Wednesday, 8 May 2024
USA

‘ไบเดน’ เชื่อ จีนยังไม่ส่งอาวุธให้รัสเซีย แต่ยังวางใจไม่ได้ จับตาความสัมพันธ์พิเศษ หลัง ‘สี จิ้นผิง’ เยือนกรุงมอสโก

(26 มี.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน เชื่อว่า จีนยังไม่ได้ส่งอาวุธให้รัสเซียเพื่อใช้ทำสงครามในยูเครน ด้านผู้แทนสหประชาชาติ หรือ ‘ยูเอ็น’ ยอมรับมีความกังวลอย่างยิ่งที่กองกำลังรัสเซียและยูเครนในสนามรบ ได้ทำการประหารชีวิตเชลยสงครามอย่างรวบรัด

ประธานาธิบดีไบเดน แถลงข่าวระหว่างเยือนแคนาดาเมื่อวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า เขาได้ยินตลอด 3 เดือนมานี้ว่า จีนกำลังจะจัดส่งอาวุธสำคัญให้แก่รัสเซีย ซึ่งยังไม่มีการส่งแต่อย่างใด แต่ไม่ได้หมายความว่าจีนจะไม่ส่ง เขาไม่ได้ดูเบาจีนและรัสเซีย แต่รายงานข่าวในเรื่องนี้อาจมีความเกินจริงไปบ้าง อย่างไรก็ตาม หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ชาติตะวันตกก็จะยิ่งรวมตัวกันมากยิ่งขึ้น เพราะสหรัฐฯ มีพันธมิตรด้านความมั่นคงในภูมิภาคแปซิฟิกอย่าง ‘ควอด’ (Quad) ที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, อินเดีย, ญี่ปุ่น และออคัส (AUKUS) ที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และอังกฤษ

‘กองทัพมะกัน’ วิตก!! หลังจีน-รัสเซีย-อิหร่าน จับมือใกล้ชิดยิ่งขึ้น เผย เป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ เผชิญหน้ากับมหาอำนาจนิวเคลียร์ 2 ชาติ

(2 เม.ย. 66) พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ บอกกับสมาชิกรัฐสภาเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า จีน รัสเซีย และอิหร่านจะเป็นปัญหาสำหรับอเมริกา ‘ในช่วงหลายปีข้างหน้า’ ในขณะที่ทั้ง 3 ชาติกำลังทำงานร่วมกันใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น

ระหว่างให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการด้านการทหารของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ร่วมกับ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม ทาง พล.อ.มิลลีย์ เปิดเผยว่า รัสเซียและจีนกำลังร่วมมือใกล้ชิดกันมากยิ่ง

“ผมคงไม่ใช้คำว่า ‘พันธมิตรเต็มรูปแบบอย่างแท้จริง’ ในความหมายที่แท้จริงของคำนั้น แต่เรากำลังเห็นพวกเขาเคลื่อนไหวใกล้ชิดกันมากขึ้น และนั่นเป็นปัญหา และจากนั้น อิหร่านก็เป็นประเทศที่ 3 ดังนั้น ผมคิดว่า 3 ประเทศเหล่านี้รวมกัน จะกลายเป็นปัญหาสำหรับหลายขวบปีข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียและจีน สืบเนื่องจากศักยภาพของพวกเขา” พล.อ.มิลลีย์ กล่าว

ท่ามกลางเสียงเน้นย้ำมานานหลายปีของสหรัฐฯ ว่าทั้ง 3 ประเทศได้มุ่งเน้นด้านการทหารอย่างมาก โดยเฉพาะจีนและรัสเซีย ความตึงเครียดระหว่างอเมริกากับทั้ง 3 ชาติ ได้โหมกระพือขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้

ในขณะที่สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือยูเครน ในการป้องกันตนเองจากการรุกรานของรัสเซีย ความตึงเครียดกับจีนได้พุ่งสูงขึ้นเมื่อไม่นานที่ผ่านมา หลังจากพบวัตถุบินต้องสงสัยว่าเป็นบอลลูนสอดแนมของจีน ล่องลอยข้ามน่านฟ้าอเมริกา ก่อนถูกเครื่องบินรบสหรัฐฯ ยิงตกนอกชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศ

