‘กรณ์’ นำทีมลุยพื้นที่หาดใหญ่ ชี้นำแนวทางให้ชาวบ้าน ปชช. ต้อนรับคึกคัก ขอฝาก ‘ประเทศไทย’ ไว้ในมือกรณ์

(11 มี.ค. 66) ที่ จ.สงขลา นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 4 เขต ได้แก่ นายกัณฑ์ นวกัณฑ์ เขต 1 นายจูรี นุ่มแก้ว เขต 2 ผศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ เขต 3 และ ทนายอาร์ม -นายพงศธร สุวรรณรักษา เขต 9 ร่วมทำกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนชาวสงขลา เป็นวันที่สอง โดยในช่วงเช้า นายกรณ์ และนายจูรี ลงพื้นที่หาดใหญ่บริเวณตลาดคลองเรียน เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้ที่สัญจรผ่านไปมา ส่งเสียงร้องทัก กันอย่างคึกคัก และขอถ่ายภาพตลอดเส้นทาง พร้อมกับบอกว่า เป็นแฟนคลับทั้งจูรี ที่สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชาวสงขลา และคนภาคใต้ ขณะเดียวกันก็ยังช่วยชาวบ้านขายของสร้างรายได้ให้ชุมชน ส่วนนายกรณ์ รู้จักและเห็นฝีมือการทำงานมาแล้วและเชื่อว่าถ้าได้มีโอกาสเข้าไปทำงานในรัฐบาล จะสามารถแก้ปัญหาบ้านเมืองได้อย่างแน่นอน 

ต่อมานายกรณ์ พร้อมด้วย ทนายอาร์มนายพงศธร ผศ.ดร.ประสิทธิ์ และ นายกัณฑ์ พบกลุ่มสมาร์ทฟาร์มเมอร์ ตามคำเชิญของ ยูนิกิฟาร์ม โดยมีชาวบ้านที่สนใจเข้าร่วมรับฟังเป็นจำนวนมาก โดยทางผู้ประกอบการต้องการให้พรรคชาติพัฒนากล้า ผลักดันนโยบายเพื่อเกษตรกรรายย่อย และอยากให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อทำสมาร์ทฟาร์ม ซึ่งแม้ว่าจะมีต้นทุนที่สูงกว่าแต่ราคาผลผลิตดีกว่าหลายเท่า และยังมีโอกาสทางการตลาดอีกมาก ตอนนี้ทางยูนิกิฟาร์มมีออเดอร์จากประเทศมาเลเซีย แต่ไม่สามารถผลิตได้ทันทำให้เสียโอกาสไป 

ซึ่งนายกรณ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร คือการแปรรูป และการจะแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หัวใจก็อยู่ที่ วิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ชุมชน ยกตัวอย่าง ที่ตนเคยลงไปทำข้าวอิ่มที่ จ.มหาสารคามปีนี้เข้าปีที่ 10 ชาวบ้านขยายผลจากการทำข้าวเกษตรอินทรีย์ ไปสู่การนำปลายข้าว ผลิตเป็นเครื่องสำอาง ขนมอบกรอบหลายชนิด เหล่านี้ล้วนทำได้ หากมีการส่งเสริมกระบวนการแปรรูปอย่างเป็นระบบ และที่สำคัญต้องปฏิรูปสหกรณ์ เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนเกษตรกรอย่างจริงจัง วันนี้ชาวบ้านแบกราคาปุ๋ยที่สูงมาก เราควรมีนโยบายลดต้นทุนโดยการสรรหาวัตถุดิบมาผลิตปุ๋ย ประเทศไทยมีเหมืองแร่โปแตสอยู่หลายแห่ง สามารถนำมาใช้เพื่อลดการใช้ปุ๋ยลงได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ระบบสมาร์ทฟาร์มคือการใช้ปุ๋ยแบบแม่นยำก็จะสามารถลดต้นทุนลงมาได้เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ก็ต้องได้คนที่เข้าใจเข้าไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชน ความจนไม่ใช่การส่งต่อข้ามรุ่น แต่แก้ได้ ถ้าได้รับโอกาสที่ดี 

“วันนี้เกษตรกรแบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงมาก หากมีการต่อสู้เรื่องพลังงานได้จะลดต้นทุนไปได้มาก  พรรคชาติพัฒนากล้า ต่อสู้เรื่องการรื้อโครงสร้างพลังงาน ชนกับทุนใหญ่ เหตุผลที่เรากล้าทำเพราะคิดว่า การทะเลาะกับทุนใหญ่เพื่อพี่น้องประชาชน คุ้มกว่าทะเลาะกันเองโดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรเลย” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

นอกจากนี้ นายกรณ์ ยังได้นำเสนอนโยบายเพื่อผู้สูงอายุ ทั้งนโยบายสูงวัยไฟแรง จ้างผู้สูงอายุทำงาน 5 แสนตำแหน่ง รวมไปถึง นโยบายสร้างบ้านให้ผู้สูงอายุหรือ อารยสถาปัตย์  50,000 บาทต่อครัวเรือน ลดปัญหาผู้สูงอายุล้มในบ้านที่มีมากถึงปีละ 4 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุทั้งประเทศ โดยตั้งเป้า 1 ล้านครัวเรือนต่อปี และยังมีกองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์สำหรับคนทุกวัย เพื่อสร้างธุรกิจสร้างสรรค์ สูงสุด 1 ล้านบาทไม่จำกัดวุฒิการศึกษา 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงหนึ่งของการเปิดโอกาสให้ซักถาม มีชาวบ้านรายหนึ่ง ได้นำเสนอปัญหาของตน โดยให้นายกรณ์ แนะแนวทางออก ซึ่งเมื่อฟัง ชาวบ้านรายดังกล่าวบอกว่า ขอฝาก จ.สงขลา และประเทศไทยไว้กับท่าน เนื่องจากความคิด วิสัยทัศน์ ผลวิถีปฏิบัติ เหมาะสมกับการเป็นผู้นำประเทศ    

ต่อมาในช่วงเย็น เขต 9 นายกรณ์ ลงพื้นที่ตลาดน้ำคลองแห เพื่อทำกิจกรรมเศรษฐกิจชุมชนร่วมกับ ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 4 คน ซึ่งช่วงก่อนโควิดตลาดแห่งนี้เสื่อมโทรมมาก ทั้งคุณภาพน้ำและขยะ ซึ่งทาง ผศ.ดร.ประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 2 และนายกรณ์ ได้มาทำกิจกรรม 'คลองสวยน้ำใส' โดยความร่วมมือของคนในชุมชน ปรับปรุงพื้นที่ จนกลับมาคึกคัก รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและมาเลเซียอีกครั้ง และในวันนี้นายกรณ์ พร้อมด้วยทีมว่าที่ผู้สมัคร ลงเรือเพื่อสำรวจคลองแห และตลาดน้ำคลองแห มีประชาชนมาท่องเที่ยวอย่างแน่นขนัด