Saturday, 4 May 2024
พรรคชาติพัฒนากล้า

‘กรณ์’ ผลักดันสร้างสะพานเชื่อม ‘เกาะสมุย-แผ่นดินใหญ่’ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว พลิกฟื้นเศรษฐกิจภาคใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สุราษฎร์ธานี ว่า เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2565 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้รับเชิญจากสมาคมสมุย เพื่อร่วมเสวนาเรื่องการสร้างสะพานเชื่อม ‘เกาะสมุย-แผ่นดินใหญ่’ โดยมีสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นักธุรกิจ ผู้ประกอบการโรงแรม ประชาชนชาวเกาะสมุย กว่า 200 คน รวมถึง ว่าที่ผู้สมัครส.ส.สุราษฎร์ธานี เขต 2 พรรคชาติพัฒนากล้า นางพงศ์ศรี นาคเมือง หรือ ทนายอ๋อย ทนายความชื่อดังแห่งเกาะสมุย ที่เกาะติดการเรียกร้องก่อสร้างสะพานมาอย่างต่อเนื่องด้วย

นายกรณ์ กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบัน สิ่งที่ต้องรีบแก้ไขเพื่อสะสางปัญหาด้านอื่นๆ ได้คือ ปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน ประเทศเราจะมีทรัพยากรเพียงพอในการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนได้ เศรษฐกิจต้องดีก่อน ซึ่งจากการพูดคุยกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ทุกคนเห็นตรงกันว่า การจะแก้ปัญหาปากท้องได้ เราต้องมีจุดยืนในการสร้างสะพานเชื่อมเกาะสมุย-แผ่นดินใหญ่ สะพานแห่งนี้จึงเป็นเพชรเม็ดงามของอ่าวไทย แต่เพชรจะงามได้ต้องอยู่บนแหวน ที่ออกแบบเพื่อให้การท่องเที่ยวเชื่อมโยงกันได้สะดวก 

ดังนั้นตนจึงตั้งใจจะมาทอดสะพานแห่งโอกาสและระดมสมองเพื่อให้การก่อสร้างสะพาน เพื่อเป้าหมายในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวของภาคใต้ให้สามารถรับนักท่องเที่ยวรายได้สูงจากทั่วโลกได้ตลอดทั้งปี มี land-bridge มอเตอร์เวย์พาดผ่าน จากอ่าวไทยถึงอันดามัน จากหาดเฉวงจนถึงปลายแหลมพรหมเทพ ซึ่งจะกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ครึกครื้น พลิกฟื้นเศรษฐกิจภาคใต้ และส่งผลต่อจีดีพีประเทศ

นายกรณ์ กล่าวว่า นอกจากส่งเสริมการท่องเที่ยวแล้ว การมีสะพาน ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ประชาชนด้วย เพราะปัจจุบัน ต้นทุนค่าครองชีพที่สูงมากทั้งราคาน้ำมันที่โดยทั่วไปก็สูงอยู่แล้ว แต่ที่เกาะสมุยราคาสูงกว่าแผ่นดินใหญ่ถึง 2 บาท ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายต่างๆ แพงกว่าปกติเกือบทุกรายการ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม รีสอร์ท เข้าถึงแหล่งเงินทุนค่อนข้างยากลำบาก อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างสูง สะท้อนให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน ในขณะที่ รถไฟฟ้าใน กทม. มีรถไฟฟ้านับสิบสายมีการลงทุนเป็นแสนล้าน แต่เกาะสมุยกลับได้รับความช่วยเหลือใด ๆ 

