'ชาติพัฒนากล้า' ลุยสำรวจปทุมธานี - อยุธยาฯ ผลักดัน 'ศก.สายมู' ดึงดูด นทท. สร้างรายได้ให้ประเทศ

(13 ก.พ. 66) พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค, นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ นายกอุ๊ ที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วย นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร, นางสาววิเวียน จุลมนต์ และนางสาวกชพร คีรีโชติ ทีมนโยบายพรรค เดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวสายมู ณ วัดโบสถ์ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี, วัดไชยวัฒนาราม และอุทยานหลวงปู่ทวด จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

โดยวัดโบสถ์นั้น มีการสร้างหลวงพ่อโต องค์ใหญ่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โดย นายกอุ๊ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างเมื่อกว่า 10 ปี ที่แล้ว จากวัดเล็ก ๆ ขยายเติบโตเป็นวัดขนาดใหญ่ ที่ประชาชนจากทั่วประเทศ เข้ามาสักการะไม่ขาดสาย สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ที่นำของมาจำหน่าย สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในชุมชน

ส่วนที่วัดไชยวัฒนาราม ก็เป็นแลนด์มาร์กสำหรับแหล่งเช็กอินของชาวไทยและต่างประเทศ สร้างรายได้ให้กับร้านค้า เช่าชุดไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมใส่ถ่ายรูปกันอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ และที่อุทยานหลวงปู่ทวด ซึ่งนายกอุ๊ ได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่ จากพื้นที่นาโล่ง ๆ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่สร้างรายได้ให้กับร้านค้าชุมชนในพื้นที่ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 – 350,000 บาท

นางสาวยศยา หรือ นุ่น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจสายมู กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อและความศรัทธาในศาสตร์การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่คู่คนไทยมาช้านานตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาล การกราบไหว้และบูชาในศาสตร์ต่าง ๆ เปรียบดั่งการยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงปลุกขวัญและกำลังใจในการใช้ชีวิตทางโลกได้อย่างเสถียรภาพและมีคุณภาพ มีบทวิจัยจากนักวิจัยหลายประเทศ เป็นเครื่องยืนยันว่าศาสตร์ของการมูเตลูและการนั่งสมาธิสามารถเยียวยาจิตใจ รักษาโรคภัย และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับมวลมนุษย์ได้

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ในการบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและศาสตร์การบูชาองค์เทพสายขาวทุกแขนง เริ่มต้นจากผู้ศรัทธากลายมาเป็นผู้บูชา จนมาถึงเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ one stop services เกี่ยวกับการมูเตลู นุ่นเป็นทั้งผู้ซื้อสินค้าและบริการ จนกลายมาเป็นผู้ให้บริการทางด้านสินค้าและบริการทางศาสตร์มูเตลู เป็นเครื่องยืนยันได้จากประสบการณ์จริงว่า ความศรัทธา สามารถเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน และต่อยอดทางธุรกิจและเศรษฐกิจได้อย่างไม่รู้จบ

“ยกตัวอย่างเช่น นุ่นศรัทธาองค์ท้าวเวสสุวรรณ นุ่นจึงตัดสินใจที่ไปทำบุญวัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงครามซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของท่าน ระหว่างทางนุ่นได้ซื้อดอกไม้และเครื่องสักการะต่าง ๆ ในการบูชา เพียงเท่านี้ก็สามารถกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการและชุมชนละแวกนั้น นี่ยังไม่นับรวมถึงการเช่าบูชางานพุทธศิลป์ที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ผู้คนตัดสินใจเช่าบูชาเพราะความศรัทธา เม็ดเงินส่วนนี้ก็จะหลั่งไหลเข้าวัด เพื่อไปต่อยอดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป รวมไปถึงเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างความมั่นคงให้กับศิลปินช่างปั้นในประเทศไทยเราด้วย” นางสาวยศยา กล่าว

นางสาวยศยา กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจเฉดสีขาวของพรรคชาติพัฒนากล้า หรือ เศรษฐกิจสายมู ที่เน้นสร้างรายได้กระจายสู่จังหวัดและชุมชนทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยมีแรงผลักดันที่เรียกว่า ความศรัทธา และความเชื่อ นั่นเองที่จะนำพาความผาสุข และความอยู่ดี กินดี งานดี มีเงิน ของไม่แพง ของคนไทยกลับมาสู่ประเทศอีกครั้ง

ในอนาคตที่หวังเป็นอย่างยิ่ง ว่านักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของทริปทำบุญจากประเทศอื่นมาเป็นประเทศไทย การท่องเที่ยวสายบุญซึ่งมีความศรัทธาเป็นเข็มทิศ จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม มารวมตัวกัน และก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างสวยงามของระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย