Saturday, 27 April 2024
ดอลลาร์

'รัสเซีย' กร้าว!! เตรียมผูกค่าเงินรูเบิลเข้ากับทองคำ ลั่น ไม่ขอผูกติดอยู่ใต้อำนาจของดอลลาร์อีกต่อไป

รัสเซียได้มีการประกาศครั้งใหญ่อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเตรียมนำค่าเงินรูเบิลเข้าสู่ Gold Standard อีกครั้ง ซึ่งการประกาศเช่นนี้หมายความว่าในอนาคตจะมีการผูกค่าเงินรูเบิลเข้ากับทองคำอย่างแน่นอน

สำนักข่าว RT เปิดเผยว่าผู้เชี่ยวชาญของรัสเซียกำลังเร่งพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อสร้างระบบการเงินและการคลังแบบ Two-loop โดยที่ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกออกมาว่า Two-loop นี้จะออกมาในรูปแบบไหนบ้าง 

ในเบื้องต้นมีการกล่าวกันว่าโครงการนี้เกี่ยวข้องกับการจัดหาสกุลเงินของรัสเซียเพื่อแลกเปลี่ยนกับทองคำที่มีอยู่ในตลาดโลก ซึ่งจะเป็นการเชื่อมระหว่าง

1.) การค้าสินค้าต่างๆ ด้วยสกุลเงินรูเบิล
2.) การแลกเปลี่ยนรูเบิลกับทองคำในตลาด

ทั้งหมดนี้จะทำให้ในระยะยาวสกุลเงินรูเบิลของรัสเซียสามารถสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงไปพร้อมๆ กับราคาทองคำในตลาดโลกนั่นเอง โดยรัสเซียเน้นย้ำไว้อย่างชัดเจนว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้สกุลเงินรูเบิล "ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของดอลลาร์อีกต่อไป" และยังสามารถเป็น Real Value (มูลค่าที่แท้จริง) ไปพร้อมๆ กับการรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน

แบงก์ชาติรัสเซียฟันธง! ดอลลาร์และยูโรจะเสื่อมค่า หมดราคาฐานะสกุลเงินโลก หลังอายัดทรัพย์มอสโก

ธนาคารกลางรัสเซียระบุในวันอังคาร(31พ.ค.) ว่าบทบาทของดอลลาร์และยูโรในฐานะสกุลเงินระหว่างประเทศ จะลดน้อยถอยลง เนื่องจากธนาคารกลางของชาติต่างๆจะต้องทบทวนยุทธศาสตร์ หลังตะวันตกอายัดทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซีย พร้อมกันนั้นยังบ่งชี้ด้วยว่าพวกเขาอาจพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยติดลบสำหรับเงินฝากที่เป็นดอลลาร์และยูโร

ในมาตรการคว่ำบาตรเล่นงานรัสเซีย หนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ตะวันตกได้ทำการอายัดทองคำและทุนสำรองระหว่างประเทศของรัสเซีย ราวครึ่งหนึ่งจากทั้งหมดเกือบๆ 640,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงก่อนหน้าที่มอสโกจะเริ่มปฏิบัติการทางทหารรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์

ธนาคารกลางรัสเซียระบุว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าว ตามด้วยการพูดคุยกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะยึดทรัพยสินที่อายัดไว้ กระตุ้นให้ธนาคารกลางประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชียและตะวันออกกลาง ให้ต้องทบทวนยุทธศาสตร์ทุนสำรองของพวกเขา

"หนึ่งสิ่งที่คาดหมายได้ก็คืออุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับทองคำ และบทบาทที่ลดลงของดอลลาร์และยูโร ในฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศ" ธนาคารกลางรัสเซียระบุในรายงานด้านเสถียรภาพทางการเงิน

ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้น  จับตาดอลลาร์ vs 'ทองคำ-หยวน-Bitcoin'

⚠️ ตอนนี้ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ! เมื่อจีน-รัสเซียกำลังเร่งเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำลายค่าเงินและอำนาจของเงินดอลลาร์ลงให้ได้ ! ซึ่งคำถามสำคัญคือใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ ?!? ระหว่างเงินดอลลาร์, ทองคำ, เงินหยวน หรือ Bitcoin ?

(4 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ปัจจุบันเงินดอลลาร์ยังคงครองการค้าโลกอยู่ราว 88% ของสัดส่วนสกุลเงินทั้งหมดที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ในขณะที่เงินหยวนของจีนมีสัดส่วนเพียง 3-7% เท่านั้น (แต่ล่ะสื่อรายงานตัวเลขไม่เท่ากันแต่อยู่ใน Range ระหว่างนี้)

บางคนมองว่าอีกไม่นานหยวนจะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทนดอลลาร์ได้ในที่สุด ? แต่ก็มีอีกฝั่งที่มองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากนโยบายการบริหารประเทศของจีนและภาคการเงินนั้นเป็นระบบที่ค่อนข้างปลายปิด ซึ่งไม่อนุญาตให้เงินไหลเข้า-ออกประเทศได้อย่างอิสระ

และแม้จะมีข่าวว่าซาอุฯ กำลังเล็งขายน้ำมันบางส่วนเป็นเงินหยวน ทำให้หลายคนกำลังตั้งความหวังที่จะเกิด Petroyuan แทน Petrodollar แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจยังห่างไกลกันมาก โดยเฉพาะเมื่อสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลางมีความอ่อนไหวต่อค่าเงินดอลลาร์มากเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นคู่ค้าที่สำคัญมาก ๆ ของหลายประเทศ แต่โดยรวมแล้วการค้าโลกก็ยังถูกเงินดอลลาร์ครองตลาดอยู่ทิ้งห่างลิ่วจากสกุลเงินหยวน แม้จีนจะพยายามผลักดันการใช้เงินหยวนมาหลายปี แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าความต้องการเงินดอลลาร์จะยังคงสูงกว่าจนถึงปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตจีนมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองและเปิดกว้างสำหรับตลาดเงินหยวนมากขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของเงินหยวนในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสที่การครอบงำตลาดของเงินดอลลาร์จะลดลงในะระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นนี้จะยังไม่เห็นภาพก็ตาม

📌 ส่วนทางด้านของทองคำนั้น ดูเหมือนจะเป็นคู่ฟัดที่ดูมีโอกาสมากที่สุดในการทุบอำนาจของเงินดอลลาร์ โดยทั่วโลกกำลังจับตาว่าทองคำจะยืนเหนือระดับ 2,000 $/Oz ได้หรือไม่ ? เพราะถ้ายืนได้ก็มีโอกาสที่จะทะลุเพดานไปอีก แต่ถ้ายืนไม่ได้ราคาทองคำโลกก็อาจร่วงลงมาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

