Saturday, 27 April 2024
USA

สหรัฐฯ อ่วม!! โควิดระลอกล่าสุด ‘รุนแรง-เลวร้าย’ กว่าปีก่อน

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ระลอกล่าสุดในสหรัฐอเมริกา กำลังส่งผลกระทบต่อแผนกผู้ป่วยหนักของบางรัฐท้องถิ่น ขณะหลายพื้นที่ของประเทศเผชิญการระบาดที่รุนแรงกว่าปีก่อน

จากรายงานข่าวเมื่อวันจันทร์ (22 พ.ย. 64) อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ระบุว่า ผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ได้รับการยืนยันผลหรือเป็นผู้ป่วยต้องสงสัยใน 15 รัฐท้องถิ่น กำลังมีสัดส่วนการครองเตียงในแผนกผู้ป่วยหนักเพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว

สาวไทยเล่าวินาทีโดนทำร้ายที่นิวยอร์ก ด้านตำรวจสหรัฐฯ ยังจับผู้ต้องสงสัยไม่ได้

แม้เติบโตในไทย แต่ "บิว จิรจริยาเวช" (Bew Jirajariyawetch) มองนิวยอร์กในฐานะจุดหมายปลายทางในอุดมคติมาตลอด และมีความฝันย้ายมาอยู่ในมหานครแห่งนี้ แต่เมื่อเดือนที่แล้วสาวผู้เดินตามความฝันกับการเป็นนางแบบ ต้องมาพบเจออีกด้านของนิวยอร์ก หลังเธอถูกทำร้ายร่างกายชิงทรัพย์ที่บริเวณชานชาลาของสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง

บิว จิรจริยาเวช ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์เมื่อวันพุธ (15 ธ.ค.) ว่า "ฉันดีใจที่ยังมีชีวิตอยู่" เธอเล่าถึงเหตุการณ์อันน่าสยดสยองของเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ณ สถานี 34th Street Herald Square ซึ่งส่งผลให้เธอเลือดตกยางออกและเป็นแผลถลอก

หญิงสาวรายนี้ซึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ในนิวยอร์กเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา กำลังรอขบวนรถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้านที่เขตควีนส์ ตอนเวลา 04.00 น. หลังไปชมคอนเสิร์ตของดาบอยเวย์ แรปเปอร์อเมริกันเชื้อสายไทย กับเพื่อน ๆ

เธอยืนอยู่บริเวณริมขอบชานชาลาของสถานี ตอนที่จู่ ๆ ก็มีคนแปลกหน้าดอดเข้ามาจากด้านหลังและล็อกศีรษะของเธอ เอามือปิดปาก จมูกและตา เพื่อขัดขวางไม่ให้ฉันตะโกนส่งเสียงดังขอความช่วยเหลือ "เขาลากฉันไปในที่ที่ไม่มีใครเห็น ทำร้ายฉันและเอากระเป๋าเงินฉันไป ฉันได้แต่ภาวนาว่าขอโอกาสตะโกนขอความช่วยเหลือสักครั้ง"

ภาพจากกล้องวงจรปิดพบเห็นคนร้ายล็อกคอจากด้านหลังฉุดกระชากลาก บิว เข้าไปในจุดลับตาคน ก่อนเหวี่ยงลงกับพื้นและชกเธอหลายหมัดตอนที่เธอลงไปกองเบื้องล่าง นอกจากนี้แล้ว ผู้ก่อเหตุยังถูกกล่าวหาสัมผัสของสงวนของเหยื่อและขโมยกระเป๋าเงินของเธอไป ก่อนที่ภาพจากกล้องวงจรปิดจะจบลงที่ภาพหญิงสาวลุกขึ้นนั่ง ก่อนยืนขึ้นเดินโซซัดโซเซออกไป 

ท้ายที่สุดแล้วก็มีใครบางคนพบเธอในสภาพถูกทำร้ายและพาเธอไปขอความช่วยเหลือ "ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่มีใครมาเจอฉันพอดี" บิว จิรจริยาเวช กล่าว

ภาพถ่ายที่เผยแพร่โดย บิว จิรจริยาเวช ซึ่งถ่ายไว้ไม่นานหลังถูกทำร้าย พบเห็นใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยแผลถลอก มีคราบเลือดแห้ง ๆ บริเวณจมูกและใกล้ปาก ส่วนอีกภาพพบเห็นรอยถลอกและรอยเลือดไล่ลงไปตามขาของเธอ

เธอถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล Lenox Hill HealthPlex ในกรีนวิช วิลเลจ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

กรมตำรวจนิวยอร์กเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิด เป็นภาพที่ผู้ต้องสงสัยกำลังกระโดดข้ามประตูหมุนและเดินผ่านเข้าไปในพื้นที่ชั้นลอยรกร้างแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ต้องสงสัยรายใดถูกจับกุมต่อเหตุทำร้ายร่างกายอันน่าสะอิดสะเอียนครั้งนี้

บิว จิรจริยาเวช ซึ่งเดินทางมายังนิวยอร์กเพื่อเรียนภาษาอังกฤษและเดินตามความฝันเข้าสู่วงการแฟชั่น เล่าว่าเธออยากเห็นมหานครแห่งนี้มาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ "ตอนฉันเป็นเด็ก ฉันคิดฝันมาตลอดว่าเมืองแห่งนี้จะเป็นเมืองแบบไหน ฉันชอบเมืองแห่งนี้ตั้งแต่แรกเห็น น่าเศร้า มันเปลี่ยนไปสำหรับฉัน ตอนนี้ฉันเห็นอีกด้านของมัน"

'เปิ้ล นาคร' สุดปลื้ม!! 'ออก้า' คว้าแชมป์โลกเจ็ตสกี พร้อมมอบรางวัลนี้ให้แก่เด็กน้อยที่ต้องจากไป

ทำเอาพ่อเปิ้ล นาคร และ แม่จูน กษมา ศิลาชัย เรียกนั่งไม่ติด ทั้งลุ้น ทั้งเชียร์ กับการแข่งขันคว้าแชมป์จากการแข่งขันเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก “ดับเบิลยูจีพี วัน เจ็ตสกี เวิลด์ ซีรีส์ 2022” (WGP#1 World Series 2022) ณ เมืองเลคฮาวาซู รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 1-9 ตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา เมื่อลูกชาย 'น้องออก้า' ด.ช.นครา ศิลาชัย อายุ 10 ปี นักเจ็ตสกีทีมชาติไทย ที่อายุน้อยที่สุดในทีมชาติไทย คว้าแชมป์โลกมาครองได้สำเร็จ

หลังจากความสำเร็จดังกล่าว เปิ้ล นาคร ก็ได้โพสต์ข้อความดีใจลงเฟซบุ๊ก ความว่า..

ออก้าได้แชมป์โลกแล้ว ขอบคุณที่ทำให้ฝันของพ่อเป็นจริง จากการที่ลูกทุ่มเท ลูกรัก ลูกตั้งใจ ลูกซ้อมหนักมาก มากที่สุด เสียน้ำตานับครั้งไม่ถ้วนเพื่อแลกมากับประสบการณ์มากมายเกินเด็กวัย10ขวบที่ต้องเจอ วันนี้จึงเป็นวันที่วิเศษที่สุดตั้งแต่พ่อเกิดมา วันที่พ่อแม่ทุกคนดีใจ

‘มะกัน’ กลับลำ!! ตราหน้า ‘จีน’ ต้นเหตุโควิดระบาด แม้ภายในสหรัฐฯ ยังไร้ข้อยุติ หลุดจากแล็บอู่ฮั่นจริงหรือไม่

(27 ก.พ. 66) จีนปฏิเสธคำกล่าวอ้างที่ว่า โรคระบาดใหญ่โควิด-19 มีสาเหตุจากการรั่วไหล หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการหนึ่งของปักกิ่ง ภายหลังสื่อมวลชนตะวันตก รายงานกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ สรุปแล้วว่า มีความเป็นไปได้มากที่สุด ว่ากรณีนี้จะเป็นต้นตอของโรคระบาด ทั้งที่ทางทำเนียบขาวและประชาคมข่าวกรองของอเมริกายังไม่ฟันธงในเรื่องนี้

