Wednesday, 8 May 2024
Easthern

ปราจีนบุรี – ชาวบ้านหลบโควิด เข้าป่าหาเห็ดยูคาขายสร้างรายได้

ชาวบ้าน ในพื้นที่ อำเภอกบินทร์บุรี พากันเข้าป่าหาเก็บเห็ดยูคาลิปตัส หรือเห็ดขมขายสร้างตายได้ช่วงโควิด – 19 ระบาด เป็นรายได้เสริมดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ

ชาวบ้าน ต.นนทรี และ ต.ย่านรี อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ใช้เวลาว่างจากสถานการณ์ โควิด -19 ระบาด ออกหาเก็บเห็ดยูคาลิปตัส หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเห็ดขม ซึ่งจะขึ้นในพื้นที่ป่ายูคาลิปตัส เท่านั้น  ลักษณะของเห็ดยูคา หรือเห็ดขม จะเป็นเห็ดที่ขึ้นกระจายไปตามที่ชื้นในร่องป่ายูคา ลักษณะที่สังเกตุคือ เห็ดยูคาจะขึ้นกระจายไปตามพื้นที่ มีก้านขาวอมน้ำตาลนวลอวบใหญ่ มีฝาหรือ ดอกเหมือนร่มแต่ขอบมักจะเผยอขึ้นเล็กน้อยดอกใหญ่สุดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ 4 นิ้วฟุต ส่วนใหญ่จะพบกอหนึ่ง 4 ดอก มากสุด 5 ดอก รสชาติออกขม ก่อนรับประทานชาวบ้านจะลดความขมด้วยการนำเห็นมาต้มหรือนึ่งให้ขมลดลงก่อนนำไปปรุงอาหาร ซึ่งสามารถทำได้หลายเมนู ทั้งยำ ต้มยำ แกง หรือแล้วแต่ว่าใครจะนำไปปรุงอาหารชนิดใดก็ตามใจชอบ

โดยปีหนึ่งจะมีเพียงครั้งเดียว จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่ชอบรับประทาน โดยเฉพาะในช่วงต่อฤดูร้อนกับฤดูฝนที่จะเข้ามาแทนอากาศร้อนชื้นทำให้เห็ดขม ออกเป็นจำนวนมาก และจะหมดในราวกลางเดือนพฤษภาคม สามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในช่วงที่ ไวรัสโควิดระบาดได้คนละไม่น้อยกว่า 300 บาท ต่อวันซึ่งก็สามารถช่วยเสริมรายได้เป็นอย่างดี โดยจะมีพ่อค้ามารับซื้อถึงที่ในราคา กก.ละ 60 บาท สำหรับเห็ดที่นึ่งบรรจุถุงเรียบร้อย และ ในราคา 50 บาท ในราคาเห็ดสดคนหนึ่งจะหาเก็บเห็ดได้มากถึงคนละ 15 – 20 กก.ทุกวันจึงเห็นชาวบ้านรวมกลุ่มทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กออกหาเก็บเห็ดขมมาขายสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว ทั้งนำมาทำอาหารกินเองและขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อถึงที่

ยายบุญมี อุตตะบุตร ยายอุไร จันทร์คำมี ยายหลุนสี นายกอง กล่าวว่า ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 ชาวบ้านทุกคนกลัวการแพร่ระบาดโรควิด-19 ทุกคนทราบว่ามีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประชาชนตามชนบทหวาดกลัวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนจึงหาทางที่ได้เงินมาจุนเจือครอบครัวก็ต้องเอา พากันออกหาเก็บเห็ดทุกวันมาประกอบอาหารในครัวเรือนด้วยดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ ออกหาเก็บเห็ดพอมีรายได้วันละ 300-500 ก็ยังดีแม้ไม่มีรายได้ที่แน่นอนแต่ก็ได้เงินทุกวันพอเป็นค่ากับข้าว


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัฒน์ กุลเศรษฐ์สุวภา ผู้สื่อข่าว จ.ปราจีนบุรี

ชลบุรี - พบซากปลาโลมาสีชมพู ลอยตายในอ่าวสัตหีบ

วันที่ 4 พ.ค.64 นายพิชิต เกลียกกุทัณฑ์ หัวหน้าหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างโรจนธรรมสถานสัตหีบ ได้รับแจ้งจากชาวประมงว่า พบซากปลาโลมา ไม่ทราบชนิด ลอยบริเวณใกล้ เกาะรางเกวียน ห่างจากชายฝั่ง ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ประมาณ 8-9ไมล์ทะเล จึงได้นำกำลังพร้อมรือกู้ภัยฯ ออกค้นหา

