Saturday, 27 April 2024
PoliticsTeaTimes

คอนเฟิร์ม 'ประยุทธ์' หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ยังเป็นนายกฯ ส่วนรักษาการนายกฯ ยก 'บิ๊กป้อม' คุม เป็นไปตามลำดับ

>> เปิดไทม์ไลน์ วินิจฉัยวาระปม 8 ปี นายกฯ
เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 65 เวลา 10.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมพิจารณาคดีต่างๆ ตามกำหนดการที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้บรรจุระเบียบวาระไว้ รวมทั้งพิจารณาคำร้องกรณีที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่เข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 เพื่อขอส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสองและมาตรา 158 วรรคสี่ หรือไม่ รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งนายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าจะมีคำสั่ง เนื่องจากเห็นว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน

>> มติศาลรธน. 9 ต่อ 0 รับคำร้อง ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านวินิจฉัยปม 8 ปี
หลังจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องจาก ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน แล้วเห็นว่า กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 วรรคหนึ่ง และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (9) จึงมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 รับคำร้องนี้ไว้พิจารณาวินิจฉัย ***โดยให้ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง***

>> มติศาลรธน. 5 ต่อ 4 สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ของ 'พล.อ.ประยุทธ์'
สำหรับคำขอของผู้ร้องที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัตินายกรัฐมนตรี จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคสองนั้น ทางศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่ามีกรณีตามที่ถูกร้อง จึงมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่  24 ส.ค. 2565 จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย

>> บิ๊กป้อมรักษาการนายกฯ ตามมติ ครม./คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 13 ส.ค. 2563
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องของประธานรัฐสภา ที่ขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าสิ้นสุดในวันที่ 24 ส.ค. 2565 หรือไม่ และมีมติ 5 ต่อ 4 เสียง สั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

'อรรถวิชช์' ถอดรหัสขั้นตอน 'กรณ์' ร่วมงาน 'ชาติพัฒนา' วอน!! รอกระบวนการทางกฎหมาย แล้วจะรู้ว่าไม่มีใครทิ้งใคร

พลันที่ข่าว 'กรณ์ จาติกวณิช' เปิดตัวร่วมทัพทีมเศรษฐกิจกับพรรคชาติพัฒนา ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ก็ทำให้เกิดกระแส 'กรณ์ทิ้งพรรค' กระฉ่อน ไปทั่วยุทธภพ แถมยังหอบหิ้วอดีตรองนายกกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานยุทธศาสตร์ตามไปด้วยให้กระแสสังคมพากันเดือดแบบตามน้ำ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสงสัยในท่าทีครั้งนี้ของนายกรณ์ที่คนในพรรคน่าจะรู้สึกเดือดปุดๆ ที่สุดนั้น ด้านเอ๋ - ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กลับออกมาย้ำชัดว่า ‘กรณ์’ ไม่ทิ้งเพื่อน ทำตรงไปตรงมา ลาออกจากพรรคกล้าไปสมัครชาติพัฒนา โดยมีอดีตรองนายกกอปร์ศักดิ์ ประธานยุทธศาสตร์ตามไปด้วย แต่กฎหมายปัจจุบันห้ามควบรวมพรรค จึงใช้วิธีตามกฎหมายปกติ 

ถอดถ้อยวลีของเอ๋แล้ว กำลังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อย่างยาวนานแบบเชื่อมั่นในพี่ชายคนนี้ ซึ่งเจ้าตัวมักจะบอกกับคนรอบข้างเสมอว่า กรณ์เป็นคนมีความมุ่งมั่น มีความคิดอยากเห็นการเมืองที่ดีขึ้น ขณะที่คนในพรรคกล้าต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน 

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งที่กรณ์จะทำอะไร ก็จะทำอย่างตรงไปตรงมา อย่างกรณีนี้ก็ทำตามกฎหมาย ด้วยการลาออกจากพรรคกล้าและไปสมัครพรรคใหม่ โดยมีท่านอดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าท่านกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ตามไปด้วยนั้น ก็เป็นเพราะกฎหมายปัจจุบันห้ามควบรวมพรรค จึงใช้วิธีตามกฎหมายปกติ...ซึ่งบรรทัดนี้น่าสนใจ

เพราะขณะเดียวกัน เรื่องของการจะรีแบรนด์ ปรับโครงสร้างต่างๆ ในส่วนของชาติพัฒนา เอ๋ก็มองว่า เป็นส่วนของท่านเทวัญ และท่านสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และสมาชิกของพรรคเขา ส่วนตนเองยังสังกัดพรรคกล้า จะไปข้องเกี่ยวไม่ได้ กฎหมายพรรคการเมืองก็ระบุไว้ชัดเจน โดยในส่วนตัวพวกเขา ก็ยังต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการพรรคกล้า เพื่อจัดประชุมใหญ่พรรคในเดือนนี้ให้แล้วเสร็จ

“ที่ผ่านมา พรรคกล้า เรามุ่งเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาพลังงานน้ำมันแพง ค่าไฟแพง และการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชน 13 ล้านบัญชี รวมถึง การเข้าชื่อเสนอกฎหมายร่วมกับภาคประชาชนยกเลิกอำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ ซึ่งคาดว่าจะได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาในสัปดาห์นี้แล้ว ต้องรอติดตาม” ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

ส่วนที่คาดการณ์ว่านายอรรถวิชช์ และผู้บริหารคนอื่น จะทยอยลาออกและไปสังกัดพรรคชาติพัฒนา แล้วจึงมีการปรับโครงสร้าง ปรับแบรนด์ดิ้งในภายหลังนั้น ดร.อรรถวิชช์ กล่าวสั้นๆ ว่า "วันนี้ตนเองยังรักษาการในตำแหน่งเลขาธิการพรรคกล้า ผมไปแทรกแซงเรื่องพรรคเขาไม่ได้ ผมยังมีงานที่ยังค้างอยู่"

'คนช่วยชาติ' กับ 'คนถ่วงชาติ' แบบไหนที่คนไทยต้องการ?