โดยรัสเซียนั้นได้กลายเป็น 1 ในประเทศที่กำลังผลักดันให้โลกกลับไปสู่ระบบการเงินที่หนุนหลังด้วยทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นเพียงไม่กี่ทางเลือกที่รัสเซียจะสามารถหลีกหนีการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกไปได้ ซึ่งปัจจุบันรัสเซียกำลังร่วมมือกับอิหร่านในการทดลองใช้ Token ดิจิทัลที่หนุนหลังด้วยทองคำเพื่อทดแทนระบบเงินดอลลาร์ ขณะที่จีนเองก็มีข่าวว่าได้เข้าตุนทองคำเอาไว้เป็นปริมาณมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทุบอำนาจดอลลาร์ที่โลกฝั่งคอมมิวนิสต์ต้องการ

ธนาคารต่าง ๆ ในรัสเซียถูกรัฐบาลสั่งให้คิดค่าดอกเบี้ยในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สูงขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนและโดนคว่ำบาตร ในขณะเดียวกันก็ออกกฏหมายหนุนให้ผู้คนหันไปหาเงินหยวนและทองคำมากขึ้นแทน ทำให้ Demand ทองคำจากผู้บริโภคในรัสเซียสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นั้นมา

โดยรวมในปี 2022 พบว่า Demand ทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้นราว +18% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้ออย่างมหาศาลของธนาคารกลาง ซึ่งหากคิดเฉพาะ Demand จากธนาคารกลางจะถือว่าเข้าซื้อมาที่สุดในรอบราว 50 ปีเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าธนาคารกลางรัสเซียน่าจะเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ แต่ไม่มีข้อมูลทางสถิติออกมายืนยันเพราะรัสเซียหยุดรายงานความเคลื่อนไหวในการซื้อขายทองคำและปริมาณตุนสำรองไปหลังจากที่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น

ขณะที่จีนก็พยายามผลักดันทองคำอยู่แบบเงียบ ๆ พร้อมกับการดันเงินหยวนให้มีความเป็นสากลมากขึ้น นั่นทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโลกคอมมิวนิสต์กำลังปฏิบัติการเพื่อทำลายค่าเงินดอลลาร์อยู่ โดยใช้ทองคำเป็น 1 ในอาวุธหลัก เนื่องจากเหตุผลว่ามันคือ Safe Haven ที่รักษามูลค่าได้ตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมา

แต่จะสามารถล้มอำนาจของดอลลาร์และดึงโลกกลับไปสู่มาตรฐานทองคำได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องรอดูกันต่อไปในฉากหน้า ! โดยทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีความพยายามในการดัน Gold Standard กลับมาเรื่อย ๆ แต่ปรากฏว่าโลกก็ยังไม่ได้กลับไปใช้ทองคำหนุนหลังค่าเงินอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราต้องลุ้นกันว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือคว้าน้ำเหลว ?

⚠️ อีกอาวุธหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงว่าจะนำมาใช้ล้มอำนาจของเงินดอลลาร์ก็คือ Bitcoin และ Crypto ซึ่งราคาของ Bitcoin ได้ปรับตัวสูงขึ้น +71% ในไตรมาสแรกของปี 2023 นี้ ! และท่ามกลางวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นก็พบว่าราคา Bitcoin ยังคงดีดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเทรดอยู่ราว ๆ 28,300 $/BTC ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่านี่จะใช่การกลับมาผงาดของมันหรือไม่ ? หลังจากเป็นกระแสข่าวแล้วราคาร่วงยับในก่อนหน้านี้

หลายสื่อรายงานว่าสภาพคล่องในตลาด Bitcoin กำลังอยู่ในภาวะ “แห้งเหือด” แม้ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง Trading Volumes ที่ลดลงหมายความว่าผู้ถือครองรายใหญ่จะสามารถปั่นราคาเหรียญได้ง่ายกว่าเดิมโดยใช้ปริมาณเงินน้อยกว่าเดิม ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าที่ราคาปรับตัวขึ้นมาได้เมื่อเร็ว ๆ นี้อาจเป็นเพราะ Volumes ที่ลดลง ?

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin มองว่าอนาคตของมันยังอีกไกล ? และ Bitcoin จะไม่ใช่แค่แทนที่ดอลลาร์ ? แต่จะแทนที่ทองคำด้วย ? ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ? เพราะสำหรับขาเชียร์ Bitcoin พวกเขาก็จะ Discredit ระบบเงิน Fiat และทองคำเป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่ Bitcoin ยังเป็นกระแสจนราคาร่วงยับ -70%

อนึ่ง ในช่วงที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังเร่งตรวจสอบอุตสาหกรรมคริปโตอยู่นี้ พบว่าทางฮ่องกงก็กำลังเร่งเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตระดับโลก ! กลับลำ 180 องศาจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนออกมาประกาศก้องโลกว่าจะไม่เอา Crypto และยังสั่งให้ประชาชน-ธุรกิจต่าง ๆ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเหรียญเหล่านี้

ดังนั้นก็คงต้องรอดูว่าอนาคตของ Crypto จะถูกกำหนดออกมาอย่างไร เพราะปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ ซึ่งคงต้องพิจารณาควบคู่กับการมาถึงของ CBDC ว่าจะให้ Crypto อยู่ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกต่อไป หรือว่าจะแบนทิ้งกันแน่ ? ส่วนเรื่องที่ Bitcoin จะแทนที่ดอลลาร์รักษามูลค่าไปเรื่อย ๆ ได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องคุยกันหลังจากประเด็นนี้ผ่านก่อน

📌 ขณะเดียวกันนี้ ทาง OPEC+ ได้ตกลงกันที่จะลดกำลังผลิตน้ำมันดิบลงกว่า -1 ล้านบาร์เรล/วัน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ OPEC+ กล่าวว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นตามไปด้วย

แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นการสร้างเงินเฟ้อให้แก่โลกไปด้วย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะทำลายเศรษฐกิจของประเทศตะวันตกด้วยการดันให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นในระดับสูงอย่างที่นักวิเคราะห์ฝ่ายโปรรัสเซียส่วนใหญ่พยายามออกมาชี้ในก่อนหน้านี้ว่าประเทศตะวันตกจะต้องเผชิญเงินเฟ้อครั้งใหญ่จากการทำสงครามกับรัสเซีย ?

ราคาน้ำมันดิบโลกอย่าง WTI และ Brent ดีดขึ้นราว +6% ในวันนี้กลับมาอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้งหลังมีการประกาศลดกำลังผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันดิบโลกจะพุ่งสูงขึ้นอีกหรือไม่ ? เพราะหากเศรษฐกิจและภูมิภาคโลกยังมีความตึงเครียดอยู่ ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลก็ไม่ได้ถือว่าไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับน้ำมัน

วิเคราะห์!! 'ดอลลาร์' จะยังเป็น King อีกยาวไหม? ขณะที่ 'จีน-รัสเซีย' ดัน 'หยวน-ทองคำ' มาทุบ

ข่าวที่ว่าดอลลาร์จะเสื่อมค่ากลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอานั้น ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งอำนาจนิยมที่กล่าวว่าตนเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความต้องการทำลายชาวยิว ! ดังนั้นเรื่องที่ว่าดอลลาร์จะพังไม่มีใครเอาจริงหรือไม่นั้น ? เป็นประเด็นที่เราต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อข่าวจากฝั่งที่โจมตีว่าดอลลาร์จะพังอย่างเดียวโดยไม่คิดให้ดี !

