill Gates ซึ่งเป็นระดับตำนานของโลก ต่างก็มองว่าทองคำนั้นแทบไม่มีมูลค่าอะไรจริง ๆ เลย และไม่ได้ให้ผลผลิตอะไรในทางเศรษฐกิจด้วย ทำได้ก็แค่ซื้อมาเป็นเครื่องประดับหรือเก็งกำไรหวังว่าจะมีการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต และแม้ว่าปัจจุบันทองคำจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์บางอย่างด้วยความสามารถในการนำไฟฟ้าของมัน แต่ก็ยังคิดเป็นส่วนน้อยมาก ๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ

Bill Gates เน้นย้ำว่าทองคำเป็นเรื่องของจิตวิทยาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นอะไรที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เราจึงไม่ได้ Bias ในทองคำ ขณะที่ปู่ Warren Buffett กล่าวว่าทองคำเป็นสิ่งที่ปู่จะไม่ลงทุน เพราะทำได้แค่นั่งดูและหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นในอนาคต สู้เอาเงินไปซื้อที่ดินทำเกษตร หรือซื้อหุ้นดีกว่าเยอะ โดยปู่เคยกล่าวอีกว่าถ้าคุณซื้อทองคำเมื่อตอน 20 $/Oz ปัจจุบันมันจะมีมูลค่าราว 2,000 $/Oz แต่ถ้าคุณซื้อหุ้น Berkshire พร้อม ๆ กันกับทอง (ตอนนั้นมีมูลค่า 15 $/หุ้น) ปัจจุบัน Berkshire ได้มีมูลค่าสูงถึง 496,404 $/หุ้น ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่เจ็บแสบไม่น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอวัดกันต่อไปว่าทองคำจะทุบดอลลาร์ได้จริงหรือไม่ ? แต่อย่างที่ World Maker บอกไปว่าเราไม่ควร Bias ทองคำมากเกินไปตามข่าวของฝั่งอำนาจนิยม เราต้องเข้าใจด้วยว่าข่าวถล่มดอลลาร์และเชียร์ซื้อทองคำส่วนใหญ่นั้นมีผลประโยชน์ทางการเมืองระดับโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีความเป็นจิตวิทยาสูง ซึ่งแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้จริงที่ราคาทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะเสื่อมค่า แต่ในโลกการเงินของจริงนั้น ไม่ว่าสินทรัพย์อะไรก็ล้วนเป็นฟองสบู่ได้เช่นกัน ไม่เกี่ยวกับว่าอยู่มานานแล้วหรือพึ่งเกิดใหม่ (อย่างเช่น Bitcoin, Crypto)

📌 ขณะเดียวกัน ตอนนี้หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ รวมถึง FED กำลังเตรียมยกเครื่องกฏระเบียบทางการเงินครั้งใหญ่ ! โดยเฉพาะการเพิ่มการตรวจสอบบริษัทและสถาบันการเงินขนาดเล็ก-กลาง ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Non-Banks (บริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารแต่มีความสำคัญทางการเงิน) อีกด้วย ! แน่นอนว่าการยกระดับครั้งนี้เป็นการ Reset ใหม่จากกฏหมายในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ (ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย) ทำให้บริษัทขนาดเล็ก-กลาง ไม่จำเป็นต้องผ่านการทำ Stress Test อย่างเข้มงวดเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ และเป็น 1 ในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