“ถ้าจัดลำดับผลในทางบวกต่อประชาชน คือ 1.) ลดค่าครองชีพของชาวเกาะสมุยกว่า 6 หมื่นคน และพี่น้องชาวใต้ ชาวอีสาน ที่ทำมาหากินที่นี่อีกหลายแสนคนในแต่ละปี 2.) การเพิ่มคุณภาพชีวิต เข้าถึงการรักษาพยาบาล ลดต้นทุนการเดินทางของนักเรียนนักศึกษา และประชาชน 3.) การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ให้กับชาวสมุยที่มีธรรมชาติที่งดงามมาก ส่วนกระบวนการก่อสร้างนั้น คิดว่าถึงเวลาแล้ว ต้องสื่อสารให้พี่น้องชาวเกาะสมุยได้รู้ถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ส่วนผลกระทบทางลบมีแต่บริหารจัดการได้  กระบวนการทางการเมืองที่เหมาะสมคือต้องมาจากภาคประชาชนส่งสัญญานไปยังพรรคการเมืองว่าเราได้กลั่นกรอง ทบทวน พิจารณาแล้ว ในอนาคตอาจเปิดให้มีการทำประชาพิจารณ์ จากนั้นเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันทั่วโลก เป็นโอกาสในการสร้างประติมากรรมและแลนด์มาร์กที่สำคัญ และจะเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานนับชั่วอายุคน และตนก็พร้อมที่จะเคียงข้างประชาชนไปพูดทุกเวที หากมีการดีเบตเรื่องการสร้างสะพานแห่งนี้" นายกรณ์ กล่าว

ด้านนายวิรัช พงษ์ฉบับนภา หรือ โกฉุย กล่าวว่า ตนในฐานะเป็นคนเกาะสมุยโดยกำเนิด ในอนาคตหากเกาะสมุยไม่เตรียมความพร้อมการเดินทางเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวแล้ว อาจทำให้เกาะสมุยไม่ได้เป็นจุดหมายปลายทางการเดินทางของนักท่องเที่ยวได้จากปัญหาการเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ที่ล่าช้า เครื่องบินก็มีขีดจำกัด และค่าโดยสารราคาสูง ซึ่งตนได้ออกแบบสะพานไว้ ตั้งแต่ปี 2560 โดยคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย มีช่องทางรถยนต์ และเลนสำหรับรถจักรยานยนต์ที่แยกส่วนเพื่อความปลอดภัย ส่วนบริเวณกึ่งกลางสะพานออกแบบเป็นจุดชมวิว มีที่จอดรถเพื่อชมความงามของทะเลอ่าวไทยและถ่ายรูป 

นอกจากนี้ ด้านล่างมีพื้นที่ช็อปปิ้งมอลล์ และลานสำหรับทำกิจกรรม อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการออกแบบด้วยแนวคิดส่วนตัว แต่ก็อยากให้รัฐบาลดำเนินการในแนวทางเดียวกันเพื่อผลประโยชน์ในภาพรวมเชื่อว่าจะพลิกโฉมการท่องเที่ยวของไทย พลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง หลังจากซบเซามาจากหลายวิกฤตต่อเนื่อง 

นอกจากนี้ ในมิติของคุณภาพชีวิตประชาชน นายวิรัช กล่าวว่า ปัจจุบัน เกาะสมุยมีโรงพยาบาลที่เครื่องมือทันสมัยเพียงไม่กี่แห่ง หากต้องรับการผ่าตัดกว่าจะนั่งเรือเฟอรี่ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงฝั่ง ส่งต่อไปยังโรงพยาบาล หลายคนต้องเสียชีวิต แต่ถ้ารักษาในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมก็ต้องใช้เงิน 3-5 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกัน ต้นทุนอย่างบนเกาะสมุยจะสูงกว่าบนฝั่งแผ่นดินใหญ่มาก ทั้งราคาน้ำมัน ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง สินค้าอุปโภคบริโภค ที่สูงกว่าปกติ หากมีสะพาน ต้นทุนที่ทุกคนต้องแบกภาระจะลดลงตามไปด้วย ระยะทาง 18 กิโลเมตรไม่ไกล น้ำทะเลที่ไม่ลึก สึนามิไม่มี องค์ประกอบทั้งหมดพร้อมมาก สะพานนี้คือหัวใจและเป็นหยาดโลหิตของชาวสมุย 

'กรณ์' ชวนชาวไทยร่วมเชียร์ภูเก็ต 28 พ.ย.นี้ นั่งเจ้าภาพจัดงาน Specialised Expo2028

(28 พ.ย. 65) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์เชิญชวนคนไทยส่งใจเชียร์ภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised #Expo2028 ว่า...

