Friday, 17 May 2024
รวมไทยสร้างชาติ

'สส.ศาสตรา-รทสช.' ยิ้มแก้มปริ!! กลายเป็นขวัญใจเด็ก หลังนักเรียน ป.2 ยกเป็น สส.ที่อยู่เคียงข้างประชาชน

(6 ก.พ. 67) นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณหลานนักเรียน ป.2 โรงเรียนในพื้นที่ที่ทำการบ้านส่งครูใน 'แบบบันทึกบุคคลที่มีผลงานเป็นประโยชน์แก่ชุมชนและท้องถิ่น'

ทั้งนี้ ในแบบเรียนดังกล่าวได้มีการตั้งคำถามว่า 'ผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและท้องถิ่น' ซึ่งนักเรียนได้เขียนข้อความส่งถึงครูโดยนึกถึงนายศาสตรา ระบุว่า...

"เป็น สส.มาแล้ว 2 สมัยช่วยเหลือประชาชนและอยู่เคียงข้างประชาชนและฟังเสียงของประชาชนเมื่อประชาชนเดือดร้อน" 

ในแบบเรียนถามอีกว่า นักเรียนได้ข้อคิดจากการศึกษาอย่างไร? นักเรียนป.2 คนเดิมตอบว่า... "ชอบผู้นำมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ มีวิธีการทำงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบความเป็นผู้นำ"

เจอหลานป.2 เขียนถึงคุณครูแบบนี้ลุงศาสตราคงยิ้มหน้าบาน!!!

‘รทสช.’ ดัน ‘กฎหมายประมง’ เข้าสภาฯ สัปดาห์นี้ หวังพลิกฟื้นประมงพื้นบ้าน-อุตสาหกรรมประมง

เมื่อวานนี้ (6 ก.พ.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงภายหลังประชุมพรรคว่า พรรครวมไทยสร้างชาติจะเสนอร่าง พ.ร.บ.ประมงเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ในสัปดาห์นี้ จุดประสงค์เพื่อพลิกฟื้นการทำอาชีพประมง โดยเฉพาะประมงพื้นบ้าน และอุตสาหกรรมประมง ให้กลับมาเป็นเศรษฐกิจหลักของประเทศ

นายอัครเดช กล่าวว่า "ที่ผ่านมาเรามีกฎหมายประมงที่ทำให้ชาวประมงเจอปัญหาและอุปสรรคในการประกอบอาชีพประมงเป็นอย่างมาก ทางพรรครวมไทยสร้างชาติจึงต้องการเสนอกฎหมายนี้เพื่อแก้ปัญหาให้อาชีพประมงกลับมาเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศอีกครั้ง ดังนั้นการเสนอ พ.ร.บ.ประมงในครั้งนี้จะทำให้สามารถพลิกฟื้นอุตสาหกรรมประมงและอาชีพของชาวประมงให้กลับมาเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ"

ทั้งนี้ การมีกฎหมายฉบับดังกล่าว ก็เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพประมงได้เข้าถึงการทำประมง ที่ถูกกฎหมาย เป็นกฎหมายที่สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบอาชีพประมง ลดอุปสรรคต่าง ๆ 

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำอีกว่า การประชุมสภาฯ ครั้งที่ผ่านมามีการยื่น พ.ร.บ.ประมงเข้าสภาฯ มาแล้ว แต่ไม่ผ่าน เนื่องจากยื่นในช่วงปลายของรัฐบาล ทำให้มีปัญหาและอุปสรรคในเรื่องระยะเวลาในการพิจารณา แต่ครั้งนี้ยื่นให้พิจารณาต้นอายุของสภาผู้แทนราษฎร คิดว่า กฎหมายฉบับนี้จะสำเร็จภายในรัฐบาลนี้แน่นอน ขอให้พี่น้องชาวประมงสบายใจได้เพราะเป็นกฎหมายที่ชาวประมงรอคอย

'ลอรี่' ชี้!! ป่วนขบวนบุคคลสำคัญในต่างแดน โทษระดับก่อการร้าย หากไปทำคล้ายๆ กันที่ 'สหรัฐฯ' เสี่ยงรับโทษจำคุกตลอดชีวิต

(9 ก.พ. 67) จากเหตุการณ์ เยาวชนที่เป็นผู้ต้องหา คดี 112 แต่ยังขับรถไปป่วนขบวนเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ บีบแตร และมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามากั้น โดยการเสด็จนี้ใช้เวลาสั้นเพียงไม่กี่วินาที และไม่ได้เป็นการปิดถนนการจราจรทั้งเส้นแต่อย่างใด

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ หรือ 'ลอรี่' รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยกับการกระทำระรานคนอื่น แต่เปรียบตัวเองเป็นฮีโร่ สร้างบรรทัดฐานสังคมผิดๆ ยัดเยียดความรุนแรงในสังคม โดยใช้เสรีภาพคำกล่าวอ้าง เป็นใบผ่านทาง พร้อมระบุว่า...

เยาวชนท่านนี้ ควรเอาเวลาไปเรียนให้จบ จะได้ตาสว่างอย่าเป็นเบี้ยของใครง่ายๆ โดยเฉพาะเครือข่ายต่างๆ กลุ่มการเมืองที่จ้องดิสเครดิตสถาบันฯ เพราะน้องทำวันนี้ เพื่อเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม หรือด้วยค่าขนม แต่โทษอาญาติดอยู่กับเราไปตลอดชีวิต หมดอนาคต กว่าจะรู้ก็สาย...

บ้านเมืองเราที่น้องๆ โดนกล่อมอยู่ตลอด ว่าไร้สิทธิเสรีภาพ ไม่ทราบว่า เคยรู้หรือไม่ว่ากฎหมายของเราเปิดพื้นที่ให้แสดงออกมากกว่า และโทษต่อประมุขของรัฐ ยังเบากว่า ประเทศเสรีอย่างฝรั่งเศส หรือ สหรัฐอเมริกา

ถ้าน้องทำรูปแบบเดียวกัน คือขับรถโฉบซิ่งเข้าไปป่วนขบวนประธานาธิบดีสหรัฐ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่อยากจะนึก อาจจะไม่ได้อยู่รอดปลอดภัย เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสามารถลงมือรุนแรงเพื่อป้องกันภัยได้

โดยข้อหาที่เกิดขึ้นของไทย อาจเข้าข่ายเดียวคือก่อความไม่สงบ กฎหมายอาญา “มาตรา110 กระทําการประทุษร้ายต่อกษัตริย์ วงศาคณาญาติ มีโทษจําคุกตั้งแต่ 16-20 ปี”

ส่วนถ้าน้องไปก่อเรื่องนี้ในสหรัฐอเมริกา น้องจะเสี่ยงโดนจำคุกตลอดชีวิต จาก 4 ข้อหานี้ รวมกัน

1. ขัดขวางการทำงานจนท.รัฐ (Obstruction of official duties) ผิดกฎหมายระหว่างรัฐ จำคุก 5 ปี

2. คุกคาม/ ประทุษร้าย (Assualt) จำคุก 2 ปี

3. จราจล/ ก่อความไม่สงบ (Disorderly Conduct) จำคุก 6 เดือน

4. เข้าข่ายก่อการร้าย (Terrorism) หากเป็นการกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมือง หรือสร้างภัยต่อความมั่นคงชาติ โทษจำคุกตลอดชีวิต

จึงอยากเตือนสติน้องๆ การเรียกร้อง และแสดงสิทธิเสรีภาพ ต้องตั้งอยู่บนกรอบ การเรียกร้องความสนใจ จนเกินเลยขอบเขตกฎหมายเช่นนี้ สร้างความเกลียดชัง และเกิดการเลียนแบบพฤติกรรมที่รุนแรง อย่างที่เห็นคดีเด็กและเยาวชนจำนวนมาก ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่สื่อมวลชนทั้งหลายควรนำเสนอข้อมูลด้วยจรรยาบรรณสากล ว่าด้วยเรื่อง 'No Notoriety' ไม่สร้างตัวตนฮีโร่กับผู้ก่อเหตุ และขอให้กำลังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่เข้ากำกับดูแลความเรียบร้อยด้วยความใจเย็นทุกคน

