Sunday, 5 May 2024
พรรคชาติพัฒนากล้า

‘ชาติพัฒนากล้า’ ชู นโยบาย ‘ลดค่าการกลั่น หั่นค่า FT’ พร้อมทุบโครงสร้างราคา ‘น้ำมัน - ไฟฟ้า’ ต้องถูกกว่านี้

(28 ก.พ.66) ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ร่วมเวทีเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย ในหัวข้อ ‘พรรคการเมืองตอบประชาชน อนาคตพลังงานไทย’ โดยย้ำถึงหลักการเสรีนิยมประชาธิปไตย ต้องทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งโอกาส รื้อโครงสร้างที่ผูกขาด ให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ซึ่งเรื่องพลังงานเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่โคตรผูกขาด

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า น้ำมันและค่าไฟฟ้าแพง เพราะถูกยัดเยียดต้นทุนจากราคาสมมุติ ประชาชนต้องจ่ายแพงเกินจริง ส่วนกำไรมหาศาลตกอยู่กับกลุ่มทุนผูกขาด อย่างเรื่องน้ำมัน แข่งขันแค่เฉพาะแถมน้ำหรือไม่แถมน้ำ แต่ไม่เคยแข่งกันด้วยราคา เพราะกำหนดราคาต้นทุนสมมุติร่วมกัน ความน่าเกลียดที่สุดคือ รัฐบาลที่ยอมจำนนต่อระบบนี้ 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ปีที่แล้วสงครามรัสเซีย-ยูเครน ค่าการกลั่นสมมุติที่คิดจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูป มีส่วนต่างห่างกันมาก ค่าการกลั่นสูงผิดปกติ โรงกลั่นก็กำไรมหาศาลทั่วโลก หลายประเทศใช้วิธีเก็บภาษีลาภลอยกับบริษัทกลั่นน้ำมัน เพื่อไปชดเชยค่าแก๊ส ค่าน้ำมัน ที่มันแพงขึ้น แต่รัฐบาลไทยกลับนิ่งเฉย รัฐมนตรีคนปัจจุบัน เคยบอกว่า จะรับบริจาคจากโรงกลั่นน้ำมัน ทั้งที่สามารถทำได้ชัดเจนกว่าด้วยการใช้มติ ครม.ออกพระราชกำหนด เก็บภาษีลาภลอยจากโรงกลั่นที่เป็นบริษัทมหาชน รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นคณะกรรมการการควบคุมราคาสินค้า และยังเป็นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานด้วย

“ผมและนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เคยเตือนและนำเสนอแนวทางการแก้ไขลดค่าการกลั่น เก็บภาษีลาภลอยไปตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งเป็นแนวทางที่ต่างประเทศก็ใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้ เราเสนอวิธีการแก้ไขตั้งแต่กองทุนน้ำมันยังติดลบไม่ถึงแสนล้าน แต่รัฐบาลไม่ดำเนินการ จนถึงวันนี้กระทรวงการคลังต้องไปค้ำประกันเงินกู้กองทุนน้ำมัน เป็นหนี้แสนล้าน ประชาชนต้องช่วยผ่อนทุกครั้งที่เติมน้ำมันยาว 7 ปี” ดร.อรรถวิชช์ กล่าว

ทำได้จริง!! ‘กรณ์’ โชว์ ‘กล้าปลดหนี้’ ใช้แค่ 1 ปี สร้างเถ้าแก่ใหม่ ย้ำชัด โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน ช่วยหนุน ศก.ปากท้อง

‘กรณ์ เผยผลสำเร็จ ‘กล้าปลดหนี้’ ใช้เวลาเพียง 1 ปี สร้างเถ้าแก่ใหม่ ชี้ โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน สำคัญต่อเศรษฐกิจปากท้อง

