Friday, 17 May 2024
รวมไทยสร้างชาติ

'พีระพันธุ์' กร้าว!! ไม่เสนอแคนดิเดตนายกฯ แข่ง แต่ก็ไม่โหวตให้แคนดิเดตฯ ที่หวังแก้ไข 112 เช่นกัน

เมื่อวานนี้ (10 ก.ค. 66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงจุดยืนทางการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุว่า...

ผมในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ขอประกาศยืนยันว่าผมได้แจ้งเลขาธิการพรรคให้เสนอที่ประชุมพรรคในวันพรุ่งนี้ (11 ก.ค. 66) ให้พิจารณามีมติ 

1) ไม่เสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเราฟทั้งสองคนเพราะเราไม่เห็นด้วยกับแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะทำให้เกิดผลเสียต่อบ้านเมือง 

เราไม่ได้อาสามาเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือส่วนพรรค 

2) เราไม่โหวตให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่มีนโยบายหรือแนวทางการทำงานที่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 การแบ่งแยกการปกครอง การล้มล้างสถาบันครอบครัว ระบบการศึกษา วัฒนธรรมประเพณีที่ดี และสถาบันหลักทั้งสามของชาติ อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมือง 

ชัดเจน ตรงไปตรงมานะครับ ไม่ต้องวิเคราะห์วิจารณ์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรทั้งสิ้น

หน้าที่ของเราคือทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้บ้านเมืองตกอยู่ในอันตราย 

ผมขอเชิญชวนทุกท่านที่รักชาติรักแผ่นดิน ให้ละทิ้งความบาดหมาง และหันกลับมาทำหน้าที่ของแต่ละคน 

ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้าแม่ค้า นักธุรกิจ และประชาชนทั่วไป 

ลืมความแตกแยกหันกลับมาช่วยกันทำหน้าที่ทึ่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอนของเรา 

หากบ้านเมืองล่มสลายทุกท่านก็ล่มสลายตามไปด้วย ทุกอย่างที่แต่ละท่านสร้างสมมาก็จะล่มสลายตามไป 

สำหรับ รทสช. แม้เป็นพรรคเล็กแต่สู้เสมอกับภัยของชาติ สู้ด้วยใจทะนงเช่นเดิมครับ 

สู้ไปด้วยกันนะครับ

นายพีระพันธุ์ ทิ้งท้ายอกด้วยว่า "สำหรับผมต้องลาประชุมพรรคในวันที่ 11 ก.ค. 2566 เพราะติดภารกิจด้านสุขภาพ เลยแจ้งให้เลขาธิการพรรคทำหน้าที่แทนครับ"

‘บิ๊กตู่’ ประกาศวางมือจากการเมือง พร้อมออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

(11 ก.ค. 66) เพจ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพ โดยระบุว่า…

พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยที่เคารพรัก และสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติทุกท่าน

ผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องประชาชนได้ให้การสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติและผม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา จนทำให้ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบเขตเลือกตั้งของเรา ได้รับเลือกตั้งเป็นจำนวน 23 คน และเรายังได้รับการสนับสนุนในการเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกถึง 4,766,408 เสียง จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่มาใช้สิทธิ 38,057,074 คน หรือร้อยละ 12.52 สูงเป็นอันดับสามของประเทศ ทำให้เรามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่ออีก 13 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพรรคการเมืองที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่

การที่ผมตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น เพราะผมต้องการร่วมสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อให้เป็นพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเป็นหลักให้กับบ้านเมืองต่อไปในอนาคต

ช่วงเวลาที่ผมได้ร่วมเดินทางกับพรรคไปพบปะพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ผมได้รับฟังข้อคิดเห็นของสมาชิกพรรคและประชาชนที่ให้การสนับสนุนอย่างล้นหลาม ผมสัมผัสได้ถึงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ และความเชื่อมั่นในตัวผมตลอดมา ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง และเป็นประสบการณ์ที่ผมจะไม่มีวันลืม

ผมเชื่อว่าทุกท่านทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเก้าปีเศษ ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง เพื่อปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเพื่อประโยชน์ของประชาชนอันเป็นที่รักยิ่ง และสิ่งเหล่านี้กำลังผลิดอกออกผลให้กับประเทศชาติโดยส่วนรวม ผมได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้ประเทศชาติแข็งแกร่งขึ้นในทุกๆ ด้าน มีเสถียรภาพ มีความสงบ และฟันฝ่าอุปสรรคทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนมีความสำเร็จก้าวหน้าเป็นรูปธรรมหลายๆ ด้าน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งทางด้านคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร เครือข่ายอินเตอร์เน็ต สาธารณูปโภค การเร่งรัดการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่เศรษฐกิจต่างๆ การสนับสนุนการวิจัยพัฒนา การจัดหาที่ดินทำกิน การจัดระบบการบริหารจัดการน้ำเพื่อให้มีน้ำใช้และบรรเทาการเกิดอุทกภัย การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนทั้งการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวัน และการรับบริการจากภาครัฐ 

การต่อสู้กับการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 จนได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการบริหารจัดการโรคอุบัติใหม่ที่ดีที่สุดในโลก การแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหาต่อการค้าการลงทุนมายาวนาน เช่น การค้ามนุษย์ การทำประมงผิดกฎหมาย การรักษามาตรฐานกิจการการบิน ตลอดจนการดูแลประชาชนอย่างเป็นระบบอย่างทั่วถึงด้วยความเป็นธรรมกับทุกกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประชาชนผู้เปราะบาง มีรายได้น้อย เด็ก คนชรา คนพิการ เป็นต้น ซึ่งผมได้บริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มความสามารถ ระมัดระวังการใช้จ่ายงบประมาณซึ่งเป็นภาษีของพี่น้องประชาชน ให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง มาโดยตลอด

เหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทำให้กับประเทศชาติและประชาชนตลอดเก้าปีเศษที่ผ่านมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลต่อไปจะดำเนินการพัฒนาต่อไป

จากนี้ไป ผมขอประกาศวางมือทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และขอให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหาร และสมาชิกพรรคได้ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองด้วยอุดมการณ์ที่แข็งแกร่ง ปกป้องรักษาสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และดูแลพี่น้องประชาชนชาวไทยต่อไป และขอให้พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจสนับสนุนการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไปด้วย

ขอขอบพระคุณครับ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ฉากทัศน์ 13 กรกฎา ตอกย้ำ 'พิธา' ไม่ผ่านด่าน 376 เสียง รัฐบาลหน้าไม่มี 'ก้าวไกล' แต่มี 'รวมไทยสร้างชาติ'

สถานการณ์การเมืองเขม็งเกรียวถึงจุดเลี้ยวโค้งสำคัญ...การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย ซึ่งนาทีนี้แน่นอนแล้วว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เหตุเพราะนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศวางเมืองทางการเมือง ด้วยการลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และได้ร่ำลาผ่านเพจของพรรคเรียบร้อยไปแล้ว...

บางคนบอกว่าตราบใดที่ยังเป็นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อย่าเพิ่งตัดชื่อบิ๊กตู่ออกไป แต่ 'เล็ก เลียบด่วน' ขอบอกว่าอย่าไปคิดมากขนาดนั้น ปวดหัวเปล่าๆ

'ลุงตู่' แกบอกเป็นนัยแล้วว่า...ท้องฟ้าแจ่มใส...ไม่ใช่หรือ?

เอาเป็นว่า...เรามาสรุปเหตุบ้านการเมือง และการเลือกนายกรัฐมนตรีกันดีกว่า...

>> อันเนื่องจากการประกาศวางมือการเมืองของบิ๊กตู่ โดยลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ  ไม่เพียงทำให้ตัวเลือกนายกรัฐมนตรีชัดเจนขึ้นเท่านั้น ยังทำให้พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงเป็นตัวแปรในการจัดสูตรรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกลได้ง่ายขึ้น เพราะอย่างน้อยพรรคนี้ 'ไม่มีลุง' แล้ว  หากแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้บทบาทและรับข้อเสนอของพรรค 36 เสียงพรรคนี้ได้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น...

>> สถานการณ์การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค.ซึ่งผลจากประชุมวิปฝ่ายต่างๆ ทำให้ทราบว่าจะลงคะแนนโหวตกันจริงๆ ก็ประมาณ 5 โมงเย็น  โดยก่อนหน้านั้นจะเป็นการอภิปรายถกเถียงกันในประเด็นต่างๆ รวมถึงการแสดงวิสัยทัศน์แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะมีเพียงผู้เดียวคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

>> ทั้งนี้การอภิปรายที่จะถกเถียงกันให้วุ่นวายแน่นอนก็คือ กฎกติกามารยาทในการโหวต ตั้งแต่การลงมติที่ฝ่ายหนึ่งต้องการให้โหวตแยกทีละสภานัยว่าเพื่อจะเอา 312 เสียงไปเกทับ 250 เสียงของส.ว. อีกฝ่ายบอกต้องคละเคล้ากันไปตามลำดับอักษรรายชื่อ จนไปถึงความพยายามของฝ่ายพรรคก้าวไกลที่คงขอสงวนสิทธิ์ในการเสนอชื่อนายพิธาเป็นครั้งที่สองหรือครั้งที่สามหากครั้งแรกไม่ผ่าน  376 เสียง ในขณะที่ฝ่ายสมาชิกวุฒิสภาหลายคนโดยเฉพาะนายเสรี สุวรรณภานนท์ ได้เงื้อข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ไว้คัดง้างแล้ว..

เอ้า!! ดูข้อบังคับข้อที่ 41 ประดับความรู้ไว้นิด

“ญัตติใดตกไปแล้ว ห้ามนำญัตติซึ่งมีหลักการเช่นเดียวกันขึ้นมาเสนออีกในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ญัตติที่ยังมิได้มีการลงมติหรือญัตติที่ประธานรัฐสภาจะอนุญาต ในเมื่อพิจารณาเห็นว่าเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป”

ครับ...แค่เรื่องนี้ก็คงเถียงกันลั่นรัฐสภา...แต่ทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอะไรน่าสนใจว่าในที่สุดจะมีเสียงโหวตสนับสนุนเกินจาก 311 เสียงของ 8 พรรคไปกี่เสียง มีเสียง ส.ว.สนับสนุนกี่เสียงกันแน่ เพราะข้อมูลของ 'เล็ก เลียบด่วน' มากสุดยังนิ่งอยู่ที่ 15 เสียงบวกลบ...สรุปคือพิธาสอบไม่ผ่าน...ดูอาการของแกนนำพรรคก้าวไกลก็พอจะรู้...ดูออก

>> พูดไปทำไม...สถานการณ์ตอนนี้วงในการเมืองนั้นข้ามช็อตออกแบบสูตรรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกันแล้ว...โจทย์ของพรรคเพื่อไทยตอนนี้คือ ถ้าพรรคก้าวไกลยึดคาถาเพื่อไทยไปไหนก้าวไกลไปด้วยขึ้นมาจะสลัดได้อย่างไร...เพราะทั้งพรรครัฐบาลขั้วเดิมและ ส.ว.ส่วนใหญ่นั้น นอกจากไม่โหวตให้พิธาแล้ว  ยังไม่เอาพรรคก้าวไกลด้วย...

