Sunday, 28 April 2024
PoliticsTeaTimes

‘แรมโบ้’ ซัดกลับ ‘โฆษกเพื่อไทย’ กรณีวิจารณ์ ‘บิ๊กตู่’ บริหารประเทศ 7 ปี สู้ ประธานาธิบดีไบเดน ทำวันเดียวไม่ได้ ชี้วิจารณ์ไม่ดูวีรกรรม ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ โคตรโกง สร้างความเสียหายให้ประเทศมูลค่าหลายล้านล้านบาท

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ดร.อรุณี กายานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี 7ปี สู้ โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ทำวันเดียวไม่ได้ ว่า อยากให้พรรคเพื่อไทย ย้อนกลับไปว่า นับตั้งแต่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำอะไรบ้าง

"อย่าว่าแต่แค่คำสั่งที่มิชอบที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เคยทำเอาไว้เลย พล.อ.ประยุทธ์ มาล้างโครงการโคตรโกงที่รัฐบาล 2 พี่น้องเคยทำเอาไว้มากมาย และยังมีผลงานโปรเจคในรัฐบาลนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย  แต่ไม่เคยมีข่าวทุจริตเรื่องการเรียกเก็บสินบนใต้โต๊ะเหมือนในสมัยรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เหมือนในอดีตยุคของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ปล่อยให้ เจ้ ด.เข้ามาสั่งการทุกเรื่อง"

“พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้ความสามารถหาเงินใช้หนี้แทนหลายโครงการ อาทิ โครงการจำนำข้าว ที่ต้องหาเงินมาช่วยชาวนาหลังจากเจ๊ ด. หอบเงินแสนล้านหนีไปสมทบพี่ชาย น้องสาวในต่างประเทศ ไปเสวยสุขกันที่นั่น ปล่อยให้ลิ่วล้อติดคุกติดตะราง กันจนทุกวันนี้ คนไทยไม่มีวันลืมได้ลง และเจ็บปวดหัวใจที่สุด"

นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า "ยังไม่หมดเท่านี้ โครงการโคตรโกงที่ศาลตัดสินแล้ว คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 7 ปีไม่มีผลงาน และไม่ได้ทำอะไร หัดใช้สมองไตร่ตรองดูหน่อย ถ้าทำดีไม่โกง จะหนีหัวซุกหัวซุนไปทำไม แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครทำไม่ดีพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษ จะไม่มีแผ่นดินอยู่ จะถูกคนไทยตราหน้าว่าทรราชย์ หากพรรคเพื่อไทยยังสนับสนุนทรราชย์ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมุนของทรราชย์ เช่นเดียวกัน"

“ถ้าคิดจะเอาการแก้ปัญหาโควิด-19 มาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะทั้งโลกเขายกย่อง องค์การอนามัยโลก ก็ยกย่องประเทศไทย ในการเอาชนะโควิด ฉะนั้นพรรคเพื่อไทย กรุณาตรวจสอบข่าวด้วยอย่าพูดพล่อยๆ พูดมั่วๆ “

 "โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังอ่อนหัดพรรษาทางการเมือง จะพูดจาอะไรระวังเข้าตัว พรรคจะเสียหาย เอาสมองส่วนไหนมามาคิด หน้าก็ดูสวยดี แต่สมองกลับบูดเบี้ยวตรงกันข้ามกับใบหน้ามาก เอาอะไรมาพูด ประธานาธิบดีโจไบเดนเพิ่งเข้ามา 1 วันจะมีผลงานมากกว่าได้อย่างไร เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่ทุเรศไร้สาระมาก ๆ ความคิดต่ำกว่าเด็กอนุบาลเสียอีก"

"พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมา7ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เรื่องการโกง หรือทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนกับคู่อดีตนายกฯสองพี่น้องของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ จากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทย จนร่ำรวย สุดท้ายหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศ เห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนไทยที่สุด อย่างนี้เรียกว่า มีผลงานขี้โกงใช่ไหม ทำไมโฆษกสมองเด็กอนุบาลเช่นน.ส.อรุณี ไม่นำมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบบ้าง" นายสุภรณ์ กล่าว

 

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณและเป็นกำลังให้ บุคลากรการแพทย์-ทุกภาคส่วน ที่เสียสละ ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและเป็นกำลังให้คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2563 ซึ่งหลายภาคส่วนได้เสียสละทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะควบสถานการณ์ได้ทั้งหมดและการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักของทุกองคาพยพ และความร่วมมือของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังฝากให้ทุกคนทำงานด้วยความระวัดระวัง อย่าประมาท เน้นความปลอดภัยทั้งตนเองและส่วนรวม รัฐบาลพร้อมสนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น การงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง งดการรวมกลุ่ม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ฯลฯ และขอบคุณประชาชนที่ให้ความมือเป็นอย่างดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆตามลำดับ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

 

 

‘ธนกร’ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ รับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจได้สบาย ติงฝ่ายค้าน อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อนจากโควิด-19 เชื่อชาวบ้านสนใจให้รัฐช่วยแก้ปัญหาปากท้องมากกว่า พร้อมดักคออย่าฉายหนังม้วนเก่า

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการยื่นอภิปรายไม่วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะที่ผ่านมามั่นใจว่ารัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความตั้งใจที่จะทำงานให้กับประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย เป็นรูปธรรมชัดเจนประชาชนจับต้องได้

การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายในครั้งนี้ส่วนตัวมองว่าอาจจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก เนื่องจากขณะนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤตโควิด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในหลายๆ ด้าน รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่เพื่อให้ประเทศผ่านวิกฤติในครั้งนี้

นายธนกร กล่าวอีกว่า การใช้เวทีสภาฯ ตรวจสอบรัฐบาลเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จะเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ประชาชนก็เฝ้ามองอยู่ เพราะเท่าที่ตนทราบการอภิปรายในครั้งนี้ไม่ได้มีข้อมูลใหม่อะไร เท่าที่โหมโรงมาก็เป็นเรื่องเก่า เกรงว่าประชาชนจะเบื่อหน่าย ยิ่งถ้าเอาเรื่องความล้มเหลวของการบริหารโควิด-19มาอภิปรายก็คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลบริหารจัดการได้ดีจนทั่วโลกชื่นชม

ส่วนการระบาดระลอกใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ก็บริหารจัดการจนสถานการณ์ผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ และประชาชนชื่นชมที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ อย่างน้อยก็สามารถผ่อนคลายความเดือดร้อนไปได้บ้าง เศรษฐกิจก็ไม่ได้แย่มาก อย่างไรก็ตาม เห็นพรรคร่วมฝ่ายค้านจุดพลุว่าดุเดือดเลือดพล่าน แต่คงเหมือนฉายหนังเก่า ประชาชนเดาได้ว่าตอนจบไม่มีอะไรใหม่ ระวังพระเอกตายตอนจบ

ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่องเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาล จึงไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้ฝ่ายค้านใช้วาทกรรมหรือข้อมูลเท็จโจมตีรัฐบาล เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์ อยากให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์

‘เพื่อไทย’ อัดกลับ ‘แรมโบ้’ ชี้ ‘บิ๊กตู่’ คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯในอดีต ซัดเลิกโทษรัฐบาลอื่น กลบเกลื่อนผลงานไร้ประสิทธิภาพตลอด 7 ปีที่ผ่านมา  

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาพาดพิง รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างหนี้ให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาตามใช้ว่า ความจริงประเด็นที่ถกแถลงกัน คือ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ 7 ปีไร้ประสิทธิภาพ สู้โจ ไบเดนที่ทำงาน 1 วันไม่ได้นั้นจริงหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่แต่ละฝ่ายจะให้ความเห็นที่แตกต่างกันกับประชาชนได้ แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์ จ้องแต่จะโยนความไร้ประสิทธิภาพทั้งหมดใน 7 ปีของระบอบประยุทธ์ ว่า เป็นเพราะ 2 อดีตนายกฯ อยู่ร่ำไป พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20,824,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นับจากวันที่ยึดอำนาจและเข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 และได้จัดทำงบประมาณแผ่นดินมา 7 ปี แต่น่าแปลกใจที่เงินจำนวนมหาศาลนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้น้อยมาก เพียง 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯ และอาจต้องใช้เวลายาวนานถึง 70 ปี จึงชำระหนี้ที่รัฐบาลประยุทธ์ก่อไว้ในช่วง 7 ปีคืนได้หมด เวลา 7 ปีนานเกินกว่าที่พล.อ.ประยุทธ์ จะหันหลังกลับไปโทษรัฐบาลใดได้ เครือข่ายระบอบประยุทธ์จะอธิบายว่าไม่ไร้ประสิทธิภาพอย่างไร ก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การโยนความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพทุกเรื่องว่าเป็นเพราะรัฐบาลเก่า ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการบริหารราชการแผ่นดินมา 7 ปี ฟังไม่ได้ ถือเป็นการอธิบายเกินจากกรอบของเรื่องไปมาก

“นายสุภรณ์มักใช้วิธีด่านายเก่า เพื่อเอาใจนายใหม่ ให้ตัวเองได้ดิบได้ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ขอให้รับรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่คนไทยรับไม่ได้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ใช้ผ้าขี้ริ้วสกปรกมาถูพื้น จะหวังให้พื้นสะอาดได้อย่างไร อย่าขจัดคราบสกปรก ด้วยสิ่งปฏิกูล มีข้อเท็จจริงอะไรก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การใช้คนต้นทุนติดลบมาอยู่ใกล้ตัว คอยแก้ต่างให้ มีแต่จะทำให้ตัวพล.อ.ประยุทธ์มอมแมมไปด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว

 

ซูเปอร์โพล ชี้ ประชาชน 97% เห็นด้วย ‘พุทธิพงษ์’ แจ้งความเอาผิด ‘ธนาธร’ ม.112 ระบุเพื่อปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ พร้อมยับยั้งขบวนการสร้างข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112 กรณี ศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,807 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21 – 24 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงความเห็นต่อ กรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แจ้งความดำเนินคดี นายธนาธรฯ และคนอื่นๆ ในขบวนการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 2.6 ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องใช้สิทธิตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชน ไม่ใช่เรื่องการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.0 เห็นด้วยว่า เป็นเรื่องสิทธิของแต่ละคนตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชนมากกว่า ไม่ใช่เรื่องการเมือง ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.0 ไม่เห็นด้วย