ช่วงนี้นอกจากจะเชียร์ฟุตบอลโลกแล้ว เราคนไทยยังมีแมตช์สำคัญให้ได้ลุ้นกันอีกด้วย

ช่วยกันส่งแรงใจเชียร์ให้จังหวัดภูเก็ต ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน Specialised #Expo2028 

ซึ่งต้องแข่งขันกับอีก 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา, สเปน, เซอเบียร์ และอาร์เจนตินา

หากประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน ระหว่างวันที่ 20 มี.ค. - 17 มิ.ย. 2571 

ชาวนาฝาก ‘กรณ์’ ทวงถามรัฐ ส่วนต่างประกันข้าว 3,000 บาท หายไปไหน

(29 พ.ย. 65) นายกรณ์ จากติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวภายหลังเข้าร่วมเกี่ยวข้าวอิ่มปีที่ 9 ร่วมกับชาวนา จ.มหาสารคาม ว่า โครงการ 'ข้าวอิ่มมหาสารคาม' เป็นโครงการนโยบายนำร่องเพื่อพิสูจน์ว่าเกษตรพรีเมียม สามารถทำให้ชาวนาไทยเราอยู่ดีกินดีได้ ในสมัยที่ตนเคยช่วยดูแลโครงการประกันรายได้ เราได้ตั้งใจว่า นอกจากการมีประกันรายได้เพื่อดูแลค่าครองชีพเฉพาะหน้าแล้ว เรื่องนโยบายเศรษฐกิจด้านการเกษตร ต้องต่อยอดให้เกษตรกรไทยมีรายได้สูงอย่างยั่งยืนอีกด้วย

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ตั้งแต่ลงพื้นที่ขอนแก่นช่วงเข้าก่อนเดินทางมา จ.มหาสารคาม ก็มีชาวนามาร้องเรียนว่าตน 'โครงการประกันรายได้เกษตรกร' มีส่วนต่างประกันรายได้ที่หายไปประมาณ 3,000 บาท เขาอยากรู้ว่าเงินตรงนี้หายไปไหน โดยที่หลักการของการประกันรายได้คือการ ‘จ่ายส่วนต่าง’ ระหว่างราคาที่ชาวนาขายได้ กับราคาที่ชาวนาควรจะได้รับ คือราคาประกัน โดยที่รัฐเป็นผู้กำหนดว่าราคาขายคือเท่าไร เรียกว่าราคาอ้างอิง โดยรอบล่าสุดนี้ 25 พฤศจิกายน 2565 ประกาศว่า ชาวนาที่ปลูก ข้าวหอมมะลิ จะได้ราคาส่วนต่างไว้ที่ตันละ 890 บาท โดยคิดจากราคาอ้างอิงที่ 14,110 บาท ต่อให้ข้าวที่ความชื้นต่ำกว่าเกณฑ์ 15% ก็ได้ราคาเพียง 12,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง ผมเช็คแล้วเช็คอีกกับโรงสี และทีมงานทั้งมหาสารคาม ร้อยเอ็ดก็ยืนยันเสียงเดียวกัน

“ความหมายของมันคือ รัฐมองว่า ชาวนาควรจะขายข้าวหอมมะลิได้เองในตลาดที่ตันละ 14,110 บาท และรัฐทบส่วนต่างให้อีก 890 บาท ถึงจะทำให้ชาวนาที่ปลูกข้าวหอมมะลินี้ มีรายได้ค่าข้าวที่ตันละ 15,000 บาท แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น วันนี้ผมพบทั้งชาวนาและ ธกส.เสียงเดียวกันเลยครับว่า ราคาขายจริงที่ชาวนาได้คือ 11,000 บาท เพียงเท่านั้น นั่นแปลว่า รายได้จากการปลูกข้าวคือ 11,000 บวก 890 บาท ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า เกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ตรงกับสภาพจริงของราคาตลาด และนี่เป็นสาเหตุทำให้ชาวนาที่ควรมีรายได้ตันละ 15,000 บาท ได้เงินเพียง 11,890 บาทเท่านั้น ผมเห็นใจชาวนา ว่าแบบนี้ไม่น่าจะตรงกับหลักการเดิมของนโยบาย” นายกรณ์ กล่าว