ช่วงนี้เราเห็นภาพการปรับภูมิทัศน์ของประเทศให้แลดูมีระเบียบ สะอาดตา เพื่อต้อนรับผู้นำชาติต่างๆ ที่มาร่วมงาน APEC 2022

ช่วงนี้เราเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ลงมาเตรียมงานเพื่อสร้างความประทับใจในหลายๆ มิติ ตั้งแต่รูปแบบการจัดงาน การเดินทาง อาหารการกินที่พิถีพิถัน การแสดง วัฒนธรรม ที่พัก แหล่งท่องเที่ยว และอีกมากมายเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือน จนนางรีเบคกา สตามาเรีย ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการเอเปค ยังต้องพูดว่านี่มัน 'งานเวิลด์คลาส' ที่ทำให้เอเปคกลายเป็นอีเวนต์ใหญ่ที่โลกต้องจับตา

ช่วงนี้เราได้เห็นเยาวชนไอเดียสร้างสรรค์นำ 'ชะลอม' มาประยุกต์เป็นโลโก้เอเปค ที่ไม่ได้คิดแค่งานเท่ๆ สวยๆ แต่พยายามสะท้อนให้เห็นถึงงานฝีมือ ที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนความสมดุลของวิสัยทัศน์การประชุมฯ ในปีนี้ และปลุกให้ภูมิปัญญาท้องถิ่น หวนคืนมาสู่สำนึกรักษ์ของคนไทยและต่างชาติ

และช่วงนี้เรายังได้เห็นเหล่าเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีความตระหนักในการเชิดชูและผลักดันหน้าตาของประเทศให้มีชื่อเสียงผ่านเวทีนี้ ร่วมผสานใจทำหน้าที่ในมิติต่างๆ เพื่อชื่อเสียงหน้าตาของประเทศ นำเสนอภาพวัฒนธรรมที่ดีงามของประเทศสู่สายตานานาชาติ ซึ่งสุดท้ายแล้วภาพเหล่านี้จะกลับมาเป็นเงินในกระเป๋าของคนทั้งประเทศจากการท่องเที่ยว

ฉายานักการเมืองส่งท้ายปี 65 มาลองตั้งตามธรรมเนียมกันเถอะ

พอถึงใกล้สิ้นปี สื่อมวลชนจะตั้งฉายาให้นักการเมืองอย่างแสบๆ คันๆ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฎิบัติไปแล้ว เรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องล้อกันเล่นสนุก ๆ แต่บางปีก็เล่นกันอย่างถึงพริกถึงขิง ชนิดที่เรียกว่านักการเมืองที่โดนตั้งฉายายิ้มไม่ออกเลยก็มี

นักข่าวกลุ่มแรกที่ตั้งฉายาให้กับแหล่งข่าวคือ นักข่าวสายทำเนียบฯ โดยหากย้อนกลับไปในอดีต นักข่าวทำเนียบฯ มีประเพณีตั้งฉายาให้ผู้นำประเทศ นักการเมือง และคณะรัฐมนตรีติดต่อกันมายาวนานกว่า 30 ปี แถมยังมีการเลือก ‘วาทะแห่งปี’ ซึ่งมาจากวลีเด็ดของนายกรัฐมนตรีในช่วงนั้น ๆ ด้วย

สมัยที่สื่อออนไลน์สื่อโซเชียลยังไม่มี นักข่าวแต่ละสายจะสนิทสนมกันมาก โดยเฉพาะสายทำเนียบ เพราะนั่งออรอข่าวอยู่ในรังนกกระจอก สมัยนั้นสื่อมีไม่กี่ฉบับ แม้บางทีจำชื่อไม่ได้ แต่เห็นหน้าค่าตากันก็ร้องอ๋อทันที โดยระบุอัตลักษณ์จากสื่อที่สังกัด แต่สมัยนี้สื่อมีหลากหลายจนสื่อรุ่นเก่ายืนงง ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

ไหน ๆ เล่าเรื่องอดีตแล้ว บอกตรง ๆ ว่านึกดีใจแทนนักข่าวยุคปัจจุบันมาก แค่มือถือเครื่องเดียวทำได้สารพัดประโยชน์ สมัยก่อนนักข่าวต้องไปพร้อมตากล้อง ซึ่งแบกกล้องพร้อมซูมหลากชนิดในกระเป๋ากล้องใบใหญ่ แต่ถ้านักข่าวคนไหนสามารถถ่ายรูปเองได้ก็ฉายเดี่ยวไป ตอนสัมภาษณ์ต้องใช้เครื่องอัดเทปขนาดกลาง น้ำหนักมาก รุ่นที่ฮิตมากคือพานาโซนิค ซึ่งเจ๊งไปแล้ว อัดเทปคาสเซท เขียนข่าวเสร็จ โทรตามพนักงานรับส่งเอกสารมารับขับกลับสำนักข่าว เพราะสมัยก่อนไม่มีอินเตอร์เนต สมัยนี้การทำข่าวสะดวกสบายกว่าเก่ามาก 

รัฐบาลแรกที่ถูกนักข่าวทำเนียบตั้งฉายาก็คือรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงปี พ.ศ. 2523-2531 ซึ่งครั้งนั้น พลเอกเปรมได้ฉายาว่า ‘เตมีย์ใบ้’ เนื่องจากเป็นนายกฯ ที่มีบุคลิกสุขุม ทำงานหนัก แต่พูดน้อย ด้วยบุคลิกท่านที่มีความเมตตาสูง ทำให้พวกนักข่าวเรียกว่า ‘ป๋าเปรม’ จำได้อย่างแม่นยำว่าปีนั้นวาทะแห่งปีก็คือ ‘กลับบ้านเถอะลูก’ สืบเนื่องมาจากเวลานักข่าวไปดักรอท่านหน้าทำเนียบตอนเย็นๆ ท่านจะบอกว่า “กลับบ้านเถอะลูก” 

พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ได้รับฉายาว่า ‘รัฐบาลเพลย์บอย’ เพราะบุคลิกของพลเอกชาติชายคือทรงเอเป๊ะๆ ลุคเพลย์บอยชัดเจน ต่อมาได้รับอีกฉายาคือ ‘ปลาไหลใส่สเก็ตซ์’ คงพอนึกออกว่าทำไมถึงได้ฉายานั้น 

ส่วนยุคของนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ได้รับฉายาว่า ‘ผู้ดีรัตนโกสินทร์’ 

นายกบรรหาร ศิลปอาชา ได้ฉายาว่า ‘หลงจู๊’ เพราะมีลักษณะการทำงานที่ชอบล้วงลูก พอนึกถึงหลงจู๊แล้วต้องนึกถึง ‘ลูกท้อป’ และ ‘ลูกนา’ นักข่าวรุ่นนั้นเวลาไปทำข่าว บางทีก็ไปรอที่บ้านท่านบรรหาร จึงเห็นทั้ง ‘ลูกนา’ และ ‘ลูกท้อป’ เป็นประจำ แม้จนปัจจุบันเวลาเห็นหน้าท่านรัฐมนตรีวราวุธ ศิลปอาชา นักข่าวอาวุโสส่วนมากยังนึกถึงชื่อ ‘ลูกท้อป’ อยู่นั่นเอง ซึ่งลูกท้อปในวันนี้กลายเป็นรัฐมนตรีที่เก่งกาจฉลาดเฉลียว แถมพูดภาษาอังกฤษแบบบริติชคล่องเปรี๊ยะ

วิบากกรรมกรุงเทพฯ โครงการดีๆ ที่เริ่มถูกลบด้วยเท้า จากคนเคยกล่าว “ถ้าทำไม่ได้ ก็อย่าอาสามาเป็นผู้ว่าฯ”

ไหวมั้ย...ท่านผู้ว่าฯ แต่ชาวประชา ดูท่าจะเริ่มทนไม่ไหว

ในฐานะเป็นคนกรุงเทพมหานครคนหนึ่ง วาดหวังมาตั้งแต่เด็กว่าอยากให้ กทม. มีป่าใจกลางเมือง รวมถึงสวนสาธารณะหลายแห่งกระจายทั่วพื้นที่ เพื่อให้คน กทม. มีพื้นที่สีเขียวไว้ฟอกปอด และพักผ่อนหย่อนใจแทนการอบแอร์ในห้างสรรพสินค้า

เมื่อรัฐบาลนี้ปรับปรุงพื้นที่โรงงานยาสูบเดิม แปลงโฉมให้กลายเป็นสวนเบญจกิติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ จึงดีใจที่สุดว่าจะได้พื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ เพราะนี่ไม่ใช่สมบัติของคน กทม.เท่านั้น หากคือ สมบัติของคนไทยทั้งชาติ

ชื่อสวนเบญจกิติได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จฯ มาทรงทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2547 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสวนป่าเบญจกิติอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งนับว่าสวนป่าเบญจกิติเป็นสวนสาธารณะที่เป็นสวนป่าแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร 

ช่วงแรกกองทัพเข้ามาริเริ่มงาน จากนั้นก็ส่งไม้ต่อให้กรมธนารักษ์ ซึ่งกรมธนารักษ์มอบให้ทางกทม. ดูแล จำได้ว่าตอนที่เปิดสวนเบญจกิติใหม่ ๆ ทุกคนมีความสุขในการได้เข้าไปใช้พื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าความสุขนั้นจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ชื่อ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ได้รับการอวยยศว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก

จากสวนอันแสนสวยงามที่ใคร ๆ กล่าวขวัญถึง กลายเป็นบึงสยองขวัญภายในไม่ทันถึงปี สภาพสวนและบึงน้ำรกเรื้อ ปราศจากการดูแลเอาใจใส่ น้ำแห้งขอดทุกคูรายรอบ ทั้งหญ้าและบัวแห้งตาย กลายเป็นสีน้ำตาลแห้งกรอบ ทำให้ผู้รักสวนสวยถึงกับหัวใจสลาย ด้วยนึกไม่ถึงว่าสภาพจะเลวร้ายขนาดนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากออกมาเรียกร้องให้ผู้ว่าช่วยมาดูแลปรับปรุงด้วย แต่สิ่งที่ได้รับคือท่านผู้ว่าชัชชาติตอบกลับมาว่า ที่นี่ไม่ใช่สนามกอล์ฟ จะได้เขียวสดตลอดปี ดังปรากฏในมติชนออนไลน์  

ประชาชนผู้ทนไม่ไหวถึงแจ้งต่อเพจสวนเบญจกิติ แต่ปรากฏว่าแอดมินผู้ดูแลเพจกลับชี้แจงไปในทำนองเดียวกับท่านผู้ว่าโดยโทษดินฟ้าอากาศ 

ย้อนไทม์ไลน์!! แผนแก้ฝุ่นพิษ 2.5 'พรรคภูมิใจไทย' เปลี่ยนรถเมล์ EV กว่า 1,250 คัน ยังแค่ออเดิร์ฟ!!