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐฯ เปิดฉากโจมตีตอบโต้พวกนักรบกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในซีเรีย หลังโดรนต้องสงสัยว่าเป็นของอิหร่าน ทำการโจมตีศูนย์แห่งหนึ่งซึ่งเป็นฐานของบุคลากรสหรัฐฯ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่สัญญาจ้างรายหนึ่งของอเมริกาเสียชีวิต และกำลังพลได้รับบาดเจ็บ 5 นาย

ตามหลังปฏิบัติการโจมตีของสหรัฐฯ พวกนักรบได้ยิงจรวดและส่งโดรนโจมตีเพิ่มเติม เล่นงานเป้าหมายต่าง ๆ ที่เป็นของอเมริกาและบุคลากรของพันธมิตรในซีเรีย

‘USS Nimitz’ เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ เยือนไทย เปิดพื้นที่ต้อนรับการฉลองสัมพันธ์อันดี 190 ปี ‘ไทย-สหรัฐฯ’

(27 เม.ย.66) ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา นำเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีสหรัฐฯ USS NIMITZ จอดเทียบท่าในโอกาสเฉลิมฉลอง 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-สหรัฐฯ

ทั้งนี้ นับเป็นโอกาสดีในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ และไทย ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของไทยในระหว่างการเยือนครั้งนี้ ขณะเดียวกันยังได้เปิดโอกาสให้ทหารเรือสหรัฐฯ ได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นและเข้าร่วมการประชุมหารือต่าง ๆ ตลอดจนมีส่วนร่วมในโครงการชุมชนสัมพันธ์ด้วย

สำหรับ เรือ USS Nimitz (CVN 68) เป็นเรือธงของ CSG 11 มีศักยภาพด้านการควบคุมทะเล การโจมตีเป้าหมายหลายประเภท ปฏิบัติการความมั่นคงทางทะเล การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการฝึกร่วมและผสมในพื้นที่ปฏิบัติการต่าง ๆ ออกเดินทางจากเมืองเบรเมอร์ตัน รัฐวอชิงตัน เพื่อปฏิบัติการทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2565 เข้าร่วมฝึกร่วมผสมหลายครั้ง และปฏิบัติการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่รับผิดชอบของกองเรือที่ 7 แห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งรวมทั้งทะเลจีนใต้และทะเลฟิลิปปินส์

หลังจากฝึกร่วมทางทะเลไตรภาคีกับเรือรบของ Japan Maritime Self-Defense Force (JMSDF) และเกาหลีใต้เมื่อกลางเมษายนที่ผ่านมาและมุ่งหน้ามาสู่ประเทศไทย มีกำหนดการเดินทางกลับในวันที่ 29 เมษายน 2566 เพื่อปฏิบัติภารกิจภายใต้กองเรือที่ 7 ต่อไป

นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นเพื่อนและพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในเอเชีย มิตรภาพของเรามีมาอย่างยาวนานร่วมสองศตวรรษ ซึ่งเราได้บรรลุความสำเร็จมากมายร่วมกัน ปีนี้เรากำลังฉลองวาระครบรอบ 190 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างกัน”

เอกอัครราชทูตระบุว่า สัมพันธไมตรีของเราช่วยส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพสำหรับทั้งภูมิภาค ช่วยทำให้ผู้คน สินค้า และความคิดใหม่ ๆ เดินทางได้อย่างเสรี ช่วยนำมาซึ่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการตอบสนองต่อภัยพิบัติที่สำคัญ และล่าสุดนี้ช่วยให้เรารับมือกับการระบาดใหญ่ทั่วโลก นอกจากนี้ ผมอยากจะขอบคุณเหล่าเจ้าหน้าที่ชายหญิงแห่งกองทัพเรือไทยและกองทัพเรือสหรัฐสำหรับความมุ่งมั่นที่มีต่อความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันและคอยดูแลให้ประชาชนของเราปลอดภัย