มีการพูดกันถึงขั้นที่ว่า...สมมุติช็อตต่อๆ ไปพรรคเพื่อไทยเสนอ 'เศรษฐา ทวีสิน' เป็นนายกฯ แต่ส่วนผสมรัฐบาลมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ด้วย คะแนนเศรษฐาก็จะไม่ผ่าน 376 เสียง...สุดท้ายอาจเลี่ยงไม่พ้นที่จะเปลี่ยนเป็น 'อุ๊งอิ๊ง' หรือ 'อนุทิน' หรือ 'ลุงป้อม' เป็นนายกฯ ของรัฐบาลที่ไม่มีพรรคก้าวไกล...

แต่มี รวมไทยสร้างชาติ !!

‘ปรเมษฐ์’ ยก ‘ลุงตู่’ เหนื่อยเพื่อชาติ ผลงานเด่นชัด แต่ ‘ก้าวไกล’ คงเหนื่อยหนัก ยิ่งใกล้วันตัดสินชะตา

(12 ก.ค.66) จากไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กของ ‘นายปรเมษฐ์ ภู่โต’ สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าว รายการคุยถึงแก่น ออกอากาศทางช่อง NBT ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีใจความว่า...

“การประกาศวางมือทางการเมืองอย่างเป็นทางการของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยโพสต์ลงในเพจ Facebook ของพรรครวมไทยสร้างชาติ นั้น ถือว่าเป็นที่ชัดเจนแน่นอนและปลดล็อกในหลายเรื่อง โดยในสาระสำคัญของประกาศดังกล่าวนั้น ได้มีการพูดถึงความตั้งใจของท่านที่ได้เข้ามาทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประเทศชาติ แล้วก็ขอบคุณพี่น้องประชาชน รวมทั้งฝากฝังพี่น้องประชาชนให้สนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติต่อไป

“ฉะนั้นหากใครที่ยังคิดว่า ลุงตู่จะมีแผนไม้ 1 ไม้ 2 ไม้ 3 เพื่อวางแผนจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถึงเวลานี้ก็น่าจะ ‘เลิกคิดกันได้แล้ว’ แต่แน่นอนว่ายังมีคนมองไปอีกหลายมุม ว่าถ้าลุงตู่ไม่อยู่แล้ว เงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็น่าจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ‘คุณพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือแม้แต่ ‘คุณเอกนัฎ พร้อมพันธุ์’ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนแล้วว่า ประการแรก จะไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคที่จะแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 และ ประการที่ 2 จะไม่เอาแนวทางรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

อย่างไรก็ตาม หากมองตามเกมการเมืองแล้ว นายปรเมษฐ์ เชื่อว่า “หลายคนคงเริ่มมองออกว่า พรรคก้าวไกล อย่างไรก็ไม่น่าจะไปต่อได้ และนั่นก็อาจจะเกิดสมการ ‘พรรคเพื่อไทย’ ดึงพรรคภูมิใจไทย, พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติไปรวมกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล เพราะว่า ‘เมื่อไม่มีลุงอยู่แล้ว’ ก็จะหมดเงื่อนไขในการไม่มาร่วม

“ถึงกระนั้น ด้านนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ได้โพสต์ Facebook เกี่ยวกับการลาออกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยบอกว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้หารือเกี่ยวกับเส้นทาง ทางการเมือง โดยได้บอกกับคุณพีระพันธุ์ว่า ตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานั้นไม่มีความประสงค์จะแสวงหาอำนาจทางการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตัว แค่อยากขอโอกาส สอนงานต่อในสิ่งที่มุ่งหวังตั้งใจ แต่เมื่อไม่มีโอกาสนั้น หรือก็คือการเลือกตั้งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ได้เสียงมาไม่มากพอ รวมทั้งตัวท่านพลเอกประยุทธ์เองก็ถูกนำไปโยงให้พรรครวมไทยสร้างชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์...ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของท่าน ซึ่งมีความเกรงใจคนอื่นอยู่เสมอ และเกรงว่าจะทำให้พรรครวมไทยสร้างชาตินั้นมีปัญหา รวมทั้งมีการพยายามสร้างประเด็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงมีประกาศดังกล่าวออกมา”

นายปรเมษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า “หากมองภาพการณ์ดังนี้ ก็พอจะสรุปได้ว่า ลุงตู่ คงอยากจะทำงานทางการเมืองต่อ แต่ไม่ใช่เพราะอยากจะแสวงหาอำนาจ แต่อยากจะเข้ามาสานงานต่อ อย่างที่พวกเราคนไทยก็ได้รู้กันว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้ทำงานหลายสิ่งหลายอย่างไว้ เยอะแยะ ซึ่งหลายโครงการนั้นก็ต้องการ การสานงานต่อ มิเช่นนั้นประเทศชาติจะเสียโอกาส อย่างเช่นโครงการ EEC ที่ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติจำนวนมาก หรือแม้กระทั่ง แนวคิดแกนหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของประเทศนั่นก็คือ การวางรากฐานอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติก็ได้มาลงทุนตั้งโรงงานเพื่อผลิตขายในประเทศไทยและก็ส่งออก โดยประเทศไทยก็ตั้งไว้ว่าจะเป็น ศูนย์กลางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนี้ก็คือสิ่งที่จะต้องสั่งงานต่อเพราะว่าเราได้ทำมาเยอะแล้ว แต่ก็น่าเป็นห่วงว่า ถ้าหากรัฐบาลใหม่ไม่สานงานต่อมันก็จะเสียโอกาสของประเทศชาติ”