สิ่งที่คล้ายหมอก คล้ายควัน ที่กำลังคลุมทั่วท้องฟ้ากรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทยนั้น ใคร ๆ ต่างก็ทราบดีว่ามันคือ ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่กลับมาทุก ๆ ปี และคงไม่ต้องสาธยายว่ามันคือ ต้นเหตุของปัญหาระบบทางเดินหายใจ และต้นเหตุของมะเร็งปอดที่คร่าชีวิตคนไทยไปนับไม่ถ้วน ติด 1 ใน 5 ของโรคที่คร่าชีวิตประชาชนคนไทย 

คำถาม คือ เหตุซ้ำซากเช่นนี้ ทำไมไร้แผนการ ไม่มีแผนระยะยาวเพื่อดูแลเลยหรือ? ถ้าให้ตอบโดยมีฝุ่นพิษในวันนี้เป็นตัวชี้วัด ก็คงตอบว่าใช่ แต่ถ้าจะให้ตอบว่าในอนาคตอันใกล้ อาจจะต้องบอกว่า 'มันกำลังถูกแก้' แบบยั่งยืน โดยเรื่องนี้ ต้องยอมให้กับพรรคภูมิใจไทย ที่ขับเคลื่อนผ่านกระทรวงคมนาคม

เหตุที่กล่าวเช่นนั้นเพราะ...

เท่าที่สำรวจตรวจสอบ พบว่า ขณะนี้การแก้ปัญหาฝุ่นพิษ แบบเอาจริงเอาจังนั้น ทางกระทรวงคมนาคม ที่ได้มีการตั้งด่านสกัดรถบรรทุก รถกระบะควันดำ ควันขาว จากการเผาไหม้ในห้องเครื่องที่ไม่สมบูรณ์ เป็นประจำสม่ำเสมอ ใครทำผิดก็ให้ไปแก้ไข ปรับปรุงสภาพเครื่องยนต์ แต่ไม่มีการรายงานข่าวแม้แต่น้อย ทั้งที่เป็นเรื่องที่จะสร้างจิตสำนึกให้กับคนในชาติ ขณะที่การแก้ปัญหาด้านอื่น ๆ ก็ยังมีความพยายาม  

ขณะเดียวกันในส่วนของรถโดยสารประจำทาง หรือรถเมล์ เป็นส่วนสำคัญ เป็นต้นเหตุของปัญหานี้เช่นกัน เพราะรถเมล์ในเมืองไทยจำนวนหลายพันคันมีอายุหลายสิบปี สภาพเก่าแก่ เครื่องยนต์ทรุดโทรมตามกาลเวลา ปัญหารถเมล์แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ภาครัฐ ที่เป็นของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กับ รถร่วมเอกชน   

เอาในส่วนของภาครัฐ กระทรวงคมนาคม พยายามทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยุค โสภณ ซารัมย์ เป็น รมว.คมนาคม พยายามเสนอเปลี่ยน รถ ขสมก.เป็นรถเมล์พลังงานสะอาด ใช้ก๊าซ NGV แต่ก็ถูกคัดค้านตีตกไปจาก พรรคพวกดีแต่พูด ไม่เคยมีผลงาน

8 ปี ‘ประยุทธ์’ บริหารแบบไม่เอาใจประชาชน แต่ทำที่ทุกคนได้ในผลประโยชน์รวมเชิงประจักษ์

เห็นข่าว ‘บิ๊กตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใส่อารมณ์เล็กๆ ให้ชวนสงสัย กับคำพูดซึ่งได้กล่าวถึงการใช้งบประมาณสำหรับการดูแลประชาชนต่อผู้สื่อข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลว่า…

“ที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณดูแลประชาชนเป็นล้านล้านบาทแล้ว ถือเป็นจำนวนไม่น้อย และเราดูแลเต็มที่แล้ว ถ้าจะเพิ่มงบไปอีก 8 แสนล้านบาทตามที่บางพรรคการเมืองเสนอ ตนไม่ได้พูดว่าพรรคไหน แต่ใครเป็นรัฐบาลไปดูเอาเองแล้วกัน ฝากดูแลเองไปหาเงินเอาเองแล้วกัน”

พลันที่คำพูดนี้เผยออกมา ก็มีการตั้งคำถามว่าพรรคไหน? หรือใครกัน? ที่คิดจะเสนอให้ปันงบก้อนนี้ออกมา ปันมาทำไม? ปันไปใช้เพื่ออะไร?

เพราะหากสะระตะกันดูเล่นๆ เงิน 8 แสนล้านบาท นี่มันก็คือตัวเลข 1 ใน 4 ของปีงบประมาณแผ่นดิน 2566 กันเลยทีเดียวเชียวนะ

แต่ก็อย่างว่าแหละ!! เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะ ณ ห้วงเวลานี้ ในช่วงใบปะพรรคการเมือง เริ่มเกลื่อนเป็นหย่อมๆ ทั่วไทยแลนด์ แสดงให้เห็นถึงการประกาศศักดาของทุกพรรคการเมืองที่พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้ง 

โดยในใบปะเหล่านั้น มิไม่มีเพียงแค่การแนะนำตัวบุคคลหรือพรรค หากแต่เปี่ยมล้นไปด้วยถ้อยคำชวนประชาให้นิยม จากแคนดิเดตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่ต่างรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า “เลือกผมได้แน่” / “เลือกอิชั้นได้มากกว่า” / “เลือกพรรคเรารับรองนโยบายนี้มา” ว่อน!!!