โดยเฉพาะในประเทศไทย มีนักวิเคราะห์และกลุ่มคนที่ยกตัวเป็นกูรูด้านเศรษฐศาสตร์-การเงินจำนวนมากมายออกมา “แนะนำ” ให้คนทิ้งดอลลาร์และถือทองคำ-เงินหยวนแทน ! พร้อมกับกล่าวว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และระบบการเงินโลกดอลลาร์กำลังจะพังทลายกลายเป็นหายนะ ?

คนเหล่านี้มักจะแสดงตัวกับสังคมบ่อย ๆ ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องการเห็นคนอื่นรู้ทันโลกและฉลาดทางการเงินอย่างแท้จริง แต่เบื้องลึกจะเป็นอย่างที่แสดงออกมาจริง ๆ หรือไม่ ? อาจเป็นคำถามที่เราต้องตามดูกันยาว ๆ ก่อนจะรีบสรุปจากสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา

และหากเราฟังข่าวจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มศัตรูของสหรัฐฯ บ้าง เราจะได้มุมมองที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นล่าสุด Larry Summers อดีตขุนคลังสหรัฐฯ ผู้ที่เคยทำนายสถานการณ์เงินเฟ้อได้อย่างแม่นยำ กล่าวว่าข่าวโจมตีต่าง ๆ ที่ว่าเงินดอลลาร์จะพังนั้นไม่เป็นความจริง ?

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะลดสัดส่วนในการเป็นทุนสำรองทั่วโลกลงจาก 70% เหลือ 58% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ยูโร (ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ) เข้ามามีบทบาทเป็นทางเลือก ! แต่ขณะเดียวกันในแง่ของการค้าและในด้านอื่น ๆ พบว่าทั่วโลกยังคงใช้ดอลลาร์มากกว่า 80% ขณะที่หยวนมีสัดส่วนไม่ถึง 5%

ซึ่ง Summers ชี้ให้เห็นอีกว่าสัดส่วนดอลลาร์ในทุนสำรองที่ลดลงเหลือ 58% นั้นก็อาจเป็นการ “พูดเกินจริง” ไปด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วดอลลาร์อาจยังมีสัดส่วนมากกว่าที่สถิติชี้ให้เห็น ขณะที่ทางจีน-รัสเซียนั้นพยายามดันเงินหยวน-ทองคำ (รวมถึง Bitcoin และ Crypto อื่น ๆ) ขึ้นมาทุบดอลลาร์อย่างเต็มที่

ในกลุ่มนักวิเคราะห์ฝั่งจีน-รัสเซีย รวมถึงในไทยส่วนใหญ่ กำลังมีการกระหน่ำข่าวให้ซื้อทองคำกันรัว ๆ โดยไม่กล่าวถึงความเสี่ยงใด ๆ ของทองคำเลย มีแต่บอกว่าทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะพัง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่จะพัง !

📌 ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ฝั่งจีน-รัสเซียใช้นั้น อธิบายว่าเงินดอลลาร์จะเสื่อมค่าอย่างหนักเพราะอนาคตจะมีการใช้งานน้อยลง กลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอา ? และยังชี้ไปถึงการที่สหรัฐฯ พิมพ์เงินออกมาได้ไม่จำกัดโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง พร้อมกับเพดานหนี้ที่ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ

ทำให้พวกเขามองว่าทองคำนั้นจะมีมูลค่าพุ่งทะลุเพดานหลังจากปฏิบัติการล้มดอลลาร์เสร็จสิ้นลงแล้ว ! หรือพูดง่าย ๆ ว่าจีน-รัสเซีย “มองว่าชาวยิวนั้นโง่เรื่องการเงิน” และดำเนินนโยบายอย่างผิดพลาดที่พิมพ์ดอลลาร์ออกมาโดยไม่มีอะไรหนุนหลัง และมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาดล้ำโลกที่เชื่อในทองคำมากกว่าดอลลาร์

ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นแม้ว่าจีน-รัสเซียจะตามหลังสหรัฐฯ อยู่ในหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ระบบการเงิน วิทยาศาสตร์ ขณะที่กลไกการเงินแทบทั้งหมดบนโลกก็เป็นชาวยิวทั้งนั้นที่คิดมาให้เราใช้ ไม่เว้นแม้แต่เทคโนโลยีสุดล้ำต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากสมองชาวยิวแทบทั้งสิ้น รวมถึงอัจฉริยะที่เปลี่ยนโลกส่วนใหญ่ก็เป็นยิว

⚠️ ดังนั้นเราคงต้องดูกันว่าฝั่งอำนาจนิยมจะล้มชาวยิวได้จริงหรือไม่ ? และชาวยิวโง่จริงหรือ ? ที่พิมพ์ดอลลาร์โดยไม่มีทองคำหนุนหลัง หรือว่าเป็นฝ่ายอำนาจนิยมกันแน่ที่โง่คิดไม่ทันชาวยิว ? สุดท้ายดอลลาร์หรือทองคำกันแน่ที่จะพัง ? อะไรกันแน่ที่กำลังเป็นฟองสบู่ ?

📌 ปัจจุบันนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างก็กำลังจับตามองตลาดหุ้นและระบบการเงินดอลลาร์จะพังทลายตามคำทำนายของฝ่ายอำนาจนิยมจริงหรือไม่ ? หรือว่าเศรษฐกิจของฝ่ายที่พยายามโจมตีสหรัฐฯ กันแน่ที่จะพังเสียเอง ?? โดยดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ราว ๆ 102 หน่วยในตอนนี้ จากอดีตเคยอยู่ที่ 70 หน่วย ขณะที่เงินรูเบิลรัสเซียอ่อนค่ากว่า -3x เท่าจากเคยอยู่ที่ 25 ต่อ 1 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 82 ต่อ 1 ดอลลาร์ไปแล้ว

ส่วนดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ เช่น S&P500, NASDAQ100, Dow Jones ก็ปรับตัวขึ้นมาจากจุด Low ในช่วงปี 2020 แม้มีข่าวถล่มมาตลอดหลายสิบปีแล้วว่ากำลังจะเป็นหายนะ พัง ไร้ค่า ไม่มีใครเอา มีเพียงอย่างเดียวที่ยังจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับดอลลาร์ได้ในตอนนี้ก็คือทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความหวังหลักของฝ่ายอำนาจนิยมที่จะใช้ทุบดอลลาร์ให้กลายเป็นแบงก์กงเต็ก

