Friday, 17 May 2024
รวมไทยสร้างชาติ

‘สส.เกรียงยศ’ ตามติด ‘กทม.’ พัฒนาพื้นที่ริมคลองโอ่งอ่าง คืนชีพ ‘แลนด์มาร์ก กทม.’ ผ่าน 4 กิจกรรมตลอดปี

(26 เม.ย. 67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า ล่าสุดทางกรุงเทพมหานครออกมาให้ข่าว โดยจะมีโครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณริมคลองโอ่งและจัดกิจกรรมตลอดปีนี้ จนถึงต้นปีหน้า ประกอบด้วยกำหนดจัดงานพื้นที่คลองโอ่งอ่าง 4 เทศกาล ดังนี้ 

1. จัดกิจกรรมเทศกาลวันสงกรานต์ ‘Bangkok Water Festival 2024 เทศกาลวิถีน้ำ…วิถีไทย’ ครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 13-15 เม.ย. 2567 ซึ่งจัดไปแล้ว

2.เทศกาลลอยกระทง 2024 ระหว่างวันที่ 15-17 พ.ย. 2567

3.Book & Gift Fest (Dec) 2024 ระหว่างวันที่ 20-22 ธ.ค. 2567 

และ 4.Food & Faith Street อร่อยเด็ด ร้านดังมูปังที่โอ่งอ่าง 2025 ช่วงเทศกาลตรุษจีน และมีการจำหน่ายอาหารร้านเด็ดทั่วกรุง ทุกศุกร์เสาร์อาทิตย์สิ้นเดือน

นายเกรียงยศ กล่าวว่า โดยทางกรุงเทพมหานครระบุว่า เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว และส่งเสริมเศรษฐกิจให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากตนได้นำปัญหาคลองโอ่งอ่างที่เงียบเหงา ถูกกรุงเทพมหานครปล่อยทิ้งกว้างไปตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎร

นายเกรียงยศ กล่าวว่า ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการ และชาวชุมชนคลองโอ่งอ่าง ที่กรุงเทพมหานครยอมฟังเสียงสะท้อนที่สื่อออกมา จนข้อเรียกร้องประสบความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ข้อเรียกร้องยังไปไม่สุดไม่รู้ว่าจะทำจริงตามที่พูดหรือไม่ หรือเป็นเพราะเป็นเพียงแค่ลมปากที่กรุงเทพมหานครสื่อออกมา แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่กรุงเทพมหานครที่เล็งเห็นถึงความสำคัญเสียงสะท้อนที่ตนนำมาอภิปรายในสภาฯ

“ผมก็ต้องติดตามต่อไปว่า กรุงเทพมหานคร จะจริงจังกับการจัดกิจกรรมเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้คลองโอ่งอ่างกลับมาเป็นแลนด์มาร์กเหมือนในอดีต หรือเป็นเพียงแค่คำพูดเพื่อลดกระแสเท่านั้น” นายเกรียงยศ กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า เท่าที่ฟังกรุงเทพมหานครชี้แจงรูปแบบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ก็ต้องรอพิสูจน์ฝีมือว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรยากถ้าสานต่อโครงการที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม.ได้ทำไว้จะเดินหน้าต่อไปได้ เพราะได้เริ่มนับหนึ่งไว้ให้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ขอส่งเสียงไปถึงกรุงเทพมหานครว่า ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่จำเป็นจะต้องให้ใครออกมากระตุ้นถึงจะดำเนินการ เพราะความเดือดร้อนของประชาชนเป็นสิ่งที่รอไม่ได้

“ผมยังติดตามโครงการอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานครที่เคยทำมาแล้วเงียบหายไปอีกหลายพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกันก็เริ่มมีหลายชุมชนเข้ามาให้ข้อมูลอยากให้ผมช่วยเป็นกระบอกเสียง หลังจากเห็นว่าโครงการคลองโอ่งอ่างที่ผมนำไปเรียกร้อง กรุงเทพมหานครเห็นความสำคัญ ผมก็จะนำมาพิจารณาว่า สิ่งไหนที่ควรจะทำเป็นอันดับแรก เพื่อติดตามการทำงานของกรุงเทพมหานครต่อไป ถือว่าเป็นการช่วยกันพัฒนา กทม.ในทุกมิติ อย่าคิดว่าเป็นการจับผิด” นายเกรียงยศกล่าว

'โฆษก รทสช.' เห็นด้วย 'คนการเมือง' ห้ามข้องเกี่ยวเลือกตั้ง สว. หากต้องการบุคคลที่ปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง

(29 เม.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า อยากให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้การเมืองเข้าไปข้องเกี่ยวกับการเลือกตั้งสว. ดังนั้นทุกฝ่าย ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ สว. ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นกลางทางการเมืองอย่างแท้จริง

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคได้กำชับ สส. และสมาชิกพรรคทั่วประเทศว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ไม่สนับสนุนผู้ใดทั้งทางตรงและทางอ้อม

"ฝ่ายการเมืองและพรรคการเมือง ไม่ควรเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้งสว.ในครั้งนี้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ เพื่อให้ได้ สว. ที่เป็นกลางปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง เพราะ สว.มีหน้าที่สำคัญเข้าไปคัดสรรเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ จึงจำเป็นต้องได้บุคคลที่ปลอดจากการเมืองไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ดังนั้นทุกฝ่ายต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายและกติกาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศออกมา" นายอัครเดช กล่าว

'พีระพันธุ์' เดือด!! ประชาชนถูกเอาเปรียบ เติมน้ำมันแล้วกลายเป็นน้ำ จ่อถอนใบอนุญาตปั๊มแสบ หากปิดไม่ได้ ต้องแก้ กม.อุดช่องโหว่ 

(1 พ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ได้กล่าวว่า จากกรณีปัญหาการเติมน้ำมันแล้วกลายเป็นน้ำที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 นั้น ผมและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยกระทรวงพลังงานได้รับทราบเรื่องผ่านทางพลังงานจังหวัดกาญจนบุรีว่าผู้เสียหายได้มาร้องเรียนเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2567 ซึ่งพลังงานจังหวัดและกรมธุรกิจพลังงานได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่มาเป็นลำดับ 