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เมื่อพูดถึงโอกาสสำคัญที่สุดไม่หนีเรื่องเงินทุน ใครเข้าถึงแหล่งเงินก็ไปได้ ใครเข้าไม่ถึงก็ไม่มีโอกาสทำมาหากิน คนรวยได้เปรียบ เพราะกู้ได้ถูก (หรือไม่ต้องกู้เลย) ส่วนคนจนต้องกู้แพง และยิ่งใครต้องกู้นอกระบบยิ่งไปกันใหญ่

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วพรรคเรา นำโดยนายนที ศิริธรรมวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัครสส.กทม.พญาไท ทำโครงการ ‘กล้าปลดหนี้’ เพื่อช่วยให้ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบกลับมากู้ในสถาบันการเงินได้ คนเวลาได้ยินคำว่ากู้ มักคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะจะเป็นการสร้างหนี้ แต่จริง ๆ แล้ว แทบทุกธุรกิจต่างต้องการเงินทุนเพื่อเริ่มต้นด้วยกันทั้งนั้น และในบางครั้งประสบปัญหา เช่น ในสถานการณ์ช่วงโควิด ที่ขาดรายได้ ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก แต่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตธุรกิจจะกลับมาไม่ได้

“โครงการ ‘กล้าปลดหนี้’ ที่เราทำ เป็นการประสานชาวบ้านกับสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถกู้เงินมาหมุนธุรกิจให้ไปต่อ อย่างคุณเปิ้ลเจ้าของร้านหมูกะทะ แต่เชื่อหรือไม่ ไม่เคยกู้จากแบงก์ได้ จึงต้องพึ่งนายทุนนอกระบบ ดอกเบี้ยเดือนละ 20% แต่รอดได้ด้วยเงินกู้ที่เราช่วยประสานให้ เงินกู้ดอกเบี้ยปีละ 33% หรือเดือนละ 2% กว่าเท่านั้น ทำให้วันนี้ธุรกิจอยู่รอด ลูกค้าเริ่มกลับมาเต็มร้าน สามารถฟื้นตัวได้ ล่าสุดซื้อรถกระบะและกำลังจะขยายสาขาสองอีกด้วย” นายกรณ์ กล่าว 

‘กรณ์’ โต้ ‘เพจแบงก์ชาติ’ บิดเบือนนโยบาย ชพก. ย้ำชัดขอยกเลิก "แบล็กลิสต์" ไม่เกี่ยวเลิกเครดิตบูโร

‘กรณ์’ ซัดเพจแบงก์ชาติ บิดเบือน นโยบาย ยันไม่ได้ยกเลิกเครดิตบูโร ย้ำ "ยกเลิกแบล็กลิสต์-ใช้เครดิตสกอร์" จวกแบงก์ชาติ มีหน้าที่ดูแลลดต้นทุนการเงินประชาชน ไม่ใช่มาสร้างความสับสนให้สังคม  

( 6 มี.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ กรณีธนาคารแห่งประเทศไทย ปล่อยคลิป กล่าวหานโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ของพรรคชาติพัฒนากล้า โดยขึ้นพาดหัวในคลิปลงเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทยว่า "มีเรื่องของเครดิตบูโรด้วยว่าอยากให้ลบ" ซึ่ง ไม่ตรงต่อข้อเท็จจริงแต่อย่างใด จนทำให้นายกรณ์ ต้องโพสต์ตอบโต้ในเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า ตนไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่แบงก์ชาติแกล้งไม่รู้ หรือไม่รู้จริง ว่าข้อเสนอเรื่องเครดิตบูโรของ พรรคชาติพัฒนากล้าคืออะไร แค่ประโยคแรกที่ที่พิธีกรพูดว่ามีข้อเสนอเรื่องเครดิตบูโรว่า ‘อยากให้ลบ (เครดิตบูโร)’ และมีภาพขยายประเด็นว่าลบไม่ได้เพราะอะไร ก็ทำให้มีคำถามแล้ว ซึ่งข้อเสนอเรา "ไม่มีการลบข้อมูลใดๆ" ของใคร และ "ไม่มีการยุบหรือลบเครดิตบูโร" แต่เป็นการเสนอให้แก้กฎหมาย เพื่อสามารถนำข้อมูลการใช้ชีวิตทางการเงินของผู้กู้ทั้งหมดมาประมวลรวมเป็นเครดิตสกอร์ (Credit score)  แก้ปัญหาการเกิดสภาพ ‘บัญชีดำ’ หรือ แบล็กลิสต์ นั่นเอง