นายปรเมษฐ์ ชี้ให้เห็นภาพอีกว่า “สิ่งที่อยากจะคุยในวันนี้ก็คือว่า ถ้าเราไม่ปิดตาปิดใจกันจนเกินไปกับสิ่งที่ลุงตู่ทำมา เราก็จะเห็นว่า ‘วาทกรรม 8 ปีไม่มีอะไรนั้น’ มันเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อด้อยค่าคนทำงานคนหนึ่ง ถ้าเราเอาเรื่องหนัก ๆ ในการทำงานลุงตู่มาวิเคราะห์กัน ก็จะเห็นว่า ท่านเข้ามาในช่วงที่บ้านเมืองมีปัญหา มีขยะอยู่ใต้พรมมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องของประมง ที่เราถูกสารภาพยุโรป EU ให้ใบเหลือง ทำให้เรามีปัญหาในการส่งสินค้าประมงออกไปขายในสหภาพยุโรป ทำให้เขามีมาตรการที่กีดกันเรา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา สะสางปัญหา สุดท้ายก็แก้ปัญหาได้จนสหภาพยุโรป EU ยกเลิกใบเหลือง หรือแม้แต่เรื่องของการบินพลเรือน ที่เราถูกสหภาพการบินพลเรือนให้ธงแดงเพราะว่า เราไม่มีมาตรฐาน สุดท้ายเราก็แก้ปัญหานี้ได้จากความร่วมมือกันของทุก ๆ ฝ่าย

“ท่านพลเอกประยุทธ์พูดเสมอ ว่าประเทศไทยติดอยู่ในกับดักของประเทศที่มี ‘รายได้ปานกลาง’ มายาวนาน ซึ่งถ้าถามว่าทำไมถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากกลับจากนี้ได้ นั่นก็เพราะว่าเรา ‘ไม่มีโครงการใหญ่ ๆ ที่จะพาให้ประเทศนั้นพุ่งไปข้างหน้า ได้อย่างมีพลัง’ ท่านพลเอกประยุทธ์ จึงพยายามที่จะผลักดันโครงการ EEC ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ สิ่งนี้เป็นที่ประจักษ์ให้เราเห็นแล้วว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเข้ามาทำงานนะ”

นายปรเมษฐ์ กล่าวอีกว่า “หลายคนอาจจะยังไม่รู้ ว่ารัฐบาลได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างยกตัวอย่างเช่นรถไฟรางคู่ มีทั้งที่ทำเสร็จแล้วมีทั้งที่อนุมัติโครงการไปแล้ว มีทั้งที่กำลังก่อสร้าง ก็ต้องถือว่าประเทศไทยได้พัฒนาระบบรางไปมากมาย ถือว่าเป็นยุคที่มีการก่อสร้างทางรางมากที่สุด ยกตัวอย่าง 1 โครงการ ก็คือ รถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ซึ่งเส้นทางนี้มีการศึกษากันมาตั้งแต่ปี พ.ศ 2503 แต่ก็ไม่ได้ก่อสร้างกันสักทีมาถึงยุครัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่กำลังลงมือก่อสร้างกัน ขณะที่อีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดง อย่างการก่อสร้างระบบรางในกรุงเทพฯและปริมณฑล นั่นก็คือ ‘การสร้างรถไฟฟ้า’ ที่ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็คือผลงานซึ่งเป็นที่ประจักษ์”

นายปรเมษฐ์ เสริมด้วยว่า “แต่ก็ต้องยอมรับกันว่า ท่านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกอยู่ในวงล้อมของสงครามสื่อ ที่เสียเปรียบ เวลาทำเรื่องอะไรที่มันดี ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ก็ไม่มีการเอาไปขยายผลเท่าที่ควร แต่ถ้าหากพลาดอะไรไปนิดเดียว หรือบางทีไม่ได้พลาดเลย แต่ก็มีเฟกนิวส์เข้ามาโจมตีกันเต็มไปหมด กลายเป็นการสร้างความรู้สึก ‘เบื่อลุงตู่’ แบบผลิตซ้ำขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่รับข้อมูลแค่บางด้านบางมุม ก็รู้สึกคล้อยตาม แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ควรต้องให้ความเป็นธรรมกับคนที่เขาทำงาน”

หลังจากจบประเด็นการประกาศวางมือทางการเมืองของ พลเอกประยุทธ์ แล้ว นายปรเมษฐ์ ยังได้วิเคราะห์ต่อถึงอนาคตของ ‘พรรคก้าวไกล’ อีกด้วยว่า “ความคืบหน้าของการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ วันนี้พรรคก้าวไกล รวบรวมเสียงของ ส.ว.ได้เท่าไหร่แล้ว เพราะจุดชี้ขาดที่แท้จริงที่จะทำให้ ‘นายพิธา’ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือเสียงของ ส.ว. ต้องได้เสียงของ ส.ว. อย่างน้อย 67 เสียง 

“โดยปัจจุบันฟากแนวร่วมก่อตั้งรัฐบาลก็มีเสียงของ ส.ส. 312 เสียงแล้ว แต่ต้องได้เสียงรวมกันอย่างน้อย 376 เสียง ซึ่งก่อนหน้านี้ คุณศิริกัญญา ตันสกุล ผู้ที่ถูกวางตัวไว้ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาให้ข่าวว่าได้เสียงสนับสนุนครบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนี้ ก็ทำให้บรรดาด้อมส้มก็ตีปีกกันใหญ่เลย แต่เมื่อมาดูความเป็นจริงกัน เสียงของ ส.ว.ประมาณ 70 เสียง ที่คุณศิริกัญญา พูดถึงก็ยังไม่เห็นว่ามีใครบ้าง แต่จากแหล่งข่าวก็เห็นอยู่ว่ามีเสียงอยู่แค่ประมาณ 20 คน และ 1 ใน 20 คนนั้นก็คือ ‘ครูหยุย’ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ ซึ่งครูหยุยก็ได้โพสต์ Facebook บอกว่าตัวเลข ส.ว. ที่สนับสนุนนั้นมีอยู่แค่เพียง 10 คน เท่านั้น ซึ่งตัวเลขนี้ก็ตรงกับสำนักข่าวหลายๆ สำนักที่ได้คำนวณกันไว้

