Friday, 17 May 2024
รวมไทยสร้างชาติ

‘พีระพันธุ์’ งง!! รองโฆษกพรรคลาออก ทั้งยังเคลมคำพูดตน  ลั่น!! ‘รทสช.’ เป็นอนุรักษ์นิยมก้าวหน้า ที่ทำงานเพื่อปชช.

(14 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา โพสต์ข้อความลาออกจากการเป็นรองโฆษกและสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึงโจมตีการทำงานของกรรมการบริหารพรรค ว่า ตนยังไม่เห็นหนังสือลาออก แต่ตนรู้สึกแปลกใจสิ่งที่นายชินภัสร์พูด เพราะเป็นสิ่งที่ตนพูดในที่ประชุมพรรคเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (12 ธ.ค.) ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติไม่ได้เป็นแบบนั้น จะต้องเดินแบบไหน ซึ่งนายชินภัสร์เองก็นั่งฟังในห้องประชุม

“เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาผมได้เจอกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งคุยกับนายชินภัสร์เมื่อวานนี้ก็ไม่ได้มีอะไร แต่ผมแปลกใจว่าสิ่งที่นายชินภัสร์สื่อสารคือเป็นสิ่งที่ผมพูดในห้องประชุมว่าเวลานี้ประชาชนเขาเบื่อการเมืองแบบนี้ การเมืองที่มีแต่การเมือง ประชาชนต้องการนักการเมืองที่ทำงาน เพราะฉะนั้นการเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติต้องทำงาน การเป็นผู้สมัครหรือสส.จะทำงานในสภาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องลงพื้นที่พบประชาชนเพื่อรับฟังปัญหานำมาหารือว่าจะปรับปรุงอย่างไรด้วย” นายพีระพันธุ์ กล่าว

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะต้องไม่เป็นพรรคการเมืองเพื่อการเมือง ต้องเป็นพรรคการเมืองที่ทำงานเพื่อประชาชน พร้อมกับกล่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมก้าวหน้า อะไรที่จำเป็นต้องปรับ แต่อะไรที่เป็นเสาหลักของประเทศ อันนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราจะต้องเก็บในสิ่งที่ดี รักษาสิ่งที่เป็นแบบไทย ส่วนอะไรต้องปรับเปลี่ยนให้ประเทศเดินหน้า สังคมเดินหน้า ประชาชนอยู่แล้วมีความสุข ต้องเปลี่ยนหมด กฎเกณฑ์กติกาใช้ไม่ได้ต้องรื้อทิ้ง

‘นิรโทษกรรม’ ไม่ง่าย!! หาก ‘ก้าวไกล’ สอดแทรก 112 ‘พท.-รทสช.’ เดินหน้าปรองดอง แค่ไม่แตะสถาบันฯ

ว่าจะขยับเรื่อง 120 วันของนักโทษเทวดา ว่าจะเดินหน้าถอยหลังหรือออกข้างอย่างไร? แต่ขอขยักกั๊กไว้วันศุกร์สุดสัปดาห์ดีกว่า…

วันนี้ขอเคลียร์คัตชัดเจนเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม ซักหน่อย!!

สรุปความตามท้องเรื่อง…เรื่องการนิรโทษกรรมมีการพูดถึงและเคลื่อนไหวกันอย่างกว้างขวางพอประมาณ แต่ในส่วนของการขับเคลื่อนที่จะให้เป็นจริงนั้นยังต้องรอดูของจริงกันต่อไป ในชั้นนี้พอจะสรุปได้ดังนี้…

1) พรรคก้าวไกล ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาตั้งแต่สมัยประชุมที่แล้ว ชื่อ “ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองพ.ศ....” โดยร่างนี้สำนักงานเลขาธิการสภาฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นหรือทำประชาพิจารณ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 เรียบร้อยแล้ว มีผู้เห็นด้วยเพียงร้อยละ 28.37 แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อห้ามที่จะนำไปบรรจุเป็นวาระการประชุม

ประเด็นที่มีเสียงคัดค้านร่างของพรรคก้าวไกลก็คือ การเปิดทางให้มีการนิรโทษกรรมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับองค์พระมหากษัตริย์-สถาบันฯ

2) พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ยกร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ...เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับ 20 สส.ได้ลงชื่อแล้วด้วย ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับแก้ข้อความให้กระชับสมบูรณ์กว่าเดิม ทั้งนี้ร่างของพรรครทสช.มี 12 มาตรา นอกเหนือการนิรโทษกรรมให้กับความผิดอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองแล้ว...จุดเน้นหนักคือ จะไม่นิรโทษกรรมกับ3 ความผิดคือ 1.คดีทุจริต 2.คดีความผิดตามมาตรา 112 และ 3.ความผิดอาญาร้ายแรงทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

กล่าวได้ว่าในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลพรรค รทสช.กล้าหาญชาญชัยกว่าพรรคอื่นๆ ในการแสดงจุดยืนให้บ้านเดินหน้าปรองดองสมานฉันท์ โดยไม่ออกอาการ ‘แหยง’ จนออกอาการ ‘กั๊ก’ กับคำว่านิรโทษกรรม...แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าพรรค รทสช.จะยื่นร่างในสมัยประชุมนี้เลยหรือชะลอเอาไว้ก่อน รอไปพร้อมกับขบวนใหญ่ของพรรคร่วมรัฐบาล

3) ในส่วนของพรรคแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคเพื่อไทย เลือกหนทางให้เสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรม ในสมัยประชุมนี้นัยว่าเพื่อจะได้หาข้อสรุปเพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.ในสมัยประชุมหน้า (เดือน ก.ค.-ต.ค.2567) ซึ่งหากไม่มีข้อถกเถียงกันมากรัฐบาลอาจเสนอร่างกฎหมายในนาม ครม.หรือรัฐบาลเลยก็เป็นได้…

4) อย่างไรก็ตาม...เนื่องจากรัฐบาลแทบจะไม่มีกฎหมายเสนอต่อสภาฯ นอกจากกฎหมายใหญ่อย่างร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีฯ 2567 ดังนั้นร่างกฎหมายที่รอคิวการพิจารณาส่วนใหญ่จะเป็นร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล เช่น ร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม เป็นต้น...ทำให้ขณะนี้วิปฝ่ายรัฐบาลบางส่วนรู้สึกเป็นฝ่ายตั้งรับฝ่ายค้าน หากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับก้าวไกลถึงคิวการประชุมสมัยนี้ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลไม่มีร่างกฎหมายประกบ ซึ่งหนทางเดียวก็คือ ต้องคว่ำร่าง พ.ร.บ.ของพรรคก้าวไกล...อันจะมีทั้งผลดีและผลเสีย…

กรณีดังกล่าว เสียงข้างน้อยในวิปรัฐบาล จึงอยากให้มีการเสนอร่างนิรโทษประกบเอาไว้แบบเผื่อเหลือเผื่อขาด ถ้าไม่ทันสมัยประชุมนี้ ก็ไม่มีอะไรเสียหายประมาณนั้น...

ดังที่ได้วิสัชนามา...ก็พอจะสรุปได้ว่า...การนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ก็พอจะเห็นแสงสว่างอยู่ วิบๆ วับๆ...ไม่เจิดจ้าแจ่มชัดเหมือนเส้นทางสู่คุกนอกเรือนจำอันหรูหราก่อนที่จะถึงวันเวลาพักโทษปลายเดือน ก.พ.ของชายไทยวัย 74 ที่อยู่ชั้น 14 มาจะครบ 4 เดือนในอีกวันสองวันนี้

สวัสดีประเทศไทย

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

'พีระพันธุ์' ยัน!! ดรามาเติมน้ำมันได้ไม่ถึง 5 ลิตร ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่ควรปรับเกณฑ์ ช่วยลดความคลาดเคลื่อน เพื่อประโยชน์ผู้บริโภค

(22 ธ.ค.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

จากกรณีที่มีข่าวว่าปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเติมน้ำมัน 5 ลิตร แต่ได้น้ำมันไม่ถึง 5 ลิตร เจ้าหน้าที่ปั๊มตอบว่า ตามกฎกระทรวงให้สามารถทำได้กรณีน้ำมัน บวก/ลบ ไม่เกิน 50 มิลลิลิตรนั้น