กูรูฝั่งอำนาจนิยมส่วนใหญ่กล่าวว่าเมื่อทองคำยืนเหนือ 2,000 $/Oz ได้แปลว่าราคาจะไปต่ออีกมาก บางคนมองว่าทองคำจะพุ่งทะยานไปถึง 5,000 $/Oz หรือมากกว่านั้นเมื่อดอลลาร์พังลงตามคำทำนายของพวกเขา ? แต่ล่าสุดพบว่าราคาทองคำจะส่ายไปส่ายมาไม่สามารถทะลุ All Time High ใหม่เหนือ 2,075 $/Oz ได้สักที ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าฝั่งอำนาจนิยมจะพยายามดันราคาทองคำไปได้ถึงไหน ? หรือว่าทองคำกำลังเป็นฟองสบู่ที่รอวันระเบิดแทนที่จะเป็นดอลลาร์ ?

⚠️ เมื่อเราฟังมุมมองที่ Bias ในทองคำไปแล้ว ขอยกตัวอย่างคนที่มองว่าทองคำแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยกันบ้าง ! โดยปู่ Warren Buffett รวมถึง Bill Gates ซึ่งเป็นระดับตำนานของโลก ต่างก็มองว่าทองคำนั้นแทบไม่มีมูลค่าอะไรจริง ๆ เลย และไม่ได้ให้ผลผลิตอะไรในทางเศรษฐกิจด้วย ทำได้ก็แค่ซื้อมาเป็นเครื่องประดับหรือเก็งกำไรหวังว่าจะมีการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต และแม้ว่าปัจจุบันทองคำจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์บางอย่างด้วยความสามารถในการนำไฟฟ้าของมัน แต่ก็ยังคิดเป็นส่วนน้อยมาก ๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ

Bill Gates เน้นย้ำว่าทองคำเป็นเรื่องของจิตวิทยาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นอะไรที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เราจึงไม่ได้ Bias ในทองคำ ขณะที่ปู่ Warren Buffett กล่าวว่าทองคำเป็นสิ่งที่ปู่จะไม่ลงทุน เพราะทำได้แค่นั่งดูและหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นในอนาคต สู้เอาเงินไปซื้อที่ดินทำเกษตร หรือซื้อหุ้นดีกว่าเยอะ โดยปู่เคยกล่าวอีกว่าถ้าคุณซื้อทองคำเมื่อตอน 20 $/Oz ปัจจุบันมันจะมีมูลค่าราว 2,000 $/Oz แต่ถ้าคุณซื้อหุ้น Berkshire พร้อม ๆ กันกับทอง (ตอนนั้นมีมูลค่า 15 $/หุ้น) ปัจจุบัน Berkshire ได้มีมูลค่าสูงถึง 496,404 $/หุ้น ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่เจ็บแสบไม่น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอวัดกันต่อไปว่าทองคำจะทุบดอลลาร์ได้จริงหรือไม่ ? แต่อย่างที่ World Maker บอกไปว่าเราไม่ควร Bias ทองคำมากเกินไปตามข่าวของฝั่งอำนาจนิยม เราต้องเข้าใจด้วยว่าข่าวถล่มดอลลาร์และเชียร์ซื้อทองคำส่วนใหญ่นั้นมีผลประโยชน์ทางการเมืองระดับโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีความเป็นจิตวิทยาสูง ซึ่งแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้จริงที่ราคาทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะเสื่อมค่า แต่ในโลกการเงินของจริงนั้น ไม่ว่าสินทรัพย์อะไรก็ล้วนเป็นฟองสบู่ได้เช่นกัน ไม่เกี่ยวกับว่าอยู่มานานแล้วหรือพึ่งเกิดใหม่ (อย่างเช่น Bitcoin, Crypto)

📌 ขณะเดียวกัน ตอนนี้หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ รวมถึง FED กำลังเตรียมยกเครื่องกฏระเบียบทางการเงินครั้งใหญ่ ! โดยเฉพาะการเพิ่มการตรวจสอบบริษัทและสถาบันการเงินขนาดเล็ก-กลาง ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Non-Banks (บริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารแต่มีความสำคัญทางการเงิน) อีกด้วย ! แน่นอนว่าการยกระดับครั้งนี้เป็นการ Reset ใหม่จากกฏหมายในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ (ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย) ทำให้บริษัทขนาดเล็ก-กลาง ไม่จำเป็นต้องผ่านการทำ Stress Test อย่างเข้มงวดเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ และเป็น 1 ในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

‘IMF’ เผย ยูโรอาจกลายเป็นผู้ท้าชิง ‘สกุลเงินสำรองหลักของโลก’ หลังสัดส่วนการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเหลือต่ำกว่า 60%

(3 พ.ค. 66) กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แสดงความคิดเห็นในเวทีสัมมนาหนึ่งในสัปดาห์นี้ เผย ดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังค่อยๆ สูญเสียสถานะในฐานะ ‘สกุลเงินสำรองหลักของโลก’ ท่ามกลางสัดส่วนการถือครองลดลงจากระดับ 70% เหลือต่ำกว่า 60% เล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม คริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เน้นย้ำระหว่างกล่าวในเวทีสัมมนา Milken Institute Global Conference ประจำปี 2023 ในเบเวอร์ลีฮิลส์ รัฐแคลิฟอร์เรีย สหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์ (1พ.ค.) ว่ายังไม่มีทางเลือกอื่นในบรรดาสกุลเงินอื่น ๆ ของโลก ที่จะก้าวมาแทนที่ดอลลาร์ในอนาคตอันใกล้นี้

“มีการบ่ายหนีจากดอลลาร์อย่างค่อยเป็นค่อยไป สัดส่วนการสำรองเคยอยู่ที่ 70% ตอนนี้ลดลงมาต่ำกว่า 60% เล็กน้อย” เธอกล่าว พร้อมระบุว่า ยูโรสามารถถูกมองในฐานะผู้ท้าชิงรายใหญ่ที่สุดของดอลาร์ ขณะที่เงินปอนด์ของสหราชอาณาจักร เยนญี่ปุ่นและหยวนองจีน “มีบทบาทเล็กน้อยมาก”

เธอเน้นว่าปัจจัยสำคัญสำหรับความเชื่อมั่นที่มีต่อสกุลเงินและประเทศนั้น ๆ ก็คือความเข้มแข็งของเศรษฐกิจและมิติความลึกของตลาดทุน

“และหากคุณคิดว่ามีทางเลือกอื่นๆในโลก ซึ่งเราอาจโยกย้ายสู่สกุลเงินดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารกลางครั้งใหญ่ แต่ฉันมองไม่เห็นทางเลือกอื่น ฉันไม่เห็นว่ามันจะก้าวเข้ามาในอนาคตอันใกล้นี้” จอร์เจียวา ระบุ