“ยิ่งล่าสุด นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ได้เล่าให้ฟังว่า ในการประชุมพรรคร่วม ก็มีการถามไถ่พรรคก้าวไกลด้วยว่า ได้รวบรวมเสียง ส.ว. ได้กี่เสียงแล้ว? ซึ่งคุณชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ก็ได้ตอบว่า ไม่ได้มีเสียง ส.ว. หนุนเท่าไร แต่ก็กำลังพยายามหาอยู่ ซึ่งมันขัดแย้งกับสิ่งที่คุณศิริกัญญา ได้เคยพูดไว้ โดยตรงกันข้ามกันเลย”

ฉะนั้น หากให้พูดตามความจริง แบบไม่ปั้นแต่ง...สถานการณ์ของ ‘พรรคก้าวไกล’ กับความหวังในการดันนายพิธาเป็นนายกฯ ก็ร่อแร่พอสมควร...

‘ศาสตรา’ ส.ส.สงขลา รทสช. เตือนชาวเน็ตคอมเมนต์คะนอง จดหมายกำลังไปถึงหน้าบ้านหลายคน - ขอนำเงินไปทำบุญ

(14 ก.ค. 66) นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความพร้อมรูปในเฟซบุ๊ก ‘นายศาสตรา ศรีปาน - Sarttra Sripan’ ระบุว่า…

“น้อง ๆ ที่เข้ามาคอมเมนต์ด้วยความคึกคะนองโปรดระมัดระวังกฎหมายหมิ่นประมาท พรบ.คอม กันหน่อยนะครับ เพราะตอนนี้จดหมายกำลังไปที่บ้านกันหลายคนแล้ว ให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งแรกที่ควรจะมีในทุกสังคมนะ ทั้งโลก social ที่อยู่หลังหน้าจอโทรศัพท์ และ โลกแห่งความจริงที่เราจะเจอหน้ากัน เราจะเอาเงินส่วนนี้ไปทำบุญให้กับเด็กหาดใหญ่ด้อยโอกาสกัน💕จากทีมแอดมิน #ศาสตราเขต2”

ทั้งนี้ ข้อความในรูปที่แนบมาด้วย ปรากฏเป็นคำขอโทษจากบุคคลที่เคยคอมเมนต์ด้วยความคะนอง ใจความว่า…

“ผมขอโทษจริง ๆ ครับพี่ ด้วยความอวดดี รู้น้อยของผม ขอโทษ ๆ จากใจจริงครับ ให้โอกาสผมสักครั้งครับ ผมไม่อยากให้พ่อแม่เดือดร้อนเพราะการกระทำแย่ ๆ ของผมครับพี่ ผมหาเช้ากินค่ำ ไม่มีเงินชดเชยให้พี่ ส.ส. ถ้าพี่ฟ้อง ผมขอโทษ ขอโอกาสสักครั้ง เหตุการณ์นี้ผมจะไม่ลืม ผมขอโทรไป ขอโทษจากน้ำเสียงได้ไหมครับ ว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ ให้โอกาสผมสักครั้งนะครับ ผมไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยครับ ผมคิดน้อย ไม่รู้หวันจริง ๆ ครับพี่ เหตุการณ์นี้ผมจะจำไว้สอนตัวเองตลอดเวลา ให้โอกาสเด็กคนนี้สักครั้งได้ไหมครับ พี่ ส.ส. ผมขอร้องจริง ๆ ครับ จากใจจริง ผมขอโทษครับ ผมเครียดมาก ๆ เลยครับ เป็นบทเรียนที่ผมจะไม่ลืมเลยจริง ๆ ขอความเมตตาสักครั้งนะครับ ผมจะจำความเมตตาของ พี่ ส.ส.ครั้งนี้ไปไม่มีวันลืมจริง ๆ ครับ
 

‘ดร.หิมาลัย’ วอน อย่าให้ทุนนอกครอบการเมืองไทย หลังมีคนปูด ‘นักการเมือง’ รับเงินแก้ ม.112

จากกรณีที่มีนักกิจกรรมทางการเมือง ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า มีนักการเมืองบางคนของพรรคที่จ้องจะแก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เคยได้รับเงินสนับสนุนจากทุนต่างชาติ เพื่อให้แก้ไขมาตราดังกล่าว รวมถึงในช่วงที่ผ่านมา มีข้อมูลว่า ทุนจากต่างชาติให้การสนับสนุนกลุ่มเอ็นจีโอ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้แสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า การที่เอ็นจีโอได้รับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด หากเป็นการใช้เพื่อช่วยเหลือทางด้านสังคม ทางด้านเศรษฐกิจ หรือ การพัฒนาการเมือง แต่หากนำมาใช้เป็นทุนเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และล้มล้างระบอบการปกครองของประเทศนั้น ๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และถือเป็นบ่อนทำลายชาติ

ทั้งนี้ ดร.หิมาลัย ได้ให้มุมมองต่อว่า ที่ผ่านมามีหลายประเทศที่ถูกต่างชาติแทรกแซงทางการเมืองจนนำไปสู่ความล่มสลาย ประเทศย่อยยับ ประชาชนต้องลี้ภัยหนีจากบ้านเกิดเมืองนอน เพราะฉะนั้น จึงอยากจะตั้งคำถามกับพี่น้องคนไทยว่า เราจะยอมรับให้องค์กรต่างประเทศสนับสนุนการเงิน เพื่อมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แล้วทำให้ประเทศเราพังทลายเช่นนั้นหรือ?