ผมได้ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์ครับ ในเรื่องของชั่งตวงวัด

การกำกับดูแลมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ภายใต้ภารกิจของสำนักชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ โดยจากกฎกระทรวงกำหนดเครื่องวัดที่อยู่ในการบังคับแห่ง พรบ.ชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 สำหรับมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง กรณีใช้ถังตวงขนาด 5 ลิตร มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด +/- 25 mL สำหรับการตรวจสอบเพื่อรับรอง และ +/- 50 mL สำหรับการตรวจสอบระหว่างใช้งาน 

ดังนั้น กรณีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในคลิป ซึ่งเป็นมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับใช้งาน มีอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด +/- 50 mL จึงไม่ได้ทำผิดตามกฎหมายดังกล่าวตามที่ปั๊มน้ำมันอ้างจริง

อย่างไรก็ตาม ผมเองเห็นว่าในปัจจุบันความสามารถของเครื่องมือในการชั่งตวงวัดดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก มีความเที่ยงตรงสูงกว่าแต่ก่อน จึงสมควรมีการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้คลาดเคลื่อนน้อยที่สุดเพื่อประโยชน์ผู้บริโภค

ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ผมจะแจ้งประสานไปยังกระทรวงพาณิชย์ให้พิจารณาทบทวนอัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดดังกล่าวให้แคบลง และจะนำเรื่องนี้ไปรวมไว้ในการแก้ไขกฎหมายน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการ และในฐานะที่ผมเป็นประธานคณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติด้วย ก็จะนำเรื่องนี้ไปพิจารณาว่าจะสามารถแก้ไขมาตรฐานของเครื่องมือชั่งตวงวัดได้อย่างไรบ้าง 

ล่าสุดประธานที่ปรึกษาของผม ท่านณอคุณ สิทธิพงศ์ ได้ประสานงานกับอธิบดีกรมธุรกิจพลังงานว่าจะสามารถดำเนินการแก้ไขเยียวยาอะไรก่อนได้บ้างหรือไม่ ก่อนที่จะมีการปรับกฎเกณฑ์ต่อไป

'เอกนัฎ' ชม!! ตั้งงบประมาณแบบขาดดุล ถือว่ามาถูกทาง วอน 'สส.ฝ่ายค้าน-รัฐบาล' เปิดใจให้โอกาสกับประเทศ 

(3 ม.ค.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานที่ประชุมวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อภิปรายว่า ตนเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันก็จะสามารถปรับวิธีคิดในการบริหารจัดการใช้งบประมาณ ตนเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างโอกาสจากวิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ตนไม่อยากให้โอกาสที่เป็นของประเทศที่เกิดจากวิกฤตต้องสูญเสียไป ขณะที่ประเทศไทยมองประเทศเพื่อนบ้านตาปริบ ๆ จีดีพีเพิ่ม 5-6 เปอร์เซนต์ ที่เราคาดการกันไว้จีดีพีประเทศไทยปีนี้อย่างดีก็เพิ่มประมาณ 3 เปอร์เซนต์กว่า ถ้าจะทำได้ต้องรีบใช้งบฯ ฉบับนี้ ตนยังมีความหวังกับประเทศนี้

นายเอกนัฎ กล่าวต่อว่า งบประมาณฉบับนี้มีการตั้งงบขาดดุลไว้ 6.93 แสนล้านบาท ส่วนงบลงทุนที่มีการตั้งงบไว้ 7.18 แสนล้านบาท ถือว่ามาถูกทางแล้ว มีการตั้งงบรายจ่ายสูงกว่าเงินที่เรารับมาในสัดส่วนที่ตรงกับเงินที่นำไปลงทุน แบบนี้ตนถือว่าเริ่มติดกระดุมถูกเม็ด เพราะเห็นความสำคัญกับงบลงทุน เพื่อไปเติมเต็มขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างรายได้ อย่ามองแค่เฉพาะยอดเงินที่ปรากฏในงบประมาณเท่านั้น จะต้องใช้งบลงทุนอย่างมียุทธศาสตร์ ขอให้รัฐบาลมีระบบการรวมศูนย์การใช้งบประมาณ รวมถึงการเร่งสานต่อโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ, รถไฟรางคู่, รถไฟความเร็วสูง หลังจากพิจารณาผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้แล้ว จะต้องเร่งใช้เงินภายใน 4-5 เดือน ให้ทันภายในปีงบประมาณ 2567 โดยให้ท้องถิ่นนำไปกระจายใช้ 