ล่าสุดเมื่อวานนี้ (30 เมษายน 2567) ท่านปลัดกระทรวงพลังงานได้แจ้งให้ผมทราบว่าเจ้าหน้าที่พลังงานจังหวัดกาญจนบุรีได้แจ้งความดำเนินคดีกับทางปั๊มน้ำมันต้นเหตุแล้ว เพราะเป็นการกระทำความผิดตาม พรบ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง และมีคลิปวีดีโอเป็นหลักฐานชัดเจน ส่วนประชาชนที่ได้รับความเสียหายทั้งที่เป็นข่าวและที่ไม่เป็นข่าวก็มีสิทธิแจ้งความดำเนินคดีฐานฉ้อโกงประชาชนได้ด้วย เพราะเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนเป็นวงกว้าง 

ทั้งนี้ ผมได้มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานตรวจสอบว่าจะสามารถเพิกถอนใบอนุญาตเปิดปั๊มน้ำมันแห่งนี้ได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็คงต้องแก้ไขกฎหมายกันต่อไป เพราะมีการกระทำความผิดของปั๊มน้ำมันในลักษณะที่เป็นการเอาเปรียบหรือฉ้อโกงประชาชนมาหลายครั้งแล้ว 

ขอให้มั่นใจว่าผมและกระทรวงพลังงานจะไม่ยอมให้ประชาชนถูกเอาเปรียบหรือถูกโกงแบบนี้อย่างเด็ดขาดครับ 

 

‘พีระพันธุ์’ รับมอบพวงมาลัยขอบคุณจาก ‘ส.ต.ต.พิจักษณ์’ หลังได้ช่วยเหลือเรื่องสูติบัตร จนเข้าเรียนนายร้อยได้สำเร็จ

(8 พ.ค. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล ส.ต.ต.พิจักษณ์ ทองใสเกลี้ยง เข้าพบ และมอบพวงมาลัยเพื่อขอบคุณนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ช่วยติดต่อประสานงาน ในกรณีที่ตนขาดคุณสมบัติ และเอกสารบางอย่าง ในการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เหล่าตำรวจ

“สูติบัตรของผม ไม่ปรากฏบิดาโดยกำเนิด จึงไม่มีเอกสารเอาไปยื่นต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งต้องเข้ารายงานตัว วันที่ 10 พ.ค. 2567 และรายตัวต่อโรงเรียนเตรียมทหาร 12 พ.ค. 2567 ซี่งท่านพีระพันธุ์ ได้ให้ความช่วยเหลือ ประสานกับทางโรงเรียนทั้ง 2 แห่ง ให้พิจารณาคุณสมบัติของผมอีกที”

ส.ต.ต.พิจักษณ์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทางครอบครัวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจทำให้ขาดเอกสารแบบตน ซึ่งก็จะเป็นการปิดกั้นโอกาสเด็กรุ่นใหม่ในการเป็นทหาร ตำรวจ ทั้งนี้ ตนอยากเป็นตำรวจมาตั้งแต่เด็ก เพราะมีความชอบ และมีญาติเป็นตำรวจด้วย จึงตั้งใจเข้าสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร

ด้านนายพีระพันธุ์ รับพวงมาลัย พร้อมกล่าวอวยพรและให้สัมภาษณ์ว่า ส.ต.ต.พิจักษณ์ ได้มาขอความช่วยเหลือหลังจากที่เป็นนักเรียนนายสิบแล้ว ไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ แต่ก็มาเกิดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ตนจึงได้เชิญแม่ ส.ต.ต.พิจักษณ์ มาพูดคุย และให้คนไปตรวจสอบในพื้นที่ ก็เชื่อได้ว่าพ่อ ของ ส.ต.ต.พิจักษณ์ เป็นคนไทยแน่นอน มีตัวตนจริง เพียงแต่ตามตัวไม่เจอ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่รู้จักดี จึงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง และได้ให้หน่วยงานต่าง ๆ ไปช่วยดูว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง  

"ก็ต้องขอบคุณอธิบดีกรมราชทัณฑ์ซึ่งเป็นต้นทาง ในการให้ข้อเท็จจริง รวมถึงรักษาการ ผบ.ตร. ที่ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนหน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้ความเป็นธรรมที่ถูกต้อง จึงขอให้น้องประสบความสำเร็จในการทำหน้าที่ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดูแลประชาชน ตัวเองเคยผ่านเรื่องเดือดร้อนมาเยอะ วันนี้จะมีโอกาสดูแลคนอื่นแล้ว ก็ขอให้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด"

นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ยืนยันว่าจากกรณีนี้ไม่จำเป็นจะต้องมีการแก้กฎหมายหรือกฎระเบียบ เพราะหน่วยต้นสังกัด คือตำรวจ ตรวจสอบหมดแล้ว

‘เอกนัฏ’ นำทีมแกนนำ - สส.รทสช. ยินดีกับ ‘สุชาติ’ หลังนั่ง ‘รมช.พาณิชย์’ ยืนยัน!! พรรคยังเหนียวแน่น

(9 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ภายหลังการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และการลาออกของ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.คลัง รวมทั้งกรณีที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานยุทธศาสตร์พรรค ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ว่า ล่าสุดช่วงเช้าที่ผ่านมา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค ได้นำแกนนำ และ สส.พรรคจากทุกเขต อาทิ นางพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม, นางธิวัลรัตน์ อังกินันน์ สส.เพชรบุรี เขต 1, นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง สส.ชลบุรี, น.ส.วชิราภรณ์ กาญจนะ, นายชุมพล จุลใส อดีต สส.ชุมพร เข้าแสดงความยินดี นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ พร้อมมอบช่อดอกไม้เป็นกำลังใจ หลังเข้ารับตำแหน่ง

รายงานข่าวจากพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า การเข้าแสดงความยินดีกับนายสุชาติในครั้งนี้ของบรรดาแกนนำ และ สส.พรรค เพื่อแสดงความเหนียวแน่นภายในพรรค หลังเกิดกระแสข่าวต่าง ๆ นานา ทั้งนี้ นายเอกนัฏ กล่าวยืนยันสั้น ๆ ว่า "พรรครวมไทยสร้างชาติยังเหนียวแน่น"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเตรียมจัดสัมมนาพรรคในวันที่ 12 พ.ค.เวลา 14.00 น.ที่โรงแรมรีเจนท์ เพชรบุรี ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ และระหว่างการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ระหว่างวันที่ 13 - 14 พ.ค.โดยวัตถุประสงค์จัดขึ้นเพื่อให้มีการพูดคุยกันระหว่างรัฐมนตรี และ ส.ส.ของพรรค