“ก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา มีคนเคยถามผมหลายครั้งว่า ถ้าพรรคที่อยู่ฝั่งตรงข้ามขึ้นมาเป็นรัฐบาล จะรู้สึกอย่างไร ผมบอกว่าไม่ได้รู้สึกเสียใจใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นวิถีทางประชาธิปไตย ถึงอย่างไร ไทยก็ปกครองไทยด้วยกันเอง แต่หากเป็นพรรคการเมืองที่มีทุนต่างชาติหนุนหลัง และพยายามจะแทรกแซงการปกครองของไทย อันนี้ ผมจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน และเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็จะไม่มีวันยอมเช่นเดียวกัน”

ขณะเดียวกัน ดร.หิมาลัย ยังฝากถึงพรรคการเมืองและประชาชนที่พยายามจะยกเลิกมาตรา 112 ว่า อยากให้ทุกคนศึกษาประวัติศาสตร์ให้ถ่องแท้และเป็นธรรม ในอดีตที่ผ่านมา สถาบันกษัตริย์ได้ต่อสู้กู้ประเทศชาติบ้านเมือง มีคุณูปการเป็นอเนกอนันต์ ด้วยความเสียสละ และวิริยะอุตสาหะอย่างมาก จนทำให้เรายืนหยัดเป็นชาติที่ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาตินักล่าอาณานิคม ทั้งจากเงินถุงแดง ที่รัชกาลที่ 3 ท่านทรงเก็บไว้ดูแลบ้านเมือง และได้นำไปไถ่ประเทศเมื่อครั้งเกิดวิกฤต ร.ศ.112

หรือแม้แต่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ที่ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก สร้างสัมพันธไมตรีกับชาติมหาอำนาจ ก็เพื่อรักษาประเทศชาติให้คงเอกราชไว้ให้ลูกหลาน

“ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงทำให้กับชาติบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน จึงไม่แปลกที่จะมีคนรู้สึกรักและผูกพันกับสถาบันฯ และไม่ไว้วางใจพรรคการเมืองที่มีแนวคิดที่จะล้มสถาบันให้ขึ้นมาบริหารบ้านเมือง เพราะฉะนั้น อย่าได้ดูถูกและด้อยค่าความจงรักภักดีที่คนส่วนใหญ่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” ดร.หิมาลัย กล่าว

‘ธนกร’ รับ ‘สมศักดิ์’ ชวนเข้าร่วมรัฐบาล ชี้ หากไปต้องไปทั้งพรรค มั่นใจ!! ไม่มีงูเห่า

(11 ส.ค. 66) นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.ยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า มีการชักชวนเข้าร่วมรัฐบาล ว่า ตนกับนายสมศักดิ์ อยู่กันมานานเป็นเหมือนครอบครัว ไม่ว่าจะอยู่คนละพรรคกันแต่ความสัมพันธ์ก็เหมือนเดิม ได้พูดคุยและพบกันบ่อยครั้ง มีกิจกรรมที่ชอบ เตะฟุตบอลได้เจอกันอยู่แล้วมีการคุยเรื่องการเมือง โดยคุยกันว่าถ้ามาก็ต้องมาทั้งพรรค เป็นการส่งสัญญาณมาทางตน แต่ตนไม่ได้อยู่ในวงเจรจาของพรรค แต่คนที่จะเจรจาคือหัวหน้าพรรค ตนจึงทำได้แค่ส่งสัญญาณให้พรรคทราบว่าทิศทางการเมืองเป็นแบบนี้ ส่วนการตัดสินใจทางพรรครวมไทยสร้างชาติอาจมีการประสานงานกันอยู่แล้วแต่ตนไม่ทราบ เพราะหัวหน้าพรรคยังไม่ได้บอก

ซึ่งนายสมศักดิ์ก็ไม่ได้บอกว่าคุยกับหัวหน้าพรรค เลขาพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ แต่เท่าที่ดูมีสัญญาณที่ดี แต่ตนเชื่อว่าการเมืองใกล้ถึงจุดที่จะจบแล้ว เท่าที่ดูบริบทต่าง ๆ คิดว่าอีกไม่นาน คงจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในเวลาที่เหมาะสม

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติมีเงื่อนไขอะไรในการจะร่วมรัฐบาลเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรี นายธนกร กล่าวว่า รวมไทยสร้างชาติ มีการทำงานในสภาของ สส.36 คน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เราทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว

ส่วนการเจรจาต่อรองต่าง ๆ คงจะไม่มี เพราะทำงานได้อยู่แล้วเพราะเรามีแค่ 36 คน ไม่ใช่มีเป็น 100 คน มีการพูดคุยกันแต่คงไม่ได้ไปต่อรองอะไร ย้ำว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามมติพรรคหากจะออกมาเป็นอย่างไร สส.ทั้ง 36 คน พร้อมทำตาม แม้ว่าวันนี้อาจจะมองว่ามีปัญหาอะไรในพรรคหรือไม่มีการแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ นั้นเพราะมาจากหลากหลายความคิดเห็นแตกต่างก็เป็นเรื่องปกติแต่เชื่อว่าคุยกันได้หมด

ทั้งนี้ ส่วนตัวหากมีปัญหาอะไรแม้ว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม จะไม่ยุ่งและเกี่ยวข้องกับพรรคแล้ว เลิกก็คือเลิกเลย แต่ตนก็ยังไปปรึกษาในหลายเรื่องเพราะตนอยู่กับ พลเอก ประยุทธ์ มานานแม้ว่าเลิกเล่นการเมืองไปแล้วในอนาคตทางการเมืองของตนก็ยังมีการปรึกษาทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน ไม่ได้มีปัญหาอะไร และ พลเอก ประยุทธ์ ได้แนะนำในสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ทุกครั้งที่พูดไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ไหนท่านจะให้นึกถึงประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก นึกถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลัก ท่านพูดแบบนี้ตลอด