ไขปมลอบสังหาร ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ ‘หลานเคนเนดี’ บอก!! เป็นฝีมือของ CIA

‘โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์’ หนึ่งในผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งสมัยหน้า 2024 อีกทั้งยังเป็นหลานชายแท้ๆ ของ ‘จอห์น เอฟ เคนเนดี’ อดีตประธานาธิบดีชื่อดังที่ถูกลอบสังหาร ได้ออกมาทิ้งระเบิด เปิดประเด็นลูกใหม่ว่า CIA อยู่เบื้องหลังการแผนการลอบสังหารครั้งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย 

โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับรายการวิทยุ ‘WABC 770 AM’ ของนิวยอร์กว่า มีหลักฐานต่างๆ มากมาย ที่ชี้ว่า CIA เกี่ยวข้องกับคดีลอบยิงอดีตผู้นำเคนเนดีที่เมืองดัลลัส ในรัฐเท็กซัส ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 และความพยายามที่จะปกปิดหลักฐานเหล่านั้นด้วย 

อีกทั้งยังอ้างอิงหนังสือ ‘JFK and the Unspeakable’ ของ เจมส์ ดักกลาส ที่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้นานถึง 12 ปี และพยายามเสนองานของเขาให้กับหลายสำนักพิมพ์ แต่ถูกปฏิเสธ กว่าจะได้ตีพิมพ์จริงในสำนักพิมพ์ Orbis Book ที่ก็เคยปฏิเสธงานของดักกลาสถึง 3 ครั้ง ซึ่งเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้กว่า 500 หน้า ได้กล่าวถึงแรงจูงใจ และความเป็นไปได้ที่ทั้ง CIA และหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ ต้องการกำจัดประธานาธิบดีคนที่ 35 คนนี้ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ปิดคดีว่า นายลี ฮาร์วีย์ ออสวอล์ด เป็นผู้ลงมือสังหารแต่เพียงผู้เดียวในอีก 1 ปีต่อมา 

โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ เป็นหนึ่งในครอบครัวเคนเนดี ที่เข้าสู่วงการการเมืองของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นทนายด้านสิ่งแวดล้อม และสมาชิกพรรคเดโมแครต มีศักดิ์เป็นหลานชายของ จอห์น เอฟ เคนเนดี ซึ่งในวันที่ลุงของเขาถูกลอบสังหาร และเป็นข่าวดังไปทั่วโลกนั้น เขามีอายุเพียง 9 ปี และต่อมาเมื่อเขาอายุ 14 ปี พ่อของเขา ‘โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี’ หรือ บ๊อบบี้ ซึ่งเป็นน้องชายของจอห์น ก็มาถูกลอบสังหารเช่นเดียวกัน ขณะกำลังเดินสายหาเสียงเป็นตัวแทนพรรคในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐในปี 1968

‘ลูกขุนสหรัฐฯ’ ตัดสิน ‘ทรัมป์’ โดนอีกคดีก่อนเลือกตั้ง ปมล่วงละเมิดอดีตคอลัมนิสต์หญิง สั่งชดใช้ 5 ล้านดอลลาร์

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. 66 สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถูกคณะลูกขุนของศาลรัฐบาลกลางแมนฮัตตัน ตัดสินว่าต้องรับผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศ ‘อี จีน แคโรล’ อดีตคอลัมนิสต์ของนิตยสารแอลในปี 1995 หรือ 1996 และหมิ่นประมาทเธอ โดยตราหน้าว่าเธอเป็นคนโกหก โดยทรัมป์ต้องจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้แก่แคโรลรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 5 ล้านดอลลาร์ หรือราว 168 ล้านบาท