‘กรณ์’ นำทีม ‘ชาติพัฒนากล้า’ ล่องใต้ เปิดที่ทำการพรรค ‘ภูเก็ต - ชุมพร’ เตรียมเลือกตั้ง

‘กรณ์ จาติกวณิช’ นำทัพ ‘ชาติพัฒนากล้า’ ลงใต้ เปิดที่ทำการพรรคจังหวัดภูเก็ต - ชุมพร เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

เปิดปีใหม่ ก็ลุยเปิดตัวแทนเขตเลย นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นำทัพลงใต้ เปิดตัวแทนเขตและที่ทำการ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมี 2 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เทมส์ ไกรทัศน์ อรทัย เกิดทรัพย์ และ จังหวัดชุมพร มีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร ลิขิต ศรีชาติ เข้าร่วมการประชุมจัดตั้งตัวแทนเขตในครั้งนี้ด้วย 

เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2566 นายกรณ์ พร้อมด้วยทีมงาน ได้ร่วมเปิดที่ทำการและจัดตั้งตัวแทนพรรคชาติพัฒนากล้า เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ณ โรงแรม ตูร์ เดอ ภูเก็ต โดยมี อรทัย เกิดทรัพย์, เทมส์ ไกรทัศน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดภูเก็ต มาร่วมกันจัดประชุมจัดตั้งตัวแทน พร้อมกับรับฟังปัญหาและความคิดเห็นของสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้าในพื้นที่ด้วย 

สำหรับโดยที่ทำการตั้งอยู่ ณ เลขที่ 237/10 หมู่ 3 ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83110

'กรณ์' ไอเดียบรรเจิด ล้อใบปลิวเงินกู้นอกระบบ ประกบนโยบาย "ยกเลิกแบล็กลิสต์" สื่อถึงดอกเบี้ยมหาโหด สร้างความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก เตรียมแถลงข่าวพร้อมคนติดแบล็กลิสต์ จันทร์ 16 ม.ค.นี้ ที่ทำการพรรคชาติพฒนากล้า ถ.รัชดาภิเษก

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่พรรคชาติพัฒนากล้า ปล่อยนโยบายเศรษฐกิจชุดแรกออกมา โดยการเสนอยกเลิกแบล็กลิสต์ และให้ปล่อยกู้ด้วยเครดิตสกอร์แทน ตามข่าวที่นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องนั้น ล่าสุด ได้ออกไอเดียใช้ใบปลิวเงินกู้นอกระบบ แจกจ่ายให้กับประชาชน เพื่อสื่อให้เห็นถึงดอกเบี้ยมหาโหด และแนวทางที่ประชาชนจะเข้าสู่ระบบเงินกู้ในระบบได้ รัฐบาลต้องยกเลิกระบบสินเชื่อโดยใช้เกณฑ์แบล็กลิสต์บูโร และใช้ระบบเครดิตสกอร์จากดาต้าแทน 

โดยด้านหน้าของใบปลิว จะเป็นข้อความที่เห็นจนชิน คือ เงินกู้ด่วน แต่เพิ่มเนื้อหา สำหรับคนติดแบล็กลิสต์ ส่วนด้านหลังเป็นรายละเอียดนโยบายว่า มีคนไทยติดแบล็กลิสต์กว่า 5.5 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตโควิดมีคนติดเพิ่มขึ้นหลายล้าน บางคนติดเพราะส่งค่างวดช้าไปไม่กี่วัน บางคนใช้หนี้หมดแล้วแต่ก็ยังติดอยู่ ทำให้กู้ในระบบไม่ได้ เพื่อนำเงินมาหมุนหรือต่อยอดในการทำธุรกิจ สร้างความเดือดร้อนให้คนเป็นจำนวนมาก เพราะการกู้นอกระบบอย่างที่รู้กันว่าเจอดอกเบี้ยโหดแค่ไหน เงินที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยทั้งนั้น ยากที่จะลดต้นได้ 