‘ดร.หิมาลัย’ ยัน!! รทสช. ไม่เกี่ยวข้องพฤติกรรม ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ชี้!! ‘ถูก-ผิด’ ต้องว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

(9 ก.พ. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ในรายการ TOP NEW Talk กรณีนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก เข้าไปพัวพันกับขบวนการตบทรัพย์อธิบดีกรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคลของคุณเจ๋ง ดอกจิก ซึ่งทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่มีเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีข่าวลือว่าตนเป็นคนชักชวนเจ๋ง ดอกจิก เข้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ขอยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งนี้หากคนที่ติดตามการเมืองมาตลอด จะทราบว่า เจ๋ง ดอกจิก อยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง และเมื่อช่วงใกล้จะเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทางเจ๋ง ดอกจิก ได้เข้ามาที่พรรคฯ เพื่อขอร่วมงานทางการเมืองด้วยกันกับทางพรรค โดยได้ยกประเด็นเรื่องการสลายสีเสื้อเพื่อความสมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งตรงกับแนวทางนโยบายของพรรคพอดี

ดร.หิมาลัย ย้ำว่า กรณีที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีคนของพรรครวมไทยสร้างชาติเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อพรรค เนื่องจากเป็นการกระทำส่วนตัว และที่สำคัญคือพรรครวมไทยสร้างชาติ และ ท่านพีระพันธุ์ สารีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคฯ ได้เน้นย้ำเสมอถึงความซื่อสัตย์สุจริต แม้แต่โครงการต่าง ๆ ที่สส.ของพรรคต้องการผลักดัน ถ้าโครงการนั้นเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ท่านก็จะให้ดำเนินการตามระเบียบของราชการ หากกฎเกณฑ์เป็นอย่างไรก็ให้ทำตามนั้น

ส่วนเรื่องที่มีการกล่าวหาว่า ท่านพีระพันธุ์ ปลด เจ๋ง ดอกจิก จากคณะทำงาน เพื่อช่วยเหลือให้ได้รับโทษน้อยลงนั้น ดร.หิมาลัย ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะท่านพีระพันธุ์ เป็นคนทำงานเที่ยงตรงและโปร่งใส แต่ทางคุณเจ๋งเอง ที่ได้มาขอลาออกก่อนหน้านี้ เพราะไม่สะดวกที่จะเดินทางไปทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัด พร้อมทั้งได้แนะนำให้แต่งตั้งพิมณัฏฐา จิระพุทธิภาคย์ หรือคุณการ์ตูน แทนตนเอง โดยให้เหตุผลว่าเคยเป็นผู้สมัครสส.ของพรรคมาก่อน อย่างไรก็ดี หนังสือแต่งตั้งที่ท่านพีระพันธุ์ ลงนามไปนั้น เป็นเพียงร่างคำสั่งแต่งตั้งเท่านั้น และคำสั่งนั้นก็ยังอยู่บนโต๊ะเจ้าหน้าที่ ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะท่านลงนามในช่วงเที่ยง ๆ จากนั้นเวลาประมาณบ่ายสองโมง ก็มีข่าวเรื่องตบทรัพย์ออกมา จึงมีการระงับร่างคำสั่งนั้นไว้ก่อน

“การที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าท่านพีระพันธุ์ ปลดคุณเจ๋ง ดอกจิก ออกจากคณะทำงาน เพื่อช่วยให้รับโทษน้อยลง เรื่องนี้ผมยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะจากการทำงานกับท่านพีระพันธุ์ มาหลายปี ผมบอกได้เลยว่าท่านเป็นคนทำงานตรงไปตรงมา เปรียบดังไม้บรรทัดก็ว่าได้ ทุกอย่างยึดตามหลักเกณฑ์ตามตัวอักษรเป๊ะ ๆ เพราะฉะนั้นหากคุณเจ๋ง ทำผิดจริง ท่านไม่มีทางช่วยคนผิดอย่างแน่นอน และในวันที่เกิดเรื่อง ทางคุณเจ๋งจะเข้ามาลา แต่ท่านก็ไม่ให้เข้าห้องทำงาน แต่ท่านออกมาพบข้างนอก พร้อมกับบอกให้ไปต่อสู้ตามกระบวนการทางกฎหมาย และอธิบายให้สังคมฟัง จากนั้นก็ได้ให้เชิญทั้ง 2 ท่านนี้ออกจากที่ทำงานของท่านทันที” 