ส่วนการดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทยนั้น จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าการใช้งบประมาณเกิดการทุจริต ดังนั้นงบประมาณที่นำไปใช้จ่ายต้องถึงประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ควรให้แต่ละหน่วยงานเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าตรวจสอบการใช้งบ ให้การใช้งบเกิดประโยชน์สูงสุด ที่สำคัญคือบรรยากาศ จะไม่มีประโยชน์อะไรถ้าใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางความขัดแย้งประชาชน 

“สำหรับรัฐบาลชุดนี้เราเห็นสัญญาณของการยุติความขัดแย้ง ผ่านการเลือกตั้งมา 2 รอบแล้วผมหวังว่า จะเป็นการสิ้นสุดวาทกรรมเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตย ผมหวังว่าสส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล จะช่วยกันพิจารณาผลักดันผ่านงบประมาณโดยเร็ว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องประชาชน เราอยากมีเงินมาลงทุนกับคุณภาพชีวิต ให้กับประชาชน หวังว่าสส.ทุกท่านจะเปิดใจให้โอกาสกับประเทศ ขอให้สส.ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและเป็นแรงบันดาลใจให้ประชาชน และใช้โอกาสนี้ในการรวมมือกันทำงานไม่ใช่แค่พิจารณางบฯ เท่านั้น แต่ต้องติดตามการใช้งบต่างๆ ให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ มีความโปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุด ผมมั่นใจว่าถ้าเราร่วมมือกันเราทำได้” นายเอกนัฎ กล่าว

‘ลอรี่ รทสช.’ ไล่ ‘สส.ก้าวไกล’ กลับไปทำการบ้านให้ดีกว่านี้ หลังอธิบายเรื่องผังเมือง แต่กลับพาดพิง ‘สำนักทรัพย์สินฯ’

(11 ม.ค. 67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจาก สส.ก้าวไกล ได้อภิปรายในสภาฯ ในวันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เกี่ยวกับเรื่องผังเมือง โดย นายพงศ์พล ระบุว่า “ผังเมือง...อย่าโหนเรื่องเจ้า

ถกเรื่องผังเมืองกรุงเทพฯ อยู่ ๆ ตัวแทนก้าวไกล โพร่งออกมาพาดพิงสำนักทรัพย์สินฯ

ฟังนะครับ…ที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีจำนวนทั้งสิ้น 41,000 ไร่ ส่วนใหญ่จัดสรรให้ราชการเช่าใน ‘ราคาต่ำ’ เพื่อประโยชน์ของปชช. ถึง 93% มีพื้นที่เชิงพาณิชย์เพียง 7% เท่านั้น

ยิ่งไปกว่านี้ สถาบันกษัตริย์ยังมีการพระราชทานโฉนดที่ดิน เพื่องานราชการ และสร้างโรงเรียนเนือง ๆ อยู่ตลอด

มิใช่ตามที่ต้นทางโจมตีผิด ๆ ว่าเอาที่ดินมาหากินแต่อย่างใด...โปรดจำไว้ใส่กระหม่อม

หากต้องการ ถกเรื่องการพัฒนาผังเมืองกรุงเทพ ฉบับใหม่แบบจริง ๆ จัง ช่วยทำการบ้านมากกว่านี้ เพราะผังเมืองปฏิเสธไม่ได้หรอกมันคือ การถ่วงดุลย์ระหว่าง คุณภาพชีวิตผู้อยู่อาศัย-สิ่งแวดล้อม ให้บาล๊านซ์กับ ความเจริญ (เติบโตจากภาคเอกชน)