ที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 พอใจ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่ร้อยละ 2.3 ไม่พอใจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.4 สนับสนุนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดการกวาดให้เรียบ ขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดคุกคามในหลวงและทุกพระองค์ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่เพียงร้อยละ 1.6 ไม่สนับสนุน

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.0 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุดที่คนในชาติจะแตกแยกมากขึ้น ถ้าปล่อยให้มีการล่วงละเมิด จาบจ้วง คุกคามในหลวงและทุกพระองค์ ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 14.3 ระบุเป็นไปได้ปานกลาง และร้อยละ 10.7 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยถึงเป็นไปไม่ได้เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112” ในผลโพลครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงฯ กำลังทำตามความคาดหวังและการสนับสนุนของประชาชนในการออกมาปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ เพื่อยับยั้งขบวนการที่ใช้ข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบันหลักของชาติหรือทำให้สั่นคลอนและสร้างความแตกแยกของคนในชาติ

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค

นายขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขออภัยพี่น้องประชาชนหากผมโหวตสวนมติพรรค และชาวศรีราชา กระผมนาย ขวัญเลิศ พานิชมาท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี ต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ที่กระผมต้องทำการขออนุญาตใช้เอกสิทธิ์สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับมาจากการที่พี่น้องประชาชนชาวศรีราชา ได้เลือกกระผมในฐานะตัวแทนผู้สมัครรับเลือกในนามพรรคอนาคตใหม่

กระผมขออนุญาตไม่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 ตามมติพรรค (หรือพูดง่ายๆ สวนมติพรรค) ซึ่งกระผมยอมรับผลการลงโทษและการคาดโทษจากทางพรรคที่จะตามมา และพร้อมน้อมรับคำวิจารณ์จากพี่น้องประชาชนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ทุกท่าน กระผมไม่สามารถลงชื่อญัตตินี้ ซึ่งเป็นมติพรรคได้เพราะขัดกับหลักการส่วนตัว

พรรคอนาคตใหม่ หรือ ก้าวไกลเป็นพรรคที่ดีและมีอุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ส่วนตัวผมทำงานในพื้นที่ควบคู่กันไป ผมมีความต้องการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ ห่วงใยปากท้องชาวบ้าน จึงอาจไม่มีบทบาทมากนักในสภา สุดท้ายนี้กระผมไม่เคยลืมตัว และยังสำนึกในพระคุณของพรรครวมถึงพี่น้องประชาชน ที่ได้ให้โอกาสกระผมมาทำหน้าที่ตรงนี้ครับ

นอกจากนี้ยังโพสต์อีกเรื่องคือการประชาสัมพันธ์ รถพระราชทานตรวจหาเชื้อชีวนิรภัย ให้บริการตรวจเชิงรุกฟรีแก่ประชาชน ใน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.- 2 ก.พ. อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สดผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ในช่วงเช้าวันที่ 28 ม.ค. ตอนหนึ่งจุดยืนส.ส.พรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังมีชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยนายคารมประกาศไม่เซ็นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมระบุว่าความเห็นของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ไม่ใช่ความเห็นของตน ส่วนจุดยืนของพรรคก้าวไกลบางเรื่องก็ไม่ใช่จุดยืนของตน

"บอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ผมเป็นตัวของตัวเอง อายุเยอะแล้ว ผมรู้ว่าสถาบันบางสถาบัน ท่านก็ Disrupt อยู่ พัฒนาการทางการเมืองของน้อง ๆ เป็นสิทธิเสรีภาพ ใครทำอะไรก็ทำไป แต่ใครทำอะไรต้องรับผิดชอบ การเมืองก็เหมือนอาหาร ใครชอบกินอะไรก็กินไป จะมาบอกว่าอยู่บริษัทเดียวกันแล้วชอบเหมือนกันไม่ได้" คารม กล่าว

เมื่อถามว่าในขณะที่มี ส.ส. ก้าวไกล ลงชื่อขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แต่เวลาเดียวกันก็กำลังเสนอชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 คารมกล่าวว่า "ผมไม่เซ็นครับ บอกผ่านสื่อเลยครับผมไม่เซ็น ไม่ทราบคนอื่นเซ็นหรือไม่ แต่ผมไม่เซ็นแล้วมาบังคับผมไม่ได้ด้วย ผมเคยงดออกเสียงในเรื่องกฎหมายโอนอัตรากำลังพล แต่เมื่อพรรคมีมติผมก็มีมารยาท ผมรู้กติกา ผมรู้ระดับของความรุนแรง ผมจะตอบคำถามอย่างไร ผมมาสาบานตน ผมอ่านรัฐธรรมนูญผมก็เข้าใจ แล้วผมมาเซ็นแก้มาตรา 112 ความคิดในทางกฎหมายผมก็มีความรู้อยู่บ้างว่ามุมมองอะไรอย่างไร แต่สรุปว่าผมไม่เซ็น"


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/91293

‘ทักษิณ - มินอ่องหล่าย’ รู้จักกันเป็นอย่างดี!! เปิดปมสัมพันธ์ (ไม่) ลับ ที่จับแต่ผลประโยชน์ทางธุรกิจล้วนๆ