เมื่อหยิบจับสถานการณ์มาปะติดกับคำวาทกรรมเกรี้ยวกราดของ ‘ประยุทธ์’ มันเลยไปสะดุดได้ว่า ‘ทุกผู้-ทุกพรรค’ ที่พร้อมลงหาเสียงเลือกตั้ง ต้องมีเงินถังไว้แต่งแต้มฝันให้นโยบายของตนไปล่าผู้คนในมหาศึกกลยุทธ์ล่าประชานิยมเป็นแน่แท้

ยิ่งไปกว่านั้น หากถอดข้อเขียนของ ‘ลุงเปลวสีเงิน’ เมื่อวันที่ 2 ก.พ.66 ทีผ่านมา ประกบคำพูดของ ‘บิ๊กตู่’ เข้าไปอีก ก็พลันให้ร้องอ๋อ!! ได้แบบมัดแน่น ว่าเหตุใดคำตัดพ้อเช่นนั้นจึงออกจากน้องเล็กแห่ง 3ป. ให้ผู้คนสงสัย

นั่นก็เพราะ หากเหลียวไปมองนโยบายจากแต่ละพรรคที่ใช้หาเสียงกันตอนนี้ ช่างดูแล้วหนักใจ!! เนื่องจากนโยบายแต่ละพรรค ล้วนฟังดูไม่ต่างสลากสรรพคุณยา ประเภท ทาปุ๊บหายปั๊บ-กินปั๊บหายปุ๊บ, ทาผัวหอมถึงเมีย อะไรประมาณนั้น ซึ่งมันไม่ต่าง ‘ยาผีบอก’

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ‘ทุกนโยบาย-ทุกพรรค’ เอาเงิน ‘งบประมาณแผ่นดิน’ มาเป็นสัญญาว่า ‘จะแจก-จะให้’ ทั้งนั้น

ชาวบ้านตอนนี้ เลยเป็นเหมือนแมวหลงกลิ่นปลาย่างทาจมูก ด้วยการเอาเงินแผ่นดินไปตกเบ็ดชาวบ้าน เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว ทั้งๆ ที่เรารู้กันดีใช่มั้ยว่า...ภาษีที่เก็บจากชาวบ้านได้ปีละเท่าไหร่? แล้วมันพอหรือไม่?

ฉะนั้นการที่จะเอางบประมาณแผ่นดินไปทำสวัสดิการทำนองลดแลกแจกแถมชาวบ้านคนละ 3 พัน 4 พัน แถมนั่นฟรี-ฟรีนี่ / น้ำมัน-แก๊ส ก็ต้องถูก / ค่าไฟฟ้า-ค่ารถโดยสาร ก็ต้องถูก / ค่ารักษาพยาบาลก็ต้องฟรี / เฒ่าชแร-แก่ชรา ก็ต้องมีค่าขนม มันก็ยิ่งจะทำให้ไทยใกล้เป็น ‘รัฐสวัสดิการ’ เข้าไปเต็มตัวแล้ว!

คำถาม คือ แต่ละพรรค ต่างออกนโยบาย ‘สัญญาจะให้’ เห็นแล้วหนักใจ (แทนประเทศ) แต่เมื่อเข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไป ‘ปรนเปรอ-แจกจ่าย’ ตามสัญญา?

เลิกพูดไปเลย เรื่อง ‘พัฒนาประเทศ’ เพราะแค่เงินเดือนข้าราชการกับค่ารายจ่ายประจำ งบประมาณแต่ละปี ก็แทบไม่เหลืออยู่แล้ว แล้วนี่ ยังจะแข่งกัน ‘ปล้นเอาเงินอนาคตประเทศ’ ไปตกเบ็ดหาเสียงอีก

ดังนั้นอยากให้ย้อนกลับมามอง ‘ประเทศไทย’ ในยุค 8 ปี ‘ประยุทธ์’ ที่หลายๆ ด้านมันพัฒนา ‘เกินหน้า-เกินตา’ ประเทศเพื่อนบ้านเขาไปเร็วมา เดี๋ยวติดอันดับประเทศคนมาท่องเที่ยวมากที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศน่าอยู่-น่าลงทุนที่สุดบ้างเดี๋ยวเป็นประเทศที่ค่าเงินเสถียรที่สุดบ้าง เดี๋ยวเป็นประเทศที่คนใจดี-น่ารักที่สุดบ้าง เป็นประเทศที่โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและโทรคมนาคม สะดวก-เร็ว ที่สุดบ้าง 

มันดีจนเพื่อนบ้านในอาเซียนเขาเริ่ม ‘มองค้อน’ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเหล่านี้เกิดจากหัวใจนโยบายของผู้นำที่ ‘เข้าถึง-จริงใจ’ ในปรัชญาของมัน เขาจะไม่พล่ามพูด แต่งานที่เขาทำ มันจะพูดเอง

ไม่ใช่การใส่ ‘ประชานิยม’ เพื่อหวังเอาใจประชาชน แต่เลือกทำที่ประชาชนโดยส่วนรวมต้องอยากได้ และได้ในผลประโยชน์รวมเชิงประจักษ์!!

พูดง่ายๆ คือ นโยบายที่ดี บ้านเมืองต้องได้ สังคมต้องได้ ประชาชนต้องได้ และอยู่ร่วมกันได้ โดยไม่เหยียบหัวแม่ตีนกัน ซึ่งนี่คือ เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’

ตี๊ต่าง!! ‘ปิยบุตร’ VS ‘พิธา’ ซัดกันไปมา ยังกะ ‘จูเลียส ซีซาร์’ VS ‘บรูตุส’

ต่อกรณีของ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เปิดวิวาทะกับ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผ่านสมรภูมิเฟซบุ๊ก โดยมีผู้สันทัดกรณีและแฟนคลับของแต่ละฝ่ายเฝ้าติดตามด้วยความระทึกในหัวใจกับศึกสายเลือดครั้งนี้เป็นจำนวนมาก เพราะแม้ ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ ตัวพ่อลงทุนออกโรงหมายหย่าศึกด้วยตนเองแล้ว แต่ดูเหมือนทั้งสองยังไร้ทีท่าจะรามือกันแต่อย่างใด

ผู้ชมริงไซต์บางคนบอกนึกถึง ‘จูเลียส ซีซาร์’ (Julius Caesar) รัฐบุรุษแห่งกรุงโรม กับ ‘มาร์คุส ยูนุส บรูตุส’ (Marcus Junius Brutus) หรือ ‘บรูตุส’ นักการเมืองวัยห้าวชาวโรมัน สองตัวละครระดับตำนาน ‘แทงข้างหลัง’ ที่โลกจารึก

