Thursday, 2 May 2024
หยวน

ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้น  จับตาดอลลาร์ vs 'ทองคำ-หยวน-Bitcoin'

⚠️ ตอนนี้ศึกการเงินโลกเริ่มเดือดขึ้นไปอีกขั้นแล้ว ! เมื่อจีน-รัสเซียกำลังเร่งเดินหน้าทุกวิถีทางเพื่อพยายามทำลายค่าเงินและอำนาจของเงินดอลลาร์ลงให้ได้ ! ซึ่งคำถามสำคัญคือใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่ ?!? ระหว่างเงินดอลลาร์, ทองคำ, เงินหยวน หรือ Bitcoin ?

(4 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ปัจจุบันเงินดอลลาร์ยังคงครองการค้าโลกอยู่ราว 88% ของสัดส่วนสกุลเงินทั้งหมดที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ในขณะที่เงินหยวนของจีนมีสัดส่วนเพียง 3-7% เท่านั้น (แต่ล่ะสื่อรายงานตัวเลขไม่เท่ากันแต่อยู่ใน Range ระหว่างนี้)

บางคนมองว่าอีกไม่นานหยวนจะมีสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทนดอลลาร์ได้ในที่สุด ? แต่ก็มีอีกฝั่งที่มองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากนโยบายการบริหารประเทศของจีนและภาคการเงินนั้นเป็นระบบที่ค่อนข้างปลายปิด ซึ่งไม่อนุญาตให้เงินไหลเข้า-ออกประเทศได้อย่างอิสระ

และแม้จะมีข่าวว่าซาอุฯ กำลังเล็งขายน้ำมันบางส่วนเป็นเงินหยวน ทำให้หลายคนกำลังตั้งความหวังที่จะเกิด Petroyuan แทน Petrodollar แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจยังห่างไกลกันมาก โดยเฉพาะเมื่อสกุลเงินของประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลางมีความอ่อนไหวต่อค่าเงินดอลลาร์มากเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกัน แม้ว่าจีนจะเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และยังเป็นคู่ค้าที่สำคัญมาก ๆ ของหลายประเทศ แต่โดยรวมแล้วการค้าโลกก็ยังถูกเงินดอลลาร์ครองตลาดอยู่ทิ้งห่างลิ่วจากสกุลเงินหยวน แม้จีนจะพยายามผลักดันการใช้เงินหยวนมาหลายปี แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าความต้องการเงินดอลลาร์จะยังคงสูงกว่าจนถึงปัจจุบันนี้

อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตจีนมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองและเปิดกว้างสำหรับตลาดเงินหยวนมากขึ้น และแนวโน้มการเติบโตของเงินหยวนในตลาดโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีโอกาสที่การครอบงำตลาดของเงินดอลลาร์จะลดลงในะระยะยาว แม้ว่าในระยะสั้นนี้จะยังไม่เห็นภาพก็ตาม

📌 ส่วนทางด้านของทองคำนั้น ดูเหมือนจะเป็นคู่ฟัดที่ดูมีโอกาสมากที่สุดในการทุบอำนาจของเงินดอลลาร์ โดยทั่วโลกกำลังจับตาว่าทองคำจะยืนเหนือระดับ 2,000 $/Oz ได้หรือไม่ ? เพราะถ้ายืนได้ก็มีโอกาสที่จะทะลุเพดานไปอีก แต่ถ้ายืนไม่ได้ราคาทองคำโลกก็อาจร่วงลงมาอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน

โดยรัสเซียนั้นได้กลายเป็น 1 ในประเทศที่กำลังผลักดันให้โลกกลับไปสู่ระบบการเงินที่หนุนหลังด้วยทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นเพียงไม่กี่ทางเลือกที่รัสเซียจะสามารถหลีกหนีการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกไปได้ ซึ่งปัจจุบันรัสเซียกำลังร่วมมือกับอิหร่านในการทดลองใช้ Token ดิจิทัลที่หนุนหลังด้วยทองคำเพื่อทดแทนระบบเงินดอลลาร์ ขณะที่จีนเองก็มีข่าวว่าได้เข้าตุนทองคำเอาไว้เป็นปริมาณมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการทุบอำนาจดอลลาร์ที่โลกฝั่งคอมมิวนิสต์ต้องการ