เมื่อปีที่แล้ว แคโรล วัย 79 ปี ได้ยื่นฟ้องทรัมป์โดยอ้างว่า ทรัมป์ข่มขืนเธอในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของห้าง Bergdorf Goodman ในย่านแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก เมื่อราวปี 1995 หรือ 1996 จากนั้นก็ทำลายชื่อเสียงของเธอโดยการโพสต์ลงบน Truth Social แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของทรัมป์ เมื่อเดือนตุลาคม 2022 โดยบอกว่า ข้อกล่าวหาของเธอเป็นเรื่องหลอกลวงและโกหก หลังแคโรลออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนในปี 2019

อย่างไรก็ดี คณะลูกขุนทั้ง 9 คน ปฏิเสธข้อกล่าวหาของแคโรลเรื่องเธอถูกทรัมป์ข่มขืน แต่คณะลูกขุนได้ตัดสินว่า แคโรลมีหลักฐานที่มากกว่าฝั่งของทรัมป์ ในข้อหากล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ จึงตัดสินให้ทรัมป์จ่ายเงินชดเชยแก่แคโรลเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์ ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ และจ่ายเงินเกือบ 3 ล้านดอลลาร์ในข้อหาหมิ่นประมาท

นางโรเบอร์ต้า แคปแลน ทนายความของแคโรล นำพยานเป็นผู้หญิง 2 ราย มาให้การเป็นพยานว่า ทรัมป์เคยล่วงละเมิดทางเพศเธอเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ขณะที่ทรัมป์ไม่เคยปรากฏตัวในการพิจารณาคดีที่กินเวลานาน 2 สัปดาห์เลย และทีมกฎหมายของทรัมป์ไม่ได้เรียกพยานใดๆ

การตัดสินของคณะลูกขุนในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถูกตัดสินว่า มีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ด้านทรัมป์เอง ได้ออกมาวิจารณ์คำตัดสินของคณะลูกขุนผ่านทาง Truth Social ว่า “น่าอัปยศ” พร้อมกับกล่าวอีกว่า เขาไม่รู้จักแคโรลมาก่อน ขณะที่นายโจเซฟ ทาโคปินา ทนายความของทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าทรัมป์จะยื่นอุทธรณ์

ทั้งนี้ คดีความดังกล่าวเป็นคดีแพ่ง ทำให้ทรัมป์รอดจากความผิดทางอาญา และจะไม่ถูกตัดสินโทษจำคุกแต่อย่างใด

แคโรลกล่าวในการพิจารณาคดีว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกอับอาย และไม่สามารถมีความสัมพันธ์ฉันท์คู่รักกับใคร เพื่อนของแคโรล 2 คน ระบุว่า แคโรลเล่าถึงเรื่องการถูกทรัมป์ข่มขืนแต่ขอให้เพื่อนทั้ง 2 คนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะแคโรลกลัวว่าทรัมป์จะใช้ชื่อเสียง และเงินโจมตีเธอหากออกมาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว

‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก  เผชิญสงครามความยากจน หลังคนไร้บ้านพุ่งสูงเข้าขั้นวิกฤต



ภาพอันน่าตกใจที่แสดงให้เห็นแถวรถยนต์ชนิดต่างๆ ที่จอดเรียงรายต่อกันยาวกว่าสองไมล์ (ราวสามกิโลเมตร) ซึ่งประกอบด้วยผู้คนที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน (รถ RV) รถบรรทุก และรถพ่วง บนถนนทางหลวงหมายเลข 101 ในเขตเทศมณฑลมาริน (Marin) ทางตอนเหนือของนครซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ผู้มีรายได้น้อยถูกขับไล่ออกจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เคยเป็นของพวกเขา ด้วยรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเขตเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ปีละ 131,000 ดอลลาร์ โดย 78% ของคนไร้บ้านเคยมีบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ ก่อนที่จะถูกบังคับให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่ อันเนื่องมาจากถูกยึดทรัพย์จนต้องไปตั้งแคมป์ ดังที่เห็นตามภาพ