ปราศจากทุนเมืองก็ไม่โตครับ เอกชนสร้างตึกทุกที่ไม่มีข้อจำกัด สภาพคนกรุงก็ร่อแร่ครับ...นี่คือความเป็นจริง ถ้าเรายังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกัน ไม่มีตรรกะอุดมคติเพ้อฝันนัก

ฉะนั้นต้องเจาะดูเป็นโซนครับ ตรงไหนไม่ยอมให้เอกชนขยายแล้วอย่าง สุขุมวิท-พร้อมพงษ์ ขีดปากกาล้อมไว้ ลงรายละเอียดลึก

เพราะโหนด่าแต่กลุ่มทุน ด่าแต่สำนักทรัพย์สินฯ ให้คนเย้ว ๆ ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เป็นแค่การหาเรื่อง ของพวกไม่ทำการบ้านเท่านั้น

‘โฆษก รทสช.’ อัด!! ‘จิรัฏฐ์’ ปมขอเข้าดูบ้านพัก ’บิ๊กตู่’ ชี้!! องคมนตรีอยู่นอกการเมือง ไม่ควรก้าวล่วงท่าน

เมื่อวานนี้ (21 ม.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ที่ได้ให้สัมภาษณ์ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร ว่าจะดำเนินการตรวจสอบกระทรวงกลาโหมและกองทัพในประเด็นต่างๆ ว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ กมธ.จะเข้าไปตรวจสอบหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ ซึ่งตนในฐานะ สส. ก็สนับสนุนให้ไปตรวจสอบหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยที่ไม่ใช่เฉพาะกระทรวงกลาโหม แต่การจะไปตรวจสอบอะไรนั้นก็ต้องมีการหารือกันในคณะ กมธ.ให้มีมติก่อน ไม่ใช่อยากจะตรวจสอบอะไรก็ออกมาให้ข่าว ซึ่งกรณีนี้ไม่ทราบว่าทาง กมธ.ได้มีมติออกมาหรือยัง และก็ไม่ทราบว่านายจิรัฏฐ์ใช้อำนาจใดที่จะไปตรวจสอบ เพราะการจะทำหน้าที่อะไรนั้นเราจะต้องเข้าใจอำนาจหน้าที่ กฎหมาย และบทบาทก่อน เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของสังคมและประชาชน

“นายจิรัฏฐ์ก็ไม่ใช่ประธาน กมธ. เป็นเพียงโฆษก ก็ควรจะออกมาแถลงแค่มติของ กมธ. ไม่ใช่ออกมาแถลงในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด อยากจะทำ นายจิรัฏฐ์จะทำอะไรควรคิดให้มากและรอบคอบ เพราะมันจะทำให้ กมธ.ไม่มีความน่าเชื่อถือ และไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมและประชาชน” นายอัครเดช กล่าว 

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังกล่าวต่อถึงกรณีที่นายจิรัฏฐ์ จะขอกระทรวงกลาโหมเข้าไปถ่ายทำบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ว่า ปัจจุบันตั้งแต่พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นองคมนตรี ก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว ก็ไม่ควรไปก้าวล่วงท่าน ซึ่งนายจิรัฏฐ์เป็นถึง สส. ก็ต้องรู้ว่าใครอยู่ในการเมือง อยู่นอกการเมือง หรืออะไรควร ไม่ควร ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ควรทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อถือ เชื่อมั่น เพราะไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ตัว สส.เสื่อมเสียไปเอง และขอแนะนำให้นายจิรัฎฐ์เอาเวลาไปทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนจะดีกว่า

‘รทสช.’ ชี้!! เงินบริจาคผ่านระบบภาษีให้พรรคพุ่งเป็นอันดับ 3 สะท้อน!! ปชช.เชื่อมั่นในแนวทาง ‘พรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่’