‘อัครเดช’ เผยวิปรัฐบาลมีมติให้ รทสช. เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาฯ พิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ

เมื่อวานนี้ (12 ก.พ. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลได้มีมติเห็นชอบให้พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาทบทวนมาตรการอารักขาถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จพระราชดำเนินของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ให้มีความปลอดภัย เพื่อป้องปรามพฤติกรรมขัดขวางขบวนเสด็จอันก่อให้เกิดอันตราย หรือเสื่อมเสียพระเกียรติยศจะเสนอโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในวันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 โดยจะขอที่ประชุมพิจารณาญัตติดังกล่าวเป็นเรื่องแรกก่อนพิจารณาพรบ.อีก 2 ฉบับ

นายอัครเดช กล่าวว่า จุดประสงค์ที่เสนอญัตติด่วนในครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาสังคมเกิดความไม่สบายใจ ที่มีกลุ่มคนเพียงไม่กี่คนไปกระทำการอันไม่บังควรต่อขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนเกิดความไม่สบายใจและขุ่นข้องหมองใจอย่างกว้างขวาง พวกเราเองในฐานะสส.ฝั่งรัฐบาล จะได้ใช้กลไกของสภาฯ เพื่อพิจารณาทบทวนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จะได้เพิ่มมาตรการให้มีความเข้มงวดเกี่ยวกับการถวายความปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนมีมาตรการที่ชัดเจนดำเนินการกับผู้ที่ขัดขวาง ก่อกวนขบวนเสด็จ

“จะมีการใช้เวทีของสภาฯ อภิปรายเพื่อหาทางออก เพื่อลดความไม่สบายใจและความวิตกกังวลของพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มคนที่แสดงพฤติกรรมขัดขวางหรือก่อกวนขบวนเสด็จพระราชดำเนินซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่บังควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง”นายอัครเดชกล่าว

‘รทสช.’ พร้อมใจเปลี่ยนสัญลักษณ์ในโซเชียล เป็น ‘สีม่วง’ เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี

(14 ก.พ. 67) สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรค พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ในสื่อโซเชียลเป็นสีม่วงเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี

‘เอกนัฏ รทสช.’ เสนอญัตติด่วน ทบทวนถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จฯ

(14 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน และมาตรการ การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เหมาะสม ทันสมัย มีการฝึกซ้อม และประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชนเป็นการถวายความปลอดภัยให้สมกับเกียรติยศ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักชาติ เสนอโดย นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 

โดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ชี้แจงว่า เหตุผลที่ตนได้เสนอญัตตินี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการไปรบกวน ก่อกวนขบวนเสด็จฯ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนคนไทย ตนเห็นว่า กรณีนี้หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน จะทำให้สถานการณ์บานปลาย กระทบต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดี โดยเฉพาะความมั่นคงของประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวตนเห็นคลิปจากสื่อมวลชน ทำให้รู้สึกตกใจ เนื่องจากชัดเจนว่าขบวนเสด็จฯที่กำลังใช้ช่องทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก การถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบประชาชน นอกจากนี้ยังไม่ปรากฎว่ามีการปิดถนนเส้นนั้นเลย แต่รถผู้ก่อนเหตุวิ่งมาด้วยความเร็ว เจตนาชัดเจนว่าพยายามขับรถไล่ขบวนเสด็จฯ จากนั้นได้ปรากฎอีกคลิปที่ทำให้เห็นเจตนาของผู้ก่อเหตุคืออะไร