'รทสช.' ใช้ TikTok เชิงรุก 'รับฟัง-แก้ปัญหา' ให้ประชาชนได้จริง แม้ปัญหานั้นๆ จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ดูแลของ สส.พรรคก็ตาม

นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งในประเทศไทยภายหลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ก็มีบุคคลจำพวกหนึ่งเกิดขึ้นในสังคมไทย บุคคลจำพวกนั้นก็คือ ‘นักการเมือง’ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีอำนาจทางการเมืองในรัฐบาล หรือเป็นบุคคลที่มีบทบาททางการเมืองของพรรคการเมือง หรือเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งหรือแสวงหาตำแหน่งจากการเลือกตั้ง 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากประวัติศาสตร์ชาติไทยตั้งแต่เริ่มต้นในยุคสุโขทัยราว พ.ศ. 1781 รวมระยะเวลาร่วม 700 ปีที่ไม่เคยปรากฏมี ‘นักการเมือง’ เลยนั้น น่าคิดว่าทำไมบ้านเมือง ก็ยังสามารถดำรงคงอยู่รอดมาได้ 

กลับกัน 90 กว่าปีที่มีระบบเลือกตั้งเกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น บ้านเมืองกลับกลายเป็นย่ำแย่ลง เพราะ ‘นักการเมือง’ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว' แทนที่จะเป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม'

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงเกิดการทุจริตโกงกินด้วยฝีมือนักการเมืองเกิดขึ้นมากมาย จนประชาชนที่มีใจรักชาติบ้านเมืองทนไม่ไหว พากันต่อต้านประท้วงจนที่สุดก็เกิดรัฐประหารหลายครั้ง 

ดังนั้นหากใช้สติปัญญาพินิจไตร่ตรองปัญหาของชาติบ้านเมืองแล้ว แน่นอนที่สุดว่า ‘นักการเมือง’ นี่แหละ ที่เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญของชาติบ้านเมืองที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วนที่สุด

ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ แต่การแก้ไขเป็นไปได้ยากมาก ด้วยปมหลักของปัญหาอยู่ที่ ‘จิตสำนึก’ ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะ ‘จิตสำนึก’ ของ ‘นักการเมือง’ เท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึง ‘จิตสำนึก’ ของประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องได้รับการแก้ไขด้วยเช่นกัน 

เพราะถ้าคนไทยผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ มี ‘จิตสำนึก’ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตนแล้ว ย่อมจะเลือกแต่ ‘นักการเมือง’ ที่เป็น 'ผู้ทำงานสาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนรวม' อย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาการทุจริตโกงกินเกิดขึ้น บ้านเมืองจะมีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ มีความเจริญเกิดขึ้นมากกว่าและดีกว่าที่เป็นอยู่

อย่างไรก็ตาม แม้ในเมืองไทยจะเต็มไปด้วย ‘นักการเมือง’ แย่ ๆ อยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่ไปเสียทั้งหมด 

เราอาจจะไม่ใช้คำว่า ‘นักการเมือง’ น้ำดีแบบสุดโต่ง แต่อยากใช้คำว่า 'นักการเมืองที่มีจิตสำนึกดี' ต่อประเทศ ต่อสังคมไทย และต่อรากฐานความเป็นไทยที่กำลังถูกเซาะกร่อน กับพรรค ๆ นี้ พรรคที่มีชื่อว่า 'รวมไทยสร้างชาติ' ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้ 'อุดมการณ์เดียวกัน' อุดมการณ์แห่ง ‘จิตสำนึก’ ถึงความรักใน ชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมุ่งมั่นและแน่วแน่ ด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้ชาติบ้านเมืองดำรงคงอยู่ได้ด้วยความเจริญก้าวหน้าและสงบร่มเย็น

ในปัจจุบันต้องยอมรับว่า Social Media มีส่วนอย่างสำคัญต่อความคิดของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะในมิติทางสังคม, เศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเราจะพบว่า พรรคการเมืองบางพรรคที่ประสบความสำเร็จในการใช้ Social Media ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำลังอยู่ในสภาพของพรรคการเมืองที่ไร้ซึ่ง ‘จิตสำนึก’ ความรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง โดยใช้ Social Media เป็นเครื่องมือในการ ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง สร้างความแตกแยก ด้วยการให้ร้ายและด้อยค่าสามสถาบันหลักของชาติ สถาบันที่นำพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยมาแล้วกว่า 800 ปี และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเหล่านั้น ต่างเชื่อข้อมูลผิด ๆ ด้วยความงมงาย ขาดสติสัมปชัญญะ และไม่ได้ใช้วิจารณญาณในการพินิจพิเคราะห์เพื่อแยกแยะความผิด ถูก ชอบ ชั่วดี แต่อย่างใด  

กลับกัน การนำ Social Media ของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ในปัจจุบัน เป็นการใช้งานอย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกที่รักหรือมักที่ชังอย่างใด 

ยกตัวอย่างเช่นกรณีของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ชาวบ้านปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ ผู้ที่ประสบปัญหาจากการกู้หนี้นอกระบบจนกำลังจะเสียบ้านและที่ดินของพ่อซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยให้กับเจ้าหนี้ ด้วยยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นทบต้นทบดอก ซึ่งเธอได้เคยไปขอความช่วยเหลือมาแล้วจาก หลายหน่วยงาน หลายพรรคการเมือง แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด...แต่วันหนึ่งเธอเจอคลิปหาเสียงใน ‘Tiktok’ ที่มีข้อความ 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ของพรรครวมไทยสร้างชาติ เธอจึงตัดสินใจเข้ามาขอความช่วยเหลือ 