(26 ม.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ร่วมสนับสนุนบริจาคเงินภาษีและเงินอุดหนุนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งในปีนี้ได้ถึง 10 ล้านกว่าบาท ได้มากเป็นอันดับที่ 3 ของพรรคการเมืองที่จดทะเบียน ยอดบริจาคในปีนี้เพิ่มมากขึ้นถ้าเปรียบเทียบกับปีก่อนที่ได้เพียง 4 แสนกว่าบาท แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ ทำการเมืองมาปีกว่าๆ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ได้ทำให้ผู้บริหารพรรคและสมาชิกพรรคมีกำลังใจ ดีใจที่เห็นพี่น้องประชาชนทั่วประเทศสนับสนุน ทำให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ดูแลรับใช้ประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยพรรคจะยืนหยัดในอุดมการณ์ของพรรคอย่างมั่นคง ในแนวทาง ‘พรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่’ โดยพร้อมเปิดกว้างพร้อมรับแนวร่วมคนทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยเข้ามาสร้างพรรคให้เติบโต ตามแนวทางของพรรคที่ยังจะรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตของประเทศไว้ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าที่มีความจำเป็น

นายอัครเดช กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่มาร่วมสนับสนุนแนวทางการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติให้มากยิ่งขึ้น พรรคจะพยายามทำงานแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ยังคงรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตไว้

เมื่อถามว่า การที่มีประชาชนบริจาคเงินสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นแสดงว่าแนวทางของพรรคที่เดินมาถูกทางแล้วใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ยอดเงินบริจาคที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าประชาชนเชื่อมั่น ในแนวทางของพรรคโดยเฉพาะจุดยืนมีความชัดเจน และ ผลงานของพรรคที่ทำมา แม้จะเข้าร่วมรัฐบาลได้ไม่นาน ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนหันมาสนับสนุน พรรครวมไทยสร้างชาติเรามีบุคลากรที่พร้อมจะเข้ามาบริหารประเทศและพร้อมเข้ามาทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อถามว่า จะเดินตามแนวทางนี้ของพรรคต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า พรรคจะยึดมั่นแนวทางนี้ต่อไปเพราะเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนได้ ดูได้จากมีคนมาบริจาคเงิน ผ่านระบบการเสียภาษี ให้พรรคเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ในปีต่อไปขอให้พี่น้องประชาชนมาร่วมบริจาคเงินให้พรรครวมไทยสร้างชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้พรรคยืนหยัดในแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคที่ได้ประกาศไว้ต่อพี่น้องประชาชนอย่างมั่นคง

‘รมว.พีระพันธุ์’ เกลี้ยกล่อม ‘เจ๋ง ดอกจิก’ มอบตัว หลังมีชื่อเอี่ยวก๊วนศรีสุวรรณ รีดเงินอธิบดีกรมการข้าว

(26 ม.ค. 67) พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป.นำกำลังเจ้าหน้าที่ บก.ปปป. สนธิกำลังร่วมกับ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. นำโดย พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผอ.ปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ นำหมายค้นเข้าตรวจสอบพื้นที่เป้าหมายจำนวน 3 จุด ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี เพื่อจับกุมตัวผู้ต้องหาขบวนการนักเคลื่อนไหวหรือนักร้องเรียนข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐแลกกับการไม่ร้องเรียนหรือกลั่นแกล้งให้ถูกตรวจสอบ

สำหรับปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว ว่าได้ถูกนายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน หรือ นักเคลื่อนไหวชื่อดัง พร้อมด้วยนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ และเป็นหนึ่งในคณะทำงานเขตราชการที่ 11 ที่ได้รับการแต่งตั้งจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี พร้อม น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ อดีตผู้สมัคร สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมกันข่มขู่เรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท ก่อนจะมีการเจรจาต่อรองเหลือเพียง 1.5 ล้านบาท เพื่อแลกกับการยุติเรื่องร้องเรียนโครงการสนับสนุนลดต้นทุนการผลิตด้านการปลูกข้าว และโครงการปรับปรุงการผลิตสำหรับผู้ปลูกข้าว โดยอ้างว่าพบข้อพิรุธที่ส่อไปในทางทุจริต

แต่ด้วยความที่ นายณัฏฐกิตติ์ มั่นใจว่าที่ผ่านมาตนเองนั้นบริหารงานหรือปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ถูกผู้ต้องหาทั้ง 3 รายกล่าวอ้างเพื่อข่มขู่ จึงมองว่าการถูกกระทำเช่นนี้ไม่เป็นธรรมแก่ตนเอง แต่ด้วยความที่เกรงว่าหากถูกร้องเรียนโจมตีบ่อยครั้งเข้าจะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง จึงยอมจ่ายเงินให้ครั้งแรกก่อนเป็นจำนวน 1.4 แสนบาท ก่อนแอบถ่ายคลิปวิดีโอตอนส่งมอบเงินเก็บไว้เป็นหลักฐาน 