“ในขณะที่ผมรู้สึกโกรธจนเกือบถึงขีดสุดจนกระทั่งจะเกิดเป็นความรังเกียจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้น มีประโยคหนึ่งที่แว่วเข้ามาบันดาลใจให้ผมดึงสติลดความโทสะลง คือ พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านได้ทรงตรัสไว้ว่า Thailand is the land of compromise ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความประนีประนอม หลังจากเกิดกรณีไปรบกวนขบวนเสด็จฯ เมื่อช่วงปลายปี 2563” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ ชี้แจงต่อว่า ตนเฝ้ารออยู่ว่า เมื่อเหตุเกิดขึ้นในวันที่ 4 ก.พ. ในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะออกมาอย่างไรบ้าง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไร แต่ตนรอหลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ต้องบอกว่าการแสดงท่าทีไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 ก.พ.ผู้ก่อเหตุเหิมเกริมไปทำโพลที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม จนกระทั่งมีการกระทบกระทั่งกับอีกฝ่ายที่ไม่พอใจ ยืนยันว่า ตนไม่อยากซ้ำเติมความร้าวฉานที่เกิดขึ้นต่อทั้ง 2 ฝั่ง แต่ไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้อีก หากเราไม่รีบบริหารจัดการสถานการณ์จะบานปลายไปสู่ความแตกแยกปะทุไปสู่ระดับประเทศ จึงขอส่งสัญญาณ และเสนอไปยังรัฐบาล รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัดดำเนินการยับยั้งไม่ให้สถานการณ์บานปลาย ดังนี้…

1. ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทันที ไม่ใช่เป็นการล่าแม่มด หรือต้องการประหัตถ์ประหารใช้ศาลเตี้ยวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนต้องไม่ไปละเมิดสิทธิคนอื่นและไม่ทำผิดกฎหมาย

2. ขอให้มีการทบทวนปรับปรุงระเบียบและแผนมาตรการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จที่ใช้มาตั้งแต่ปี2548 เนื่องจากบริบท และภัยคุกคามเปลี่ยนไป ให้มีความเข้มงวด กระชับ ชัดเจน มีเจ้าภาพ เหมาะสมทันสมัย มีการซ้อมแผนเผชิญเหตุ มีขอบเขตพื้นที่แบ่งความรับผิดชอบให้ชัดเจนมากขึ้น เพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำจนกลายเป็นแฟชั่น หรือค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่อาจกังวลว่าจะมีความเชื่อมโยงไปสู่ความยัดแย้งทางการเมือง หากปฏิบัติเข้มงวดไปจะมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ แต่ตนยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะตำรวจไม่ใช่เซลล์ที่ต้องมาคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้า ผู้ก่อเหตุกระทำการอย่างเหิมเกริมท้าทาย แต่เจ้าหน้าที่ดำเนินการล่าช้าไป ดังนั้น เมื่อพ.ร.บ.ถวายความปลอดภัย พ.ศ. 2560 อัพเดตแล้วระเบียบและมาตการดังกล่าวต้องอัพเดตด้วย ภารกิจถวายความปลอดภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ต้องดำเนินการแบบไร้รอยต่อ

“สุดท้ายข้อเสนอที่ 3. ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน ว่าสามารถทำอะไรบ้าง อาจมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดประชาชนจะต้องทำตัวอย่างไร เพราะต้องยอมรับว่า ภารกิจการถวายความปลอดภัยไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณพระเมตตา พยายามให้การปฏิบัติพระราชกรณียกิจ หรือเส้นทางการสัญจรรบกวนประชาชนให้น้อยที่สุด ผมเชื่อว่า มีประชาชนหลายคนต้องการให้ความร่วมมือ และช่วยเป็นหูเป็นตาไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เพราะหากปล่อยปละละเลยไม่เข้มงวดเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนำไปสู่ความวุ่นวายการปะทะให้หมู่ประชาชนจนแตกแยก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เราอยากเห็นบ้านเมืองสงบสุข ไม่อยากเห็นค่านิยมเป็นแฟชั่นไปบั่นทอนสถาบันหลักของประเทศ จึงขอให้มีการทบทวนมาตรการต่างๆ เพื่อถวายความปลอดภัยให้สมพระเกียรติ เพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันเสาหลักของชาติ” นายเอกนัฏ ระบุ 