...และด้วยการช่วยเหลือของ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายใต้การประสานงานของทีมงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่สุดก็สามารถแก้ไขปัญหาของ ‘นุจรีย์ ศรีสำราญ’ ได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้ง ๆ ที่พรรคการเมืองนี้ไม่มี สส. อยู่ในพื้นที่ที่เธออยู่อาศัยและมีสิทธิเลือกตั้งแต่อย่างใดเลย

นับเป็นเรื่องและตัวอย่างที่ดียิ่งของการเมืองไทยที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้เกิดกับพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง โดยไม่เลือกที่รักหรือมักที่ชังอย่างใด แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจของพรรคการเมืองนี้ที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยอย่างเต็มความสามารถและไม่คำนึงถึงประโยชน์ตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น 

ทั้งนี้ หากมองสิ่งที่ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ทำอยู่ ช่วยลบคำสบประมาทและการครหาที่ว่า “ชาวบ้านจะพบนักการเมืองได้ เฉพาะก่อนการเลือกตั้ง และนักการเมืองจะเข้าหากราบไหว้เพื่อขอคะแนน เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วชาวบ้านก็ไร้ค่า” หรือ “จะพบนักการเมืองหรือตัวแทนได้ เฉพาะงานแต่ง งานบวช งานศพ งานขึ้นบ้านใหม่ ที่มีคนมาร่วมงานเยอะ ๆ” ได้อย่างน่าสนใจ

เรียกได้ว่า คำกล่าวที่ว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง' ของ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ จึงเป็นเรื่องที่ทำจริง ไม่ใช่แค่ลมปาก จนกลายเป็นมิติใหม่ทางการเมืองที่มีคนเริ่มพูดถึง ภายใต้การใช้ Social Media อย่างสร้างสรรค์ ผ่าน Tiktok เพื่อสร้างประโยชน์และความสุขให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ผ่าน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

'เพื่อไทย' ซื้อเวลาให้ 'อุ๊งอิ๊ง' ส่วน 'ภท.' เมากัญชารอบ 2 กองทัพอนุรักษ์นิยม ยอม 'พท.-ทักษิณ' ไว้ยันอำนาจสีส้ม

"...ผลเสี่ยงทาย ของกิน 7 สิ่ง ของ พระโคพอ พระโคเพียง ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2567 ปีนี้ พระโคกินน้ำ หญ้า เหล้า ขณะที่พระยาแรกนาเสี่ยงทายผ้านุ่ง ได้ผ้า 5 คืบ ทำนายว่า น้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี..."

'เล็ก เลียบด่วน' นำผลเสี่ยงทายในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญมาบันทึกไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้พี่น้องเกษตรไทย...มิได้มีเจตนาแขวะประเด็นพระโคไม่กินข้าว ไม่กินข้าวโพด แต่ประการใดไม่...ขอบอก!!

สุดสัปดาห์นี้ ขอจับชีพจรพรรคการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลและขอวิเคราะห์ทำนายเสี่ยงทาย ไฮไลต์ที่น่าสนใจ...พอเป็นสังเขป จากพรรคเล็กไปถึงพรรคใหญ่

- พรรคประชาชาติ: ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง หัวหน้าพรรค, นายซูการ์โน มะทา เลขาธิการพรรค และร่มเงาใหญ่อย่างท่านวันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ จะยังเดินหน้าเป็น 'เพื่อไทย' สาขาด้ามขวานได้เป็นอย่างดี ภายใต้เงื่อนไขคนชื่อ 'ทักษิณ' อย่าโผล่ไปสะกิดแผลกรือเซะ, ตากใบ เป็นอันขาด...

- พรรคชาติไทยพัฒนา: วราวุธ ศิลปะอาชา 'ลูกท็อป' ยังโชว์ฟอร์ม รมต.พม. ได้ดีพอประมาณ แต่การพัฒนาขยายพรรคยังไม่เข้มแข็งพอ ทราบมาว่าตอนนี้ 'เดอะท็อป' กำลังจะเปลี่ยนม้าศึกในศึกเลือกตั้งนายกฯ อบจ. เดือน ก.พ. 2568 เป็นคนใหม่ ว่ากันว่านี่น่าจะเป็นรอยปริรอยร้าว ณ ดินแดนบรรหารบุรี ที่ไม่ควรมองข้ามความปลอดภัย...

- พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.): เมื่อกฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจาก รมช.คลัง ด้วยเหตุ 'ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้' ก็ต้องเปลี่ยนตัว รมต.เป็นคนใหม่ แต่น่าจะตำแหน่งใหม่ไม่ใช่ รมช.คลัง และไม่ใช่ รมช.อุตสาหกรรม อย่างที่สื่อบางค่ายพยายามพูดชี้นำ ส่วนความเป็นเอกภาพปึกแผ่นของพรรค 'เลขาขิง' รับประกันว่ายังปึ้ก...อยากรู้ละเอียดเพิ่มรีบไปฟังบทสัมภาษณ์เลขาขิงโดยสื่ออาวุโส 'สำราญ รอดเพชร' ในเพจของพรรคได้เลย...

- พรรคพลังประชารัฐ: สั้น ๆ ได้ใจความยามนี้...ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ถือดุลอำนาจเหนือพี่น้อง สองป. คือ ป.ป้อม ป.ป๊อด แต่ก็อยู่กันไปแบบให้เกียรติกัน...มือปั่นข่าวว่า ป.ป้อมจะเป็นนายกฯ ก็ยังปั่นต่อไปดีกว่าอยู่เปล่า ๆ...555

- พรรคภูมิใจไทย: เป็นพรรคที่นับว่าน่าสงสารที่สุดในยามนี้ เพราะต้อง 'กลืนเลือด' อึก ๆ กรณีกัญชา...ที่พรรคเพื่อไทยจะเอาไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิม เพราะแรงกดดันจากสังคมและพี่น้องชาวอีสานที่คับแค้นเรื่องยาเสพติดอย่างกัญชา รวมทั้งนโยบายยาบ้า 5 เม็ด...จากนี้ไปเรื่องกัญชาจะกลายเป็นแผลเป็นสำหรับภูมิใจไทย ยกธงขาวก็เสียฟอร์มเสียหาย ไปต่อก็เรือหาย...เลือกตั้งรอบหน้าจะขายอะไร...จะขายนโยบาย อสม. เพื่อไทยก็เอาไปหมดแล้ว...อ้าว!! รอดู 14 พ.ค. เลขาพรรค ไชยชนก ชิดชอบ จะมาปล่อยของ!!