เปิดสัมพันธ์ ‘ทักษิณ’ นักโทษหนีคดี กับ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ผู้ทำรัฐประหารเมียนมา พบลึกซึ้งตั้งแต่ยุค ‘ยิ่งลักษณ์’ เป็นนายกฯ สนิทถึงขั้นเรียก ‘ไอ้’ ได้ในคลิปถั่งเช่าฉาว และสามารถบุกไปดูโครงการท่าเรือทวาย พักบ้านหรูเชิงเขามัณฑะเลย์ ก่อนจะยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ แถมสุดท้ายได้บ่อน้ำมันสมใจ หลังเคยปล่อยเงินกู้ 4 พันล้าน ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน ในยุคตัวเองเป็นผู้นำ จนถูกตัดสิน 3 ปี และหนีคดี

หลังเกิดเหตุรัฐประหาร ยึดอำนาจในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา นำโดย ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา ที่อยู่ในอำนาจ มานานถึง 10 ปี ด้วยวัย 64 ปี เข้าทำการยึดอำนาจจากนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียนมา และประธานาธิบดีวิน มินต์ พร้อมกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี เพื่อจัดระเบียบต่างๆ ก่อนจะให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น ชื่อของ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ ก็โดดเด้งขึ้นมาในสายตาของใครหลายๆ คน

สำหรับ ‘พล.อ.มิน อ่อง หล่าย’ นั้นปรากฎพบชัดว่ามีความสนิทชิดเชื้อกับประเทศไทยในหลายมิติ โดย เพจ ‘Wassana Nanuam’ ของน.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุว่า พล.อ.มิน อ่อง หล่าย มาเยือนไทยหลายครั้ง อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพื่อมาประชุม GBC คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-เมียนมา ในฐานะแขกของผบ.ทหารสูงสุดของไทย และก่อนหน้านี้ เมื่อมาไทย ก็มักจะไปพบกับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ โดยมีความสนิทสนมกันมากถึงกับ ขอเป็นลูกบุญธรรมพล.อ.เปรม เพราะรู้สึกว่า เหมือนพ่อของตนเอง เนื่องจากพล.อ.เปรมอายุห่างจากพ่อของพล.อ.มิน อ่อง หล่าย เพียง 1 ปี กระทั่งพล.อ.เปรม ถึงแก่กรรม พล.อ.มิ่น อ่อง หล่าย ก็ยังเดินทางมาเคารพศพ ที่วัดเบญจมบพิตร และไปลงนาม ที่วังสราญรมย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม ในโลกออนไลน์ กลับมีเรื่องที่น่าสนใจหนึ่ง โดยมีการขุดคุ้ยความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา และหัวหน้าคณะรัฐประหาร กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หนีคดีของไทย โดยนำ ‘คลิปถั่งเช่า’ ในอดีตที่โด่งดัง เมื่อปี 2556 ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ มาถอดความ ซึ่งในนั้นมีเสียงสนทนาของชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม (ในขณะนั้น) กับนายทักษิณ ชินวัตร

ช่วงหนึ่งในคลิปถั่งเช่านี้ มีการพูดถึงคนชื่อ ‘มิน อ่อง หล่าย’ ว่า “…เรื่องของพม่า ผมบอกกับนายกฯ ไปแล้วนะครับบอกว่าใช้ ‘ผบ.สูงสุด’ ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเลย เพราะ “ไอ้มิน อ่อง หล่าย” ซึ่งเป็น ผบ.สูงสุด ของพม่า มันเป็นมือหนึ่งของท่านประธานาธิบดีเต็งเส่งเลย แล้ว ‘เต็งเส่ง’ ให้ความเกรงใจมากที่สุด และทีนี้ ‘ไอ้ผบ.สูงสุด’ เขากับ ‘ผบ.สูงสุดไทย’ นี่ มันมาเป็นเคาน์เตอร์พาร์ตกัน ผลัดกันกินข้าวคนละเดือน คนละเดือน เพราะฉะนั้นถ้าจะบีบอะไรเรื่อง ‘ทวาย’ นายกฯ เรียกผบ.สูงสุดมาใช้ได้อีกงานหนึ่ง เป็นงานต่างประเทศ

ชายที่เสียงคล้ายนายทักษิณ กล่าวตอบหลายประโยคที่สะท้อนถึงความแนบแน่นว่า “ผมก็ไปสงกรานต์กับมัน กับ ไอ้เนี่ย ผบ.สูงสุด!! … พวกผมทั้งนั้นแหละ มันยกที่ให้ผมแปลงนึง ใจกลางเมืองย่างกุ้ง

ชายที่เสียงคล้ายพล.อ.ศศิประภา ตอบว่า “ไอ้นี่ต้องเอาไว้นะครับ ถ้าได้ พม่านี่เสร็จเราหมดเลย ต้องเอาให้ได้ … ไอ้มิน อ่อง หล่าย และไอ้รัฐมนตรีกีฬากับโฮเต็ลอีกคนหนึ่ง ไอ้นี่ก็มหาศาลเหมือนกันนะ ผมจะเรียกให้มาพบท่าน มันสร้างทำเนียบรัฐบาลให้ประธานาธิบดี มันสร้างรัฐสภาให้ ขณะนี้มันกำลังสร้าง Sport Complex ให้ มันรวยมหาศาลเลย เจ้าของบ่อหยก