Warren Buffett ลั่น!! ดอลลาร์ยังเป็น KING อีกยาว ฝ่าวงล้อมฝ่ายด้อยค่า ให้ราคาโลหะมากกว่า FIAT

(9 พ.ค. 66) World Maker เผยว่า “เรา (ดอลลาร์) คือสกุลเงินสำรองของโลก ผมยังไม่เห็นตัวเลือกสกุลเงินใดเลยที่จะมาเป็นเงินสำรองแทนดอลลาร์” นั่นคือคำพูดที่ปู่ Warren Buffett ลั่นเอง!! หักหน้ากูรูฝั่งคอมมิวนิสต์ชัดเจน!! งานนี้คงต้องรอดูว่าระหว่างนักลงทุนระดับตำนานผู้ประสบความสำเร็จทางการเงินแบบมีผลงานพิสูจน์ได้ชัดเจนแก่สายตาโลก vs กูรูโปรจีน-รัสเซีย มุมมองของใครจะคมกว่ากัน ? เพราะตอนนี้แม้แต่ในไทยเองก็มีผู้ที่ยกตัวเป็นกูรูการเงินโลกมากมายออกมากล่าวอย่างมั่นใจให้คนทิ้งดอลลาร์และซื้อทองคำแทน! ขณะที่ฝ่ายปฏิบัติการของจีน-รัสเซียพยายามทำทุกวิถีทางที่จะกระชากดอลลาร์ลงจากบัลลังก์

อย่างไรก็ตาม แม้ปู่จะมั่นใจในเรื่องของดอลลาร์ แต่ปู่ก็เตือนไม่ให้รัฐบาลสหรัฐฯ จ่ายเงินแบบไม่คิดเนื่องจากหากมีการใช้จ่ายเงินมากเกินไป (จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่สหรัฐฯ แต่เป็นทั่วโลก) จะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ ปู่ Buffett จึงเตือนให้ “ระมัดระวังอย่างมาก” ในขณะที่ปู่เองยังถือครองเงินสดในเอาไว้มหาศาลกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในบริษัท Berkshire และยังคงมองว่าเงินสดมีความสำคัญไม่แพ้ใครในช่วงเวลาที่โลกมีความตึงเครียดด้านสภาพคล่องเช่นนี้ และหลายสินทรัพย์มีการประเมินมูลค่าค่อนข้างสูง

ถึงกระนั้น มุมมองของปู่ถูกด่าอย่างเหยียดหยามว่าเป็น “คนโง่” สำหรับกูรูหลายคน โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งแสดงเชื่อมั่นเกิน 100% ว่าดอลลาร์จะพังทลายกลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอา โดยกูรูเหล่านี้กล่าวว่า “มีแต่พวกไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์และการเงินที่บอกว่าดอลลาร์จะอยู่ต่อไปได้” (แสดงว่าปู่ Warren Buffett ไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์-การเงิน ?? จริงหรือ ??) แม้ว่ากูรูเหล่านี้จะไม่เคยมีผลงานพิสูจน์ประจักษ์แก่สายตาโลกเหมือนปู่ Warren Buffett ก็ตาม

📌 ซึ่งขณะเดียวกันนี้ พบว่ามีกองทุน Hedge Funds จำนวนมากที่กำลัง Short Sell พันธบัตรสหรัฐฯ อยู่ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเดิมพันว่าราคาพันธบัตรสหรัฐฯ จะเป็นขาลง เนื่องจากพวกเขามองว่า FED ใกล้ถึงจุด Peak ของดอกเบี้ยและมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยลงในปลายปีนี้ แม้ Powell จะไม่ได้ยืนยันแต่อย่างใดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยจริง และล่าสุดยังย้ำว่า FED จะต้องต่อสู้กับเงินเฟ้อต่อไป

การ Short พันธบัตรของสหรัฐฯ เป็นการ Bet Against America ในอีกทางหนึ่ง และอยู่ในสถานะตรงข้ามกับยักษ์ใหญ่แห่ง Wall Street หลายแห่งเช่น JPMorgan, Morgan Stanley ซึ่งมองว่าพันธบัตรเป็นการลงทุนที่ดี (แน่นอนว่าขัดกับกูรูฝั่งคอมมิวนิสต์ด้วยที่แนะนำให้คนทิ้งดอลลาร์และสินทรัพย์ของสหรัฐฯ)

แต่ในอีกแง่หนึ่ง การเดิมพันเหล่านี้อาจมาจากการป้องกันความเสี่ยงได้เช่นกัน กล่าวคือนักลงทุนมีการซื้อพันธบัตรด้วยเงินสด และมา Short Sell ในตลาด Futures เอาไว้บางส่วนเพื่อพยายามทำกำไรจากส่วนต่างของราคาในกรณีที่พันธบัตรปรับตัวลดลงในระยะสั้น และยังอาจเป็นการบ่งชี้ว่าดอกเบี้ยพันธบัตรในปัจจุบันยังต่ำเกินไปเมื่อดอกเบี้ย FED อยู่ที่ประมาณ 5.25% (ดอกเบี้ยพันธบัตร 2 ปีของสหรัฐฯ ตอนนี้อยู่ที่เพียง 3.98%)

ปฏิบัติการถล่มดอลลาร์ของคอมมิวนิสต์จีน-รัสเซีย เกิดขึ้นในขณะที่คนจำนวนมากกังวลว่าสหรัฐฯ จะเกิด Recession ไปจนถึงการเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ ซึ่งยิ่งทำให้มีเหตุผลมากมายมา Support ให้คนอยากถือทองคำ คิดอะไรไม่ออกก็ถือทองคำเอาไว้ก่อน เพราะทองคำถูกมองเป็น Safe Haven ที่รักษามูลค่าได้อย่างยาวนาน

ตอนนี้แม้แต่นักลงทุนระดับสถาบันจำนวนมากก็แห่กันเข้าไปซื้อทองคำ และดูจะมีความโปรดปรานในทองคำมากกว่า Bitcoin ซึ่งเป็นอีก 1 สินทรัพย์ที่ก่อนหน้านี้เป็นกระแสว่าจะล้มดอลลาร์และกลายเป็นทองคำดิจิทัล แต่สุดท้ายกลายเป็นราคา Bitcoin ร่วงยับก่อนดอลลาร์-ทองคำ