ภาพเหล่านี้ ถ่ายโดย DailyMail.com แสดงให้เห็นครอบครัวหลายครอบครัวที่อาศัยอยู่ในเต็นท์ และนำแผงพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้เป็นกระแสไฟฟ้า ขณะที่ข้าวของของพวกเขาล้นทะลักออกมาจากยานพาหนะ ในขณะเดียวกัน มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องใช้เงินมากกว่า 3 ล้านดอลลาร์ เพื่อพยายามช่วยผู้ที่อาศัยอยู่ในยานพาหนะ และเพื่อใช้ในการหาบ้านพักอาศัย ชาวบ้านหลายร้อยคนในเทศมณฑลที่มั่งคั่งที่สุดแห่งหนึ่งของนครซานฟรานซิสโก ถูกบีบให้ต้องใช้ชีวิตของพวกเขาในรถบ้าน และรถพ่วงบ้าน หลังจากถูกขับออกจากบ้านพักที่ตนอาศัยอยู่


ภาพถ่ายที่น่าตกใจแสดงให้เห็นแถวของรถบ้าน รถพ่วงบ้าน รถบรรทุก และยานพาหนะอื่นๆ ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามทางหลวงหมายเลข 101 ซึ่งตอนนี้ทอดยาวไปกว่าสองไมล์แล้ว จนกลายเป็นค่ายพักผู้ไร้บ้านใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมืองต่างๆ ในเทศมณฑลมาริน ซึ่งบ้านโดยเฉลี่ยราคา 1.4 ล้านดอลลาร์ กำลังผลักดันให้เส้นทางเลียบทางหลวงยุติลง หลังจากจำนวนผู้อาศัยในรถยนต์เพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการระบาดใหญ่


บางครอบครัวก็ใช้ธงเพื่อทำเครื่องหมายพื้นที่ถนนที่พวกเขาใช้เป็นบ้าน โดยมีหลายคนดึงผ้าใบมาคลุมรถเพื่อปกป้องทรัพย์สินของพวกเขา เจ้าหน้าที่กล่าวว่า มียานพาหนะอย่างน้อย 135 คัน บนถนนบินฟอร์ด (Binford) ชานเมืองโนวาโต เนื่องจากจำนวนยานพาหนะชนิดต่างๆ ที่ถูกใช้เป็นบ้านได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในเทศมณฑลมาริน อยู่ที่ 131,000 ดอลลาร์ ซึ่งทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่า ไม่สามารถหันไปทางไหนได้ จนผู้อยู่อาศัยในบริเวณโดยรอบต้องรวมตัวกันเพื่อพยายามช่วยให้ยุติการตั้งชุมชนผู้ไร้บ้านด้วยการยื่นมือเข้าไปช่วยผู้คนในการค้นหาบริการต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องการ ทุกเดือนพวกเขาจะได้รับของอุปโภคบริโภคฟรี ความช่วยเหลือในการจัดการกรณีที่อยู่อาศัย ความช่วยเหลือทางสังคม การแพทย์ และอื่นๆ โดยชุมชนคนไร้บ้านยังต้องดิ้นรนกับปัญหาสุขภาพ อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และสุขภาพจิต และซึ่งจะมีการผลักดันให้มีการขยายบริการหลังจากที่รัฐมอบเงินทุนให้แก่ เทศมณฑลโนวาโต (Novato), ซอซาลิโต (Sausalito) และ ซาน ราฟาเอล (San Rafael) และให้แก่ เทศมณฑลมาริน สำหรับพื้นที่ที่คนไร้บ้านอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อาทิ ถนนบินฟอร์ด


แต่ละเมืองและเทศมณฑลได้รับเงิน 500,000 ดอลลาร์ เพื่อแก้ไขปัญหาคนไร้บ้าน โดยมลรัฐจะมอบทรัพยากรมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์เพื่อช่วยเหลือแต่ละพื้นที่ ผู้อยู่อาศัยที่มีรายได้น้อยในเขตเทศมณฑลมาริน บอกว่า “พวกเขาไม่มีที่ไป” เนื่องจากวิกฤตค่าครองชีพที่เกาะกุมพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานแล้ว ‘Gary Naja-Riese’ ผู้อำนวยการสำนักงานดูแลคนไร้บ้านของเทศมณฑลมาริน กล่าวว่า “สิ่งสำคัญอันดับแรกและเร่งด่วนของพวกเขาคือ การจัดการกับผู้คนที่อาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ด”