ข้อสรุปดังกล่าว ซึ่งบันทึกอยู่ในรายงานลับสุดยอดของสำนักงานของนางแอฟริล เฮนส์ (Avril Haines) ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ตามรายงานของวอลล์สตรีท เจอร์นัล ถือเป็นการกลับลำของกระทรวงพลังงานอเมริกา ที่ก่อนหน้านี้ เคยระบุว่ายังไม่ได้ข้อสรุปว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลและนิวยอร์กไทม์ส รายงานอ้างผู้คนที่ได้อ่านรายงานลับสุดยอดดังกล่าว ระบุกระทรวงพลังงานลงความเห็นในเรื่องนี้ภายใต้ ‘ความเชื่อมั่นระดับต่ำ’ เป็นการตอกย้ำว่าหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงมีความเห็นแตกแยกกันเกี่ยวกับแหล่งที่มาของโควิด-19 และโรคระบาดใหญ่ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลกในช่วงต้นปี 2020

อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปของกระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ซึ่งว่ากันว่ามีพื้นฐานจาก ‘ข้อมูลข่าวกรองใหม่’ ก็ยังนับว่ามีนัยสำคัญ เนื่องจากกระทรวงพลังงานนั้น กำกับดูแลเครือข่ายห้องปฏิบัติการแห่งชาติ รวมถึงห้องแล็บบางแห่ง ซึ่งทำการศึกษาวิจัยด้านชีวภาพในระดับก้าวหน้า

ข้อสรุปนี้ ทำให้กระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับสำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) ที่เชื่อว่า โควิด-19 ซึ่งคร่าชีวิตประชากรโลกไปเกือบ 7 ล้านคน มีต้นตอจากความผิดพลาดในห้องแล็บของจีน ซึ่งทำให้เชื้อไวรัสรั่วไหลออกมาสู่ภายนอก

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด จอห์น เคอร์บี (John Kirby) โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เมื่อวันจันทร์ (27ก.พ. 66) ที่ผ่านมา ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงไม่บรรลุความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าโรคระบาดใหญ่ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร แม้มีรายงานข่าวอ้างกระทรวงพลังงาน สรุปว่า มีความเป็นไปได้มากที่สุด ว่าไวรัสจะหลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการหนึ่งในจีน

“ประชาคมข่าวกรองและหน่วยงานที่เหลือของรัฐบาล ยังคงตรวจสอบเรื่องนี้” นายจอห์น เคอร์บีกล่าว

“ยังไม่มีข้อสรุปอย่างชัดเจน ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะพูด หรือผมควรรู้สึกเช่นไร ที่ผมต้องออกมาปกป้องรายงานข่าวของสื่อมวลชน เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของข้อบ่งชี้ในเบื้องต้น สิ่งที่ประธานาธิบดีต้องการคือ ข้อเท็จจริง”

โพลิติโก (Politico) เว็บไซต์ข่าวการเมืองสหรัฐฯ รายงานด้วยว่า มีหน่วยงานของรัฐบาลกลางอื่น ๆ หลายแห่ง ที่เห็นแย้งกับข้อสรุปของทางกระทรวงพลังงาน โดย 4 หน่วยงานลงความเห็นภายใต้ ‘ความเชื่อมั่นระดับต่ำ’ ว่า ไวรัสติดต่อโดยธรรมชาติผ่านสัตว์ ส่วนอีก 2 หน่วยงาน ในนั้นรวมถึง ซีไอเอ (CIA) ยังไม่ลงความเห็นในข้อสรุประหว่าง 2 ทฤษฎีแหล่งที่มาของโควิด-19

นายเจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว เน้นย้ำว่า ยังคงมีมุมมองในหลากหลายในประเด็นนี้

“ในตอนนี้ ยังคงไม่มีคำตอบอย่างชัดเจนที่ปรากฏออกมาจากประชาคมนานาชาติ ในเรื่องเกี่ยวกับคำถามดังกล่าว” นายเจค ซัลลิแวน กล่าวกับซีเอ็นเอ็น

ในส่วนของจีน ได้ออกมาปฏิเสธอีกรอบ โดย นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เรียกร้องให้ “หยุดโหมกระพือคำกล่าวอ้างว่า โควิดมีต้นตอจากการรั่วไหลออกมาจากห้องปฏิบัติการ หยุดป้ายสีจีน และหยุดเล่นการเมืองในประเด็นแกะรอยหาแหล่งที่มาโควิด”

นางเหมา หนิง กล่าวระหว่างแถลงข่าวอีกว่า “ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ ที่ร่างโดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญร่วมจากจีนและองค์การอนามัยโลก ไม่พบความเป็นไปได้ของการรั่วไหลหลุดจากห้องปฏิบัติการ”

‘ทรัมป์’ ชี้ ‘รบ.สหรัฐฯ’ ควรหยุดทุ่มงบให้ ‘สงครามที่ไม่รู้จบ’ ลั่น!! ถ้าชนะเลือกตั้ง จะยุติสงครามยูเครนภายในวันเดียว

(6 มี.ค. 66) อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศกลางที่ประชุมกลุ่มผู้สนับสนุนสายอนุรักษนิยมเมื่อวันเสาร์ (4 มี.ค.) ว่า…

‘สงครามโลกครั้งที่ 3’ จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน หากตนได้เป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกครั้งในปี 2024 พร้อมคุยว่า สามารถจบสงครามยูเครนได้ ‘ภายในวันเดียว’

ทรัมป์ ในวัย 76 ปี ให้คำมั่นสัญญาว่า เขาและผู้สนับสนุนจะไม่ปล่อยให้พรรครีพับลิกันถูกครอบงำโดย ‘พวกบ้าคลั่งและโง่เง่า’ ที่พาสหรัฐฯ เข้าไปพัวพันกับ ‘สงครามที่ไม่รู้จบในต่างประเทศ’

อดีตผู้นำสหรัฐฯ ระบุด้วยว่า วอชิงตันควรหยุดทุ่มงบประมาณนับพัน ๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องยูเครนได้แล้ว และหากเขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีก็จะทำให้สงครามยูเครน ‘จบลงภายในวันเดียว’ และจะเรียกร้องให้ชาติพันธมิตรองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ‘จ่ายต้นทุนของสงคราม’ ให้มากขึ้นด้วย

“คุณไม่สามารถทุ่มเงินเป็นแสน ๆ ล้านดอลลาร์ เพื่อปกป้องกลุ่มคนที่ก็ไม่ได้ชื่นชอบเราสักเท่าไหร่ และถ้าเป็นในทางธุรกิจ ถ้าคุณยอมจ่ายมากขนาดนั้น คุณต้องบอกพวกเขาเลยว่า ถ้าชนะ ประเทศคุณครึ่งหนึ่งต้องเป็นของเรา”

บุคคลอันตราย!! ผู้โดยสารคลั่งเปิดประตูเครื่องบิน พอถูกห้ามเลยแทงคอแอร์ฯ รัว ๆ

เกิดเหตุผู้โดยสารชายคลั่ง พยายามเปิดประตูฉุกเฉินของเครื่องบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ส (United Airlines) ซึ่งเดินทางจากนครลอสแองเจลิสไปยังบอสตัน ก่อนจะหันไปคว้า 'ช้อนเหล็ก' แทงคอของพนักงานต้อนรับ

เซเวโร ตอร์เรส วัย 33 ปี จากรัฐแมสซาชูเซตส์ ทำร้ายร่างกายพนักงานต้อนรับ และถูกลูกเรือกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ช่วยกันล็อกตัวเอาไว้ได้ ก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดที่ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน ในเมืองบอสตัน

เหตุระทึกครั้งนี้เกิดขึ้นราว 45 นาทีก่อนที่เครื่องบินจะเดินทางถึงที่หมาย โดยมีสัญญาณแจ้งเตือนไปยังห้องนักบินว่าประตูฉุกเฉินที่อยู่ระหว่างที่นั่งชั้นเฟิร์สคลาสกับชั้นประหยัดถูก ‘disarmed’

พนักงานต้อนรับคนหนึ่งสังเกตเห็นตอร์เรสเข้าใกล้ประตูดังกล่าว และสงสัยว่าเขาอาจจะทำอะไรบางอย่างกับประตูฉุกเฉินจึงได้เข้าไปสอบถาม แต่ก็ถูกอีกฝ่ายท้าทายกลับว่า “มีกล้องตัวไหนบันทึกภาพได้ไหมว่าผมทำ?”