สิ่งที่กูรูฝ่ายคอมมิวนิสต์นำมาเชียร์ให้คนทิ้งดอลลาร์ ทิ้งพันธบัตรสหรัฐฯ และรุมซื้อทองคำนั้น ส่วนใหญ่มาจากหลักเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นการที่สหรัฐฯ พิมพ์เงินออกมาได้แบบไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง หรือเรื่องของระบบหนี้และเพดานหนี้ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ หรือพูดง่าย ๆ ว่ากูรูกลุ่มนี้มองว่าชาวยิวนั้นโง่และไม่มีความรู้ทางการเงิน ที่ตัดสินใจพิมพ์ดอลลาร์ออกมาโดยไม่ต้องมีทองหนุนหลัง (แต่สุดท้ายแล้วชาวยิวจะโง่ ? หรือคนกลุ่มนี้กันแน่ที่คิดไม่ทันชาวยิว ? เรื่องนี้คงต้องติดตามกันต่อไป)

ราคาทองคำโลกในปัจจุบันพึ่งทำระดับ All Time High ใหม่ที่ประมาณ 2,080 $/Oz ไปไม่กี่วันก่อน และในวันนี้ก็ยังเทรดอยู่ในระดับประมาณ 2,025 $/Oz ซึ่งไม่ห่างจาก All Time High ล่าสุดมากนัก ขณะที่กูรูฝั่งจีน-รัสเซียกำลังกระหน่ำข่าวว่าดอลลาร์จะพังทลายไม่มีใครเอา ให้ผู้คนรีบแห่ไปซื้อทองคำเก็บเอาไว้โดยเร็ว 

📌 ทางด้าน Janet Yellen ขุนคลังของสหรัฐฯ ล่าสุดออกมากล่าวถึงเรื่องของเพดานหนี้ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ของสหรัฐฯ โดยระบุว่าสหรัฐฯ มีความเสี่ยงครั้งใหญ่ภายในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ หากรัฐบาลยังไม่สามารถตกลงกันได้ที่จะระงับหรือขยายเพดานหนี้ต่อไป และหากสหรัฐฯ ผิดชำระหนี้ มันจะกลายเป็นความเสียหายรุนแรง และที่สำคัญที่สุดคือจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และพันธบัตรของอเมริกาอย่างมาก

เมื่อมองสถานการณ์เช่นนี้แล้ว กูรูฝั่งจีน-รัสเซียจึงยิ่งมั่นใจเกิน 100% เสียอีกว่าดอลลาร์จะพัง และสิ่งที่พวกเขาแนะนำผู้คนก็คือการสะสมทองคำหรือที่ดินเอาไว้ แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว สินทรัพย์ทุกอย่างบนโลกล้วนเป็นฟองสบู่ได้หมด และนี่อาจใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญที่เราจะได้เห็นแล้วว่าสุดท้ายทองคำ-ที่ดิน vs ดอลลาร์ อันไหนจะพังก่อนกัน

แน่นอนว่าถ้าสหรัฐฯ ชำระหนี้ไม่ได้จริง ความฝันของกูรูฝั่งคอมมิวนิสต์จะใกล้ความจริงขึ้นมาอย่างมาก เพราะมีแนวโน้มที่คนจะยิ่ง Panic และแห่กันเข้าไปซื้อทองคำจนราคาพุ่ง แต่อย่างไรก็ตาม ทางด้าน Joe Biden กำลังจะหารือเรื่องนี้ภายในวันที่ 9 พ.ค. 66 (พรุ่งนี้) ขณะที่ทาง Jerome Powell ประธาน FED ออกมากล่าวว่า “เราไม่ได้อยู่ในจุดที่จะพูดถึงประเด็นที่สหรัฐฯ จะผิดชำระหนี้เลย” พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ สามารถหลีกเลี่ยงหายนะได้ หรืออาจจะไม่เกิด Recession อย่างที่หลายคนกลัว

สิ่งที่น่าจับตามองเกี่ยวกับ FED, ดอกเบี้ย, ดอลลาร์, ทองคำ, พันธบัตร, Crypto และสินทรัพย์อื่น ๆ ก็คือการที่ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะร้อนแรงสูง อัตราว่างงานต่ำสุดในรอบราว 50 ปี ดังนั้นจึงมีความไม่แน่นอนสูงว่า FED จะเลือกดำเนินนโยบายอย่างไร ? จะผ่อนคลายเรื่องดอกเบี้ยได้ภายในปีนี้หรือไม่ ? ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อมูลที่จะออกมาหลังจากนี้ เพราะ FED กล่าวชัดเจนว่าจะยึดข้อมูล Real Time เป็นหลัก ไม่ใช่คาดการณ์ของตลาด

นั่นแปลว่าแม้จะมีวิกฤต Bank Run เกิดขึ้นซึ่งทำให้หลายคนกังวล และทำให้กูรูฝั่งคอมมิวนิสต์ถือโอกาสกระหน่ำข่าวโจมตีสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราอาจต้องจับตาดูมิติอื่น ๆ ควบคู่กันไปด้วย ไม่ใช่จะไปด่วนสรุปว่าสหรัฐฯ จะเกิดหายนะเพราะวิกฤต Bank Run หรือเพราะจีน-รัสเซียพยายามทุบดอลลาร์โดยร่วมมือกับกลุ่มพันธมิตรหลาย ๆ ประเทศ

นอกจากนี้ ประเด็นเงินเฟ้อเป็นอะไรที่ซับซ้อนและมีหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ว่าสหรัฐฯ เกิด Recession แล้วเงินเฟ้อจะลดลงกลับสู่เป้าหมาย 2% ของ FED ได้ เพราะในความเป็นจริงยังมีความเสี่ยงอื่น ๆ เช่น ภัยธรรมชาติ, ความคาดหวังของผู้บริโภค, การใช้จ่ายเงินของผู้คน, ปัญหาด้าน Supply Chain และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นกรณีที่สหรัฐฯ เกิด Recession จริง ๆ แต่เงินเฟ้อก็อาจยังไม่ได้ลดลงก็ได้ ซึ่งเรื่องภาวะเช่นนี้ว่า Stagflation

📌 โดยเฉพาะหากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง แนวโน้มของเงินเฟ้อก็ยิ่งลดลงยากขึ้นไปอีก เว้นเสียแต่ว่าราคาสินทรัพย์อื่น ๆ จะโดนเทขายครั้งใหญ่และดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอย่างมาก เงินเฟ้อจึงมีแนวโน้มลดลงได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย เพราะทางจีน-รัสเซียกำลังพยายามดันเงินเฟ้ออย่างเต็มที่ในศึกสงครามกับสหรัฐฯ และมีแนวโน้มสูงมากว่าฝั่งคอมมิวนิสต์จะทำทุกอย่างต่อไปเพื่อซัดให้ดอลลาร์จมดินให้ได้

‘ธนาคารกลางทั่วโลก’ ตุนทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 176% เครื่องชี้วัดความกลัวเศรษฐกิจถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

‘สภาทองคำโลก’ ระบุไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารกลางทั่วโลกเพิ่มปริมาณทองคำสำรองขึ้น 176% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนหน้า ส่วน ‘จีน’ เพิ่มทองคำสำรองติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ด้านกูรู ชี้ทองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ปั่นป่วน

หากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ‘ราคาทองคำ’ ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,082.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อย โดยเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่ตอบสนองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อีก 0.25% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ส่งผลให้ ‘ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด’ ขยับขึ้นแตะ 5-5.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ก่อนวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ 

ทั้งนี้เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเสื่อมมูลค่าของเงินดอลลาร์ อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศที่ยังอยู่ในขาขึ้น ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งวิกฤติในภาคธนาคารของสหรัฐฯ ทั้งหมดจึงส่งผลให้รัฐบาลกลางของหลายประเทศ เดินหน้าสะสมสินทรัพย์ดังกล่าวเพิ่มขึ้น

ด้านสภาทองคำโลก (World Gold Council) ระบุว่า จีน, สิงคโปร์ และตุรกี เป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่ของโลก โดยสภาทองคำโลก ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 228.4 ตัน หรือประมาณ 176% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ส่วนสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ก็ได้รายงานเมื่อวันที่ 7 พ.ค. 66 ว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศจีน (PBOC) เพิ่มปริมาณทองคำสำรองในประเทศเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพ.ย. ปีที่แล้ว โดยล่าสุดในเดือน เม.ย.เพิ่มขึ้น 8.09 ตัน ส่งผลให้ปริมาณทองคำสำรองในคลังทั้งหมดของจีนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2,076 ตัน

สอดคล้องกับข้อมูลซึ่งรวบรวมโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนในเดือนเม.ย. เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าประมาณ 2.09 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 6.897 แสนล้านบาท) มาอยู่ที่ประมาณ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 105.6 ล้านล้านบาท) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์ที่เสื่อมลง สวนทางกลับราคาสินทรัพย์ทางการเงินทั่วโลกที่ปรับตัวสดใสมากขึ้น ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อยู่ในเกณฑ์ดีหลังจากการยกเลิกมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid)

ขณะที่บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวโกลบอล ไทม์ส (Global Times) ของทางการจีน กล่าวว่า “ทองคำยังคงเป็นเหมือนหลุมหลบภัยที่มีประสิทธิภาพ สำหรับเงินทุนระหว่างประเทศโดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลต้องการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก อัตราเงินเฟ้อที่สูง และความเสี่ยงอื่น ๆ มากมาย”

ฟาก ตง เติ้งซิน (Dong Dengxin) ผู้อํานวยการสถาบันการเงิน และหลักทรัพย์ของมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อู่ฮั่น ประเทศจีน กล่าวว่า ท่าทีของบรรดาธนาคารกลางของหลายประเทศครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนทั่วโลกสูญเสียความไว้วางใจในการถือครองสินทรัพย์ในสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งนำไปสู่การเทขายสินทรัพย์เหล่านี้ และเข้าซื้อทองคำอย่างร้อนแรง

“ที่สำคัญ ทุนสำรองระหว่างประเทศของจีนที่เพิ่มขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงการส่งออกที่เฟื่องฟู และการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศ” ตง ระบุ

ด้าน นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ประเทศไทย กล่าวว่า ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตอบรับข่าวการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ทั้งยังสะท้อนว่านักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับภาคการเงินของสหรัฐฯ และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยหากวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐยังไม่คลี่คลาย และมีข่าวร้ายเพิ่มเติมอีก ราคาทองคำก็มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นอีกเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จากความต้องการที่สูงขึ้น ดันราคาทองไปยืนใกล้ระดับ 2,000 ต่อออนซ์อีกครั้ง และเพิ่มสูงขึ้นราว 11% นับจากต้นปี และเพิ่มขึ้น 24% จากระดับต่ำสุดในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา โดยนักวิเคราะห์ทองคำมองว่า ราคาทองจะยังอยู่ระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ส่วนการคงอัตราดอกเบี้ยสูงของสหรัฐฯ จะมีส่วนกดดันให้ภาคธนาคารยังอ่อนแอต่อไป

ที่มา: บลูมเบิร์ก / กองทุนบัวหลวง

‘ปากีฯ’ จ่ายเงินค่าน้ำมันดิบรัสเซียเป็น ‘เงินหยวน’ จากเดิมที่ทำธุรกรรมเป็น ‘เงินดอลลาร์’ ส่วนใหญ่

ปากีสถานชำระเงินค่าน้ำมันดิบที่ได้รับการส่งมอบชุดแรกจากรัสเซีย ด้วยสกุลเงินหยวนของจีน ตามรายงานของรอยเตอร์เมื่อเร็ว ๆ นี้ อ้างอิงคำกล่าวของ มูซาดิค มาลิก รัฐมนตรีการปิโตรเลียมของปากีสถาน ส่วนหนึ่งในความพยายามลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ

น้ำมันดิบดังกล่าวถูกลำเลียงมาถึงนครการาจีเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ทางรัสเซียและปากีสถานบรรรลุกันเมื่อเดือนมกราคม และคำสั่งแรกภายใต้ข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนเมษายน

มาลิก ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดด้านราคาหรือส่วนลดในการจัดซื้อครั้งนี้ แต่รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า มันเป็นการชำระด้วยสกุลเงินหยวน ซึ่งการทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินของจีน ถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของปากีสถาน ในด้านนโยบายการชำระเงินขาออก จากเดิมที่ทำธุรกรรมด้วยสกุลเงินดอลลาร์เป็นส่วนใหญ่

รัสเซียลงนามในข้อตกลงน้ำมันกับปากีสถาน ส่วนหนึ่งในความพยายามกระจายลู่ทางการส่งออกของพวกเขา หลังจากถูกอียู จี7 และบรรดาชาติพันธมิตรกำหนดมาตรการคว่ำบาตรร่วมกันในเดือนธันวาคม เช่นเดียวกับมาตรการควบคุมเพดานราคาไว้ไม่เกิน 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

มอสโกปรับเปลี่ยนกระแสน้ำมันมุ่งหน้าสู่ประเทศต่าง ๆ อย่างเช่นอินเดีย และจีน และตกลงชำระเงินด้วยสกุลเงินอื่น ๆ แทนดอลลาร์ สืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรที่ตัดขาดมอสโกจากระบบการเงินของตะวันตก

อ้างอิงจากรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ปากีสถานตกลงซื้อน้ำมันดิบรัสเซียในราคาราว 50 ถึง 52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อปีที่แล้ว ประเทศแห่งนี้นำเข้าน้ำมันดิบ 154,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ในนั้น 80% เป็นการนำเข้าจากซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประเทศอื่น ๆ ในอ่าวอาหรับ

การนำเข้าพลังงานมีสัดส่วนมากที่สุดในการชำระเงินขาออกของปากีสถาน พวกเขาหวังว่าน้ำมันดิบลดราคาของรัสเซียจะช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาน้ำมันในประเทศ ซึ่งกำลังเผชิญหนี้ภายนอกระดับสูง ค่าเงินอ่อนค่า และทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับต่ำมาก