ธนาคารต่าง ๆ ในรัสเซียถูกรัฐบาลสั่งให้คิดค่าดอกเบี้ยในธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สูงขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่เกิดสงครามยูเครนและโดนคว่ำบาตร ในขณะเดียวกันก็ออกกฏหมายหนุนให้ผู้คนหันไปหาเงินหยวนและทองคำมากขึ้นแทน ทำให้ Demand ทองคำจากผู้บริโภคในรัสเซียสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่นั้นมา

โดยรวมในปี 2022 พบว่า Demand ทองคำทั่วโลกพุ่งขึ้นราว +18% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการเข้าซื้ออย่างมหาศาลของธนาคารกลาง ซึ่งหากคิดเฉพาะ Demand จากธนาคารกลางจะถือว่าเข้าซื้อมาที่สุดในรอบราว 50 ปีเลยทีเดียว

นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่าธนาคารกลางรัสเซียน่าจะเป็นผู้ซื้อรายสำคัญ แต่ไม่มีข้อมูลทางสถิติออกมายืนยันเพราะรัสเซียหยุดรายงานความเคลื่อนไหวในการซื้อขายทองคำและปริมาณตุนสำรองไปหลังจากที่สงครามยูเครนเริ่มต้นขึ้น

ขณะที่จีนก็พยายามผลักดันทองคำอยู่แบบเงียบ ๆ พร้อมกับการดันเงินหยวนให้มีความเป็นสากลมากขึ้น นั่นทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าโลกคอมมิวนิสต์กำลังปฏิบัติการเพื่อทำลายค่าเงินดอลลาร์อยู่ โดยใช้ทองคำเป็น 1 ในอาวุธหลัก เนื่องจากเหตุผลว่ามันคือ Safe Haven ที่รักษามูลค่าได้ตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมา

แต่จะสามารถล้มอำนาจของดอลลาร์และดึงโลกกลับไปสู่มาตรฐานทองคำได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องรอดูกันต่อไปในฉากหน้า ! โดยทั้งนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีความพยายามในการดัน Gold Standard กลับมาเรื่อย ๆ แต่ปรากฏว่าโลกก็ยังไม่ได้กลับไปใช้ทองคำหนุนหลังค่าเงินอยู่ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลให้เราต้องลุ้นกันว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือคว้าน้ำเหลว ?

⚠️ อีกอาวุธหนึ่งที่มักจะถูกพูดถึงว่าจะนำมาใช้ล้มอำนาจของเงินดอลลาร์ก็คือ Bitcoin และ Crypto ซึ่งราคาของ Bitcoin ได้ปรับตัวสูงขึ้น +71% ในไตรมาสแรกของปี 2023 นี้ ! และท่ามกลางวิกฤต Bank Run ที่เกิดขึ้นก็พบว่าราคา Bitcoin ยังคงดีดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเทรดอยู่ราว ๆ 28,300 $/BTC ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่านี่จะใช่การกลับมาผงาดของมันหรือไม่ ? หลังจากเป็นกระแสข่าวแล้วราคาร่วงยับในก่อนหน้านี้

หลายสื่อรายงานว่าสภาพคล่องในตลาด Bitcoin กำลังอยู่ในภาวะ “แห้งเหือด” แม้ราคาจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง Trading Volumes ที่ลดลงหมายความว่าผู้ถือครองรายใหญ่จะสามารถปั่นราคาเหรียญได้ง่ายกว่าเดิมโดยใช้ปริมาณเงินน้อยกว่าเดิม ดังนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าที่ราคาปรับตัวขึ้นมาได้เมื่อเร็ว ๆ นี้อาจเป็นเพราะ Volumes ที่ลดลง ?