ทั้งนี้ สส.ฝ่ายรัฐบาล ได้มีการลุกขึ้นสนับสนุน ญัตติด่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ สส.ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ยังคงมองว่าต้องแก้ปัญหาจากต้นตอ ด้วยการแก้ ม.112 ต่อไป

‘ธนกร’ หนุน รบ.เดินหน้า ‘แลนด์บริดจ์’ พัฒนาพื้นที่ระเบียง ศก.ใต้ เชื่อ!! เป็นเครื่องมือดึงดูดนักลงทุน - ประโยชน์มหาศาลเข้าประเทศ

(16 ก.พ. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ตนขอสนับสนุนมติที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ที่ได้ผ่านความเห็นชอบ รับรองรายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน หรือ โครงการแลนด์บริดจ์แล้ว เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาเดินหน้าโครงการในขั้นตอนต่อไปอย่างรอบคอบ

เมื่อถามว่า พรรคฝ่ายค้านมีข้อมูลมาอ้างอิงถึงความไม่คุ้มค่าของโครงการในหลายประเด็น นายธนกร กล่าวว่า ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ พยายามหาข้อมูลให้มากที่สุด แต่ข้อมูลของกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ก็มีเหตุผลรองรับ ทำให้ผ่านความเห็นชอบรับรองผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว เพื่อเป็นรากฐานให้นายกฯ และรัฐบาล พิจารณาเดินหน้าเชิญชวนนักลงทุนมาร่วมในโครงการนี้ ตนเชื่อว่า นายกฯ จะพิจารณาอย่างรอบคอบและนำข้อเสนอ ข้อท้วงติงของฝ่ายค้านมาประกอบการพิจารณาด้วย

“ไทย ตั้งอยู่ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านขนส่งและการค้าของภูมิภาคเอเชีย จะเชื่อมโยงไปทวีปต่าง ๆ ในโลก หากเกิดโครงการแลนด์บริดจ์ จะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ SEC และจะเป็นเครื่องมือ หรือแม่เหล็กดึงดูดจูงใจผู้ประกอบการ นักลงทุนมาลงทุนในบ้านเรา เพื่อให้เกิดอุตสาหกรรมหลังท่าและนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ จะทำให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพ พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน คนในพื้นที่อย่างมากและมั่นใจว่าจะสร้างประโยชน์มหาศาลมาสู่ประเทศไทยอย่างแน่นอน” นายธนกร กล่าว

‘อัครเดช’ จี้!! ‘ปดิพัทธ์’ รับผิดชอบ ต้นตอ ‘ชาดา-พิเชษฐ์’ โต้เดือด เหตุใช้ดุลพินิจวินิจฉัยให้อภิปรายต่อ จนทำสภาฯ เกิดความวุ่นวาย

(16 ก.พ.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีเหตุโต้แย้งกันระหว่าง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ในการประชุมสภาฯ เรื่องการเสนอญัตติด่วนมาตรการการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ ว่า การปะทะกันดังกล่าว ทำให้การประชุมไม่ราบรื่น แต่ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยให้อภิปรายต่อ ทั้งที่โดยหลักการแล้ว ประธานควรต้องฟังเจตนารมณ์เจ้าของญัตติ จนทำให้เกิดความวุ่นวายเสียหายต่อภาพลักษณ์ของสภาฯ และยังทำให้นายชาดา และนายพิเชษฐ์ ต้องออกมาโต้แย้งกันจนทั้งสองฝ่ายโดนสื่อโซเชียลถล่ม ดังนั้น นายปดิพัทธ์ จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร

'อัครเดช-รทสช.' ท้วง 'รองอ๋อง' ไม่เป็นกลาง-เบรกไม่ให้พูด กล่าวหาตนอภิปรายยืดเยื้อ สุดท้ายกระทู้ถาม รมต.ล่ม