โชว์ฟิต!! ‘กรณ์’ นำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เตรียมว่ายน้ำข้ามทะเลสาบ ระดมทุนซื้อเครื่องมือแพทย์ พร้อมโปรโมตการท่องเที่ยว

(9 มี.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช กล่าวว่า  ในระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2566 ตนพร้อมทีมงานจะเดินทางไป จ.สงขลา เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ทั้ง 4 เขต 

โดยในช่วงบ่ายวันที่ 10 มีนาคม จะพบปะพี่น้องประชาชนในเขตเมืองเก่าสงขลา และเข้าร่วมกิจกรรมงานวันสงขลาครบรอบ 181 ปี ณ ถ.นางงาม นครใน นครนอก ร่วมกับนายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1 จากนั้นในช่วงเย็นร่วมทอล์คเศรษฐกิจ ณ ไมอามี่ สงขลา 

จากนั้นในวันเสาร์ที่ 11 มีนาคม ลงพื้นที่เขตอำเภอหาดใหญ่ เริ่มด้วยการพบกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ และรับหนังสือแก้ปัญหากลิ่นขยะเน่าเหม็นที่ตำบลควนลัง ร่วมกับทนายอาร์ม นายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 และลงพื้นที่ในใจกลางเมืองหาดใหญ่ บริเวณตลาดคลองเรียนร่วมกับนายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 เนื่องจากการลงพื้นที่ล่าสุดได้รับเสียงตอบรับจากโซนพื้นที่ค้าขาย ธุรกิจเป็นอย่างมาก และในช่วงเย็นลงพื้นที่ต่อเนื่องที่ตลาดน้ำคลองแห เพื่อทำกิจกรรมเศรษฐกิจชุมชนกับ ว่าที่ผู้สมัครเขต 3 อาจารย์อ๊อด นายประสิทธิ์ รัตนพันธ์

“โดยไฮไลท์ของการลงพื้นที่สงขลา รอบนี้ของผมคือ วันอาทิตย์ 12 มีนาคม ผมจะเข้าร่วมกิจกรรมว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสงขลา 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการว่ายครั้งที่ 2 เพื่อโปรโมทการท่องเที่ยววิถีชุมชนเมืองเก่า-หัวเขา เริ่มจากจุดปล่อยตัวที่ โรงสีแดง ถนนนครนอก จนถึงเส้นชัย ที่ Songkhla Pier ฝั่งหัวเขา โดยความพิเศษของรอบนี้คือ ผู้จัดจะมีการร่วมระดมทุนช่วยเครื่องมือแพทย์ขาดแคลนที่ รพ.สต.หัวเขา อีกด้วย” นายกรณ์ กล่าว 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า จ.สงขลา โดยเฉพาะพื้นที่หาดใหญ่เป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่พรรคชาติพัฒนากล้าเอาจริง และมั่นใจว่าจะสามารถคว้าชัยชนะในอย่างแน่นอน ดูจากเสียงตอบรับจากประชาชนในการลงพื้นที่แต่ละครั้ง และผู้สมัครทุกคนก็เป็นคนมีศักยภาพซึ่งพรรคได้คัดเลือกมาแล้วเพื่อพี่น้องประชาชนชาวสงขลา 

‘กรณ์’ นำทีมลุยพื้นที่หาดใหญ่ ชี้นำแนวทางให้ชาวบ้าน ปชช. ต้อนรับคึกคัก ขอฝาก ‘ประเทศไทย’ ไว้ในมือกรณ์