จำนวนยานพาหนะยาวเกินสองไมล์และเกิดปัญหาสุขอนามัย และการแพร่ระบาดของโรค และชุมชนคนไร้บ้านดังกล่าวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลายคนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้บนรถเพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าและปรุงอาหารในรถ RV ได้ เจ้าหน้าที่บางคนได้ผลักดันให้มีการห้ามจอดรถข้ามคืน ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาใช้ เทศมณฑลมาริน กำลังวางแผนที่จะจ้างนักสังคมสงเคราะห์เต็มเวลาเพื่อดูแลคนไร้บ้านที่อยู่อาศัยในชุมชนดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหาของพวกเขาโดยตรง เทศมณฑลมาริน ประเมินว่า มีผู้อยู่อาศัยประมาณ 80 ครอบครัวอาศัยอยู่บนถนนบินฟอร์ดอย่างถาวร แต่ก็มีบางส่วนที่ทิ้งรถไว้ริมถนน และบางคนก็มีสุขภาพที่ดีพอที่จะทำงานเต็มเวลาได้ แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเทศมณฑลมาริน ด้วยค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูงขึ้น


เมืองอื่นๆ ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ออกกฎหมายบังคับใช้ห้ามรถบ้าน (รถ RV) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 แล้ว เนื่องจากมีผู้คนมากมายที่ได้รับผลกระทบเมื่อผู้อยู่อาศัยในรถบ้าน (รถ RV) ปฏิเสธที่จะย้าย เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า เนื่องจากชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ดได้รับความช่วยเหลือหลายทาง จึงมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในพื้นที่สุดท้ายที่เหลือของคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ในรถบ้าน ซึ่งจะไม่ถูกรบกวนจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเช่นพื้นที่อื่น ๆ ‘Zoe Neil’ ผู้อำนวยการสำนักงานถนนในเขตเมืองของเทศมณฑล Marin กล่าวว่า “ในอดีตการนอนหลับอย่างปลอดภัยในยานพาหนะหรือจุดตั้งแคมป์นอกบ้านของเทศมณฑลมารินเป็นเรื่องยาก บินฟอร์ดเป็นหนึ่งในสถานที่เดียวที่คนไร้บ้านสามารถนำรถไปจอดอยู่ได้ แม้ว่า ถนนสายดังกล่าวจะไม่ใช่ที่หลบภัยก็ตาม”


เทศมณฑลมาริน กำลังหาเงินทุนเพิ่มเติมอีก 1.5 ล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลมลรัฐ ซึ่งจะช่วยให้สามารถจ้างเจ้าหน้าที่ที่ลงพื้นที่เพิ่มได้อีก 2 คนที่จะทำงานเต็มเวลาแก้ปัญหาชุมชนคนไร้บ้านที่ถนนบินฟอร์ด โดยเฉลี่ยแล้วเทศมณฑลมาริน จะหาบ้านพักให้คนไร้บ้านซึ่งมีอยู่ทั่วเทศมณฑลมาริน ได้เฉลี่ยเดือนละสิบครอบครัว โดยส่วนใหญ่ผ่านโครงการหุ้นส่วนเจ้าของบ้านของสำนักงานการเคหะของเทศมณฑลมาริน โดยประมาณ 78% ของคนไร้บ้านในพื้นที่เคยมีที่พักอาศัยในเทศมณฑลมาริน ก่อนที่จะถูกไล่ออกจากที่อยู่อาศัยเดิม


สหรัฐอเมริกาเริ่มทำสงครามต่อสู้กับความยากจน (War against poverty) ในปี ค.ศ. 1964 และต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้ในการทำสงครามดังกล่าว เมื่อปี ค.ศ. 2014 หรือ 50 ปีต่อมา แม้ว่ารัฐบาลกลางจะมีเงินงบประมาณเพื่อแก้ไขได้ แต่กลับไม่ทำ และเอาเงินงบประมาณไปทุ่มกับงบกลาโหม และงานต่างประเทศจนหมด หากสหรัฐอเมริกาเลิกทำตัวเป็นตำรวจโลก ลดงบประมาณด้านการทหาร ย่อส่วนโครงการอวกาศลง สหรัฐฯ จะสามารถผันเอาเงินงบประมาณจำนวนมาก มาแก้ปัญหาความยากจนในประเทศ (Domestic poverty) ได้อย่างสบายๆ