ในเวลาต่อมา พบซากปลาโลมา ไม่ทราบเพศ อายุประมาณ 2-3 ปี สภาพยุ่ยเน่าเปื่อย ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ตายมาแล้วประมาณ 5-7 วัน น้ำหนักประมาณ 100 กว่ากิโลกรัม ความยาวประมาณ 2 เมตร คาดว่าน่าจะเป็นโลมาสีชมพู ที่ชาวประมงและนักท่องเที่ยวพบเจอบ่อยในบริเวณ อ่าวสัตหีบก่อนหน้านี้  เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ จึงช่วยกันเก็บขึ้นเรือนำเข้าฝั่งเพื่อส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์การตายว่าเพราะสาเหตุใด

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบไม่พบว่าถูกอวนของเรือประมงแต่อย่างใด จึงแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยภาคตะวันออก จังหวัดระยอง มานำซากปลาโลมาไปผ่าพิสูจน์ เพื่อหาสาเหตุของการตายอีกครั้ง สำหรับในพื้นที่อ่าวบางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่มีชื่อของจังหวัดชลบุรี 


ภาพ/ข่าว  นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล ทิพย์ศรี

ชลบุรี – เกิดอุบัติเหตุรถฟอจูนเนอร์ขับมาด้วยความเร็ว เสียหลักไถลพลิกคว่ำชนต้นไม้รถพังยับเยิน 2 สามีภรรยาสาหัสทั้งคู่

เมื่อเวลา18.30น.วันที่4พ.ค.2564นี่คือภาพจากกล้องหน้ารถจับภาพนาทีรถฟอจูนเนอร์ขับมาด้วยความเร็วก่อนจะเห็นว่าเสียหลักไถลตกข้างทางไปฟาดกับต้นไม้จนพังยับเยินเป็นเศษเหล็กล้อกระเด็นออกมาชนกับรถคันที่มีกล้องได้รับความเสียหายด้วย

ต่อมาวันนี้ 4 พ.ค.เวลา 18.30 น.ร้อยตำรวจเอกชัยชาญ ประเสริฐวงษ์ รองสารวัตร(สอบสวน)สภ.หนองใหญ่ ได้รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถชนต้นไม้พังยับเยินมีผู้ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสบนถนนสาย 344 ชลบุรี-แกลง หลักกิโลเมตรที่ 51 พื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี จึงรีบไปตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครหน่วยกู้ภัยศีลธรรมสมาคมบ้านบึง จุดหนองใหญ่ เมื่อไปถึงพบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ฟอจูนเนอร์สีขาว หมายเลขทะเบียน 8 กฌ 9886 กทม.ในสภาพพังยับเยินเป็นเศษเหล็กหลังคาบี้ ตรวจสอบด้านในรถพบผู้บาดเจ็บ 2 รายติดอยู่ที่เบาะคนขับชื่อนายกิตติ เรืองสัดสี อายุ 28 ปีเป็นเจ้าของแผงทุเรียนที่จันทบุรี ส่วนผู้บาดเจ็บที่นั่งมาด้วยชื่อนางสาวทราย ชื่อเล่น อายุ 25 ปีเป็นภรรยายัง ทั้งคู่มีอาการสาหัส จึงได้ประสานขออุปกรณ์ตัดถ่างจากหน่วยกู้ภัยชีพ อบต.หนองเสือช้างนำมาตัดประตูนำผู้บาดเจ็บทั้ง 2 คนออกจากรถแล้วเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งโรงพยาบาลหนองใหญ่ก่อนหน้านี้แล้ว

จากการสอบถามนายธงชัย นิลพันธุ์ อายุ 36 ปีคนขับรถบรรทุกที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าตนกำลังขับรถมุ่งหน้าไปอำเภอแกลง จ.ระยองพอมาถึงที่เกิดเหตุรถของคนเจ็บได้ขับมาด้านหลังแล้วเสียหลักออกมาทางช่องทางขวาก่อนจะไถลตัดหน้ารถของตนนิดเดียวไปชนกับต้นไม้ข้างทางและล้อรถได้หลุดมาโดนหน้ารถตนเองรีบจอดรถลงไปดูก็พบว่ามีผู้บาดเจ็บจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัยให้มาช่วยเหลือดังกล่าว ทางด้านตำรวจจะได้รอให้คนขับรถฟอจูนเนอร์รักษาตัวให้หายดีก่อนแล้วจะได้สอบสวนเพิ่มเติมอีกครั้งถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นเพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


