มองกระแส ‘ราคาทองคำ’ ทะยานเฉียด 2,050 $/Oz  หรือสงครามการเงินโลกจะอยู่ใต้กำมือคอมมิวนิสต์

(5 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ยังไงต่อดีสำหรับตลาดทองคำโลก !!! หรือว่าระบบการเงินกำลังจะกลับไปสู่มาตรฐานทองคำตามความต้องการของฝ่ายคอมมิวนิสต์กันแน่ ?? หลังจากล่าสุด Gold Futures พุ่งทะยานเฉียด 2,050 $/Oz เข้าไปแล้ว ! หรือพูดง่าย ๆ ว่าใกล้ระดับ All Time High เข้าไปทุกที !

ซึ่งความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลาง “สงครามการเงินโลก” ที่กำลังเดือดขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีจีน-รัสเซียเป็นแกนนำหลักในการถล่มค่าเงินดอลลาร์ ทั้งในทางตลาดเงินและปฏิบัติการทางข่าวสาร ! โดยเราคงได้เห็นข่าวมากมายแล้วว่าตอนนี้จีน-รัสเซียกำลังดันหยวนขึ้นเป็นสกุลเงินสำรองใหม่ของโลก เพื่อทุบอำนาจของเงินดอลลาร์และมีแนวโน้มที่จะใช้ทองคำเป็น 1 ในสินทรัพย์สำคัญที่จะมาหนุนค่าเงินของประเทศต่าง ๆ

แม้แต่ทางด้าน Citigroup เองออกมากล่าวว่าราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นสูงถึง 2,300 $/Oz ในระยะสั้น ! โดยมีปัจจัยหนุนหลายอย่างตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น รวมถึงคาดการณ์ของตลาดที่ว่า FED จะลดดอกเบี้ยหรือใกล้ถึงจุด Peak ของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว

โดยในกรณีที่ FED หยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ย จะสามารถอธิบายตามหลักเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นเหตุผลที่มาหนุนทองคำได้ ! เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้จ่ายปันผลหรือดอกเบี้ย ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นจึงทำให้ทองคำมีความน่าดึงดูดใจน้อยลง แต่เมื่อดอกเบี้ยเริ่มถึงจุด Peak หรือกำลังจะลดลง ทองคำจึงมีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง

นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง Recession และความเสี่ยงเชิงระบบต่าง ๆ ซึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วทำให้นักลงทุนแห่เข้าหาทองคำที่ถูกมองเป็น 1 ใน Safe Haven ของโลกมากขึ้น

📌 ทั้งหมดนี้ทำให้หลายคนกำลังมองว่าราคาทองคำจะพุ่งทะยานขึ้นอีก โดย Saxo Bank เป็น 1 ในสถาบันการเงินที่ออกมาทำนายว่าราคาทองคำจะพุ่งทะยานไปได้ถึง 3,000 $/Oz ภายในปี 2023 นี้ !!! หรือพูดง่าย ๆ ว่าพุ่งขึ้นอีกประมาณ 1,000 $/Oz จากระดับปัจจุบันเลยทีเดียว โดยเฉพาะในกรณีที่ระบบการเงินของสหรัฐฯ พังลงจากการทุบทำลายของจีน-รัสเซีย

นอกจากนี้ Saxo Bank ยังทำลายอีกว่าเงินเยนจะไปถึง 200 ต่อ 1 ดอลลาร์เนื่องจากระบบการเงินของญี่ปุ่นจะมีปัญหา รวมถึงการเกิดวิกฤตทางการเมืองในยุโรป และเมื่อระบบการเงินของประเทศใหญ่ ๆ เผชิญวิกฤต ราคาทองคำก็มักจะพุ่งทะยานเสมอ

และท่ามกลางความพยายามที่จะทุบค่าเงินดอลลาร์นี้ Saxo Bank กล่าวอีกว่า OPEC+, จีน และอินเดีย มีแนวโน้มจะถอนตัวออกจาก IMF และร่วมมือกันสร้างกองทุนใหม่ที่จะไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์เป็นหลัก

ขณะเดียวกัน การเริ่มกลับมาเปิดประเทศใหม่ของจีนจะดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกให้สูงขึ้นเนื่องจาก Demand เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะเมื่อ FED ไปถึงจุด Peak ของการขึ้นดอกเบี้ยและการทำ QT จะยิ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นตลาดดีขึ้นและ Demand ทางเศรษฐกิจพุ่งสูงขึ้น ซึ่งถูกมองเป็นปัจจัยที่หนุนราคาทองคำ

⚠️ นั่นทำให้ Saxo Bank มองว่าราคาทองคำมีลุ้นจะไปที่ 3,000 $/Oz ซึ่งหากจะสรุปเป็นข้อ ๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ จะได้ปัจจัยที่หนุนทองคำดังนี้

1. ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความต้องการทุบค่าเงินดอลลาร์ของจีน-รัสเซีย

2. การพิมพ์เงินของธนาคารกลางจำนวนมากในก่อนหน้านี้ รวมถึงสงครามการดันเงินเฟ้อให้เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศตะวันตก ซึ่งนำโดยรัสเซีย จีน และกลุ่ม OPEC+ ที่ล่าสุดออกมาลดการผลิตน้ำมันเพื่อดันราคาขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ถูกมองว่าใกล้ถึงจุด Peak

3. Demand ทางเศรษฐกิจและความต้องการทองคำจริงในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกมีความเสี่ยง

4. ความเชื่อมั่นดั้งเดิมในทองคำ ซึ่งตลอด 5,000 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์ตัวเองว่ารักษามูลค่าเทียบกับทุกสกุลเงินบนโลกได้ดี