(22 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานสภา เข้าสู่การพิจารณากระทู้ถามทั่วไป ที่นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถามเรื่องติดตามความคืบหน้าการจัดระเบียบสายไฟฟ้า สายสื่อสาร และการบริหารจัดการไฟฟ้าส่องสว่างอย่างทั่วถึงทั้งประเทศ ถามนายกรัฐมนตรี โดยมอบหมายนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ตอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอัครเดชได้อภิปรายเป็นเวลาเกือบ 10 นาที แต่ยังไม่ได้ถามคำถาม นายปดิพัทธ์จึงทักท้วงว่า นายอัครเดชใช้เวลาเกือบ 10 นาทีแล้ว ขอให้ถามคำถามได้แล้ว ทำให้นายอัครเดชไม่พอใจและกล่าวว่า กระทู้ถามทั่วไปไม่ได้ระบุเวลา แต่ตนรู้ข้อบังคับดี เดี๋ยวตนกำลังจะถามคำถามแล้ว ท่านประธานต้องอย่าทำตัวเอียง ต้องวางตัวให้ตรง วินิจฉัยอะไรต้องรับผิดชอบด้วย 

จากนั้นนายปดิพัทธ์จึงกล่าวว่า ตนให้โอกาสในการอภิปรายแต่นายอัครเดชพูดเรื่อง 70 ล้าน 80 ล้านมา 2 รอบแล้วจึงจะเข้าข่ายวนเวียนแล้ว และคิดว่าเราได้ประเด็นของเนื้อหาจึงอยากให้ช่วยบริหารเวลาเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ให้ท่านอภิปราย

นายอัครเดชกล่าวว่า “จริง ๆ กระทู้ถามสดนั้น ผู้ถามมีเวลาถาม 15 นาที และผู้ตอบมีเวลา 15 นาทีในการตอบเช่นเดียวกัน ผมเพิ่งถาม 10 นาที ท่านมาเบรกผม ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ”

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า “ท่านมีอะไรกับผมเหรอครับ ไม่มีครับ” แต่คิดว่ากระทู้ถามแต่ละครั้งที่วันนี้ตนให้อภิปรายเกิน 10 นาทีได้ เพราะวันนี้มีกระทู้ของนายอัครเดชคนเดียวที่เหลือเป็นการเลื่อนกระทู้ และตนแค่บอกเฉย ๆ ว่าตอนนี้ควรที่จะต้องเข้าสู่คำถามได้แล้ว เพราะเป็นการอภิปรายที่มากพอแล้ว ตนไม่มีอะไรกับนายอัครเดช ขอให้เข้าสู่เนื้อหาเลย หากจะอภิปรายกับตน ตนคิดว่ามันเสียเวลาของสภา ขอเข้าสู่กระทู้ต่อ

นายอัครเดชกล่าวว่า ตนต้องชี้แจงเพื่อที่ประชาชนจะได้เข้าใจข้อบังคับและสิทธิของ สส. ด้วยความเคารพสิทธิของสมาชิก คือเวลาที่ถามนั้น ตนยังอยู่ในเวลาที่ใช้สิทธิอยู่ และหากไปดูเรื่องข้อบังคับกระทู้ถามไม่ได้ระบุระยะเวลา ตนเคารพสภา โดยการใช้สิทธิตามระยะเวลาที่มีอยู่คือ 15 นาที ฉะนั้น การอภิปรายของตนก็เป็นประโยชน์ต่อรัฐมนตรี ในการให้ข้อมูลของรัฐมนตรีไปบริหารประเทศเพื่อประหยัดงบประมาณเงินภาษีของพี่น้องประชาชน ตนจึงบอกว่า 70 ล้านกับ 10 ล้านมันต่างกัน สิ่งที่ตนอภิปรายเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติดีกว่าที่จะอภิปรายที่ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา แล้วท่านวินิจฉัยกลายมาเป็นประเด็นที่ทะเลาะกัน ตนว่าแบบนั้นเสียเวลามากกว่า ขอให้ท่านได้ทำตามข้อบังคับและเคารพสิทธิของสภาด้วย