 ภาพ/ข่าว  วิศาล / ชลบุรีปู

ชลบุรี - หนุ่มวัย 24 ปี หอบเงินล้านเตรียมเข้าธนาคาร แต่รถเกิดไฟไหม้วอดทั้งคัน

เมื่อเวลา 12.30 น.ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยสว่างบริบูรณ์ฯพัทยา ได้รับแจ้งมีเหตุไฟไหม้รถยนต์ บนถนนสุขุมวิท พัทยาใต้ บริเวณหน้าแม็คโคพัทยา ฝั่งขาเข้าพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงรีบเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาสาธารณภัยเมืองพัทยา

ที่เกิดเหตุ พบเจ้าหน้าที่หน่วยบรรเทาสาธารณภัยเมืองพัทยาพร้อมรถดับเพลิงเมืองพัทยา กำลังช่วยกันระดมฉีดน้ำสกัดไฟที่กำลังโหมลุกไหม้ รถเก๋ง ยี่ห้อ นิสสัน เทียน่า  สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กศ 1461 กทม ซึ่งจอดคาอยู่บนช่องจราจรช่องที่ 3 โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่เทศกิจเมืองพัทยา มาอำนวยปิดกั้นทางจราจร เพื่อไม่ให้รถคันอื่นเข้ามาในพื้นที่เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้น เนื่องจากเพลิงที่ไหม้รถมีความรุนแรงมาก และทางเจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาฉีดน้ำสกัดไฟนานกว่า 10 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ ส่วนตัวรถ ได้รับความเสียหายจากการถูกเพลิงไหม้แทบจะหมดคัน

นายจิรายุส อำนวยปริสุทธิ์  อายุ 24 ปี เล่าว่า ตนได้ขับรถยนต์ออกมาจากบ้าน ซอยชัยพฤกษ เพื่อมุ่งหน้าไปธนาคาร แค่เมื่อขับมาถึงที่เกิดเหตุก็มีควันดำขึ้นเต็มรถยนต์ หลังจากนั้นก็หาทางออกจากรถยนต์  และพยายามจะวิ่งไปหยิบกกระเป๋าและโทรศัพท์พร้อมด้วยเงิน  1 ล้าน บาท ที่อยู่ในรถ แต่ไฟลุกไหม้ขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ตนไม่สามารถคว้ากระเป๋าใส่เงินได้ ทำให้กระเป๋าเงิน เงินสด และ มือถือได้ไหม้ไปกับรถยนต์ จนหมด


ภาพ/ข่าว  อนันต์ สุขวัฒนะ / เอกชัย สุขวัฒนะ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา 

ชลบุรี - พนักงานบริษัทขับเก๋งจะไปรับน้องชาย จู่ ๆ ไฟเตือนโชว์ที่หน้าปัด-รถเร่งไม่ขึ้น ตัดสินใจจอดชิดซ้ายข้างทาง สุดช็อกเห็นเพลิงลุกไหม้มาจากห้องเครื่อง หนีตายหวุดหวิด ยังไม่ทราบสาเหตุ

เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 4 พ.ค. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยศีลธรรมสมาคมบ้านบึงจุดบ่อวิน รับแจ้งเหตุไฟไหม้รถยนต์นั่งส่วนบุคคล บนทางต่างระดับมาบเอียง-แยกอมตะ (ขาเข้าสัตหีบ) หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วยรถน้ำดับเพลิงจากองค์การบริหารส่วนตำบลบ่อวิน  เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อวิน ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณช่องทางด่วนซ้ายสุด เจ้าหน้าที่พบรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า โคโรน่า สีเทา หมายเลขทะเบียน ฐบ 3965 กรุงเทพมหานคร ถูกเพลิงลุกไหม้ที่บริเวณห้องเครื่องฝากระโปรงหน้ารถ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงใช้น้ำฉีด โดยใช้เวลาไม่กี่นาทีก็สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้  เบื้องต้นทราบชื่อคนขับ คือ นายสุธายุทธ มีลี อายุ 37 ปี ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยความตกใจ

โดยสุธายุทธ เล่าว่า ขณะขับรถออกจากที่ทำงานเพื่อจะไปรับน้องชายที่พัทยา เมื่อขับมาถึงจุดเกิดเหตุ มีไฟรถโชว์ที่หน้าปัด ก่อนที่รถจะเร่งไม่ขึ้น จึงได้จอดชิดซ้าย พบว่ามีเพลิงกำลังลุกไหม้ที่ด้านหน้ารถ  ส่วนสาเหตุนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร ก่อนจะเรียกเจ้าหน้าที่ประกันเพื่อมาตรวจสอบความเสียหาย พร้อมให้รถยกของบริษัทประกันยกรถออกจากจุดเกิดเหตุ