พรรคชาติพัฒนากล้า จึงเสนอนโยบาย ยกเลิกแบล็กลิสต์แล้วใช้ระบบ Credit Score แทน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ข้อมูลในการชำระหนี้ประจำวันต่างๆ มาเป็นเกณฑ์ตัดสิน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มือถือ ใครมีประวัติดีก็ได้เครดิตดี สามารถกู้ได้มาก ใครเครดิตไม่ดีก็กู้ได้น้อย ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยและตอบโจทย์มากกว่าการติดแบล็กลิสต์ ซึ่งใครที่ติดแล้วเหมือนตกเหว ยากที่จะขึ้นมาลืมตาอ้าปากได้ 

‘กรณ์’ ชู ‘ศก.สายมู’ สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เชื่อ!! ดูด นทท.ทั่วโลก สร้างรายได้ 5 ล้านล้านบาท

‘กรณ์’ เดินหน้า ‘เศรษฐกิจสายมู’ หนึ่งในยุทธศาสตร์ Spectrum Economy หารายได้ 5 ล้านล้านบาท ดันส่งเสริมจังหวัดละพันล้าน สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ดึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า เศรษฐกิจสายมู หรือเศรษฐกิจสีขาว เป็นหนี่งในนโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้าที่เราได้มีการพูดถึงและนำเสนอมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบาย เนื่องจากเห็นว่า ท่องเที่ยวสายมูไม่ใช่ความงมงาย ‘มูเตลู’ คือความเชื่อและความศรัทธา เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน โดยเฉพาะคนไทยเรา หลอมรวมกลายเป็นประเพณี วัฒนธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล แม้แต่ในช่วงโควิด ที่ทุกจังหวัดเหลือเที่ยวบินเพียงวันละเที่ยวสองเที่ยว แต่ที่นครศรีธรรมราชกลับมีเที่ยวบิน 50 กว่าเที่ยว เพราะมีวัดเจดีย์ไอ้ไข่ เงินสะพัดสู่ชุมชน ทำให้ชาวบ้านที่ค้าขายอยู่รอบ ๆ รวมทั้งโรงแรมที่พัก ยังคงมีนักท่องเที่ยวไปอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง 

“เศรษฐกิจสายมูกำลังเป็นเทรนด์ของทั่วโลก สามารถใช้ศรัทธาและแรงบันดาลใจแปรเปลี่ยนเป็นรายได้อย่างมหาศาล พรรคชาติพัฒนากล้า จึงได้นำมาบรรจุในนโยบายเศรษฐกิจ 7 สี หรือ Spectrum Economy ที่จะหารายได้เข้าประเทศ 5 ล้านล้านบาท” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว   

นายกรณ์ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศรัทธามากมาย ถ้าเราฟื้นฟูหรือสร้างสตอรี่เรื่องเล่า คิดดูว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมเยือนแค่ไหน นโยบายของเราคือ 1 จังหวัด 1 พันล้าน โดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดไหนไม่มีสถานที่ที่ดึงความน่าสนใจได้เพียงพอ ก็สร้างขึ้นใหม่ได้ ยกตัวอย่าง หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ที่อยุธยา ที่นายกอุ๊ วัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ ผู้เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการสร้างขึ้นมา มีการวางแผนเป็นอย่างดี มีตลาดที่ชาวบ้านสามารถนำสินค้ามาค้าขายโดยรอบ กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน สร้างรายได้ให้คนอยุธยาอย่างประเมินค่าไม่ได้ หรือแม้แต่พระพิฆเนศองค์ยืนที่องค์ยืนที่ฉะเชิงเทรา ที่เกิดขึ้นมาได้ก็มีนายกอุ๊เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทำให้เกิดเส้นทางท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ขึ้นหลากหลาย

นอกจากนี้นายกอุ๊ ยังเป็นกำลังหลักในการสร้างหลวงปู่โต วัดโบสถ์ อ.สามโคก จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.ปทุมธานีด้วย 

“นายกอุ๊ ก็คือที่ปรึกษาด้านนโยบายของชาติพัฒนากล้าด้วย พวกเราเห็นความสำคัญของเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจสีขาว หรือสายมู ที่ถ้าเราลงทุนหลักพันล้านต่อ 1 แหล่งท่องเที่ยว เราจะได้เงินกลับคืนมาอย่างมหาศาล ดูแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกอย่างเจ้าแม่กวนอิมที่ฮ่องกง วัดอาซากุสะที่ญี่ปุ่น โบสถ์ที่งดงามในยุโรป หรือแม้แต่พระพรหมเอราวัณที่บ้านเรา ต่างก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกอยากมาชมด้วยตาตัวเอง” นายกรณ์ กล่าว 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญของการส่งเสริมการท่องเที่ยวคือต้องมี 3 มิติควบคู่ ได้แก่ 