(11 มี.ค. 66) ที่ จ.สงขลา นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 4 เขต ได้แก่ นายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1 นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 ผศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ เขต 3 และ ทนายอาร์ม -นายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 ร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนชาวสงขลา เป็นวันที่สอง โดยในช่วงเช้า นายกรณ์ และนายจูรี ลงพื้นที่หาดใหญ่บริเวณตลาดคลองเรียน เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ส่งเสียงร้องทัก กันอย่างคึกคัก และขอถ่ายภาพตลอดเส้นทาง พร้อมกับบอกว่า เป็นแฟนคลับทั้งจูรี ที่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวสงขลา และคนภาคใต้ ขณะเดียวกันก็ยังช่วยชาวบ้านขายของสร้างรายได้ให้ชุมชน ส่วนนายกรณ์ รู้จักและเห็นฝีมือการทำงานมาแล้วและเชื่อว่าถ้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในรัฐบาล จะสามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน 

ต่อมานายกรณ์ พร้อมด้วย ทนายอาร์มนายพงศธร ผศ.ดร.ประสิทธิ์ และ นายกัณฑ์ พบกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตามคำเชิญของ ยูนิกิฟาร์ม โดยมีชาวบ้านที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยทางผู้ประกอบการต้องการให้พรรคชาติพัฒนากล้า ผลักดันนโยบายเพื่อเกษตรกรรายย่อย และอยากให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อทำสมาร์ทฟาร์ม ซึ่งแม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงกว่าแต่ราคาผลผลิตดีกว่าหลายเท่า และยังมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก ตอนนี้ทางยูนิกิฟาร์มมีออเดอร์จากประเทศมาเลเซีย แต่ไม่สามารถผลิตได้ทันทำให้เสียโอกาสไป 

ซึ่งนายกรณ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร คือการแปรรูป และการจะแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หัวใจก็อยู่ที่ วิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ชุมชน ยกตัวอย่าง ที่ตนเคยลงไปทำข้าวอิ่มที่ จ.มหาสารคามปีนี้เข้าปีที่ 10 ชาวบ้านขยายผลจากการทำข้าวเกษตรอินทรีย์ ไปสู่การนำปลายข้าว ผลิตเป็นเครื่องสำอาง ขนมอบกรอบหลายชนิด เหล่านี้ล้วนทำได้ หากมีการส่งเสริมกระบวนการแปรรูปอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญต้องปฏิรูปสหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนเกษตรกรอย่างจริงจัง วันนี้ชาวบ้านแบกราคาปุ๋ยที่สูงมาก เราควรมีนโยบายลดต้นทุนโดยการสรรหาวัตถุดิบมาผลิตปุ๋ย ประเทศไทยมีเหมืองแร่โปแตสอยู่หลายแห่ง สามารถนำมาใช้เพื่อลดการใช้ปุ๋ยลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ระบบสมาร์ทฟาร์มคือการใช้ปุ๋ยแบบแม่นยำก็จะสามารถลดต้นทุนลงมาได้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องได้คนที่เข้าใจเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชน ความจนไม่ใช่การส่งต่อข้ามรุ่น แต่แก้ได้ ถ้าได้รับโอกาสที่ดี 

“วันนี้เกษตรกรแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงมาก หากมีการต่อสู้เรื่องพลังงานได้จะลดต้นทุนไปได้มาก  พรรคชาติพัฒนากล้า ต่อสู้เรื่องการรื้อโครงสร้างพลังงาน ชนกับทุนใหญ่ เหตุผลที่เรากล้าทำเพราะคิดว่า การทะเลาะกับทุนใหญ่เพื่อพี่น้องประชาชน คุ้มกว่าทะเลาะกันเองโดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นอกจากนี้ นายกรณ์ ยังได้นำเสนอนโยบายเพื่อผู้สูงอายุ ทั้งนโยบายสูงวัยไฟแรง จ้างผู้สูงอายุทำงาน 5 แสนตำแหน่ง รวมไปถึง นโยบายสร้างบ้านให้ผู้สูงอายุหรือ อารยสถาปัตย์  50,000 บาทต่อครัวเรือน ลดปัญหาผู้สูงอายุล้มในบ้านที่มีมากถึงปีละ 4 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุทั้งประเทศ โดยตั้งเป้า 1 ล้านครัวเรือนต่อปี และยังมีกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับคนทุกวัย เพื่อสร้างธุรกิจสร้างสรรค์ สูงสุด 1 ล้านบาทไม่จำกัดวุฒิการศึกษา 