‘อดีต จนท.มะกัน’ ชี้ เทคโนโลยีชิปทั่วโลกอาจได้รับผลกระทบ หาก ‘สหรัฐฯ’ ทำลายโรงงานชิปไต้หวัน ก่อน ‘จีน’ บุกยึดสำเร็จ

(14 มี.ค. 66) อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ เผย วอชิงตันอาจตัดสินใจ ‘ทำลาย’ โรงงานชิปของไต้หวัน ในกรณีที่จีนส่งทหารรุกราน เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีในการผลิตชิประดับก้าวหน้าตกไปอยู่ในมือของปักกิ่ง

‘โรเบิร์ต โอไบรเอน’ (Robert O’Brien) ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นของของทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าว Semafor ว่า สหรัฐฯ และพันธมิตร ‘ไม่มีทางปล่อยให้โรงงานชิปเหล่านั้นตกไปอยู่ในมือจีนอย่างแน่นอน’

บริษัท ไต้หวัน เซมิคอนดักเตอร์ แมนูแฟคเจอริง คอมพานี (TSMC) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก ครองส่วนแบ่งตลาดชิปประมวลผลก้าวหน้าถึง 90% โดยชิปที่ TSMC ผลิตนั้น ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิด ตั้งแต่สมาร์ทโฟน รถยนต์ เรื่อยไปจนถึงขีปนาวุธนำวิถี

โอไบรเอน ชี้ว่า หากบุกเกาะไต้หวันและสามารถยึดโรงงานของ TSMC ได้ จีนจะกลายเป็นเสมือน ‘OPEC ของซิลิคอนชิป’ และจะสามารถควบคุมระบบเศรษฐกิจโลกได้เลยทีเดียว

อดีตที่ปรึกษาผู้นี้เปรียบเทียบความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะทำลายโรงงานของ TSMC ว่าไม่ต่างอะไรกับตอนที่นายกรัฐมนตรี วินสตัน เชอร์ชิลล์ แห่งอังกฤษ สั่งทำลายกองเรือรบฝรั่งเศสในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อเยอรมนี

แอปเปิล (Apple) ถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ TSMC ในปัจจุบัน และ TSMC ยังเป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลให้สมาร์ทโฟนที่จัดส่งทั่วโลกราว 1.4 พันล้านเครื่องในแต่ละปี ขณะที่ค่ายรถยนต์อีกราว 60% ของโลกใช้ชิปจาก TSMC เช่นกัน

โอไบรเอน ไม่ใช่คนแรกที่ออกมาพูดเรื่องการทำลายโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ของไต้หวันในกรณีที่จีนบุก ก่อนหน้านี้เคยมีนักวิชาการสหรัฐฯ 2 คนเอ่ยถึงความเป็นไปได้นี้มาแล้วในรายงานที่ตีพิมพ์โดย US Army War College เมื่อปี 2021

“เริ่มแรกเลย สหรัฐฯ และไต้หวันต้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อทำให้เกาะไต้หวันไม่เพียงกลายเป็นดินแดนที่ไม่น่าดึงดูดใจ (unattractive) หากถูกยึดด้วยกำลัง แต่ยังเป็นดินแดนที่จีนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาลในการรักษาไว้ วิธีที่ได้ผลที่สุด ก็คือขู่ทำลายโรงงานของ TSMC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลกและเป็นซัปพลายเออร์รายใหญ่ของจีน” รายงานดังกล่าวระบุ

สิ่งที่ไทยต้องระวัง จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน หากมองว่า ‘สหรัฐฯ’ ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เป็นเรื่องไกลตัว

(19 มี.ค. 66) นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ฮิโรชิมะ ประเทศญี่ปุ่น และอดีตปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ให้มุมมองถึงผลกระทบต่อการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเทศไทยที่อาจต้องขี้นตาม ว่าเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวพวกเราเกินคาด ผ่านรายการ ‘NAVY TIME เรื่องดี ๆ ประเทศไทยยามเช้า’ ออกอากาศช่วงเช้า เวลา 07.00- 08.00 น. ทางสถานีวิทยุเสียงจากทหารเรือวังนันทอุทยาน (ส.ทร.วังนันทอุทยาน) FM93 เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 66 ระบุว่า...

ในวันนี้ หากมองไปถึงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ แล้ว ถือเป็นอีกเรื่องที่ไม่ได้ไกลตัวผู้คนอย่างที่คิด แล้วถ้าหากใครคิดว่าไทยจะไม่ได้รับผลกระทบ หากไม่ขึ้นดอกเบี้ยตามนั้น ผมคิดว่าคงไม่ใช่ เพราะในวันที่อเมริกาขึ้นดอกเบี้ยไปเยอะ แบงก์ชาติไทยก็มีแรงกดดันที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยตามไปด้วย