ภาพ/ข่าว  ไพโรจน์ วรนุชกุล / ฐานภัทร อะเวลา (เอก ชลนิวส์)

ชลบุรี - สุดระทึก ขี่รถจยย. ไฟเผาวอดทั้งคันคาดสายน้ำมันรั่วและเครื่องร้อน

เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 5 พ.ค.64 ภาพจากโทรศัพท์มือถือที่ชาวบ้านได้ถ่ายไว้ขณะเกิดเหตุไฟไหม้รถ จยย.ยามาฮ่า ฟีโน่ ไม่ทราบสี ทะเบียน กนก 619 ตราด มีชาวบ้านนำเครื่องดับเพลิงมาฉีด แต่ก็ยังไม่ดับ ต้องนำรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองอ่างศิลา 1 คัน ฉีดน้ำประมาณ 10 นาที ไฟจึงดับแต่รถ จยย.วอดทั้งคัน

สอบถามคนขี่รถ จยย.เป็นชายหนุ่มไม่ยอมบอกชื่อ และไม่ให้ข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น ทราบเพียงว่ายืมรถเพื่อนมาซื้อของที่ตลาดและก่อนกลับบ้านไฟได้ไหม้วอดทั้งคัน 

สอบถาม นายชำนาญ สระใส อายุ 43 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์เผยว่า เห็นชายหนุ่มขี่รถ จยย.มาแล้วเกิดไฟลุกท่วมคนขี่รถ จยย.กระโดดออกมาทัน เบื้องต้นคาดว่าสายน้ำมันรั่วและน้ำมันเบนซินกระเด็นไปโดนเครื่องที่ขี่มาร้อน ทำให้เกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว แต่ยังโชคดีที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ในครั้งนี้


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ชลบุรี - อันตราย โพสต์เตือนสุนัขพิทบูล เดินเพ่นพ่านบนถนนหาดบางแสน โดนกัดอาจถึงตายได้

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 5 พ.ค.64 ผู้ใช้นามว่า “ณรงค์ชัย ( ตุ้ย ) คุณปลื้ม” นายกเทศบาลเมืองแสนสุข ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี มีข้อความว่า “เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่าพบ สุนัข คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ พิทบูลเทอเรียร์ ครับที่เจ้าของปล่อยให้เดินบนที่ทางสาธารณสณะ ทำให้ประชาชน เกิดความหวาดระแวง และ อาจเกิดอันตรายต่อประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นครับ โดยเฉพาะเด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากเราไม่ทราบว่าสุนัขจะมีพฤติกรรมดุร้ายหรือไม่ แต่ตามเทศบัญญัติ ระบุไว้ไม่ให้ปล่อยสัตว์ที่มีเจ้าของโดยไม่มีการควบคุมดูแลครับ รบกวนขอความร่วมมือด้วยครับ กรุณาใส่สายจูงสุนัขทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยต่อสุนัขเองและ ประชาชน และหากสุนัขขับถ่ายกรุณาช่วยเก็บของเสียของสุนัขด้วยครับ เพื่อความสะอาด” แล้วมีภาพสุนัขพันธุ์พิทบลูตัวใหญ่ 2 ตัว เดินอยู่กลางถนนริมหาดบางแสน ท่าทางน่ากลัวจะเป็นอันตรายกับนักท่องเที่ยว และคนในพื้นที่

ผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่สำรวจดูบริเวณที่มีภาพลง แต่ไม่เจอสุนัขพันธุ์พิทบูลทั้ง 2 ตัว เจอแต่สุนัขไทยท่าทางไม่ดุ นอนเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่ โดยวันนี้มีนักท่องเที่ยวบางตาเพราะเพิ่งเลยวันหยุดต่อเนื่อง