ไม่เป็นธรรม ‘อรรถวิชช์’ ติง ‘กกต.’ เหตุชงเลือกแบ่งเขตแบบ 1 หรือ 2 ขู่!! ร้องศาลเมินคำเตือน ผิดกฎหมายทำปชช. สับสน

‘อรรถวิชช์’ ติง กกต.กทม.ชงเลือกแบ่งเขตแบบ 1, 2 ส่อผิดกฎหมาย-ทำปชช. สับสน-กระทบลต. ดักคอ กกต.ใหญ่ เคาะแบ่งเขตให้เป็นธรรม ขู่ ร้องศาลหากเมินคำเตือน

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 12 มี.ค.ที่พรรคชาติพัฒนากล้า นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าชาติพัฒนากล้า แถลงกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งของ

กทม.ว่า เดิมกทม.แบ่งการเลือกตั้ง 8 เขต และเปิดรับฟังความเห็นประชาชน แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญ ตีความไม่นับรวมคนต่างด้าวในการคำนวณส.ส. จึงต้องมีการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานคร (กกต.กทม.)ได้แบ่งเขตเป็น 4 รูปแบบ และเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชน โดยจะครบกำหนดในวันที่ 13 มี.ค. และจะส่งให้กกต.ชุดใหญ่ พิจารณาสรุปในวันที่ 14 มี.ค.นี้ 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ขอฝากกกต.ชุดใหญ่ ว่าหาก กกต.กทม.เลือกแบ่งเขตในรูปแบบที่ 1 หรือ 2 จะเป็นการแบ่งเขตที่ผิดกฎหมาย เพราะเป็นการซอยแขวงมานับรวมเป็นเขตเลือกตั้ง ไม่ใช่การนับรวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.มาตรา 27 ที่ระบุสองหลักการสำคัญ คือให้นับรวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้งและต้องเป็นการกำหนดเป็นเขตเลือกตั้งเดียวกัน แต่การนับแบบ 1 หรือ 2 เป็นการรวมแขวงแบ่งให้ลดเลี้ยวเคี้ยวคด มีการแทรกแขวงมานับรวม ซึ่งไม่เป็นธรรม เพราะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ สามารถระบุได้ว่าพรรคไหนจะชนะและได้จำนวนส.ส.เท่าไหร่ และยังทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าอยู่ในเขตเลือกตั้งใด

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ต่างจากการแบ่งในรูปแบบที่ 3 หรือ 4 ที่นับอำเภอเป็นหลัก โดยการเลือกตั้งปี 2554 และ2557 เป็นการแบ่งเขตที่ลงตัว ไม่มีการแทรกเขตเข้ามานับรวม ต่างจากเมื่อปี 2562 และในครั้งนี้ ที่แบ่งแบบกิ้งก่ามีการแทรกเขต ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ  นอกจากนั้นในจำนวน 33 เขตยังพบว่ามีการแยกแขวงมานับรวมถึง 27 เขต ในรูปแบบที่ 1 และ 30 เขต ในรูปแบบที่ 2 ทั้งนี้

'กรณ์' ออกโรงสร้างความมั่นใจ หลัง 2 แบงก์อเมริกาล้ม  ชี้!! กระทบไทยน้อย ยันธนาคารไทยแข็งแกร่ง

จากกรณี 2 ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ อย่างธนาคาร Silicon Valley Bank หรือ SVB และ Signature Bank ล้มกะทันหัน สร้างความตื่นตระหนกต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทยเองก็มีความกังวลว่าจะกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันการเงินของเราหรือไม่ 

(15 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ที่สามารถฝ่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์จนทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวได้เมื่อปี 2553 กล่าวถึงประเด็นปัญหาดังกล่าวว่า...

ปรากฎการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คือวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ แต่จากบทเรียนในอดีตทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีการวางแผนรองรับไว้อย่างดี ส่งผลให้สถาบันการเงินของไทยแข็งแกร่งที่สุดในโลก จึงอยากให้มั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อลูกค้าของสถาบันการเงินอย่างแน่นอน 

นายกรณ์ วิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหาต่อการล่มสลายของธนาคาร SVB ว่า SVB ก่อตั้งมาเกือบ 40 ปี แต่มาเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงวิกฤตโควิด เนื่องจากฐานลูกค้าเป็นกลุ่มธุรกิจสายเทคถึง 30,000 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้ากระจุกตัวอย่างมาก ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2019  จากเดิมที่มีฐานเงินฝากอยู่ที่ 50,000 ล้านเหรียญ ณ ช่วงต้นปี 2022 ฐานเงินฝากเพิ่มขึ้นเป็น 190,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 300% ซึ่งเร็วกว่าคนสถาบันการเงินอื่นที่เพิ่มขึ้นเพียง 30% เท่านั้น เหตุผลเกิดจากช่วงโควิดมีการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้มีการระดมทุนของบริษัทสายเทคบูมมาก มีเงินไหลเข้า SVB มาก จนปล่อยกู้ไม่ทัน จึงนำเงินฝากไปลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งในอดีตสามารถทำได้ แต่โดยปกติธนาคารต้องมีความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเงินฝากกับเงินลงทุน และส่วนใหญ่จะลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น แต่เนื่องจากช่วงนั้นอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก SVB จึงนำเงิน 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปลงทุนในพันธบัตรระยะยาว 10 ปี  เพื่อหวังผลของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น พอลงทุนไป ก็เกิดปรากฏการณ์หลายเรื่องพร้อมกัน จนนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด 

อดีต รมว.คลัง กล่าวต่อว่า พอช่วงโควิดผ่านไป ราคาหุ้นของลูกค้า SVB เริ่มปรับลดลง และเริ่มมีการถอนเงินฝากในปริมาณที่สูงกว่าที่ธนาคารคาดไว้ ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จึงมีนโยบายออกมาต่อสู้ โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น เพื่อลดอุปสงค์ของเงิน แต่อัตราการปรับเพิ่มขั้นดอกเบี้ยถึง 4% ส่งผลกระทบต่อการลงทุนพันธบัตรที่ธนาคารไปลงทุนไว้ ทางการเงินเรียกว่าขาดทุนทางบัญชี เนื่องจากยังไม่ได้ขาย เพราะหากฝากไว้ครบ 10 ปี ก็จะยังได้อัตราดอกเบี้ยที่สูงอยู่ แต่ SVB จำเป็นต้องขายพันธบัตรเนื่องจากขาดสภาพคล่อง จึงทำให้เกิดภาวะขาดทุนจริงถึง 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงมาก และเป็นสาเหตุต้องพยายามเพิ่มทุน 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่ออุดช่องโหว่ ทำให้ลูกค้าธนาคารเริ่มเกิดความกังวลจนแห่ไปถอนเงิน จนเงินหมด ทำให้เฟดต้องเข้ามาจัดการโดยการปิดกิจการ SVB ในที่สุด 