อีกด้านหนึ่ง เพจ Dr.X ได้แฉถึงสายสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย กับ นายทักษิณ ชินวัตร โดยอธิบายว่า…”ย้อนดูข่าวช่วงปี 2556 พบว่า นายทักษิณเดินทางเข้าพม่า 2 ครั้ง ครั้งแรก…เดือนมีนาคม 2556 และ ช่วงสงกรานต์ปี 2556 โดยในเดือนมีนาคม 2556 สำนักข่าวประเทศพม่า Eleven media group รายงานว่า นายทักษิณเดินทางไปที่เมืองทวายเพื่อเข้าดูท่าเรือของโครงการทวาย ขณะที่ในช่วงสงกรานต์ ปี 2556 นายทักษิณก็เดินทางไปยังเมืองเมย์เมียว โดยพบกับ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของพม่า ที่บ้านพักหรูเชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์ และปี 2557 ก่อนการรัฐประหารในไทย นายทักษิณก็ปรากฏตัวที่เมียนมาอีกครั้ง ข่าวว่าไปทำบุญแก้กรรม โดยเข้าพักที่ชั้น 10 โรงแรมชาเทรียม ในย่างกุ้ง แล้วแกนนำพรรคเพื่อไทย, รัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการระดับสูง แห่ไปพบกันเพียบ”

ทั้งนี้หากจับปรากฏการณ์ดังกล่าวจะพบว่า สายสัมพันธ์ของทั้ง พล.อ.มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หนีคดีของไทยนั้น พบว่า หลังเดือนมีนาคม 2556 ที่นายทักษิณเดินทางไปดูโครงการท่าเรือทวาย และช่วงสงกรานต์ 2556 ที่มีการเจรจาลับกันที่บ้านพักหรู เชิงเขาในเขตมัณฑะเลย์นั้น จากปากคำของนายทักษิณ ยอมรับเองว่า มีการยกที่ดินใจกลางเมืองย่างกุ้งให้ตนเอง ขณะเดียวกันมีการวิจารณ์กันด้วยว่า หลังเหตุการณ์ดังกล่าว คาดว่านายทักษิณจะมีบ่อน้ำมันในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย สมความตั้งใจที่ต้องการได้สิทธิมานาน

สำหรับโครงการลงทุนในทวายนั้น ตั้งอยู่ทางตอนใต้ประเทศเมียนมาร์ และอยู่ทางตะวันตกจากกรุงเทพฯ โดยมีระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร รัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ให้สิทธิในการพัฒนาพื้นที่ของโครงการทวายแก่บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เป็นการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 6 เขตอุตสาหกรรม ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย เขตการค้าและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องภายในนิคมอุตสาหกรรม ถนนและทางรถไฟเชื่อมโยงไปสู่ประเทศไทย รวมไปถึง น้ำมันและท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนไทย-สหภาพเมียนมา

ท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดทวายประมาณ 28 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในตอนเหนือของอ่าวเมืองมะกัน มีการลงทุนสร้างท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี ถนนเชื่อมโยงจากทวายไปยังประเทศไทย และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลสหภาพเมียนมาร์ในการเชื่อมโยงทางรถไฟจากทวาย ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ มูเซ เชื่อมต่อไปยังทางรถไฟจีนที่คุนหมิง ทำให้โครงการนี้ได้รับการเสนอให้เป็นจุดศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญของภูมิภาค

ทั้งนี้จะเห็นว่า นายทักษิณพยายามสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเมียนมามาโดยตลอด โดยเมื่อครั้งตัวเขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีการสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) อนุมัติเงินกู้สินเชื่อจำนวน 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า โดยมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อนำเงินกู้ดังกล่าวไปใช้ในการซื้อสินค้าและบริการของบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) อันเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งในเวลาต่อมา นายทักษิณถูกศาลตัดสินพิพากษา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 ว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ให้จำคุก 3 ปี

ตั๋วช้างนิทานหลอกเด็ก ! ดร.นิวแฉฝ่ายค้านปั้นขบวนการสร้างปมเท็จปรับยศตำรวจ โยงข้อมูลเก่าปัดฝุ่นเล่าจนเป็นนิทานหลอกเด็ก

แม้จะจบศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาลประยุทธ์ 2 โดยมีผลลัพธ์ลงเอยด้วยการสอบผ่านทั้ง 10 รัฐมนตรีไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะยังมีอีกหลายประเด็น ที่ฝ่านค้านน่าจะยังเดินหน้าตอแยต่อ

หนึ่งในปมประเด็นที่ถูกทิ้งไว้สังคมสงสัยต่อ คือ ‘ตั๋วช้าง’

‘ตั๋วช้าง’ คืออะไร?

‘ตั๋วช้าง’ นั้นเป็นแฮชแท็กที่เกิดจาก รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล ซึ่งอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ปมอ้างว่ามีตั๋วในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ รวมทั้งมีการซื้อขายตำแหน่งอีกด้วย พร้อมโชว์เอกสารลับ ตั๋วช้าง จนทำให้นายสุชาติ ตันเจริญ ประธานในที่ประชุม ต้องสั่งให้สรุปจบ โดยนายรังสิมันต์ยอมรับว่าเรื่องที่อภิปรายเป็นเรื่องอันตราย แต่ตนได้ทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.