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เชื่อมั่นใน Bitcoin มองว่าอนาคตของมันยังอีกไกล ? และ Bitcoin จะไม่ใช่แค่แทนที่ดอลลาร์ ? แต่จะแทนที่ทองคำด้วย ? ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ ? เพราะสำหรับขาเชียร์ Bitcoin พวกเขาก็จะ Discredit ระบบเงิน Fiat และทองคำเป็นเรื่องปกตินับตั้งแต่ Bitcoin ยังเป็นกระแสจนราคาร่วงยับ -70%

อนึ่ง ในช่วงที่หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ กำลังเร่งตรวจสอบอุตสาหกรรมคริปโตอยู่นี้ พบว่าทางฮ่องกงก็กำลังเร่งเดินหน้าดันตัวเองให้กลายเป็น 1 ในศูนย์กลางคริปโตระดับโลก ! กลับลำ 180 องศาจากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนออกมาประกาศก้องโลกว่าจะไม่เอา Crypto และยังสั่งให้ประชาชน-ธุรกิจต่าง ๆ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับเหรียญเหล่านี้

ดังนั้นก็คงต้องรอดูว่าอนาคตของ Crypto จะถูกกำหนดออกมาอย่างไร เพราะปัจจัยที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการยอมรับจากหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ ซึ่งคงต้องพิจารณาควบคู่กับการมาถึงของ CBDC ว่าจะให้ Crypto อยู่ในฐานะสินทรัพย์ทางเลือกต่อไป หรือว่าจะแบนทิ้งกันแน่ ? ส่วนเรื่องที่ Bitcoin จะแทนที่ดอลลาร์รักษามูลค่าไปเรื่อย ๆ ได้หรือไม่นั้น ? ก็คงต้องคุยกันหลังจากประเด็นนี้ผ่านก่อน

📌 ขณะเดียวกันนี้ ทาง OPEC+ ได้ตกลงกันที่จะลดกำลังผลิตน้ำมันดิบลงกว่า -1 ล้านบาร์เรล/วัน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ OPEC+ กล่าวว่าเป็นการป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจโลก แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้นตามไปด้วย

แน่นอนว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเป็นการสร้างเงินเฟ้อให้แก่โลกไปด้วย ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะทำลายเศรษฐกิจของประเทศตะวันตกด้วยการดันให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นในระดับสูงอย่างที่นักวิเคราะห์ฝ่ายโปรรัสเซียส่วนใหญ่พยายามออกมาชี้ในก่อนหน้านี้ว่าประเทศตะวันตกจะต้องเผชิญเงินเฟ้อครั้งใหญ่จากการทำสงครามกับรัสเซีย ?

ราคาน้ำมันดิบโลกอย่าง WTI และ Brent ดีดขึ้นราว +6% ในวันนี้กลับมาอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรลอีกครั้งหลังมีการประกาศลดกำลังผลิตจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งก็ต้องรอดูว่าหลังจากนี้ราคาน้ำมันดิบโลกจะพุ่งสูงขึ้นอีกหรือไม่ ? เพราะหากเศรษฐกิจและภูมิภาคโลกยังมีความตึงเครียดอยู่ ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลก็ไม่ได้ถือว่าไกลเกินเอื้อมเลยสำหรับน้ำมัน

วิเคราะห์!! 'ดอลลาร์' จะยังเป็น King อีกยาวไหม? ขณะที่ 'จีน-รัสเซีย' ดัน 'หยวน-ทองคำ' มาทุบ

ข่าวที่ว่าดอลลาร์จะเสื่อมค่ากลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอานั้น ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งอำนาจนิยมที่กล่าวว่าตนเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความต้องการทำลายชาวยิว ! ดังนั้นเรื่องที่ว่าดอลลาร์จะพังไม่มีใครเอาจริงหรือไม่นั้น ? เป็นประเด็นที่เราต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่เพียงแค่เชื่อข่าวจากฝั่งที่โจมตีว่าดอลลาร์จะพังอย่างเดียวโดยไม่คิดให้ดี !