นายกรณ์ กล่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโจ ไบเดน ออกมาย้ำเพื่อความมั่นใจว่า รัฐบาลจะคุ้มครองเงินฝาก 100% ประชาชนไม่ต้องกังวลว่าจะถอนเงินได้หรือไม่ เพราะหากถอนไม่ได้ ผลข้างเคียงจะส่งผลต่อผู้ประกอบกิจการซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตาร์ทอัพ ไม่สามารถจ่ายเงินเดือน และชำระหนี้สินได้ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและอาจกระทบจนถึงขั้นปิดกิจการได้ และอาจจะลามไปถึงการแห่ถอนเงินจากสถาบันการเงินอื่น ๆ สร้างปัญหาเป็นวงกว้างทั้งระบบ  อย่างไรก็ตามสิ่งที่นายไบเดนพูด รัฐบาลค้ำประกันเฉพาะผู้ฝาก แต่ไม่ค้ำประกันผู้ถือหุ้น เจ้าของพันธบัตรหรือเจ้าหนี้ของตัวธนาคาร และเป็นการใช้เงินจากสถาบันคุ้มครองเงินฝากเท่านั้น ไม่กระทบต่อภาษีประชาชนแต่อย่างใด เป็นการส่งสัญญาณเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนในอดีต ส่วนหนึ่งเนื่องจากเป็นช่วงที่ใกล้เลือกตั้งที่ส่งผลต่อคะแนนนิยม แต่ทั้งนี้สถาบันคุ้มครองเงินฝากก็มีเงินเพียง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถ้าทุกคนยังแห่ถอนเงินก็ไม่เพียงพอ เวลานี้จึงต้องรอดูว่าจะมีใครมาซื้อกิจการของ SVB ของสหรัฐ เหมือนที่ HSBC ซื้อกิจการ SVB ในอังกฤษไปแล้วในราคา 1 ปอนด์ 

นายกรณ์ ตั้งข้อสังเกตว่า ในระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจในบริเวณ ซิลิคอนวัลเลย์สูง เนื่องจากสตาร์ทอัพเกือบทุกรายใช้บริการ SVB ที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่เข้าใจมายาวนาน วันนี้ต้องไปคุยกับสถาบันการเงินอื่นที่เข้าใจน้อยกว่า ทำให้ความได้เปรียบการเข้าถึงแหล่งทุน เมื่อเทียบกับที่อื่นในโลกลดลง ยกเว้นว่าจะมีใครไปซื้อและดำเนินการทำธุรกิจในวัฒนธรรมเดิมกับกลุ่มลูกค้าเดิม ก็อาจไม่ส่งผลมากนัก แต่หากไม่มี หรือมีชุดความคิดที่แตกต่าง ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพ ที่ซิลิคอนวัลเลย์เริ่มหมดเสน่ห์ หรือขีดความสามารถในการแข่งขันที่เคยได้เปรียบก็จะลดลง 

‘กรณ์’ นำ ‘นที’ ลุยพญาไท ชูผลงาน ‘กล้าปลดหนี้’ ชี้!! คุณสมบัติครบ อ้อนขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่

‘กรณ์’ ฟิตลงพื้นที่ ‘พญาไท’ ช่วย ‘นที ศิริธรรมวัฒน์’ ขวัญใจชุมชน หลังทำโครงการกล้าปลดหนี้ มีผลงานชัด อ้อนฝากคนรุ่นใหม่ 

(19 มี.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ลงพื้นที่พญาไท เพื่อช่วยนายนที ศิริธรรมวัฒน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หาเสียง โดยมีนายธาม สมุทรานนท์ และนางสาววิเวียน จุลมนต์ ร่วมให้กำลังใจ โดยในวันนี้ นายกรณ์ และทีมงานได้พบปะพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ชุมชนวัดไผ่ตันและเยี่ยมชมการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กวัดไผ่ตัน  

นายกรณ์ กล่าวว่า อีกไม่ถึง 2 เดือน ประชาชนก็จะได้ใช้สิทธิของตัวเองเลือกผู้แทนราษฎรแล้ว วันนี้ยังมีเวลาศึกษาเพื่อตัดสินใจว่า วันที่เราเข้าคูหา เราต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าจะเลือกคนแบบไหน พรรคไหน แล้วตัวเราจะได้อะไร บางคนอาจจะมีครบทุกอย่างแล้ว แต่สิ่งที่อยากได้คือ สิ่งแวดล้อมที่ดี ผู้ที่ดีที่สามารถเป็นผู้แทนไปเจรจากับผู้นำต่างประเทศแล้วรู้สึกภาคภูมิใจ ซึ่งพรรคชาติพัฒนากล้า เรามั่นใจว่าเรามีนโยบายที่ดีที่จะตอบโจทย์ความต้องการ และว่าที่ผู้สมัครของเรามีคุณสมบัติครบที่จะทำให้ทุกท่านภาคภูมิใจ อยากให้ทุกท่านให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ของพรรคชาติพัฒนากล้า  