- พรรคเพื่อไทย: จะว่าไปพรรคนี้น่าจะเละตุ้มเป๊ะที่สุด ตั้งแต่ปรับ ครม. / แบ่งงานรัฐมนตรี วงแตกแยกวงกันวุ่นวาย วันก่อนจัดงาน '10 เดือนไม่ต้องรอทำต่อให้เต็ม 10' อุ๊งอิ๊งลูกสาวนายห้างก็ทำระเบิดใส่พรรคขณะโชว์วิสัยทัศน์ ว่า "ความเป็นอิสระของแบงก์ชาติเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ..." และที่วุ่นวายไม่จบหักลบกลบหนี้แล้วมีแนวโน้มจะขาดทุนป่นปี้ก็คือ กรณีข้าว 10 ปีที่ 'สหายใหญ่' ภูมิธรรม เวชยชัย พาใครต่อใครไปกินข้าวโชว์เมื่อวันก่อน...

นั่นยังไม่นับ...บทบาทของนักโทษชายที่อยู่ระหว่างการพักโทษอย่าง 'ทักษิณ ชินวัตร' ที่เคลื่อนไหวรัว ๆ ในหลายเรื่อง ส่งแรงกระเพื่อมเชิงลบไม่จบสิ้น ซึ่งขออนุญาตไม่พูด ณ ที่นี้..

อย่างก็ตามพรรคเพื่อไทยและทักษิณคงประเมินแล้วว่า ตราบใดดุลอำนาจ-สมการการเมือง ยังเป็นอย่างนี้ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังต้องใช้บริการเพื่อไทยเพื่อยันกับอำนาจสีส้ม หนักนิดเบาหน่อย ก็คงจะปล่อยให้เพื่อไทย-ทักษิณ ตอนนี้กำลังเร่งบ่มแก๊สอุ๊งอิ๊ง ให้สุกงอม เป็นนายกฯ ได้ทันปี 2570

จบข่าว

‘กมธ.อุตฯ’ ชี้!! แผนรับมือพลังงานมาบตาพุดไว ช่วยสร้างความมั่นใจนักลงทุนและประชาชน

(10 พ.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม และ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีการเกิดไฟไหม้โรงงานในพื้นที่ต่าง ๆ ว่าทางคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมรู้สึกช่วงนี้เกิดไฟไหม้ขึ้นบ่อย ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่สิ่งที่เป็นข้อสังเกตคือประสิทธิภาพหรือความพร้อมของหน่วยงานดับเพลิง ซึ่งเท่าที่ทราบต้องมีการทบทวนหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในการดับเพลิง เพราะทุกครั้งหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลังจากเกิดเหตุจะทราบว่าหน่วยงานดับเพลิงยังมีความไม่พร้อม ทำให้ในขณะเกิดเหตุการควบคุมเพลิงในหลาย ๆ กรณีที่ผ่านมามีปัญหาอุปสรรค ทั้งเรื่องอุปกรณ์ น้ำยาเคมี บุคลากร งบประมาณ แผนเผชิญเหตุที่ยังไม่มีความพร้อม 100% ส่งผลให้ระยะเวลาในการควบคุมเพลิงมีระยะเวลายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะทำให้ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนและสิ่งแวดล้อม แต่ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ดับเพลิงทุกท่าน โดยความไม่พร้อมต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ผู้ที่เกี่ยวข้องระดับบริหารควรจะต้องรับมาปรับปรุงอย่างเร่งด่วน เนื่องจากในอนาคตหากมีเหตุการณ์เพลิงไหม้โรงงานอีกจะได้ใช้ระยะเวลาในการควบคุมเพลิงได้รวดเร็วขึ้น โดยวันที่ 15 พ.ค.นี้ ทางกรรมาธิการอุตสาหกรรมได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดับเพลิงโรงงานอุตสาหกรรมมาหารือในประเด็นนี้ด้วย

นายอัครเดช ยังกล่าวถึงกรณีไฟไหม้บริษัท มาบตาพุดแทงค์ เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่าขอชื่นชมในส่วนของกระทรวงพลังงาน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้มีแผนรองรับในการดูแลเรื่องของพลังงานอย่างรวดเร็ว มีการตั้งวอร์รูม และมีมอบหมายสั่งการบุคคลและมีแผนฉุกเฉินในการรองรับสถานการณ์ของพลังงานไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของกระแสไฟฟ้าและการจ่ายก๊าซอย่างชัดเจนและรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและพี่น้องประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทำได้อย่างรวดเร็วและสามารถจะแก้ปัญหาทางด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นายอัครเดช ยังกล่าวถึงกรณีไฟไหม้บริษัท มาบตาพุดแทงค์ เทอร์มินอล จำกัด ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่าขอชื่นชมในส่วนของกระทรวงพลังงาน โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ได้มีแผนรองรับในการดูแลเรื่องของพลังงานอย่างรวดเร็ว มีการตั้งวอร์รูม และมีมอบหมายสั่งการบุคคลและมีแผนฉุกเฉินในการรองรับสถานการณ์ของพลังงานไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของกระแสไฟฟ้าและการจ่ายก๊าซอย่างชัดเจนและรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของพลังงาน ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและพี่น้องประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทำได้อย่างรวดเร็วและสามารถจะแก้ปัญหาทางด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ฟังชัดๆ 'เอกนัฏ' ย้ำ!! พรรค รทสช.ยังแน่นปึ้ก ซัดกระแสข่าวชอบตีมั่ว พร้อมสยบร้าว!! ร่วมยินดีเสี่ยเฮ้ง ส่วนปมลาออก เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล

จากรายการ 'ตรงปก ตรงประเด็น กับ...สำราญ รอดเพชร' เมื่อวันที่ 9 พ.ค.67 ได้พูดคุยกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ถึงประเด็นที่มีการตีข่าวแรงสั่นสะเทือนและความขัดแย้งในพรรครวมไทยสร้างชาติในขณะนี้