คำถาม คือ หากไทยไม่ขึ้นดอกเบี้ยตาม จะเกิดอะไรขึ้น?
ปกติแล้ว แบงก์ชาติไทย มีกรอบอัตราเงินเฟ้อเหมือนแบงก์ชาติอเมริกา โดยเขาจะมีสิ่งที่ภาษาการเงินเรียกว่า Inflation Targeting เป็นกรอบเป้าเงินเฟ้อว่าต้องไม่ให้เกินเท่าไหร่ จึงจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งของอเมริกานั้น จะอยู่ที่ 2% ส่วนไทยอยู่ที่ 3% และหากเงินเฟ้อออกนอกกรอบ 3% เมื่อไหร่ สถานการณ์แบบนี้แบงก์ชาติของไทยก็มีโอกาสที่จะต้องขี้นดอกเบี้ย เพราะอันนี้คือ สัญญาประชาคมของแบงก์ชาติ ที่ให้ไว้กับประชาชนและรัฐบาล ว่าเขาจะคุมเงินเฟ้อให้ไม่เกิน 3% หากจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย

ทว่าวันนี้ล่าสุดตัวเลขเงินเฟ้ออยู่ที่ 3.8-3.9% ก็เกินจากกรอบ 3% เพราะฉะนั้นแบงก์ชาติจะต้องถูกบังคับให้ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ ให้ดึงลงมาอยู่ในกรอบ 3% ที่สัญญาไว้กับประชาชน ถ้าผิดสัญญาถือว่าสอบตก

ดังนั้นในวันที่ระบบการเงินของไทย มีความเชื่อมต่อกันกับโลกพอสมควรนั้น จึงปฏิเสธได้ยากว่า ถ้าเกิดอัตราดอกเบี้ยของแต่ละชาติมันมีความต่างกันเยอะ มันจะสะเทือนไปสู่ปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไปในตัว เช่น...

‘สหรัฐฯ’ พบ เชื้อราดื้อยา ‘Candida auris’ ระบาดหนัก ชี้ เป็นภัยคุกคามการดื้อยาต้านจุลชีพ หลังยอดผู้ป่วยพุ่ง

(24 มี.ค. 66) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่า การติดเชื้อราร้ายแรงที่รักษาได้ยากกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในอัตราที่ ‘น่าตกใจ’ โดยเชื้อรา ‘Candida auris’ เป็นเชื้อราที่เกิดขึ้นใหม่ถือเป็นภัยคุกคามเร่งด่วน ซึ่งเชื้อโรคขยายตัวตามพื้นที่อีกด้วย แม้ว่าในตอนแรกเชื้อราจะถูกจำกัดอยู่ในนิวยอร์กและชิคาโกเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบัน เชื้อรามีอยู่มากกว่าครึ่งของรัฐในสหรัฐอเมริกา

ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Internal Medicine มีรายงานการติดเชื้อครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปี 2559 จำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดคือระหว่างปี 2563 ถึง 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าในปี 2564 จาก 756 เป็น 1,471

เท่านั้นไม่พอ มีจำนวนผู้ป่วยที่ดื้อต่อยา echinocandins เพิ่มขึ้นสามเท่า ซึ่งเป็นการรักษาขั้นตอนแรกสำหรับการติดเชื้อ Candida auris อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงจะไม่เสี่ยงต่อเชื้อโรค Candida auris แต่ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจหรือสายสวน อาจเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตได้

ด้วยเหตุนี้ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคจึงเรียกว่าเป็น “ภัยคุกคามการดื้อยาต้านจุลชีพอย่างเร่งด่วน” ผู้ป่วยจำนวนมากอยู่ในโรงพยาบาลและบ้านพักคนชราสามารถแพร่กระจายจาก “การสัมผัสกับผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบและพื้นผิวหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อน”

ดร.เมแกน ไลแมน นักระบาดวิทยาของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ผู้เขียนรายงานกล่าวว่า 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อแพร่กระจายเสียชีวิตใน 90 วัน แต่อาจเป็นเรื่องยากที่จะประเมินว่า เชื้อรามีบทบาทอย่างไรต่อผู้ป่วยที่อ่อนแอ โดยอาการที่พบบ่อยที่สุดคือมีไข้และหนาวสั่นที่ไม่ดีขึ้นหลังการรักษา หากการติดเชื้อแพร่กระจาย ต่อเลือด หัวใจ ฯลฯ อวัยวะต่าง ๆ และอาจถึงแก่ชีวิตได้โดยตรง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top