สอบถามนายสิทธิศักดิ์ พรหมประเสริญ อายุ 35 ปี เจ้าของร้านอาหารริมหาดบางแสนเผยว่า สุนัขนั้นเจ้าของควรดูแลสอดส่องให้ดี เพราะตรงนี้มันเป็นที่สาธารณะ นักท่องเที่ยวมาเยอะ และส่วนมากนักท่องเที่ยวจะมีเด็กมาด้วย มันอันตราย ฝากบอกไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่มีสุนัขมาหรือเจ้าของสัตว์เลี้ยงมาควรมีสายลากจูง และต้องคอยดูแลอย่าให้คลาดสายตา คนพื้นที่เป็นชาวบ้านแถวนี้บางคนมาเดินขายของหมาจะกัดได้ เพราะหมาพวกนี้ถ้ามันไม่คุ้นหน้ามันกัดอยู่แล้ว ที่เคยดูข่าวมานะ ก็กังวลใจเพราะอยู่ใกล้ร้านเรา ตัวมันใหญ่มากหากโดนกัดอาจถึงตายได้   


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ชลบุรี - ผอ.โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่ ถึงทางตันจากพิษโควิด วอนผู้ใจบุญร่วมบริจาคเพื่อให้อยู่รอด

ผอ.โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา ชี้หากสถานการณ์การบริจาคไม่ดีขึ้นคาด ตุลาคมนี้ ถึงทางตัน หลังโดนโควิด-19 เล่นงานมา 3 ระลอก โรงเรียนได้พยายามช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด วอนผู้ใจบุญร่วมบริจาคเงิน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนและของใช้จำเป็นในการดำรงค์ชีวิตประจำวัน

วันที่ 4 พ.ค.64 นายชิด สุขหนู  ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา จังหวัดชลบุรี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงสภาพคล่องของโรงเรียนตอนนี้ว่า ติดลบมานานแล้ว ตั้งแต่โควิด 19 ระลอกแรก จนถึงระลอก 3 ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าตั้งแต่ระลอกที่ 1 และระลอกที่ 2  ทางโรงเรียนได้ทำการแก้ไขปัญหาเรื่องของสภาพคล่องด้วยการปรับลดขนาดองค์กรลง การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก รวมถึงหากิจกรรมระดมทุนที่พอจะสามารถทำได้ในช่วงที่ผ่านมาและลดรายจ่ายบางรายการลงที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค โควิด 2 ระลอกที่ผ่านมา พบว่าทุกคนต่างอ่อนล้าและอ่อนแรงในการต่อสู้กับโรคและต่อสู้กับการประคององค์กรให้อยู่รอด คณะครูได้พยายามร่วมกันระดมสมองในการที่จะหารายได้เข้าโรงเรียน เพื่อช่วยกันประคับประคองโรงเรียนให้อยู่รอด ด้วยการปลูกผักสวนครัวรับประทานเองเมื่อเหลือก็จะนำออกจำหน่ายหารายได้ให้กับโรงเรียน ที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะมีผู้ใจบุญเดินทางมาบริจาคเงิน เพื่อสนับสนุนในการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่จำเป็น เพราะทุกคนต่างก็แย่ไปพร้อม ๆ กัน แต่ก็ยังถือว่าในช่วงที่ผ่านมาพอจะมียอดบริจาค จากผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาบ้าง  

แต่เมื่อมาถึงโควิด ระลอก 3 นี้พบว่าสาหัสมาก เนื่องจากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจนน่าใจหาย ซึ่งทางโรงเรียนถือว่ายังโชคดีที่เด็กกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ได้กลับไปอยู่กับผู้ปกครอง เนื่องจากปิดเทอม ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของทางโรงเรียนมีไม่มาก แต่ถ้าหลังเปิดเทอมแล้วตามที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศ ให้โรงเรียนทั่วประเทศเปิดเรียนพร้อมกันในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เด็ก ๆ ก็จะกลับมาเรียนตามปรกติ ซึ่งในรอบนี้ทางโรงเรียนได้แจ้งไปยังผู้ปกครอง ในการนำเด็กเข้าเรียนว่าขอให้เด็กนักเรียนประถมศึกษากลับเข้ามาเรียนก่อน ในส่วนของระดับชั้นอนุบาล ขอความร่วมมือในการยังไม่ส่งเด็กนักเรียนเข้าเรียน     

          

โดยทางโรงเรียน ได้ให้เหตุผลเรื่องของการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงนี้ ซึ่งเกรงว่าเด็ก ๆ อาจจะไม่ปลอดภัย เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนั้นในช่วงเปิดเทอมที่จะถึงนี้ ทางโรงเรียนจะต้องระดมทุน เพื่อรองรับนักเรียนที่จะกลับเข้าเรียน ซึ่งในส่วนของการเก็บค่าเทอมนั้น ทางโรงเรียนไม่สามารถเรียกเก็บได้จากผู้ปกครอง  เนื่องจากว่าเป็นองค์กรการกุศล แต่ถ้าหากพบว่าสถานการณ์ยอดการบริจาคยังไม่มีในช่วงนี้ ก็คาดว่าถึงช่วงเดือนตุลาคมนี้ ก็จะเข้าขั้นวิกฤต ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าทิศทางต่อไปจะเป็นเช่นไร

ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็เพียงขอรับน้ำใจจากผู้ที่มีจิตศรัทธา โดย ทางโรงเรียนขอรับบริจาคเงินทุน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน การสอน ซ่อมแซมอาคาร และของใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน สำหรับการศึกษาของผู้พิการทางสายตา

โดยสามารถบริจาค ได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์  บัญชี ทุนบรมราชกุมารีเพื่อคนตาบอด (2536)  บัญชี 669-2-10787-4  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ปราจีนบุรี – พายุฝนถล่ม ตอนรุ่งสางน้ำท่วมรอระบาย ฉันทนาเดินลุยน้ำไปทำงาน

เมื่อเวลา 05.00 น.ที่ผ่านมาวันที 6 พค.64 เกิดพายุฝนฟ้าคะนองพื้นที่อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี นานนับชั่วโมงกระทั่ง 06.00 น.ฝนซาเม็ดลง ส่งผลให้มีน้ำท่วมขังที่รอระบายที่บ้านรัชดาป่าจิก ม.11 ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ระดับน้ำสูง 30 ซม.ระยะทางยาว 50 ม.

ส่งผลให้การเข้าออกในซอยได้รับผลกระทบเนื่องจากว่าบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นแอ่งกระทะ ฝนตกทุกครั้งทำให้น้ำระบายไม่ทันนับชั่วโมงผู้ที่อยู่ในซอยเข้าออกลำบากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ต้องค่อย ๆ ขับรถเข้าออกในซอย และบางคนต้องอ้อมไปใช้เส้นทางหลังโรงเรียนเข้าหมู่บ้านแทน คนที่มีบ้านอยู่กลางซอยต้องเดินลุยน้ำออกจากบ้านเพื่อไปทำงานและไปทำธุระด้านนอก นส.บังอร (นามสมมติ) พนักงานโรงงาน กล่าวว่าบ้านอยู่ทางด้านในซอยนี้ฝนตกหนักบริเวณนี้มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานลึกประมาณ 30-40 ซม.ระยะทางยาว 50 ม.ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำทำให้ชาวบ้านที่อยู่ด้านในต้องลำบากลุยน้ำออกมาทำงานถ้าเป็นไปได้อยากจะให้มีการทำถนนบริเวณนี้ใหม่ให้สูงกว่าเดิมเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแต่ละครั้งจะท่วมนานกว่าจะลด ณ.ขณะนี้เวลา 08.50 น.ฝนยังไม่หยุดตกคาดว่าจะตกริน ๆ ไปถึงเที่ยงตามคำพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาได้รายว่าทั่วทุกภาคจะมีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้


ภาพ/ข่าว  ลักขณา สีนายกอง

ชลบุรี - พายุฝนกระหน่ำคืนเดียว วัดช่องแสมสารและวิหารหลวงพ่อดำเสียหายหลายแห่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (02.00 . ของวันที่ 6 พ.ค.64) ลมพายุพัดถล่มลงมาอย่างหนัก นอกจากนี้แล้วยังเกิดฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงในเขตพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยเฉพาะวัดช่องแสมสาร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทะเล บริเวณพื้นที่ ต.แสมสาร ได้รับความเสียหายหลายแห่ง รวมถึงวิหารหลวงพ่อดำ ที่ตั้งอยู่บนเขาเจดีย์ ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน

เบื้องต้นคณะกรรมการวัดช่องแสมสารและชาวบ้าน ได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายเบื้องต้น พบว่ามีหลายจุด เช่น  หลังคาศาลาเมรุ หลังคาห้องรับสังฆทานวิหาร หลังคากุฏิเจ้าอาวาส เต้นบริเวณหน้าท้ามสหัมบดีพรหม กำแพงวัด หลังคาห้องรับรอง หลังคากุฏิพระเณร ต้นไม้น้อยใหญ่บริเวรวัด หลังคาศาลาการเปรียญ รวมถึงบริเวณวิหารหลวงพ่อดำ เขาเจดีย์ก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่โชคดีที่เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มีผู้บาดเจ็บแต่อย่างใด ซึ่งทางวัดช่องแสมสารก็จะตรวจสอบความเสียหายและทำการซ่อมแซมต่อไป


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top