โดยเริ่มต้นได้มีการถามถึงการไปแสดงความยินดีรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ สุชาติ ชมกลิ่น เข้ากระทรวงฯ? เอกนัฏ เผยว่า "มีสมาชิกพรรค รทสช.ไปร่วมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม เพราะตัวพี่เฮ้งเอง ถือเป็นที่รักของ สส.หลายคนในพรรค และจริง ๆ วันนี้ก็ไม่ได้มีคิวอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้นัดหมายอะไรกันไปเป็นพิเศษ มีแค่เช็กดูกันว่าใครไปบ้าง ไปพร้อมกันและนำดอกไม้ไปให้กำลังใจด้วยกันเลยไหม"

เมื่อถามถึงขอบเขตของงานของ รมช. สุชาติ ในกระทรวงพาณิชย์? เอกนัฏ กล่าวว่า "เท่าที่ผมทราบจะมีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ และก็ดูแลในส่วนสำนักงานแผนเรื่องยุทธศาสตร์การค้า แล้วก็มีสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและพัฒนาองค์กร หรือ ITD เป็น 3 หน่วยงานครับ"

เมื่อถามว่า รมช.สุชาติ มีความหนักใจกับภารกิจโดยเฉพาะในเรื่องของการค้าต่างประเทศมากน้อยแค่ไหน? เอกนัฏ เผยว่า "ท่านไม่มีความหนักใจเลย เพราะด้วยความที่มีพื้นฐานเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว บวกกับเป็นคนที่มีสไตล์การทํางานที่ชัดเจน จึงไม่กังวลใด ๆ อย่างสมัยที่พี่เฮ้งเป็นรัฐมนตรีแรงงานก็เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานโดดเด่นมาก เพราะความเป็นคนที่หนักแน่นและมีความตั้งใจในการทํางานสูง จึงทำให้ผลงานต่าง ๆ มีผลลัพธ์สูง"

เมื่อถามถึงกรณี รมช.คลัง กฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจากตำแหน่ง? เอกนัฏ กล่าวว่า "เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริง ๆ ว่าเบื้องต้นลึกหนาบางเป็นอย่างไร และเราก็ไม่อยากไปซ้ำเติมความรู้สึกของท่านรัฐมนตรีด้วย เพียงแต่พวกเราก็ได้คุยกับท่าน ให้กําลังใจท่านแล้วก็รู้สึกเสียดาย ว่ากระทรวงการคลังจะต้องสูญเสียบุคลากรที่มีคุณภาพไป เพราะท่านเองก็เป็นอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งส่วนตัวผมมองว่า หากมีการพูดคุยกันในอำนาจการทำงานอย่างชัดเจนและคุยกันดี ๆ ก็คงไม่น่านำมาสู่ปัญหาใด ๆ"

เมื่อถามว่าถ้าเป็น เอกนัฏ จะตัดสินใจแบบนี้หรือไม่? เอกนัฏ ตอบว่า "คงเปรียบเทียบกันอย่างนั้นไม่ได้ เพราะที่มาที่ไปต่างกัน ซึ่งผมเข้าใจว่าท่านกฤษฎาเอง เดิมท่านก็เป็นข้าราชการที่ทำงานในกระทรวงฯ มานาน และเหตุการณ์นี้อาจจะมีเรื่องภายในที่กระทบต่อความรู้สึกด้วยหรือไม่อย่างไร ก็ถือว่าเราต้องเคารพการตัดสินใจของท่าน"

เมื่อถามกรณีการลาออกของ รมช.คลัง มีผลแล้วใช่หรือไม่ แล้วยับยั้งได้หรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ในทางการเมือง การลาออกไม่เหมือนข้าราชการ หากแสดงตนว่าจะลาออกแล้ว ก็เท่ากับออก อย่างผมเองตอนมีการชุมนุมแล้วประกาศลาออกบนเวที ก็มีผลตั้งแต่วันนั้นเลยครับ ส่วนใบลาออกเป็นเพียงพิธีการเฉย ๆ ครับ"

เมื่อถามว่า การบ้านก็ต้องไปตกอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ ในการหาคนเข้าไปดูแลต่อตามโควตาหรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ต้องขอยกเทียบเช่นนี้ กรณีรัฐมนตรีต่างประเทศลาออกกับรัฐมนตรีช่วยคลังลาออก จะมีความต่างตรงที่ การขาดไม่ได้ และต้องมีผู้มาดูแลโดยเร่งด่วน ซึ่งก็หมายความว่า ในส่วนของ รมช.ยังไม่ได้มีความเร่งรีบขนาด รมว. เพียงแต่ตรงนี้ก็ยังเป็นโควตาของ รทสช.อยู่ ยังสามารถรอได้ หรือถ้ามองว่าไปดูแลในส่วนอื่น เช่น รองนายกฯ / รัฐมนตรีประจําสํานักนายกฯ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการอื่น ที่เหมาะสมต่อการทำงาน เพื่อให้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยก็ได้"

เมื่อถามถึงกรณีที่สื่อพยายามโยงใยว่า การลาออกของท่านกฤษฎา กับท่านสุพัฒนพงษ์ ในจังหวะเดียวกัน เป็นเหตุบังเอิญ หรือเพราะทั้ง 2 ท่านมีการพูดคุยกัน และตัดสินใจถอนสมอจากพรรคฯ หรือไม่? เอกนัฏ เผยว่า "ประเด็นนี้มั่วมาก ๆ เพราะเหตุผลในการลาออกของท่านกฤษฎากับท่านสุพัฒนพงษ์ เป็นคนละเรื่องเลย กรณีท่านกฤษฎาออกไม่ได้มีความขัดแย้งหรือมีปัญหาอะไรกับพรรคเลยนะครับ หากแต่พูดกันตรงไปตรงมา มันก็สืบเนื่องมาจากการแบ่งงานในกระทรวงการคลังนั่นแหละ ส่วนความสัมพันธ์กับท่านและพรรคฯ นั้นดีมาก ๆ...