ฝ่ายแรก คือ บุรุษผู้กอบกู้และนำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่โรม แม้ช่วงหลังของการครองบัลลังก์จะถูกมองว่า “...เขาไม่สนใจจารีตเก่า ไม่แม้แต่จะเหลียวมองกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองที่ยังคงอยากรักษาสถานะทางสังคมของพวกเขาเอาไว้ ในยามที่กรุงโรมกำลังอยู่ในสถานการณ์ความวุ่นวาย เขากลับเป็นอำนาจที่ไม่อาจโค่นล้มได้”

ขณะที่คนหลังเป็นนักการเมืองหนุ่ม อนาคตไกล ผู้มีอุดมการณ์ต่างจากซีซาร์คนละขั้ว แต่ยังคงได้รับความเมตตาตลอด เพียงเพราะชื่อ ‘เซอร์วิเลีย’ (Servilia) นางผู้เป็นที่โปรดปรานของซีซาร์ และก็คือมารดาของบรูตุส ดังนั้นสายตาที่มองมายังบรูตุส จึงไม่ต่างจากบิดามองลูกชายตน

เรื่องนี้จบอย่างไรหลายคนทราบดี - ส่วนคนไม่รู้ก็ไปหาอ่านเอาเอง

แต่ประเด็นสำคัญมิได้อยู่ที่ว่า ‘พิธา กับ ปิยบุตร’ หรือ ‘บรูตุส กับ ซีซาร์’ เพราะเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ต้องกล่าวโทษอีกฝ่ายว่า คือ ‘ผู้ผิด’ เสมอ ดังที่ ปิยบุตรพูด (เขียน) ถามถึงพิธาก่อนว่า “...ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?”

ขณะที่พิธาโต้กลับตรง ๆ ว่า ปิยบุตรต้อง “เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” - “เลิกทำตัวไม่เป็นมืออาชีพ” เสียที

สองคนมองเหมือนว่าตนคือซีซาร์ผู้ถูกแทงกลางหลังโดยคมมีดของอีกฝ่าย

และทั้งปิยบุตรกับพิธาก็ถูกมองว่าคือ ‘บรูตุส’ ผ่านสายตาอีกฝั่งเช่นกัน

แต่หากพิเคราะห์ดี ๆ แล้ว เนื้อหาโพสต์เฟซบุ๊กซึ่งตอบโต้กันอย่างเปิดเผยคราวนี้ กลับแทบไม่ต่างจากการชี้หน้าด่ากันกลางตลาด หากเพียงตัดรูปประโยคสวยหรูทว่าแสนรุงรังออกทิ้ง เรื่องทั้งมวลจะเหลือแค่แกนหลักของเรื่อง ซึ่งก็คือ ‘สาวไส้’ ของกันและกันออกมา ‘กอง’ ต่อหน้าสาธารณชนรับรู้ ส่วนคนดู (กา) จะกิน ปรบมือ เป่าปาก โห่ หรือฮา ก็แล้วแต่วิจารณญาณของใครของมัน

ศึกนี้มีที่มา!! หลัง 2 ตัวตึงก้าวไกลใส่กันยับ จนเจ้าของวิกต้องสั่งระงับ 'ห้ามปูด-ห้ามกัด'

ตลอด 2 วันมานี้ กรณีพิพาทระหว่าง 'พิธา-ปิยบุตร' ดุเดือดยิ่งกว่ามวยศึกวันทรงชัย ซัดดุเด็ดเผ็ดพริกยกสวน เมื่อตัวตึงใต้รั้วก้าวไกลอย่างพิธากับปิยบุตรกร้าวใส่กันอย่างหนัก แม้สุดท้ายวันนี้จะจูบปากกันเป็นที่เรียบร้อย

เรื่องนี้อยากขยาย...

บรรดาคนรักพรรคก้าวไกลตาปริบๆ เมื่อท่านหัวหน้าพรรค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กร้าวใส่ท่าน ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล เต็มคาราเบล ว่าให้เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำได้แล้ว ส่วนปิยบุตรก็ฟาดกลับด้วยความแรงพอกันว่า พิธานั้นเอาดีใส่ตัว แต่เอาชั่วใส่ปิยบุตร แถมพูดขาวดำเป็นดำ พูดดำเป็นขาว

ก่อนหน้านี้ไม่นาน ปิยบุตรเปิดเกมว่า กระแสพรรคก้าวไกลไม่ไกลไปกว่านี้ มีแต่จะเกาะเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เพราะยุทธศาสตร์การนำพรรคในปัจจุบัน คิดว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้พิธาคันคะเยอจนฟาดใส่ไม่ยั้ง

แต่พิธาก็สมฐานะนายโรงลิเก ที่ก่อนจะด่าต้องโหมโรงด้วยคำหวานโอ้โลม ท้าวความหลังครั้งหวานชื่นเราสามคนที่มี ธนาธร, ปิยบุตร และ พิธา เป็นแกนนำพรรคอนาคตใหม่ พอพูดหวานจบ ก็ตบปากใครบางคนทันทีว่า ในฐานะผู้นำพรรคย่อมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้ ตัวเองโดนมาตลอดสามปีที่เป็นหัวหน้าพรรค เข้าใจว่านี่เป็นอิสรภาพในการแสดงออก แล้วลำเลิกว่า ตนมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่พรรคไม่มีใคร

จากนั้นร่ายยาวว่าปิยบุตรต้องเลิกทำตัวมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ และต้องทำตัวเป็นมืออาชีพ 

ตรงนี้ป้าบเข้าให้!! เหมือนกระทืบกลางใจท่าน ดร. เพราะการถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นมืออาชีพ คือสิ่งที่ ปิยบุตรทนไม่ได้ มันเป็นการกระแทกจุดอ่อนแบบเต็มทีน ซ้ำพิธา ก็ยังย้ำอีกว่า ปิยบุตรควรทำตามที่ธนาธรเคยขอไว้ ฮั่นแน่...มีกั๊ก มีความลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพราะประโยคนี้แปลได้ว่า มีเรื่องลับอันเป็นพันธะสัญญาของธนาธร ปิยบุตร และพิธา ที่คนนอกไม่รู้นั่นเอง

พิธาปิดท้ายฝากถึงปิยบุตรว่า ขอให้ตนเองมีสมาธิในการทำงานให้พรรค แปลไทยเป็นไทยคือ ไม่เผือกนะครับ ขอให้พอได้แล้ว ชะเอิงเอิงเอย บัดนั้น เชิด!!