เมื่อถามว่า หากจะเข้าร่วมรัฐบาลถ้าไปก็ต้องไปทั้งพรรค 36 คน ไม่มีงูเห่าใช่หรือไม่ นายธนกร ยืนยันว่า ตนมั่นใจว่า ไม่มี ถ้าไปก็ต้องไปทั้งพรรค เพราะการเมืองมันควรเป็นอารยธรรมทางการเมืองที่ดี แม้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ควรที่จะมีงูเห่า งูจงอาง อะไรแล้ว

‘รวมไทยสร้างชาติ’ ตอบรับเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย หลังได้รับคำมั่น ไม่มีนโยบายขัดแย้งกันในเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

เมื่อวานนี้ (17 ส.ค. 66) นายพีรพันธุ์ สารีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ตนเองและเลขาธิการพรรคได้รับการติดต่อจากพรรคเพื่อไทย เรื่องการร่วมกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง ซึ่งเราทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าถึงเวลาที่บ้านเมืองควรจะมีความสามัคคีปรองดอง และร่วมกันนำพาประเทศชาติไปสู่ความสงบสุข และการพัฒนาอย่างยั่งยืน การพูดคุยกันวันนี้เป็นการพูดคุยในหลักการทำงานเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นสำคัญเท่านั้น ไม่ได้มีการพูดคุยกันในรายละเอียดอื่น ๆ

ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติไม่มีข้อต่อรองหรือข้อเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น ขอเพียงให้ร่วมกันทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองและประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น

ทางพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าจะไม่มีนโยบายหรือการดำเนินการใดที่ขัดต่อเจตนารมณ์และแนวทางทางการเมืองของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยเฉพาะในเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยจะช่วยกันสร้างความเข้มแข็งมั่นคงของสถาบันหลักทั้งสามต่อไป ขอบคุณพรรคเพื่อไทยที่ให้เกียรติและเห็นถึงศักยภาพของพรรครวมไทยสร้างชาติครับ


 

‘ธนกร’ ยัน!! ‘รทสช.’ พร้อมทำงาน-สร้างประโยชน์ให้ ปชช. ย้ำ!! ถึงเวลาปรองดอง ร่วมมือกันขจัดภัยคุกความความมั่นคง

(18 ส.ค. 66) ที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณี มีกระแสข่าวว่าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยังไม่สามารถตกลงโควตากับพรรคเพื่อไทยได้ ว่า ยังไม่ทราบ แต่ในส่วนของพรรครทสช.ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งตนได้พูดคุยกับเลขาธิการพรรคทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ยังไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่าพรรครทสช. จะขอโควตารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสามเก้าอี้และรัฐมนตรีช่วย 1 เก้าอี้ นายธนกร กล่าวว่า เราไม่ได้มีเงื่อนไขตรงนั้น และพรรคได้มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครทสช. และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค เป็นคนไปเจรจา และเท่าที่ฟังทุกอย่างไม่ได้มีปัญหาอะไร เราไม่ได้มีเงื่อนไขในเรื่องของกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งพรรคยึดหลักสามารถทำงานให้กับประชาชน ได้อย่างเต็มที่พรรคก็ยินดี ย้ำว่าพรรคไม่ได้มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติเรื่องเก้าอี้รัฐมนตรีควรที่จะพูดคุยกันให้จบก่อนที่จะมีการโหวตนายกฯ เพราะในหลักการของการเมืองเป็นแบบนี้ และการโหวตนายกฯ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้จะต้องมีการพูดคุยประสานงานกันก่อน หากไม่มีการพูดคุยประสานงานกัน ตนคิดว่าก็อาจจะไม่จบ แต่ในพรรครทสช.จบแล้ว แต่พรรคอื่น ตนไม่รู้เพราะไม่ได้ไปก้าวล่วงเขา

เมื่อถามย้ำว่าได้มีการแจ้งหรือไม่ว่า 4 เก้าอี้รัฐมนตรีที่ได้ตามสูตรคณิตศาสตร์การเมืองมีกระทรวงอะไรบ้าง นายธนกร กล่าวว่า เรื่องตำแหน่งอะไรตนไม่ทราบ ทราบแค่ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของการแบ่งโควตากระทรวงอะไร และพรรครทสช. ไม่ได้ยึดตรงนั้นเป็นหลักตนคิดว่าพรรครทสช.มี สส. 36 คน สามารถทำงานให้กับประเทศได้อย่างเต็มที่ เพราะทุกคนเป็น สส. ที่เก่ง ดูได้จากการอภิปรายในสภาฯ ฉะนั้นในการบริหารงานพรรค รทสช. ยึดหลักตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้ไว้ในช่วงที่เป็นประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรค รทสช. โดยเฉพาะการทำงานและสานงานต่อ ที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ทำไว้แล้ว แม้วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้อยู่ในพรรคแล้ว แต่ก็ได้วางโครงสร้างไว้กับพรรคและพวกเราก็ได้เดินต่อ

เมื่อถามอีกว่าการตั้งรัฐบาลสลายขั้วจะทำงานกันราบรื่นหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนคิดว่าวันหนึ่งก็ถึงเวลา ในการที่พรรคการเมืองแต่ละพรรค ได้สลายสีเสื้อและควรที่จะยึดประโยชน์ของประเทศด้วยความปรองดอง ซึ่งตนคิดว่ามันมีบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศมากกว่า ฉะนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่ทุกพรรคจะต้องร่วมมือกันทำงาน

เมื่อถามด้วยว่าในพรรค รทสช. ได้มีการแบ่งโควตาหรือไม่ว่าสัดส่วนจะต้องเป็นอย่างไร นายธนกร กล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ที่คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นหลัก