จากนั้นจึงนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ก่อนมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจนเชื่อว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 รายมีพฤติกรรมดังกล่าวจริง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางออกหมายจับ นายศรีสุวรรณ และ น.ส.พิมณัฏฐา ในข้อความผิดฐานสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิด พร้อมออกหมายจับนายยศวริศ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนวางแผนให้ผู้เสียหายทำการนัดหมายส่งมอบเงินงวดต่อมาอีก 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้ จึงซ้อนแผนเข้าจับกุม

โดยเป้าหมายสำคัญจุดแรกเป็นบ้านเลขที่ 51/119-121 ม.9 ตั้งอยู่ภายในหมู่บ้านพฤกษา 17 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นบ้านพักของ นายศรีสุวรรณ หลังจากผู้เสียหายส่งคนนำเงิน 5 แสนบาท ไปส่งมอบให้กับภรรยาของนายศรีสุวรรณ กระทั่งเมื่อเห็นว่ามีการหยิบซองเงินเข้าไปภายในบ้านจริง จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม ระหว่างนั้นนายศรีสุวรรณเกิดไหวตัวพยายามวิ่งนำซองเงินไปโยนทิ้งบริเวณข้างบ้าน เจ้าหน้าที่จึงวิ่งไล่ติดตามไปตรวจยึดกลับคืนมาได้ ก่อนแสดงหมายจับให้เจ้าตัวรับทราบจากนั้นจึงทำการควบคุมตัวพร้อมพาตรวจค้นภายในบ้านพัก เพื่อค้นหาพยานหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติมทางคดี นอกจากนี้ยังได้เตรียมเชิญตัวภรรยาของนายศรีสุวรรณ ไปทำการสอบปากคำเพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วยหรือไม่

ภายหลังการจับกุมตัวนายศรีสุวรรณได้ไม่นาน ทางด้าน นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มายัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อประสานติดต่อจะพา นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก กับ น.ส.พิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ ผู้ต้องหาอีก 2 ราย เข้ามอบตัว ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจานัดหมายสถานที่รับส่งมอบตัว เบื้องต้นคาดว่าทั้งสองจะเข้ามอบตัวที่ สน.นางเลิ้ง ซึ่งรายละเอียดเพิ่มเติมหลังจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจะมีการแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายหลังภารกิจเสร็จสิ้น

ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล และสน.ดุสิต ได้เดินทางเข้ามาพูดคุยและเชิญ นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก ขึ้นรถเพื่อไปที่สน.ดุสิต ทำการสอบสวนตามขั้นตอนและกระบวนการต่อไป 

ด้านนายยศวริศ กล่าวว่า “ยังไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้เรื่องอะไร เพิ่งรู้เรื่องจากตำรวจ ผมประสานให้นายศรีสุวรรณเฉย ๆ ซึ่งเรื่องนี้ต้องคุยกันไม่เป็นไร ยืนยันว่าชี้แจงได้ ขอย้ำว่าชี้แจงได้ไม่มีปัญหา”

ทั้งนี้ มีรายงานว่าบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลมีเจ้าหน้าที่สอบสวนกลางได้มาเตรียมพร้อมบริเวณห้องปฏิบัติการสื่อมวลชน 1 และด้านหน้าตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงเที่ยง หลังมีรายการว่า นายยศวริศ เดินทางเข้ามาที่ตึกบัญชาการ 1 ตั้งแต่ช่วงสายของวัน เพื่อพบกับนายพีระพันธ์ุ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

‘เอกนัฏ’ ยัน!! ไม่ปกป้อง ‘เจ๋งดอกจิก-พิมณัฏฐา’ เตรียมเสนอ ‘ขับพ้นพรรค-ถอดชื่อ’ จากทีมทำงาน

(29 ม.ค.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) ดังนี้...