นายปดิพัทธ์ชี้แจงว่า กระทู้ถามข้อบังคับบอกว่าต้องไม่เป็นลักษณะการอภิปราย หากนายอัครเดชไม่ถามกระทู้ ขออนุญาตว่าจะไม่ถามก็ได้ และเวลาของนายอัครเดชนั้น ตนเคารพ แต่ตอนนี้นายอัครเดชใช้เวลามากเกินไปกับสิ่งที่ไม่อยู่ในกระทู้

นายอัครเดชกล่าวว่า อยากให้นายปดิพัทธ์ที่ทำหน้าที่ประธาน ท่านจะใช้ดุลพินิจหรือวินิจฉัยอะไร ขอให้ท่านอยู่ในข้อบังคับและรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนด้วย ตนกำลังอภิปรายประเด็นนี้และตนถามกระทู้มาตั้งแต่สมัยที่นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นประธานสภา ตนไม่ได้ถามกระทู้นี้กระทู้แรก และตนไม่เคยมีปัญหาเช่นนี้เพราะตนรู้ข้อบังคับ ทำให้นายปดิพัทธ์ ทักท้วงขึ้นว่า ขอให้เข้าเรื่องได้แล้ว ไม่เช่นนั้นตนไม่อนุญาตให้พูดและคำวินิจฉัยของประธานเป็นที่สิ้นสุด

นายอัครเดชกล่าวว่า หากท่านประธานวินิจฉัยเช่นนี้ ตนขอให้สภาแห่งนี้บันทึกไว้ว่า สส.ที่นำปัญหาของพี่น้องประชาชนมาอภิปราย แล้วอภิปรายตามข้อบังคับและจะถามรัฐมนตรีตามระเบียบ แต่ท่านใช้ดุลพินิจของท่านวินิจฉัยให้ สส.หยุดอภิปราย จึงขอให้สภาบันทึกไว้ว่าตนมีความตั้งใจที่จะถามกระทู้นี้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ หากท่านวินิจฉัยเช่นนี้ ตนขอไม่ถามกระทู้ต่อ

นายปดิพัทธ์กล่าวว่า ตนจำเป็นต้องบริหารเวลาและข้อบังคับให้ชัดเจน ไม่ได้มีเจตนาที่จะเบรกไม่ให้นายอัครเดชถาม ขอให้ท่านอภิปรายและเข้าสู่คำถามเพราะเห็นว่าอภิปรายได้ครบถ้วนแล้ว ซึ่งก็รอคำถามจากท่านอยู่ ตนเคารพท่านและสภาฯ ก็บันทึกไว้ได้ว่าตนวินิจฉัยเช่นนี้

นายอัครเดชลุกขึ้นทักท้วงอีกรอบว่า ท่านประธานไม่จบ นายปดิพัทธ์จึงกล่าวขึ้นว่า ตนจบแล้ว และไม่อนุญาตให้พูด ขอบคุณรัฐมนตรี ซึ่งผู้ถามไม่ได้ใช้สิทธิ์ถามแล้ว และเจ้าหน้าที่ที่บันทึกการประชุมว่า นายอัครเดชทำผิดข้อบังคับ ไม่เคารพคำวินิจฉัย ตนไม่สามารถให้อภิปรายตัวตนได้เพราะนี่ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทำให้นายอัครเดชลุกขึ้นประท้วงว่า ตนไม่ได้อภิปรายและขอประท้วงว่าประธานทำผิดข้อบังคับ ท่านเป็นประธานต้องวางตัวเป็นกลาง อย่าเอาอารมณ์เมื่อครั้งที่แล้วมาทำเช่นนี้กับสมาชิก ไม่ถูกต้อง ท่านเป็นประธาน ตนและ ส.ส.เคารพท่านเพราะตำแหน่งท่านแต่การที่ท่านวินิจฉัยและมาขัดการอภิปรายเช่นนี้ ตนถือว่าเป็นสิ่งที่ประธานไม่ควรทำและไม่สร้างสรรค์อย่างยิ่ง

นายปดิพัทธ์ได้ย้ำอีกครั้งถึงเรื่องข้อบังคับสภา ในการถามกระทู้และไม่ได้มีเจตนาที่จะเบรกไม่ให้นายอัครเดชถามกระทู้แต่อย่างใด จากนั้นจึงเข้าสู่วาระถัดไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top