‘อดีต จนท.ข่าวกรอง’ แฉ!! โครงการลับ UFO ของรัฐบาลสหรัฐฯ จ่อซุกซ่อนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ หวั่นกระทบความมั่นคงประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ คณะกรรมมาธิการควบคุมและตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้จัดการประชุมติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือ ‘UAPs’ ซึ่งก่อนหน้านี้รู้จักกันในชื่อของ UFO หรือวัตถุบินไม่ทราบชนิด

โดยอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองประจำกองทัพอากาศที่ร่วมให้ข้อมูลในเรื่องนี้อ้างว่า สหรัฐฯ ได้เก็บซากชิ้นส่วนสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์จากบริเวณจุดตกของวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุชนิดลำหนึ่ง

การเปิดเผยดังกล่าวมาจาก ‘เดวิด กรัช’ อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของกองทัพอากาศที่เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมมาธิการควบคุมและตรวจสอบประจำสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งดูแลการตรวจสอบด้านความมั่นคงและกิจการต่างประเทศด้วย

กรัช ระบุว่าสหรัฐฯ ได้ดำเนินการโครงการลับมาเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อเก็บกู้และศึกษาโครงสร้างของวัตถุบินไม่ทราบชนิดที่ตกลงมา และสามารถเก็บชิ้นส่วนทางชีวภาพที่ไม่ใช่มนุษย์ได้จากจุดตกของวัตถุบินลำหนึ่งที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ ซึ่งเป็นการตอบคำถามจากสมาชิกคณะกรรมาธิการที่ต้องการทราบว่า รัฐบาลมีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหรือสิ่งทรงภูมิปัญญานอกโลกหรือไม่

ขณะที่ ‘ไรอัน เกรฟส์’ (Ryan Graves) อดีตนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ หรือ UAP ที่ถูกรายงานนั้นต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากนักบินกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงานของตัวเอง

เกรฟส์ เตือนว่าหาก ปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้เกี่ยวข้องกับโดรนจากประเทศอื่น ก็นับว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนต่อความมั่นคงของประเทศ แต่หากไม่ใช่ก็เข้าข่ายประเด็นทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งเป็นเรื่องของความปลอดภัยภัยด้านการบิน

อีกคนที่เข้าชี้แจงเรื่องนี้ คือ ‘เดวิด เฟรเวอร์’ (DAVID FRAVOR) อดีตนายทหารระดับผู้บัญชาการของกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่เคยสัมผัสกับปรากฏการณ์ปริศนาด้วยตัวเองเมื่อปี 2004

เฟรเวอร์ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่วัตถุบินที่ไม่สามารถระบุได้เหล่านี้ อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงเพราะมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าสหรัฐฯ มาก โดยสามารถนำไปใช้ที่ไหนก็ได้ ไปที่สถานที่ใดก็ได้ รวมทั้งอวกาศ โดยใช้เวลาขึ้นบินหรือลงจอดไม่กี่วินาที และ จะทำอะไรก็ได้

อย่างไรก็ตาม รายงานที่เปิดเผยโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เมื่อปี 2021 ยืนยันว่า ไม่พบหลักฐานที่เชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้กับวัตถุจากนอกโลก

โดยหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานหลายฉบับเกี่ยวกับการพบเห็นปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้ โดยบางส่วนยังไม่สามารหาคำตอบได้ขณะที่บางส่วนได้ข้อสรุปว่าเป็นสิ่งของหรือสัตว์ เช่น บอลลูน โดรน ถุงพลาสติกที่ถูกลมพัดลอยขึ้นสู่อากาศ หรือ นก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top