นั่นหมายความว่าในอนาคตระบบการเงินของสหรัฐฯ จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวดสำหรับบริษัทแทบทั้งหมด และจะยกระดับความยากในการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจอีกด้วย แปลว่าบริษัทจะต้องผ่านเกณฑ์ความปลอดภัยที่สูงจริง ๆ ก่อนจะสามารถรับสินเชื่อหรือออกหุ้นกู้ได้ ขณะเดียวกัน ระดับดอกเบี้ยเงินกู้ก็ไม่น่าจะกลับไปต่ำใกล้ 0% อีกเป็นเวลานานโขเลยทีเดียว เพื่อให้ธุรกิจต่าง ๆ มีความระมัดระวังในการกู้เงินอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งหากพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ ในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนจะเป็นยกระดับระบบการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี และสหรัฐฯ ถือเป็นประเทศแรก ๆ ของโลกที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของตัวเอง แม้ว่าเท่าที่โลกรู้ตอนนี้คือจีนเป็นผู้นำในการทดสอบ CBDC แต่สหรัฐฯ ก็อาจมีความก้าวหน้าอะไรที่ซุ่มเงียบอยู่และรอวันเปิดเผยออกมาก็เป็นได้ ?

⚠️ ทางด้าน Tim Cook ซึ่งเป็น CEO ออกบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Apple กำลังหารือกับผู้นำของอินเดียในหลายแง่มุม หลังจาก Apple วางหมากลดการพึ่งพาการผลิตในจีนและขยายฐานออกไปยังอินเดียมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยกล่าวชัดเจนว่าบริษัทกำลังมุ่งมั่นที่จะเติบโตและลงทุนในทั่วประเทศอินเดีย

อินเดียถือเป็น 1 ในประเทศที่มีศักยภาพจะก้าวขึ้นมาแข่งขันกับจีนในอนาคต โดยล่าสุดก็พึ่งมีประชากรแซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีคนอาศัยอยู่มากที่สุดในโลกไปแล้ว (นำจีนหลัก 10 ล้านคนขึ้นไป) ซึ่งประชากรของอินเดียในปัจจุบันถูกประเมินอยู่ที่ราว 1.4286 พันล้านคน ขณะที่ของจีนอยู่ที่ 1.4257 พันล้านคน

การครองสัดส่วนตลาด Smartphone ของอินเดียโดย Apple เพิ่มขึ้น 5x เท่าเป็น 5% ในปีนี้ จากเดิมอยู่ที่เพียง 1% เท่านั้น และแน่นอนว่าแนวโน้มส่วนแบ่งของ Apple จะเติบโตขึ้นอีกในระยะยาว เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่ Apple ตั้งฐานผลิตในอินเดีย ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและลดต้นทุน-ราคาขายภายในประเทศได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้จีนยังครองส่วนแบ่งตลาดของ Apple ที่ใหญ่กว่ามาก โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า 90% ของ iPhone, iPads และ MacBook ทั้งหมดยังผลิตในจีนตอนนี้ แต่แนวโน้มดังกล่าวก็จะลดลงเรื่อย ๆ ในกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหากจีนเลือกเดินไปอยู่ฝั่งรัสเซียและเปิดหน้าดันเงินหยวนมาทุบดอลลาร์ (ปัจจุบันจีนยังไม่ได้เปิดหน้าดันหยวนชัดเจน แต่รัสเซียนั้นพยายามดันหยวนของจีนแบบสุด ๆ เพราะโดนคว่ำบาตรอย่างหนักจนต้องหาทางเลือกอื่นนอกจากดอลลาร์)

📌 นอกจากนี้ Apple ยังเริ่มขยายในเวียดนามอีกด้วย และที่สำคัญคือมีการเสนอบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ย 4.15% ร่วมกับธนาคาร Goldman Sachs ซึ่งอาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของการ Disrupt ครั้งใหญ่ในกลุ่ม Banking แม้ว่าปัจจุบันบัยชีดังกล่าวจะยังให้บริการแค่เฉพาะลูกค้า Apple Card ในสหรัฐฯ แต่ถ้าอนาคตมีการยายบริการไปทั่วโลก แปลว่าการแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยเงินฝากจะสูงขึ้นอย่างมาก และธนาคารหรือสถาบันการเงินใดที่ไม่สามารถแข่งขันเรื่องดอกเบี้ยได้ก็อาจต้องเผชิญการไหลออกของเงินฝาก