กรณีนายเจ๋งและนางสาวพิมณัฏฐา

พรรคและผู้บริหารพรรคยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ผมได้ให้นายทะเบียนตรวจสอบสถานะความเป็นสมาชิก 1) นายยศวริศ (เจ๋ง ดอกจิก) ไม่ปรากฏว่าเป็นสมาชิกพรรค 2) นางสาวพิมณัฏฐา ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่วันที่ 17 ก.พ. 2566 และชำระค่าสมาชิกในวันเดียวกัน

การประชุมกรรมการบริหารพรรคและประชุม สส. พรรคในวันพรุ่งนี้ผมจะเสนอให้…

(1) ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อเสนอกรรมการบริหารพรรคให้มีมติขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคของ นางสาวพิมณัฏฐา และทุกคนที่เกี่ยวข้อง กรณีกระทำผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง ตามข้อบังคับพรรค

(2) ให้รัฐมนตรี ประธานกรรมาธิการ กรรมาธิการ สส. ตรวจสอบและรายงานการตั้งคณะทำงาน ที่ปรึกษา ผู้ช่วย หากยังมีนายยศวริศ (เจ๋ง ดอกจิก) หรือ นางสาวพิมณัฏฐา อยู่ ก็จะประสานขอให้ถอนชื่อออกโดยทันทีเพื่อไม่ให้นำไปแอบอ้าง

ทั้งนี้พรรคฯ จะไม่ปกป้องการกระทำความผิดของสมาชิก และยินดีให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูล ผลสอบ หลักฐานต่างๆ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม และนำผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีต่อไป

‘ติ๊กต็อกดัง’ มั่นใจ!! ‘พีระพันธุ์’ แม่นกฎหมาย-ข้อมูลเป๊ะ เชื่อ!! ไม่เข้าข้าง-ช่วยเหลือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ให้พ้นผิด

เมื่อวานนี้ (29 ม.ค. 67) ผู้ใช้งานบัญชีติ๊กต็อก ‘sparkupdate’ ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับกรณีตำรวจควบคุมตัวนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ภายในทำเนียบรัฐบาล หลังมีการกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว จำนวน 3 ล้านบาท ว่า…

“มีประเด็นใหม่ที่น่าสนใจ โดยที่ปรึกษากฎหมายของทางอธิบดีกรมการข้าว ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า…พรรครวมไทยสร้างชาติ ‘อาจจะ’ ช่วยเหลือเจ๋ง ดอกจิก เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ (ข่มขู่ รีดเงิน) หากยังมีตำแหน่งทางราชการ หรือมีการแต่งตั้งทางราชการ ก็จะต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งถือเป็นโทษที่หนักมาก แต่หากได้มีการปลดหรือลงจากตำแหน่งมาก่อนแล้ว กลายเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ ยังระบุต่อว่า “มีหลายคนตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะเข้ามาช่วยเหลือกันเองหรือเปล่า ซึ่งทางเรามั่นใจนะว่า ‘ไม่’ เพราะคนที่ออกมาให้ข่าวว่าตำแหน่งของ เจ๋ง ดอกจิก หลุดไปตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้วคือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเรามั่นใจมากว่าทางคุณพีระพันธุ์แม่นยำเรื่องกฎหมาย เรื่องเอกสาร เรื่องความชัดเจน เราเชื่อว่าจะไม่มีการปกป้องคนผิด เพราะก็เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อนด้วย”

“ส่วนอีกประเด็นก็คือคุณขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ออกมาเปิดโอกาสให้ร้องเรียนได้ หากใครโดนคนของพรรคแอบอ้างหรือทุจริต ก็สามารถส่งข้อความร้องทุกข์ได้ เป็นการถือโอกาสนี้เพื่อสะสาง กวาดล้างให้สะอาด ส่วนใครที่แต่งตั้งตำแหน่งอะไรไว้ ก็จะให้ทำรายงานและส่งกลับมาให้พรรคดูอีกทีหนึ่ง ซึ่งนี่ก็เป็นท่าทีของพรรครวมไทยสร้างชาติหลังเกิดกรณีของเจ๋งดอกจิก”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top