1. เพิ่มนักท่องเที่ยว ที่เราต้องลงทุนในระบบสาธารณูปโภค ลงทุนในการอนุรักษ์ดูแลธรรมชาติ 

2. เพิ่มเวลาที่นักท่องเที่ยวอยู่กับเรา จาก 10 วันเป็น 12 วัน ต้องเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวให้หลากหลายและดึงดูด 

และ 3. เพิ่มเงินที่นักท่องเที่ยวใช้ตอนอยู่กับเรา เพิ่มการใช้จ่ายจับจ่าย ต้องเพิ่มมูลค่าสินค้าเราให้มีราคามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นของฝาก อาหาร ที่พัก ฯลฯ ซึ่งยุทธศาสตร์สายมูตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติ

'กรณ์' นำทีมพรรคชาติพัฒนากล้า บุก 'ฉะเชิงเทรา' ซูมแนวทางปั้นรายได้เข้าจังหวัดปีละ 3,000 ล้านบาท

(4 ก.พ.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยนายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค, นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือนายกอุ๊ ที่ปรึกษาพรรค และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคชาติพัฒนากล้า เดินทางไปยัง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อดูต้นแบบเศรษฐกิจสายมู ซึ่งเป็นนโยบายหลักของพรรคชาติพัฒนากล้า 

โดยนายกอุ๊ ได้จัดทำเส้นทางท่องเที่ยวสายมู ของ จ.ฉะเชิงเทรา เชื่อมต่อจากวัดหลวงพ่อโสธร และวัดสมานรัตนาราม โดยได้จัดสร้างพระพิฆเนศ องค์ยืน และ ตลาดชุมชน ขึ้น ณ อุทยานพระพิฆเนศคลองเขื่อน  

นายกรณ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเรามีแหล่งท่องเที่ยวเชิงศรัทธามากมาย หากมีการฟื้นฟูหรือสร้างสตอรี่เรื่องเล่า จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้มากมาย นโยบายของพรรคชาติพัฒนากล้า คือ 1 จังหวัด 1 พันล้านบาท โดยการสร้างแหล่งท่องเที่ยวศักดิ์สิทธิ์ จังหวัดไหนไม่มีสถานที่ที่ดึงความน่าสนใจได้เพียงพอ ก็สร้างขึ้นใหม่ได้ เช่น ที่ จ.ฉะเชิงเทรานี้ เป็นต้นแบบสำคัญ และสามารถขยายผลต่อไปทั่วประเทศได้ สามารถสร้างรายได้เข้าสู่ชุมชนปีละหลายพันล้านบาท 

กรณ์’ ลงพื้นที่ ‘สาทร’ แจกใบปลิว ‘ลดภาษีบุคคล’ ชี้ ถึงเวลาสร้างความเป็นธรรมให้ ‘มนุษย์เงินเดือน’

เมื่อวันที่ (6 ก.พ.66) เวลา 18.00 น. นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ได้เดินทางไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรี เพื่อแจกใบปลิวลดภาษีบุคคล โดยมีข้อความระบุบนใบปลิวว่า “ภาษีพูดเบา ๆ ก็เจ็บ” ให้กับประชาชนที่สัญจรไปมา 

โดยนายกรณ์ กล่าวว่า นโยบายภาษี ของพรรคชาติพัฒนากล้า ไม่มีความสลับซับซ้อน กล่าวคือ ใครที่มีเงินเดือน 40,000 บาทแรกไม่ต้องเสียภาษี ใครที่มีรายได้ที่สูงกว่า 40,000 บาท ก็จะได้รับปรับลดตามขั้นบันได ถามว่าจะมีผลต่อรายได้ของรัฐ หรือจะทำให้เสียวินัยทางการคลังไหม นายกรณ์อธิบายว่า สำนักงบฯ ได้ประมาณการณ์ว่า ในปีงบประมาณหน้า รายได้โดยรวมของรัฐบาล จะเพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างมาก ในการสร้างความเป็นธรรมให้กับมนุษย์เงินเดือน