‘อาร์เจนตินา’ ใช้ ‘เงินหยวน’ จ่ายหนี้ IMF สะท้อน!! เงินดอลลาร์เริ่มเสื่อมมนต์ขลัง

(3 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงาน อาร์เจนตินาเลือกใช้ ‘หยวน’ เป็นครั้งแรก ในการชำระหนี้บางส่วนแก่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันศุกร์ (30 มิ.ย.) กลายเป็นอีกหนึ่งชาติในหลาย ๆ ประเทศที่เพิ่มสัดส่วนของสกุลเงินจีนในเศรษฐกิจของตนเอง พร้อมกับลดพึ่งพิงดอลลาร์สหรัฐ ความเคลื่อนไหวที่พวกผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามันจะเร่งให้ ‘หยวน’ กลายเป็นสกุลเงินสากลเร็วยิ่งขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นการแสดงผลลัพธ์ให้บรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่ได้เห็น ในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญกับวิกฤตเลวร้ายจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อระดับสูงของสหรัฐฯ โดยเวลานี้มีบรรดาเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายชาติเพิ่มเติม ที่ปักหมุดหันเข้าหาเงินหยวนและละทิ้งดอลลาร์ เพื่อผละหนีความเสี่ยงต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังคาดหมายด้วยว่ามันจะเร่งให้หยวนกลายเป็นสกุลเงินสากลมากยิ่งขึ้นและมีการใช้หยวนในตลาดระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว อาร์เจนตินาได้ชำระหนี้แก่ไอเอ็มเอฟด้วยสกุลเงินหยวน ในมูลค่าเทียบเท่ากับ 1,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 1,700 ล้านดอลลาร์ จะจ่ายในรูปแบบ Special Drawing Rights (สิทธิถอนเงินพิเศษ) ซึ่งคือสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่เปรียบเสมือนเงินสกุลหนึ่ง ที่สร้างขึ้นโดยไอเอ็มเอฟ

ธนาคารกลางอาร์เจนตินาแถลงก่อนหน้านี้ ว่าจะอนุญาตให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ใช้เงินหยวนของจีนในฐานะสกุลเงินสำหรับเงินฝากและเงินออมส่วนบุคคลหรือนิติบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้เงินหยวนมากยิ่งขึ้น โดยที่สถาบันการเงินทั้งหลายจะสามารถเปิดได้ทั้งสมุดเช็ค หรือบัญชีเงินฝากในรูปแบบของสกุลเงินจีน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นตามหลังการเดินทางเยือนจีนของ เซอร์จิโอ มาสซา รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาร์เจนตินา พร้อมด้วยคณะผู้แทนคนอื่น ๆ ของรัฐบาล เมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งระหว่างนั้นได้มีการลงนามแผนความร่วมมือส่งเสริมข้อริเริ่มเข็มขัดและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ที่เสนอโดยจีน โดยที่ความร่วมมือด้านการเงินและประเด็นการคลังคือแก่นกลางของแผนดังกล่าว

หลิว หยิง นักวิจัยจากสถาบันศึกษาการเงินฉงหยาง แห่งมหาวิทยาลัยเหรินหมินในจีน ให้สัมภาษณ์กับโกลบอลไทม์สในวันอาทิตย์ (2 ก.ค.) ว่า "อาร์เจนตินาเลือกใช้หยวนมากขึ้นในการต่อสู้กับวิกฤตหนี้ และหมดหวังต่อสถานะของดอลลาร์สหรัฐในประเทศ ซึ่งมันจะแสดงผลลัพธ์ให้บรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ ที่เผชิญกับปัญหาคล้ายกันได้เห็น"

บรรดาชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่และเศรษฐกิจกำลังพัฒนาทั้งหลายกำลังประสบปัญหาต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงการเสื่อมค่าของสกุลเงิน กระแสทุนและวิกฤตหนี้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีต้นตอจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ

"การดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ คือปัจจัยที่ก่อความกังวลอย่างยิ่ง เพราะว่ามันเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของปฏิกิริยาคลื่นความช็อก ซึ่งสามารถก่อผลกระทบที่อันตรายโดยเฉพาะกับระบบการเงินและเศรษฐกิจในชาติเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนา" ธนาคารโลกระบุในเอกสารที่เผยแพร่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

เมื่อเปรียบเทียบกัน อัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างเสถียรของหยวน เป็นปัจจัยให้สกุลเงินจีนเป็นที่ต้องการ ในแง่ของคุณสมบัติหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในฐานะสกุลเงินสากล "การตัดสินใจของอาร์เจนตินาในการใช้เงินหยวน คืออีกก้าวย่างของการลดพึ่งดอลลาร์"

ขณะที่มากมายหลายชาติกำลังหาทางเลือกอื่น ๆ นอกเหนือจากสกุลเงินสหรัฐฯ เพื่อลดพึ่งพิงดอลลาร์ การก้าวมาเป็นสกุลเงินสากลของหยวนได้มีความก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่ต้นปี โดยล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว ปากีสถานได้จ่ายเงินด้วยสกุลเงินหยวนเป็นครั้งแรกในการชำระหนี้ในข้อตกลงนำเข้าน้ำมันกับรัสเซีย

ในรัสเซีย หยวนกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ กว่า 70% ของการทำธุรกรรมทางการค้าระหว่างรัสเซียกับจีน เป็นการค้าขายด้วยสกุลเงินรูเบิลและหยวน และมีมากมายหลายประเทศกำลังเรียกร้องให้ดำเนินการทำธุรกรรมทางการค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของตนเอง

ธปท. วิเคราะห์ 'ดอลลาร์-ทองคำ-น้ำมัน' สารพัดปัจจัยต่างประเทศ ทำบาทอ่อน

ไม่นานมานี้ นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยกรณีเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากขึ้น และอ่อนค่าผ่านระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปรับอ่อนค่าลงร้อยละ 6.75 จากต้นปี

สอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค โดยการอ่อนค่าในช่วงหลังได้รับผลจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ จากความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะคงดอกเบี้ยไว้นานกว่าที่คาด ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ 

นอกจากนี้ ค่าเงินบาทยังมีแรงกดดันเพิ่มเติมจากราคาทองคำที่ปรับลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบปี ซึ่งตลาดมองว่าอาจกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ประกอบกับนักลงทุนยังรอความชัดเจนของนโยบายการคลังและการระดมทุนของภาครัฐ 

ทั้งนี้ ธปท. ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด และอาจพิจารณาเข้าดูแลหากเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนมากผิดปกติเพื่อไม่ให้กระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ และในช่วงที่สถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง ภาคเอกชนควรบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดการเงิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top