นอกจากนี้ นายกรณ์ ยังได้นำเสนอนโยบาย ช่วยเหลือแม่และเด็กตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 6 ขวบ โดยมองเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการพัฒนาการทางสมอง แม่และเด็กควรได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และมีงบประมาณที่เพียงพอในการใช้จ่ายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี โดยจะจัดงบประมาณส่วนนี้เพิ่มจาก 600 บาท เป็น 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน นอกจากนี้ยังจะจัดสรรงบประมาณ 500 บาทต่อหัวเด็ก สำหรับศูนย์เด็กเล็กที่รับดูแลเด็กเล็กจนถึง 2 ขวบครึ่ง ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ พรรคชาติพัฒนากล้า ได้คิดและคำนวณอย่างละเอียด จนเป็นนโยบายแล้วว่าเราจะหาเงินจากไหน 

‘กรณ์’ ปล่อยนโยบาย ‘Dark Economy’ จัดโซนนิ่ง ‘ฟ้ามืด’ ส่งเสริมคุ้มครองอุทยานท้องฟ้ามืด เพิ่มโอกาส-สร้างรายได้ให้คนไทย

ปล่อยนโยบายสร้างความฮือฮาอย่างต่อเนื่องสำหรับพรรคชาติพัฒนากล้า โดยล่าสุดได้ส่งนโยบาย 'Dark Economy' เป็นจุดขาย ซึ่งหนึ่งในชุดนโยบายเฉดสี Spectrum Economy ที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้

(23 มี.ค. 66) นายกรณ์ จากติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงนโยบาย Dark Economy ว่า เป็นการท่องเที่ยวแนวใหม่โดยจัดโซนนิ่งฟ้ามืด ทั้งนี้ต้องถามตัวเองว่า ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นดาวแบบเต็มท้องฟ้าคือเมื่อไร เพราะโลกหมุนเร็ว ไม่เฉพาะในเมืองที่มีแสงสว่างจนบดบังความงามของดวงดาวบนท้องฟ้า แม้แต่ต่างจังหวัดเองก็หาพื้นที่ที่มืดสนิทจริง ๆ ได้ยากขึ้นทุกวัน

'ชพก.' เตรียมเผยโฉม 33 ขุนพลสู้ศึก กทม. 31 มี.ค.นี้ ชูสโลแกน “กล้า FIGHT : ชาติพัฒนากล้า เราสู้เพื่อคุณ”

(30 มี.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี, นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค และ นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเตรียมแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ครบทั้ง 33 เขต ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 14.15 น. ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ 

โดยว่าที่ผู้สมัครทุกคนเป็นนักสู้ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนแปลงประเทศไทย รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้คนไทยมีโอกาสลืมตาอ้าปาก หลุดพ้นจากความยากจนได้ ภายใต้สโลแกน  “กล้า FIGHT : ชาติพัฒนากล้า เราสู้เพื่อคุณ” เพื่อนำพาประชาชนคนไทยสู่เป้าหมาย งานดี มีเงิน และของไม่แพง 

ทั้งนี้ภายในงานจะใช้ธีมเวทีมวยในการเปิดตัว มีการแบ่งผู้สมัครเป็น 7 กลุ่มที่พร้อมมา ทุบ ฟัน ฟาด ต่อย ลุยกับปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน 

"ผู้สมัครกทม.ของเรา หลากหลาย มีทั้งผู้บริหารธุรกิจมืออาชีพ ประสบการณ์แน่น มีทั้งสตาร์ตอัปไฟแรง มีแนวลงพื้นที่คลุกชาวบ้านเข้มข้น ขอให้จับตาดูผู้สมัครของเรา ที่พร้อมชนทุกปัญหาเศรษฐกิจ ไม่กลัวพรรคไหนในเวทีเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน" หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top