คาดว่าปิยบุตรอ่านเจอก็หัวร้อน เพราะพิธาแท็กไปหา เลยตะบึงแล่นเข้ามาตอบในเพจพิธาแบบจัดเต็ม 

แน่นอนว่าปิยบุตรเมนต์ยาวเหยียดตามสไตล์ โดยมีใจความเด็ดกล่าวหาพิธาปังๆ ว่า กำลังเอาดีเข้าตัว แต่เอาชั่วเข้าปิยบุตร แล้วร่ายยาวด่ากระทบจิกกัดตามธรรมชาตินิสัยของปิยบุตรเหมือนผ่านมา ชื่อหลวงประดิษฐ์วาทกรรมไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะจ๊ะ     

แต่สำนวนโวหารคุณหลวงประดิษฐ์วาทกรรมไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ไม่เชื่อดูที่ปิยบุตรฟาดพิธากลับสิว่า ใครกันแน่ที่จับเสือมือเปล่า ใครกันแน่ที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ นั่นไง...มาแล้วตั้งสองสำนวน นี่ขนาดยังไม่เขียนชี้แจงนะ

ยี่ห้อปิยบุตรย่อมสุดฝีทีนเสมอ จิกกัดแซะทุกประโยค เช่น จิกพิธาว่าใจเสาะ พิธาน่ารังเกียจที่เขียนดำเป็นขาวขาวเป็นดำ กล่าวหาปิยบุตรว่าเป็นคนทำลายพรรค  แต่ตัวเองเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมากอบกู้พรรค อะไรประมาณนั้น
 
เรื่องนี้ร้อนถึงทนายหน้าหออย่างโรม อุตส่าห์ลงจากเหล่าเต๊งมาปกป้องลูกพี่ปิยบุตร ด้วยการพูดหล่อออกสื่อ แก้ตัวแทนว่า พรรคเราไม่มีความขัดแย้งกัน ไปตัดแว่นใหม่เถอะ โรม ไปห้างแว่นท็อป (บู้ต) เจริญก็ได้ มองลงมาจากดาวอังคารยังเห็นรอยร้าวในพรรคเลย 

นี่ยังไม่นับบรรดาคนเทพรรคก้าวไกลที่ออกมาแฉรัว ๆ ก่อนหน้านี้อีกเพียบ เพราะวันนี้ระดับตัวตึงพรรคชี้หน้าด่ากันแบบไม่เผาผี ยังกล้าพูดอีกเหรอว่าไม่มีความขัดแย้ง ว่าง ๆ โทรหาคริส ตัวท็อปอีกรายที่เพิ่งเทก้าวไกลบ้างเถอะ จะได้เลิกเพ้อเจ้อ เพราะพอเกิดปมขัดแย้ง คริส ยังออกมาแฉต่อเลยว่าวัฒนธรรมการซุกปัญหาใต้พรม ไม่ใช่ส่วนผสมของประชาธิปไตย วะว้าว...เท่านี้ก็เปิดไพ่ชัดแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในพรรค

จริงๆ ปมขัดแย้งคุกรุ่นมาตั้งแต่ปีกลาย ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ฝีเพิ่งมาแตกเอาตอนนี้เอง...อย่างเมื่อกลางปี 2022 ปิยบุตร ประกาศปังดังลั่นว่า จะเขียนบทความยาวเป็นซีรีส์ที่เป็นข้อเสนอแนะไปถึงพรรคก้าวไกล...พอปลายปีก็เขียนตำหนิพรรคก้าวไกลว่า ไม่จริงใจในการแก้มาตรา 112 ตกลงว่าพรรคอยากแก้ ม.112 อย่างแท้จริงหรือว่าแค่ยกประเด็นมาเพื่อหาเสียงเท่านั้น...ตอนสิ้นปี ปิยบุตรเขียนบอกโลกว่า จากนี้ไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลแล้ว เพราะอึดอัด พรรคนี้ไม่เปิดพื้นที่ให้ตัวเองได้ใช้สมอง แล้วย้ำว่าระวังคนจะเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย 

‘ไทยสร้างไทย’ ตามรอย ‘ชัยวุฒิ’ หนุน!! บุหรี่ไฟฟ้าถูกกม.ตามกระแสโลก

วันนี้สังคมมุมหนึ่งมีการคัดค้านต้านบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย แต่สังคมอีกมุมหนึ่งก็มองว่าควรผลักดันให้ถูกให้ควร เพราะมวลสารแห่งสาระสำคัญ มีผลประโยชน์ต่อองค์กรรวมมากกว่าผลเสีย

จากรายงานเรื่อง E-cigarettes: an evidence update จัดทำโดยกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่าผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไป ส่งผลกระทบด้านสุขภาพน้อยกว่าบุหรี่ทั่วไปร้อยละ 95 พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเนื่องจากมีหลักฐานผู้เลิกบุหรี่ได้ในกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในอัตราที่สูง

นั่นคือผลดีในเชิงของสุขภาพที่ถูกนำมาตีแผ่ แม้จะมีข้อมูลอีกฟากฝั่งที่มักมองว่า บุหรี่ไฟฟ้า ก็ยังเป็นควันภัยที่ยากเกินจะยอมรับ และแฝงด้วยโทษในเชิงวิทยาศาสตร์มากกว่าบุหรี่มวนทั่วไปเสียอีก