โดยเฉพาะในประเทศไทย มีนักวิเคราะห์และกลุ่มคนที่ยกตัวเป็นกูรูด้านเศรษฐศาสตร์-การเงินจำนวนมากมายออกมา “แนะนำ” ให้คนทิ้งดอลลาร์และถือทองคำ-เงินหยวนแทน ! พร้อมกับกล่าวว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ และระบบการเงินโลกดอลลาร์กำลังจะพังทลายกลายเป็นหายนะ ?

คนเหล่านี้มักจะแสดงตัวกับสังคมบ่อย ๆ ว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม ต้องการเห็นคนอื่นรู้ทันโลกและฉลาดทางการเงินอย่างแท้จริง แต่เบื้องลึกจะเป็นอย่างที่แสดงออกมาจริง ๆ หรือไม่ ? อาจเป็นคำถามที่เราต้องตามดูกันยาว ๆ ก่อนจะรีบสรุปจากสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมา

และหากเราฟังข่าวจากด้านอื่น ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มศัตรูของสหรัฐฯ บ้าง เราจะได้มุมมองที่แตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นล่าสุด Larry Summers อดีตขุนคลังสหรัฐฯ ผู้ที่เคยทำนายสถานการณ์เงินเฟ้อได้อย่างแม่นยำ กล่าวว่าข่าวโจมตีต่าง ๆ ที่ว่าเงินดอลลาร์จะพังนั้นไม่เป็นความจริง ?

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์จะลดสัดส่วนในการเป็นทุนสำรองทั่วโลกลงจาก 70% เหลือ 58% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่นั่นก็เกิดขึ้นพร้อมกับการที่ยูโร (ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ) เข้ามามีบทบาทเป็นทางเลือก ! แต่ขณะเดียวกันในแง่ของการค้าและในด้านอื่น ๆ พบว่าทั่วโลกยังคงใช้ดอลลาร์มากกว่า 80% ขณะที่หยวนมีสัดส่วนไม่ถึง 5%

ซึ่ง Summers ชี้ให้เห็นอีกว่าสัดส่วนดอลลาร์ในทุนสำรองที่ลดลงเหลือ 58% นั้นก็อาจเป็นการ “พูดเกินจริง” ไปด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วดอลลาร์อาจยังมีสัดส่วนมากกว่าที่สถิติชี้ให้เห็น ขณะที่ทางจีน-รัสเซียนั้นพยายามดันเงินหยวน-ทองคำ (รวมถึง Bitcoin และ Crypto อื่น ๆ) ขึ้นมาทุบดอลลาร์อย่างเต็มที่

ในกลุ่มนักวิเคราะห์ฝั่งจีน-รัสเซีย รวมถึงในไทยส่วนใหญ่ กำลังมีการกระหน่ำข่าวให้ซื้อทองคำกันรัว ๆ โดยไม่กล่าวถึงความเสี่ยงใด ๆ ของทองคำเลย มีแต่บอกว่าทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะพัง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ที่จะพัง !

📌 ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ฝั่งจีน-รัสเซียใช้นั้น อธิบายว่าเงินดอลลาร์จะเสื่อมค่าอย่างหนักเพราะอนาคตจะมีการใช้งานน้อยลง กลายเป็นแบงก์กงเต็กไม่มีใครเอา ? และยังชี้ไปถึงการที่สหรัฐฯ พิมพ์เงินออกมาได้ไม่จำกัดโดยไม่มีทองคำหนุนหลัง พร้อมกับเพดานหนี้ที่ขยายตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ

ทำให้พวกเขามองว่าทองคำนั้นจะมีมูลค่าพุ่งทะลุเพดานหลังจากปฏิบัติการล้มดอลลาร์เสร็จสิ้นลงแล้ว ! หรือพูดง่าย ๆ ว่าจีน-รัสเซีย “มองว่าชาวยิวนั้นโง่เรื่องการเงิน” และดำเนินนโยบายอย่างผิดพลาดที่พิมพ์ดอลลาร์ออกมาโดยไม่มีอะไรหนุนหลัง และมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ฉลาดล้ำโลกที่เชื่อในทองคำมากกว่าดอลลาร์

ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นแม้ว่าจีน-รัสเซียจะตามหลังสหรัฐฯ อยู่ในหลายแง่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี ระบบการเงิน วิทยาศาสตร์ ขณะที่กลไกการเงินแทบทั้งหมดบนโลกก็เป็นชาวยิวทั้งนั้นที่คิดมาให้เราใช้ ไม่เว้นแม้แต่เทคโนโลยีสุดล้ำต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากสมองชาวยิวแทบทั้งสิ้น รวมถึงอัจฉริยะที่เปลี่ยนโลกส่วนใหญ่ก็เป็นยิว

⚠️ ดังนั้นเราคงต้องดูกันว่าฝั่งอำนาจนิยมจะล้มชาวยิวได้จริงหรือไม่ ? และชาวยิวโง่จริงหรือ ? ที่พิมพ์ดอลลาร์โดยไม่มีทองคำหนุนหลัง หรือว่าเป็นฝ่ายอำนาจนิยมกันแน่ที่โง่คิดไม่ทันชาวยิว ? สุดท้ายดอลลาร์หรือทองคำกันแน่ที่จะพัง ? อะไรกันแน่ที่กำลังเป็นฟองสบู่ ?

📌 ปัจจุบันนี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างก็กำลังจับตามองตลาดหุ้นและระบบการเงินดอลลาร์จะพังทลายตามคำทำนายของฝ่ายอำนาจนิยมจริงหรือไม่ ? หรือว่าเศรษฐกิจของฝ่ายที่พยายามโจมตีสหรัฐฯ กันแน่ที่จะพังเสียเอง ?? โดยดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ราว ๆ 102 หน่วยในตอนนี้ จากอดีตเคยอยู่ที่ 70 หน่วย ขณะที่เงินรูเบิลรัสเซียอ่อนค่ากว่า -3x เท่าจากเคยอยู่ที่ 25 ต่อ 1 ดอลลาร์มาอยู่ที่ 82 ต่อ 1 ดอลลาร์ไปแล้ว

ส่วนดัชนีหุ้นหลักของสหรัฐฯ เช่น S&P500, NASDAQ100, Dow Jones ก็ปรับตัวขึ้นมาจากจุด Low ในช่วงปี 2020 แม้มีข่าวถล่มมาตลอดหลายสิบปีแล้วว่ากำลังจะเป็นหายนะ พัง ไร้ค่า ไม่มีใครเอา มีเพียงอย่างเดียวที่ยังจะพอฟัดพอเหวี่ยงกับดอลลาร์ได้ในตอนนี้ก็คือทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ความหวังหลักของฝ่ายอำนาจนิยมที่จะใช้ทุบดอลลาร์ให้กลายเป็นแบงก์กงเต็ก

กูรูฝั่งอำนาจนิยมส่วนใหญ่กล่าวว่าเมื่อทองคำยืนเหนือ 2,000 $/Oz ได้แปลว่าราคาจะไปต่ออีกมาก บางคนมองว่าทองคำจะพุ่งทะยานไปถึง 5,000 $/Oz หรือมากกว่านั้นเมื่อดอลลาร์พังลงตามคำทำนายของพวกเขา ? แต่ล่าสุดพบว่าราคาทองคำจะส่ายไปส่ายมาไม่สามารถทะลุ All Time High ใหม่เหนือ 2,075 $/Oz ได้สักที ก็คงต้องลุ้นกันต่อไปว่าฝั่งอำนาจนิยมจะพยายามดันราคาทองคำไปได้ถึงไหน ? หรือว่าทองคำกำลังเป็นฟองสบู่ที่รอวันระเบิดแทนที่จะเป็นดอลลาร์ ?