นั่นหมายความว่าในช่วง 5-10 ปีต่อจากนี้ Apple จะมีการขยายบริการดังกล่าวไปเรื่อย ๆ และจะมีสถานะเป็นทั้งบริษัทเทคฯ-การเงิน โดยมีบทบาทเชื่อมโยงกับกลุ่มธนาคารต่าง ๆ รวมถึงยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan, Citigroup, Bank of America, Morgan Stanley และ Wells Fargo

ส่วนทางด้านบริษัทเทคโนโลยีของจีนนั้น ตอนนี้กำลังเผชิญกับการชั่งใจของนักลงทุน ว่าจะมีความสามารถในการเติบโต พัฒนา และทำกำไรได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังชั่งน้ำหนักถึงกรณีที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนปะทุขึ้นกว่าเดิม

นี่อาจเป็นจุดที่จีนต้องตัดสินใจว่าจะเข้าข้างรัสเซียอย่างเต็มตัวและทำสงครามกับสหรัฐฯ เพื่อแย่งชิงอำนาจ หรือว่าจะเลือกยืนอยู่ในจุดที่เป็นกลางคือไม่คว่ำบาตรรัสเซีย แต่ก็ไม่ทำสงครามกับยิว-อเมริกัน ? เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่จีนกลายเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ได้เช่นทุกวันนี้ ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็เป็นเพราะสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนอยู่เป็นจำนวนมากนับตั้งแต่อดีตที่จีนเริ่มเปิดประเทศ ซึ่งถ้าในกรณีที่จีนเลือกทำสงครามกับยิว-ชาวอเมริกัน จะต้องมีบริษัทหลายแห่งอีกมากที่ถอนตัวออกจากจีน

ปัจจุบันสหรัฐฯ และพันธมิตรในยุโรปครอบครององค์ความรู้ในการผลิตชิปขั้นสูงอยู่ถึง 90% ของโลก และเริ่มมีการจำกัดการส่งออกไปยังจีนมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อจีนมีความแน่นแฟ้นกับรัสเซียและดูเหมือนจะเลือกทำสงครามงัดข้อกับโลกตะวันตก แต่เมื่อใกล้ถึงจุดที่แตกหัก จีนจะต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเลือกข้างรัสเซียหรือตะวันตก หรือจะวางตัวเองเป็นกลาง (ซึ่งกรณีสุดท้ายดูจะเป็นประโยชน์ต่อจีนมากที่สุด แต่กลุ่มอำนาจนิยมในจีนอาจขัดใจที่ไม่สามารถพังสหรัฐฯ ได้)

ทางโลกตะวันตกกำลังเตรียมยกระดับการคว่ำบาตรรัสเซียให้หนักกว่าเดิม เพื่อตัดช่องทางที่ยังเหลืออยู่ที่รัสเซียสามารถใช้หลีกเลี่ยงมาตรการเหล่านี้เพื่อนำเข้าสินค้าของศัตรูที่จะนำไปใช้ผลิตอาวุธและอุปกรณ์ทางการทหาร

⚠️ โดยภาพรวมแล้ว เรื่องราวของการเงินโลกและการเมืองโลกกำลังอยู่ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง และมีการโจมตีเงินดอลลาร์อย่างหนัก ซึ่งจะเป็นจุดวัดปัญญาและจิตใจว่า Think Tank ของฝั่งยิวกับของฝั่งศัตรู ใครจะมีมุมมองที่เฉียบคมกว่ากัน ? คำถามที่ทั่วโลกให้ความสนใจยังคงเป็นดอลลาร์-หุ้น vs ทองคำ-Crypto อะไรจะพุ่งอะไรจะพังกันแน่ ?


ที่มา: World Maker

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02NCBu9K1cfoL4DsymWdQKuaN1RGEL4Ppo6nWHedQF9zyuxGhwyYC83WkttmNq8fY8l&id=100057372132574&mibextid=Nif5oz