รังสิมันต์ โรม กล่าวอ้างว่า การมีอยู่ของตั๋วช้าง ทำให้เกิดความสมยอมในการกระทำผิด ดังนั้นพลเอกประยุทธ์และพลเอกประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร เนื่องจากที่ตนเองได้ข้อมูลมานั้นตั๋วเหล่านี้มีมูลค่าหลักล้านหรือหลายล้าน ก็เท่ากับว่าสุดท้ายตำรวจต้องลงเอยด้วยการเรียกเก็บผลประโยชน์จากบ่อน จากธุรกิจผิดกฎหมาย หรือจากการค้ามนุษย์

อย่างไรก็ตาม ได้มีข้อมูลอีกด้านของ ‘ตั๋วช้าง’ ที่น่าสนใจ และดูเหมือนจะเป็นการหักล้างข้อมูลของ รังสิมันต์ โรม จาก ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ (ดร.นิว) นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ซึ่งได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyanไว้ว่า...

ข้อเท็จจริง "นิทานเรื่องตั๋วช้าง"

ได้ด้วยหรือ? อยู่ๆ ก็ยัดเยียดเอกสารฉบับหนึ่งเป็นตั๋วช้างได้หรือ? คำว่าตั๋วช้างก็โยงมาจากข่าวเก่าๆ ด้วยความมั่ว

นิทานเรื่อง #ตั๋วช้าง เป็นการเชื่อมโยงแบบมั่วๆ ปั้นน้ำเป็นตัวแต่งนิทานหลอกเด็ก เพื่อปั่นกระแสแหกตาประชาชน หวังหลอกใช้เป็นเบี้ยในการทำผิดกฎหมายและสร้างความแตกแยก

1.คำว่า "ตั๋วช้าง" มาจากข่าวแฉตำรวจใน https://mgronline.com/specialscoop/detail/9600000061278 วันที่ 15 มิ.ย. 2560

2.ตั๋วลดราคาตำแหน่ง 8 ล้าน ลดเหลือ 4 ล้าน มาจากคำพูดของอดีตผู้การวิสุทธิ์ใน https://www.posttoday.com/politic/report/444162 วันที่ 21 ก.ค. 2559

3.เอกสารที่นายโรมและขบวนการล้มเจ้านำมาปั่นกระแสบิดเบือน ถูกนำมาโยงกับ ข้อ 1-2 แบบมั่วๆ ทั้งๆที่เป็นการปรับตำแหน่งตามปกติให้กับตำรวจที่มีผลงานโดดเด่น และอาจเคยถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท

ขนาด ส.ส.พรรคล้มเจ้าที่ความดีไม่เคยมีปรากฏ ยังอยากได้เครื่องราชฯ

แล้วทำไมตำรวจดีๆที่มีผลงาน จะขอเกียรติยศให้กับการปรับตำแหน่งของตัวเองที่เป็นไปตามระบบไม่ได้?

ขอยกตัวอย่างบุคคลชื่อแรกที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “มือปราบอาชญากรออนไลน์” มีผลงานรับใช้ประชาชนที่โดดเด่นมากมายดังที่ได้พบเห็นในข่าวสารอยู่เป็นประจำ ช่วยเหลือประชาชนในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บรรเทาทุกข์ให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากเหล่ามิจฉาชีพต่างๆ ในโลกออนไลน์ จับกุมฉ้อโกง แฮคเกอร์ และเฟคนิวส์ได้เป็นจำนวนมาก เป็นวิทยากรให้ความรู้เพื่อป้องกันตนเองจากอาชญากรรมไซเบอร์มาหลายเวที

นอกจากนี้ยังเคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจนถูกยิงจากการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชนอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกที่คนดีๆมีผลงานโดดเด่นแบบนี้ จะได้รับการพระราชทานเกียรติยศประกอบการเลื่อนตำแหน่งตามที่สมควรได้โดยชอบธรรมอยู่แล้ว ซึ่ง พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง 1 ระดับจาก “ผกก.3 บก.ปอท.” เป็น “รอง ผบก.ปอท”

การเชื่อมโยงแบบมั่วๆ ปั่นกระแสบิดเบือนของนิทานตั๋วช้างในครั้งนี้ ทำให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้เห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า และม็อบ รวมถึงขบวนการล้มเจ้า เป็นกลุ่มเครือข่ายเดียวกัน ที่เคลื่อนไหวปั่นกระแสร่วมกันอย่างเป็นระบบ อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นสร้างความแตกแยก หมกมุ่นอยู่กับการบิดเบือนให้ร้ายหวังบ่อนทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

ที่มา:

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3912616712134271&id=100001579425464


อ้างอิง...

https://mgronline.com/specialscoop/detail/9600000061278

https://www.posttoday.com/politic/report/444162

https://provincialnewscenter.com/?p=6373

อย่างที่ทราบว่าในปี ค.ศ. 2021 เมียนมาได้เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านและสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนผ่านอันเป็นผลของความขัดแย้งจากความเชื่อของคนในชาติ ก็คือ การเผาทำลายธุรกิจชาวต่างชาติ โดยเฉพาะธุรกิจของชาวจีน

วันนี้เอย่าจะมาชำแหละให้ดูว่าใครคือเพื่อนที่แท้จริงที่เข้ามาลงทุนในเมียนมาและช่วยทำให้คนในเมียนมามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