"...ส่วนกรณีของท่านสุพัฒนพงษ์ ผมต้องเรียนแบบนี้ว่า หากยังจำกรณีท่าน แรมโบ้-เสกสกล ได้ ในวันนั้นท่านลาออกจากสมาชิกพรรคไป ก็เพื่อที่จะไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจการนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าท่านต้องเตรียมไปดํารงตําแหน่งที่ไหนหรือไม่ที่จะต้องเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งท่านก็มีเปรยว่าเกี่ยวกับด้านพลังงาน ทำให้การลาออกจากสมาชิกพรรคในครั้งนี้ ก็เพื่อความสง่างามในอนาคตของท่านด้วยครับ"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "สําหรับพรรครวมไทยสร้างชาติหัวหน้าพรรคท่านพีระพันธุ์กับผมยืนยันมาตลอดว่าคนสําคัญที่สุด ก็คือ โหวตเตอร์ของพรรค ไม่มีใครสำคัญกว่าประชาชนอีกแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีกรณีที่พยายามสั่นสะเทือนความมั่นคงของพรรค โดยเอาประเด็นท่านสุพัฒนพงษ์และท่านกฤษฎามาโยง เราก็ต้องเรียนตรงๆ ว่ามันไม่มีอะไรเชื่อมมาถึงปัญหาในพรรคเลย เพราะพรรคก็ต้องเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ยังดีเช่นเดิม โทรหากันเช่นเดิม...

"...ฉะนั้นกับกระแสที่เกิดขึ้น ผมจึงมองว่าไร้สาระมาก จับแพะชนแกะกันเก่ง ถึงขนาดที่ว่า ผมไปนั่งคุยกับท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ ด้วยระยะเวลาประมาณชั่วโมงนึง ก็เสี้ยมกันออกมาว่า หัวหน้ากับผมแตกกัน มันไร้สาระมาก ... ถามหน่อยว่าผมไปที่ทําเนียบ ต้องพูดคุยข้อราชการกับท่านหัวหน้า จะให้ผมคุยกี่นาที ถึงจะไม่ประเด็นหรือไม่เกิดสัญญาณความขัดแย้ง  เพราะในความเป็นจริง เราคุยกันตลอดครับเราคุยกันตลอดไม่ใช่แค่ที่ทําเนียบ ผมกับท่านมีการโทรศัพท์ปรึกษากันแทบทั้งวัน เพื่อตกผลึกประเด็นต่างๆ อย่างรวดเร็ว"

เอกนัฏ กล่าวอีกว่า "ท่านหัวหน้ากับผมร่วมกันสร้างรวมไทยสร้างชาติมากันสองคนตั้งแต่ไม่มีอะไร ผมพูดตลอดเหมือนเสื่อผืนหมอนไป วันนั้นก็มีกันอยู่สองคน แล้วเมื่อมีคนเห็นความตั้งใจของเรา ก็มาร่วมงานอยู่เป็นจํานวนมาก จนเราสร้างระบบรากฐานให้พรรคได้อย่างมั่นคงถึงตอนนี้...

"หัวหน้ากับผมมีความตั้งใจมีความแน่วแน่ที่จะไม่ทําให้ประชาชนต้องผิดหวัง โดยการทำงานของเราสองคนเนี่ย เป็นการทำงานแบบแบ่งหน้าที่กัน ท่านหัวหน้าซึ่งเป็นผู้นํา ก็ต้องสร้างกระแสให้กับพรรค สร้างความเชื่อมั่นให้กับพรรค ส่วนผมก็เป็นแม่บ้านคอยเก็บกวาด คอยดูแลเอาใจใส่ สส. และเรื่องของประเด็นภายในต่างๆ เราแบ่งหน้าที่กันตามที่ประสาชาวบ้านเรียกว่า 'แบ่งบทกันเล่น'"

เมื่อถามว่า รทสช. ยังต้องมี 'บิ๊กตู่-ท่านพีและขิงเอกนัฏ' อยู่ด้วยกันแน่นอน? เอกนัฏ ยืนยันว่า "แน่นอนครับ ไม่ว่าวันไหนก็อยู่ด้วยกันครับ ถ้ามีหัวหน้าพีระพันธุ์ ก็ต้องมีเลขาฯ เอกนัฏ ที่ผมกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านหัวหน้าเป็นคนดีมาก ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตแล้วก็มีความแน่วแน่ในการทํางาน ผมเชื่อว่าประเทศจะได้ประโยชน์จากการมีผู้นําแบบท่านพีระพันธุ์ อย่างบทบาทของท่านในกระทรวงพลังงานวันนี้ ท่านกำลังทําในสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราทุกคนต่างก็ให้กําลังใจแล้วก็ซัพพอร์ตท่านเต็มที่"

‘พีระพันธุ์’ รับเรื่องร้องเรียนปัญหาคนเมืองเพชรบุรี ยัน!! แม้ไม่ใช่ภารกิจหลัก แต่พร้อมสานต่อถึง ครม.

(13 พ.ค.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค, นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ สส.เพชรบุรี เขต 1 และ จ.อ. อภิชาติ แก้วโกศล สส.เพชรุบรี เขต 3 รวมทั้ง สส. และ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ และคณะผู้บริหารพรรค ได้ลงพื้นที่จุดสะพานกลับรถข้ามรถไฟทางคู่ อ.เมือง จ.เพชรบุรี

เมื่อเดินทางไปถึงจุดดังกล่าว มีพี่น้องประชาชนได้มายื่นเรื่องร้องเรียน เกี่ยวกับปัญหาการจราจร อุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และจากกรณีรถไฟไม่สามารถหยุดจอดได้ในทันที ซึ่งสุ่มเสี่ยงอาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ ดังนั้นพี่น้องประชาชน จึงต้องการขอให้ภาครัฐทำการสร้างสะพานข้ามเกือกม้า เพื่อลดอุบัติเหตุ และแก้ไขปัญหาการจราจร

จากข้อร้องเรียนดังกล่าวของประชาชนในพื้นที่ อ.เมือง จ.เพชรบุรีนั้น นายพีระพันธุ์ ยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่า จะนำปัญหาดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มาประชุมที่ จ.เพชรบุรี ในครั้งนี้ด้วย (13-14 พ.ค.2567)