กระแสอันร้อนแรงระหว่างกลุ่มสนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย และผู้ต่อต้านแรงขึ้น นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เดินหน้าหนุนดึงบุหรี่ไฟฟ้าเข้าระบบให้เป็นสินค้าที่มีกฎหมายควบคุม เพราะมองผลระยะยาวในเชิงที่สามารถลดอันตรายให้กับนักสูบที่ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ ช่วยเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบมีช่องทางรายได้ใหม่จากการป้อนผลผลิตให้โรงงานผลิตบุหรี่ไฟฟ้า อีกทั้งปิดช่องภาษีรั่วไหลจากการลักลอบนำเข้า

“เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างศึกษาข้อกฎหมายเพื่อดึงบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาอยู่ในระบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยกำลังดูว่ามีประเด็นติดขัดเรื่องอะไรบ้าง เนื่องจากมองว่าหากทำให้เป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายได้จะสามารถลดอันตรายให้กับผู้สูบ เพราะบางคนไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้ แม้จะมีการรณรงค์ให้คนเลิกสูบบุหรี่มาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันยังมีจำนวนผู้สูบบุหรี่อีกเกือบ10 ล้านคน” นายชัยวุฒิกล่าว

รัฐมนตรีดีอีเอส กล่าวอีกว่า “ตอนนี้ผมจะรวบรวมข้อมูล นำไปประสานผู้เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและทบทวนแนวคิด หาแนวทางขับเคลื่อนเพื่อทำให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องถูกกฎหมาย เพราะปัจจุบันทั้ง อย.สหรัฐฯ อังกฤษ และญี่ปุ่น ยอมรับให้ใช้แล้ว ดังนั้นเราต้องไปศึกษาต่อไปว่าข้อติดขัดอยู่ที่ภาคส่วนใด อย่างเช่น ในเรื่องใบอนุญาตให้ใช้ การขาย การผลิต เพราะจากที่ศึกษาเบื้องต้นในแง่กฎหมายน่าจะใช้ พ.ร.บ.ยาสูบฯ ควบคุมให้เข้ามาอยู่ในระบบได้อยู่แล้ว คงต้องมีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาทำงานเรื่องนี้โดยเฉพาะ”

สำหรับเหตุผลที่สนับสนุนบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย เพราะเครื่องยาสูบที่เป็นไฟฟ้าถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ ปัจจุบัน 67 ประเทศทั่วโลกมีการยอมรับบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว โดยเฉพาะประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, จีน แม้แต่มาเลเซีย เพราะถือว่าเป็นยาสูบที่มีความอันตรายน้อยกว่าบุหรี่จริง โดยบุหรี่ไฟฟ้าจะมีสารพิษน้อยกว่า ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่เป็นที่ยอมรับ

“หลายประเทศยอมรับว่า หากเรามีบุหรี่ไฟฟ้าจะสามารถลดอันตรายต่อสุขภาพของประชาชนได้มากกว่า เรื่องนี้ผมขอศึกษาข้อกฎหมายก่อน นอกจากนี้ ปัจจุบันทราบว่าโรงงานยาสูบและผู้ปลูกยาสูบเองก็มีรายได้ลดลง เนื่องจากคนนิยมไปสูบบุหรี่นำเข้า หรือบุหรี่ที่ลักลอบนำเข้ามา ดังนั้น ถ้าเราสามารถเอายาสูบที่ปลูกในประเทศมาผลิตบุหรี่ไฟฟ้าได้ จะสามารถแก้ปัญหาให้กับโรงงานยาสูบและเกษตรกรได้ รวมทั้งส่งออกได้ด้วย” นายชัยวุฒิกล่าว

พร้อมทั้งย้ำว่า การดึงสินค้าในกลุ่มบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาอยู่ในระบบ เป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้กฎหมายนั้น อยู่ที่ว่าประเทศไทยและผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง จะสามารถปรับตัวตามเทคโนโลยีได้มากน้อยแค่ไหน เพราะปัจจุบันสินค้านี้มีขายกันใต้ดินและทางออนไลน์ 

ดังนั้นถ้าไม่ปรับตัวตามเทคโนโลยีก็จะเกิดปัญหาภายในประเทศ และเสียหายในอนาคตได้ ทั้งในเรื่องการลักลอบจำหน่าย การสูญเสียรายได้จากภาษี การสูญเสียโอกาสและกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบชาวไทยและการลดผลกระทบต่อสุขภาพของนักสูบชาวไทยที่ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้

ในขณะที่นโยบายการสนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายโดยรัฐมนตรีดีอีเอสเริ่มกระจายเป็นข่าวใหญ่ ด้าน นายเจตุบัญชา อำรุงจิตชัย รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย ก็ดูเหมือนจะหยิบยกกรณีบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ออกมาร่วมตีแผ่ด้วยเช่นกัน 

“แม้จะมีการระบุเรื่องการห้ามจำหน่ายและนำเข้าก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติจะพบว่าเมื่อเดินไปตามแหล่งท่องเที่ยวก็ยังคงมีวางขายกันอย่างเปิดเผย และปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้มีตำรวจเรียกรับผลประโยชน์กับพ่อค้าแม่ค้าแลกกับการ มองข้ามในเรื่องเหล่านี้ ถ้าผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังนิ่งเฉย ไม่ยอมปรับแก้กฎหมายให้สามารถขายได้ ประเทศจะสูญเสียรายได้แทนที่จะเก็บภาษีเกี่ยวกับธุรกิจนี้ได้ถูกต้อง กลับการเป็นการจ่ายใต้โต๊ะให้คนไม่กี่คนที่มีอำนาจจับกุม สุดท้ายเงินก็กลายเป็นส่วยใต้โต๊ะที่ไม่จบสิ้นอยู่ดี”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top