จะเห็นว่าในปี 2020 ที่ผ่านมาการลงทุนของนักลงทุนสิงคโปร์สูงเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่าการลงทุนในเมียนมาสูงถึง 1,859 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามมาด้วยการลงทุนในกลุ่มธุรกิจในฮ่องกงที่สูงถึง 1,422 ล้านเหรียญสหรัฐ และอันดับสาม คือ กลุ่มนักลงทุนในประเทศญี่ปุ่นที่มีมูลค่าการลงทุนจำนวน 768 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่อันดับสี่ คือ กลุ่มนักธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่ที่มีการลงทุนเป็นมูลค่า 553 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วยสหราชอาณาจักรที่มีการลงทุนในเมียนมาเป็นมูลค่า 425 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในส่วนของไทยเองในปี 2020 ที่ผ่านมานั้นอยู่ในอันดับที่ 7 มีการลงทุนในเมียนมาเป็นมูลค่า 79 ล้านเหรียญสหรัฐ

ไฮไลท์ คือ สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่คนเมียนมาคาดหวังให้เข้ามากู้วิกฤตของประเทศในครั้งนี้ ซึ่งมีการลงทุนในเมียนมาเพียง 43.5 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น เรียกว่าน้อยกว่าไทยและเวียดนามเสียอีก

หากย้อนมองไปถึงการลงทุนในอดีต 1 ทศวรรษที่ผ่านมาจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามหามิตรที่พร้อมใจจะมาลงทุนในเมียนมาและช่วยเมียนมาในการพัฒนาประเทศก็คือ จีน ญี่ปุ่น , เกาหลี , สหราชอาณาจักร และ เวียดนาม ที่มีการลงทุนมาก่อนปี 2011 และยังลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน

จากข้อมูลการลงทุนของ DICA เป็นเครื่องยืนยันที่ดีว่าคนเมียนมาสามารถลืมตาอ้าปากมีกินมีใช้ได้ทุกวันนี้เพราะประเทศใดเข้ามาลงทุนช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แม้สิงคโปร์และไทยจะเริ่มเข้ามาลงทุนในเมียนมาหลังมีนโยบายการเกิดประเทศของอดีตประธานาธิบดีเต็ง เส่ง แต่ก็ถือว่ามีการเข้าในลงทุนต่อเนื่องทุกปีเช่นกัน

หากนับว่านักลงทุนในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงเป็นนักลงทุนจีนเช่นเดียวกันจะเห็นได้ว่าจีนนั้นน่าจะเป็นมหามิตรของเมียนมาทางเศรษฐกิจและมีส่วนช่วยในการผลักดันธุรกิจในเมียนมาให้ดีขึ้น ดังนั้นการกระทำใดๆ ก็ตามของคนเมียนมาต่อธุรกิจของคนจีนภายใต้ร่มธงจีนย่อมหมายถึงการที่ประชาชนเมียนมาลงทุนทุบหม้อข้าวหลักของตนเองหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่คนเมียนมาต้องตัดสินใจเลือกอนาคตของเขาเอง

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เดินหลง...ในดงโซเชียล​ By รัตนา & โกสินทร์

เปิดโซเชียลมาเห็นภาพ ท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอเกาะพะงัน ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้จัด 'โรงพยาบาลสนาม'​ แล้ว ได้แต่ปลงสังขาร 'อนิจจา วต สังขารา'​ สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง

นั่นก็เพราะวัดคงยังเป็นที่พึ่งพิงให้ประชาชนได้เสมอในทุกสถานการณ์ มองมุมหนึ่งก็รู้สึกสงบถึงขั้วหัวใจ อากาศแม้จะร้อนแต่ก็เย็นสบาย ยิ่งมีเสียงสวด “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา” ให้ฟังยามนอนพักสังเกตุอาการ คงได้เจริญสติด้วยใจระทึกว่า ทำไมน้อ! ถึงติดเชื้อโควิดได้

ว่าแต่พอพูดถึงเรื่องการกักตัวในพื้นที่​ รพ.สนามแล้ว​ ก็ได้แต่ถอนหายใจ!

เพราะที่ไหน ๆ​ ก็จะระงมไปด้วยเสียงบ่นของผู้กักตัว

บางพื้นที่ ที่ไม่มีระบบปรับอากาศ​ ปล่อยให้ร้อน นอนไม่หลับ​ บ่นๆ​ๆ​ กันอยู่นั่น

เห็นภาพแล้วก็ละเหี่ยใจ ทำไมคุณ ๆ​ ดันไม่มองเห็นความลำบากของนักรบเสื้อกาวน์ ที่ต้องสวมชุด PPE มาดูแลคุณกันหน่อยล่ะฮึ?

อยากถามตรงนี้ ว่าใครลำบากมากกว่ากัน ยิ่งมาทราบว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มาจากสถานบันเทิงด้วยแล้ว ใจอยากให้ย้ายไปกักตัวที่ 'ศาลาวัด'​ พร้อมเสียง​ “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา” ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้มีสำนึกรับผิดชอบตัวเองกันมากขึ้น

แล้วนี่น่ะ​ ล่าสุด หนู ๆ​ น้อง ๆ บ่นกันเต็มโซเชียล ว่าทำไม รพ.สนาม ถึงไม่มีการกั้นฉากกั้นม่าน ให้เป็นสัดส่วน เชื้อไม่แพร่กันง่ายหรือไง? ทำไมไม่กั้นฉากกั้นห้องหอแบบในต่างประเทศ?