หลังเสร็จภารกิจจากจุดดังกล่าว นายพีระพันธุ์ ได้ลงพื้นที่องค์การบริหารส่วนตำบลแก่งกระจานต่อ เพื่อรับหนังสือร้องเรียนชาวบ้านเรื่องการก่อสร้างบานเปิด-ปิด ระบายน้ำ หรือ สปิลเวย์ เขื่อนแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้ นายพีระพันธุ์ กล่าวภายหลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนว่า ตนจะต้องประสานข้อมูลและข้อเท็จจริงกับทางหน่วยราชการที่เป็นเจ้าของเรื่องว่า มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร อีกทั้งมีวิธีการดำเนินการได้แค่ไหน ในกรณีแบบนี้บางอย่าง ก็ต้องหาวิธีการเพื่อมาชดเชย แต่ถ้าหน่วยราชการมีรูปแบบวิธีการแก้ปัญหาก็สามารถนำมาพิจารณา ขณะเดียวกัน ตนก็จะดูเรื่องการแก้ปัญหานี้ควบคู่ไปด้วยเช่นกัน

ด้าน นายวิรัตน์ นกวอน นายกองค์การบริหารตำบล แก่งกระจาน เปิดเผยว่า วันนี้ตนและประชาชนในพื้นที่ มายื่นหนังสือร้องเรียนให้ท่านรองนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ เพื่อต้องการให้ท่านช่วยชะลอการก่อสร้างบานเปิด-ปิดระบายน้ำเขื่อนแก่งกระจานไปจนกว่า สอบถามความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่แล้วเสร็จ

“ผมเชื่อว่า พี่น้องประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านที่อยู่ขอบอ่าง ไม่เห็นด้วย เพราะหากมีการก่อสร้างบานเปิด-ปิดดังกล่าวที่สูงขึ้นไปอีก จะทำให้ประชาชน ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมหนัก หากน้ำล้นเขื่อนขึ้นมาในปริมาณที่มากอีก และถ้าหนีขึ้นไปด้านหลังซึ่งเป็นเขาและเป็นพื้นที่เขตอุทยานฯ ก็อาจจะมีความผิดฐานบุกรุกพื้นที่อุทยานฯ เพราะโครงการดังกล่าวทางกรมชลประทาน ไม่ได้มีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเลย“ นายวิรัตน์ กล่าว

สำหรับโครงการก่อสร้างนี้มีทั้งหมด 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ส่วนที่ 1 คือการก่อสร้างสะพานข้ามสปิลเวย์ ส่วนที่ 2 คือ การสร้างแนวกันตลิ่ง เพื่อกันน้ำเซาะตลิ่ง ทั้งนี้ในส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 นี้ ชาวบ้านไม่คัดค้าน เนื่องจากมีประโยชน์ต่อจังหวัด และพื้นที่ เพื่อใช้เป็นจุด check in และเป็นจุด Landmark Point ของจังหวัดแต่ ส่วนที่ 3 คือการก่อสร้างบานเปิด-ปิดน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำ ได้มีการประชุมระดับอำเภอแล้ว และได้ข้อสรุปให้ชะลอจนกว่าจะสอบถามความคิดเห็นของประชาชน แม้ที่ผ่านมาจะมีการสั่งชะลอ แต่ยังมีการดำเนินการก่อสร้าง

ปัญหาที่เกิดขึ้น กับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว เมื่อน้ำล้นสปิลเวย์ จะท่วมบ้านเรือนราษฎรที่เป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังท่วมพื้นที่ทำกิน พืชผลทางการเกษตร อีกทั้งแนวเขตชลประทานเพิ่มขึ้นทับช้อนพื้นที่ทำกินของชาวบ้านที่ได้รับการผ่อนผันให้ทำกิน ตามมติ ครม. มิ.ย. 41

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางแก้ไข้ ต้องการเสนอให้ชลประทานเปลี่ยนแปลงโครงการจากทำบานพับสปิลเวย์ มาเป็นขุดลอกเขื่อนแทน เนื่องจากทุกปีในช่วงฤดูฝน เกิดน้ำหลาก เกิดการพังทลายของดินไหลลงสู่เขื่อนแก่งกระจาน เป็นตะกอน ทำให้ตื้นเขิน จึงกักเก็บน้ำได้ปริมาณน้อยลง จึงควรใช้วิธีการขุดลอก เพื่อกักเก็บน้ำให้มากขึ้น เป็นการลดความเสี่ยงกรณีเขื่อนแตก เพราะจะมีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้อยู่อาศัยบริเวณใต้เขื่อน และลดผลกระทบผู้อยู่อาศัยบริเวณรอบเขื่อนอีกด้วย

สำหรับหมู่บ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากการก่อสร้างดังกล่าว ได้แก่ หมู่บ้านพุเข็ม หมู่ 10 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านพุบอน หมู่ที่ 14 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านน้ำทรัพย์ หมู่ที่ 9 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านหนองเกตุ หมู่ที่ 7 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านท่าเรือ หมู่ที่ 8 ต.แก่งกระจาน หมู่บ้านท่าลิงลม หมู่ที่ 3 ต.สองพี่น้อง หมู่บ้านวังวน หมู่ที่ 2 ต.สองพี่น้อง หมู่บ้านพุไทร หมู่ที่ 3 ต.ห้วยแม่เพรียง และหมู่บ้านลำตะเคียน หมู่ที่ 4 ต.แก่งกระจาน ทั้งนี้มีทั้งหมด2,097 ครัวเรือน มีประชากรทั้งหมด 4,715 คน

ภายหลังรับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน ทั้งปัญหาการจราจรจุดสะพานกลับรถข้ามรถไฟทางคู่ อ.เมือง และ เรื่องการก่อสร้างบานเปิด-ปิด ระบายน้ำ หรือสปิลเวย์ เขื่อนแก่งกระจาน นายพีระพันธุ์ ยังได้ลงพื้นที่ หมู่ที่ 3 ต.ไร่สะท้อน อ.บ้านลาด เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนกลุ่มเลี้ยงวัวทางด้านการเกษตรและกีฬาต่อ

หลังจากพูดคุยกัน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องช่วงเวลาการเล่นกีฬาวัวลาน ที่จะขอให้มีการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาในการแข่งเป็นเวลาไหนนั้น ให้เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการไปก่อน แต่ถ้าไม่ได้ เราก็จะมาแก้ให้อยู่ในกฎหมาย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนดีกว่า”

นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แต่ในระหว่างรอการแก้ไขกฎหมาย เราก็สามารถประสานไปกับทางกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้” 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top