เมื่อถามว่าชื่อแคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน หรือน.ส. แพทองธาร ชินวัตร พรรครทสช. พร้อมจะยกมือโหวตให้ใช่หรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า ตนคิดว่าถ้าเราตัดสินใจร่วมรัฐบาลแล้วก็อยู่ที่สิทธิ์ของพรรคแกนนำในการที่จะเสนอนายกฯ พวกเราก็พร้อมที่จะดำเนินการตามมติของพรรค ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เมื่อถามย้ำว่าแต่ สว.ตั้งแง่เรื่องคุณสมบัติของนายเศรษฐา ตรงนี้จะราบรื่นหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายเศรษฐา ซึ่งเขาก็ต้องอธิบาย และนายเศรษฐาก็ระบุว่าอธิบายได้ ดังนั้นทุกฝ่ายก็จะต้องฟัง ส่วนนายเศรษฐาควรที่จะต้องไปชี้แจงในสภาหรือไม่นั้น นายธนกร กล่าวว่า ก็แล้วแต่พรรค

'ชุมพล กาญจนะ' ฝ่าดง ปชป.หอบหิ้ว 6 สส.เข้า รทสช. ผลงานเด่น!! ควรได้รัฐมนตรีเป็นรางวัลตอบแทนหรือไม่

เมื่อรวมไทยสร้างชาติร่วมรัฐบาล 'ชุมพล กาญจนะ' ควรเป็นรัฐมนตรี เพราะเขาจับมือกับ 'กำนันศักดิ์-พงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว' นายกฯ อบจ.สุราษฎร์ หอบหิ้ว สส.เข้ามาได้ถึง 6 คน จาก 7 คน ในสุราษฎร์ธานีหรือไม่?

ต้องยอมรับความจริงว่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ถือเป็นสนามหิน สังเกตจากเลือกตั้งครั้งก่อน ประชาธิปัตย์ชนะยกจังหวัด 6 ที่นั่ง และมี 'สินิตย์ เลิศไกร' นั่งเป็นรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์

เลือกตั้งปี 66 พรรครวมไทยสร้างชาติก่อเกิดขึ้น เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เดินหน้าต่อทางการเมือง โดย 'ชุมพล กาญจนะ' เดินออกจากประชาธิปัตย์ เข้าร่วมภารกิจกับรวมไทยสร้างชาติ ปลุกปั่นทีมสุราษฎร์ธานี จนเดินฝ่าดงประชาธิปัตย์มาได้ถึง 6 คน ซึ่งก็ถือว่าไม่ธรรมดา ถึงแม้จะอ้างว่าประชาธิปัตย์ขาลงก็ตาม แต่มีภูมิใจไทย ตามจี้ก้นอยู่เหมือนกัน จนภูมิใจไทยมาแย่งไปได้ 1 ที่นั่ง

เมื่อชุมพลหอบหิ้วชัยชนะมาให้รวมไทยสร้างชาติได้สวยงามขนาดนี้ จังหวัดเดียวได้มา 6 ที่นั่งจากที่รวมไทยสร้างชาติทั่วประเทศได้มา 36 ที่นั่ง รางวัลแห่งความสำเร็จควรจะยกให้ 'ชุมพล กาญจนะ' หรือไม่?

ชุมพล กาญจนะ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาโชกโชน ถือเป็นเบอร์ต้นๆ ของสุราษฎร์ธานี ไม่เสียหายอะไรหรอกถ้าเขาจะได้รับกับค่าเหนื่อย

แต่โควตานี้ ถ้าเป็นไปตามโผ ได้ตกเป็นของ 'วิทยา แก้วภารดัย' กับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นตำแหน่งที่วิทยาไม่ควรรับ เพราะเคยนั่งว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาแล้ว

เหมือนคนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี คุณค่ามันด้อยลงไป เหมือนสมัยหนึ่งที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี แล้วมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในเวลาถัดมา

แม้บางคนอาจจะแย้งว่าไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับผมถือว่า 'แปลก' และในทางการเมืองก็วิจารณ์กันได้ และวิทยาควรจะไปเอาโควตาภาคอีสาน เพราะช่วงเลือกตั้งวิทยาเป็นคนที่พรรคมอบหมายให้ดูแลภาคอีสาน

อย่างไรก็ตาม ชุมพลช่วงออกจากประชาธิปัตย์ ก็ถูกถล่มเรื่องเงิน 200 ล้าน ซึ่งข้อเท็จจริงประการใดไม่มีใครทราบ แต่ชุมพลก็ออกมาปฏิเสธเรื่องเงิน 200 ล้าน

เอาเป็นว่า ยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และทางการเมืองก็กล่าวหากันได้ แต่ยังไงซะ วันนี้ชุมพลได้หอบหิ้วความสำเร็จให้รวมไทยสร้างชาติ ในสนามสุราษฎร์ธานีแล้ว เพื่อความเป็นธรรมเขาจึงควรได้รับรางวัลสมน้ำสมเนื้อ เมื่อพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาล จะเป็นรัฐมนตรีว่าการ หรือช่วยว่าการก็ไม่ว่ากัน

เพียงแต่ว่า แกนนำรวมไทยสร้างชาติ 2 คนของสุราษฎร์ธานี คือ 'ชุมพล' กับ 'กำนันศักดิ์' ไม่ลงรอยกัน เดินคนละทางกันเท่านั้นเอง โดยกำนันศักดิ์จะแพคกันกับกลุ่มลูกหมี (ชุมพร) และนายกฯ วิสุทธิ์ พัทลุง ส่วนชุมพลก็เป็นสายวิทยา

เมื่อสุราษฎร์ธานีไม่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน ชุมพลมีอยู่ 3...กำนันศักดิ์มีอยู่ 3...การแยกจากกันจึงไม่มีพลังอำนาจในการต่อรอง จึงอาจจะพลาดเก้าอี้รัฐมนตรี

จริงไหม 'พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค' หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top