⚠️ เมื่อเราฟังมุมมองที่ Bias ในทองคำไปแล้ว ขอยกตัวอย่างคนที่มองว่าทองคำแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลยกันบ้าง ! โดยปู่ Warren Buffett รวมถึง Bill Gates ซึ่งเป็นระดับตำนานของโลก ต่างก็มองว่าทองคำนั้นแทบไม่มีมูลค่าอะไรจริง ๆ เลย และไม่ได้ให้ผลผลิตอะไรในทางเศรษฐกิจด้วย ทำได้ก็แค่ซื้อมาเป็นเครื่องประดับหรือเก็งกำไรหวังว่าจะมีการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นในอนาคต และแม้ว่าปัจจุบันทองคำจะเริ่มถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์บางอย่างด้วยความสามารถในการนำไฟฟ้าของมัน แต่ก็ยังคิดเป็นส่วนน้อยมาก ๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้จริง ๆ

Bill Gates เน้นย้ำว่าทองคำเป็นเรื่องของจิตวิทยาเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นอะไรที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมหาศาล เราจึงไม่ได้ Bias ในทองคำ ขณะที่ปู่ Warren Buffett กล่าวว่าทองคำเป็นสิ่งที่ปู่จะไม่ลงทุน เพราะทำได้แค่นั่งดูและหวังว่าราคาจะพุ่งขึ้นในอนาคต สู้เอาเงินไปซื้อที่ดินทำเกษตร หรือซื้อหุ้นดีกว่าเยอะ โดยปู่เคยกล่าวอีกว่าถ้าคุณซื้อทองคำเมื่อตอน 20 $/Oz ปัจจุบันมันจะมีมูลค่าราว 2,000 $/Oz แต่ถ้าคุณซื้อหุ้น Berkshire พร้อม ๆ กันกับทอง (ตอนนั้นมีมูลค่า 15 $/หุ้น) ปัจจุบัน Berkshire ได้มีมูลค่าสูงถึง 496,404 $/หุ้น ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบที่เจ็บแสบไม่น้อย

ดังนั้นก็คงต้องรอวัดกันต่อไปว่าทองคำจะทุบดอลลาร์ได้จริงหรือไม่ ? แต่อย่างที่ World Maker บอกไปว่าเราไม่ควร Bias ทองคำมากเกินไปตามข่าวของฝั่งอำนาจนิยม เราต้องเข้าใจด้วยว่าข่าวถล่มดอลลาร์และเชียร์ซื้อทองคำส่วนใหญ่นั้นมีผลประโยชน์ทางการเมืองระดับโลกเข้ามาเกี่ยวข้อง และมีความเป็นจิตวิทยาสูง ซึ่งแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้จริงที่ราคาทองคำจะพุ่งและดอลลาร์จะเสื่อมค่า แต่ในโลกการเงินของจริงนั้น ไม่ว่าสินทรัพย์อะไรก็ล้วนเป็นฟองสบู่ได้เช่นกัน ไม่เกี่ยวกับว่าอยู่มานานแล้วหรือพึ่งเกิดใหม่ (อย่างเช่น Bitcoin, Crypto)

📌 ขณะเดียวกัน ตอนนี้หน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ รวมถึง FED กำลังเตรียมยกเครื่องกฏระเบียบทางการเงินครั้งใหญ่ ! โดยเฉพาะการเพิ่มการตรวจสอบบริษัทและสถาบันการเงินขนาดเล็ก-กลาง ซึ่งรวมถึงกลุ่ม Non-Banks (บริษัทที่ไม่ใช่ธนาคารแต่มีความสำคัญทางการเงิน) อีกด้วย ! แน่นอนว่าการยกระดับครั้งนี้เป็นการ Reset ใหม่จากกฏหมายในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ (ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัสเซีย) ทำให้บริษัทขนาดเล็ก-กลาง ไม่จำเป็นต้องผ่านการทำ Stress Test อย่างเข้มงวดเหมือนบริษัทใหญ่ ๆ และเป็น 1 ในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top