นายกรณ์ กล่าวว่า ต้องไม่ลืมว่า บริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 20% มานานกว่าสิบปีแล้ว ขณะที่มนุษย์เงินเดือนไม่ได้รับการช่วยเหลือมานานแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับ ค่าครองชีพ ค่าความเป็นอยู่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งค่ารถไฟฟ้าไปกลับวันละร้อยกว่าบาท ถ้าใครใช้รถ ก็มีทั้งค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน ค่าประกัน ค่าซ่อมบำรุง ฯลฯ นี่ยังไม่รวมถึงค่าเลี้ยงดูบุตรหลาน ผู้สูงอายุ

‘ชาติพัฒนากล้า’ ปักธงที่ทำการพรรคจังหวัดสตูล ‘รับฟังปัญหา-ความคิดเห็น’ สมาชิกในพื้นที่

‘ดร.บลู’ เปิดที่ทำการและจัดตั้งตัวแทนพรรคชาติพัฒนากล้า จังหวัดสตูล ณ อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล

'ชาติพัฒนากล้า' ลุยสำรวจปทุมธานี - อยุธยาฯ ผลักดัน 'ศก.สายมู' ดึงดูด นทท. สร้างรายได้ให้ประเทศ

(13 ก.พ. 66) พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค, นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ นายกอุ๊ ที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วย นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร, นางสาววิเวียน จุลมนต์ และนางสาวกชพร คีรีโชติ ทีมนโยบายพรรค เดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวสายมู ณ วัดโบสถ์ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี, วัดไชยวัฒนาราม และอุทยานหลวงปู่ทวด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โดยวัดโบสถ์นั้น มีการสร้างหลวงพ่อโต องค์ใหญ่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โดย นายกอุ๊ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างเมื่อกว่า 10 ปี ที่แล้ว จากวัดเล็ก ๆ ขยายเติบโตเป็นวัดขนาดใหญ่ ที่ประชาชนจากทั่วประเทศ เข้ามาสักการะไม่ขาดสาย สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ที่นำของมาจำหน่าย สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในชุมชน

ส่วนที่วัดไชยวัฒนาราม ก็เป็นแลนด์มาร์กสำหรับแหล่งเช็กอินของชาวไทยและต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับร้านค้า เช่าชุดไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมใส่ถ่ายรูปกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ และที่อุทยานหลวงปู่ทวด ซึ่งนายกอุ๊ ได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่ จากพื้นที่นาโล่ง ๆ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่สร้างรายได้ให้กับร้านค้าชุมชนในพื้นที่ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 – 350,000 บาท

นางสาวยศยา หรือ นุ่น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจสายมู กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อและความศรัทธาในศาสตร์การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่คู่คนไทยมาช้านานตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาล การกราบไหว้และบูชาในศาสตร์ต่าง ๆ เปรียบดั่งการยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงปลุกขวัญและกำลังใจในการใช้ชีวิตทางโลกได้อย่างเสถียรภาพและมีคุณภาพ มีบทวิจัยจากนักวิจัยหลายประเทศ เป็นเครื่องยืนยันว่าศาสตร์ของการมูเตลูและการนั่งสมาธิสามารถเยียวยาจิตใจ รักษาโรคภัย และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับมวลมนุษย์ได้

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ในการบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและศาสตร์การบูชาองค์เทพสายขาวทุกแขนง เริ่มต้นจากผู้ศรัทธากลายมาเป็นผู้บูชา จนมาถึงเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ one stop services เกี่ยวกับการมูเตลู นุ่นเป็นทั้งผู้ซื้อสินค้าและบริการ จนกลายมาเป็นผู้ให้บริการทางด้านสินค้าและบริการทางศาสตร์มูเตลู เป็นเครื่องยืนยันได้จากประสบการณ์จริงว่า ความศรัทธา สามารถเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน และต่อยอดทางธุรกิจและเศรษฐกิจได้อย่างไม่รู้จบ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top