📌 นอกจากนี้ ล่าสุดทาง Jamie Dimon ซึ่งเป็น CEO ของ JPMorgan ยังออกมากล่าวอีกว่า “วิกฤตธนาคารยังไม่จบ” แม้ว่าจะไม่เหมือนกับในปี 2008 แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีการระเบิดเป็นโดมิโน่ในบางส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งผลกระทบอาจคงอยู่ต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า

เขาแนะว่าในอนาคตธนาคารต่าง ๆ ควรได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกับ Big Bank ซึ่งจำเป็นต้องยกเลิกกฏระเบียบที่ผ่อนคลายลงในยุคของทรัมป์ ซึ่งเป็น 1 ในต้นเหตุให้ธนาคารต่าง ๆ ใช้เงินอย่างประมาทและเกิด Bank Run ขึ้น

แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ติว่ากฏระเบียบของสหรัฐฯ ทำให้ธนาคารต่าง ๆ นิยมสะสมพันธบัตรในช่วงดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดการขาดทุนค้างพอร์ตจำนวนมากถึง -21.5 ล้านล้านบาทหรือ -6.2 แสนล้านดอลลาร์

ดังนั้น เขามองว่าสหรัฐฯ จะต้องมีการปรับโครงสร้างระบบการเงินครั้งใหญ่เพื่อสร้างความปลอดภัยมากขึ้นในอนาคต พร้อมย้ำว่า JPMorgan ยังคงเตรียมพร้อมรับมือกับสภาพดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และอาจอยู่ในระดับสูงไปอีกนาน

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการแห่ถอนเงินจากธนาคารต่าง ๆ จะผ่อนคลายลงจากจุด Peak ล่าสุดแล้ว และเงินฝากในกลุ่มธนาคารก็เริ่มทรงตัวหลังจากเกิดแรง Panic แห่ถอนเงินฝากออกจากธนาคารรวมกัน -27 ล้านล้านบาท (-8 แสนล้านล้านดอลลาร์) ในก่อนหน้านี้ ซึ่งเงินดังกล่าวได้ไหลเข้ากองทุนตลาดเงิน (Money Market Funds) สูงถึง +6 แสนล้านดอลลาร์

⚠️ แต่ขณะเดียวกัน ภาคอสังหาฯ กำลังถูกจับตามองว่าจะกลายเป็นระเบิดลูกต่อไปหรือไม่ ? โดยเฉพาะอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินหลายแห่งที่เข้าไปกว้านซื้อและเก็งกำไรเอาไว้ ซึ่งเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นจึงได้รับผลกระทบไม่ต่างจากการถือครองพันธบัตร และราคาอสังหาฯ ก็นับว่าสูงลิ่วเมื่อเทียบจากในอดีต

โดยรวมแล้ว ความไม่แน่นอนที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ได้ทำให้มูลค่าพันธบัตรและสินทรัพย์ต่าง ๆ ในระบบธนาคารของสหรัฐฯ ร่วงลงรวมกัน -2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นความปั่นป่วนที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในรอบหลายสิบปีมานี้

นั่นทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ และ FED ต้องเข้ามาเสริมสภาพคล่องในตลาดอย่างกะทันหัน โดยมีการออกกองทุนและขยายการเข้าถึงเงินดอลลาร์ทั้วทั้งระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าตลาดจะมีสภาพคล่องเพียงพอไม่ให้วิกฤตต่าง ๆ ลุกลามจนกลายเป็นหายนะ

ซึ่งทั้งนี้ก็คงต้องจับตาควบคู่กันไประหว่างค่าเงินดอลลาร์และทองคำ ว่าระบบการเงินของสหรัฐฯ จะพังลงตามที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ทำนายเอาไว้หรือไม่ ? และทองคำจะพุ่งทะยานฟ้ากลายเป็นสินทรัพย์หนุนหลังค่าเงินอีกครั้งหรือไม่ ? เพราะสิ่งที่จีน-รัสเซียกำลังทำในตอนนี้ก็คือการดันโลกให้กลับไปสู่มาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ซึ่งหมายความว่าค่าเงินต่าง ๆ จะผูกกับทองคำและสามารถแลกกับทองคำได้ผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน

และหากฝั่งคอมมิวนิสต์ชนะ เราก็อาจได้เห็นการเกิดขึ้นของ “รัฐบาลโลก” ซึ่งเครือข่ายฝั่งคอมมิวนิสต์จะเป็นผู้นำที่สามารถชี้นิ้วสั่งโลกในยุคต่อไป ส่วนอำนาจด้านการเงินและสื่อต่าง ๆ ก็มีแนวโน้มจะถูกรวบเอาไว้เป็นของรัฐบาล และธุรกิจใด ๆ ก็อาจจะต้องเดินหน้าตามคำสั่งและความต้องการของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นหลัก

แต่ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ เราก็อาจได้เห็นราคาทองคำร่วงลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน พร้อมกับเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าหรือผงาดต่อได้แบบงง ๆ ซึ่งก็คงไม่มีใครการันตีได้ 100% ว่าตลาดจะเล่นทางไหนกันแน่ ? แต่หากดูจากหลักเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้ ก็แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทองคำมีโอกาสพุ่งทะยานฟ้าจริง ๆ

📌 สุดท้ายแล้ว เราต้องมารอลุ้นกันว่าทองคำจะพุ่งทะยานฟ้าตามคาดการณ์หรือจะร่วงลงอย่างไม่น่าเป็นไปได้กันแน่ ?


ที่มา : World Maker
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0F7SVSezzMWnfENEnrAfwBianQQ5wdWDYn9NzrFD2LwSzyixUPWvRycz4qrDWLAwMl&id=100057372132574&mibextid=Nif5oz