เอ้า!! ตั้งใจฟังนะเด็ก ๆ​ ภาพ รพ.สนามจากต่างประเทศ เป็นการตั้ง รพ.สนาม เพื่อดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนัก การกั้นฉากติดม่าน เค้าใช้บังสายตาไม่ให้เห็นการรักษาผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้าง ๆ จะได้มีความเป็นส่วนตัวและลดความเครียด ต่างจาก รพ.สนาม ในบ้านเรา ที่ออกแบบใช้งาน สำหรับกักตัว สังเกตอาการ ถ้ามีอาการก็ส่งตัว แยกส่วนเข้า รพ. ดูแล

อีกอย่างหนึ่ง คุณหมอก็เคยบอกแล้วว่า การกั้นม่าน จะเพิ่มความแออัดทำให้ การไหลเวียนของอากาศไม่สะดวก เพิ่มการสะสมของเชื้อในอากาศ ทางที่ดีนอนบนเตียง​ อย่าไปรวมกลุ่มเล่นไพ่กันสนุกสนาน (อย่างที่มีภาพหลุด) หรือถ้าไม่มีอาการเลย ก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตามที่เค้าอนุญาต เหมือนน้อง ๆ ที่ รพ.สนามเชียงใหม่เค้าช่วยกันประกอบเตียงสนามที่ทำจากกระดาษ สำหรับรองรับผู้ที่ต้องกักตัวรายใหม่กันดีกว่า

เข้าใจป่ะ!!

ขอบ่นเรื่อง รพ.สนาม เท่านี้

ไถโซเชียลต่อ​ หลุดกรอบจอของศาลาวัด ก็มาสะดุดข่าวฝรั่งฝังตัวในไทย​ 35​ ปี 'เดวิด สเตร็คฟัสส์'​ นักวิชาการชาวอเมริกัน อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น ผู้ดูแล 'The Isaan Record'​ ที่พึ่งถูกยกเลิกวีซ่าไป

ล่าสุดลือกันว่า เจ้าตัว เสนอขอทำงานให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น 'ฟรี'​ เพื่อหวังให้ ม.ขอนแก่น​ ออกหนังสือรับรองการว่าจ้างเพื่อยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงาน​ (Work permit) สำหรับขอต่อวีซ่าอยู่ต่อในไทย

ตรงนี้คงขอจับตาดู ว่าจะมีมหาวิทยาลัยอื่นไหมที่สนใจว่าจ้าง นักวิชาการต่างชาติท่านนี้ เพื่อผลิตงานวิจัย​ 'ต่อต้าน ม.112'​ ตามที่เค้าชอบทำวิจัยศึกษาด้านนี้มาตลอด 35 ปี

ส่วนตัวแล้ว​ สงสัยคงต้องเร่งกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แกไปได้ดี​ 'นอกบ้านเรา'​ เหมือนเพื่อนนักวิจัย สุรชัย ณ เจแปน จะเป็นการดีที่สุด

ก่อนจะลาจาก​ เจออีกฟีดกระแทกตาในโซเชียล​ต่อเชื่อมกับ​ 'เจ้าพ่ออีสานเรคคอร์ด'​ นายนี้ เพราะดันมีข่าวหลุดแชทหลุด เรื่องลี้ ๆ​ หนี ๆ​ ไปยังต่างแดนของกลุ่มแกน​ 3​ นิ้ว​

โดยหนึ่งในนิ้วอย่าง​ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (Democracy Restoration Group - DRG) และกลุ่มคณะราษฎร 63​ ก็เร่งออกมาปฏิเสธว่า ทั้งหมดคือเฟกนิวส์ให้งงงวยกันเบา ๆ​ ว่า...

"ไม่ต้องลงทุนถึงขั้นสร้างแชตปลอมออกมาโจมตีกันแบบนี้ เพราะมันดูไร้สาระมาก และที่สำคัญ ไม่มีใครใช้แชตไลน์คุยกับสถานทูตนะคะ มันไม่ปลอดภัย"

...ใครคือทูตก็ไม่รู้ แล้วใครเป็นคนบอกว่าเป็นทูต

...คุยกับทูตไม่ปลอดภัยอันนี้ก็น่าสนใจ

...แต่เสียดายที่ไม่ยอมบอกต่อว่า ไม่ปลอดภัยจากอะไร เพราะอะไร

ซึ่งใครจะเชื่อไม่เชื่อ แต่เราอยากบอกว่า กลุ่มสามนิ้ว ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ไปจนถึงนักวิชาการ ต่างออกมาแก้ข่าวกันอุตลุด ถึงขนาดจับผิดเรื่องภาษาอังกฤษกันแบบขำ ๆ แต่เหงื่อตกเนียน ๆ

แบบนี้มันน่าพิลึกอย่างไรไม่รู้นะจ๊ะ ทั้ง ๆ​ ที่ สาวสวยหลังม็อบ​ ออกมาระบุพิกัดเองเลยว่า ไม่เคยติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตผ่านทางไลน์

เอ!! ถ้าไม่มีฟืนไฟคงไม่มีควันให้เราเห็น ว่าไหม?

เราสอง รัตนา & โกสินทร์ อ่านด้วยสายตาฉงน...งงงวย​


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top