Tuesday, 2 July 2024
พรรคก้าวไกล

‘ณัฐชา’ นำทีม 10 ผู้สมัครส.ส. ประกาศปักธงสีส้มฝั่งธนฯ ลั่น!! จะไม่ยอมเสียฐานที่มั่นใน กทม. หวังเก้าอี้ทุกเขต

(25 มี.ค. 66) ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ อดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 27 บางบอน (เฉพาะแขวงบางบอนใต้และแขวงคลองบางบอน) และเขตบางขุนเทียน (ยกเว้นแขวงท่าข้าม) กล่าวถึงความเชื่อมั่นของพรรคก้าวไกลในการเลือกตั้ง 2566 หลังจัดคาราวานประเทศไทยไม่จำนนในเขตฝั่งธนบุรี เพื่อพบปะทักทายประชาชนและแนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ว่า เขตฝั่งธนบุรีเป็นฐานที่มั่นของพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งปี 2562 เราได้รับชัยชนะมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร แม้จะมี ส.ส.บางคนแปรพรรคทรยศความไว้วางใจของประชาชน แต่ตนและเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อดีต ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางกอกใหญ่ คลองสาน ธนบุรี พรรคก้าวไกล ได้เป็นตัวแทนของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการทำงานตลอด 4 ปีของพวกเรายืนหยัดต่อสู้เรื่องทุนผูกขาดมาโดยตลอด เพราะเราต้องการกลับหัวพีระมิดของประเทศนี้ให้คนธรรมดาได้มีอำนาจในฐานะเจ้าประเทศ

ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเดิมพันครั้งสำคัญของพรรคก้าวไกลและพี่น้องชาวฝั่งธน ที่จะประกาศออกไปผ่านปลายปากกา ว่า พวกเราไม่ยอมจำนนและไม่ทนต่อความย่อยยับแบบนี้อีกต่อไป เป้าหมายไม่ใช่แค่ส่ง 3ป. กลับไปเลี้ยงหลาน แต่ต้องถูกส่งไปอยู่ในทัณฑสถาน จึงจะเป็นการปิดสวิตช์ 3ป. อย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือภารกิจร่วมกันของพวกเรา

‘กรุณพล’ เผย นิด้าโพลชี้คนกรุงเทพฯ อยากได้ ‘พิธา’ เป็นนายกฯ สะท้อน ปชช. ต้องการเปลี่ยนแปลง จับตา 4 เม.ย. เปิด 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์

(27 มี.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประจำสัปดาห์ในหลายประเด็น เริ่มต้นที่กรณีนิด้าโพลเปิดเผยผลสำรวจของประชาชน พบว่าบุคคลที่คนกรุงเทพฯ สนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทยคือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นสิ่งสะท้อนว่าประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนนายกฯ หรือเปลี่ยนรัฐบาล แต่คือการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเชื่อว่าแนวโน้มนี้มีแต่จะเพิ่มขึ้นจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง

ส่วนกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศวันเลือกตั้งเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 และกำหนดให้วันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เป็นวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า โดยประชาชนจำเป็นต้องลงทะเบียนระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 9 เมษายน 2566 เพื่อขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในเขตและนอกเขต พรรคก้าวไกลมีความกังวลอย่างยิ่งว่า กกต. ไม่ได้ประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงเพียงพอ ทำให้ประชาชนไม่ทราบเรื่องนี้ จนอาจกระทบต่อการใช้สิทธิ์ของคนนับล้าน ทั้งคนที่จะเลือกตั้งล่วงหน้า เลือกตั้งนอกเขต และเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร อีกทั้งในการเปิดลงทะเบียนวันแรก ก็พบปัญหาเชิงเทคนิคมากมาย ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียนได้โดยสะดวก พรรคก้าวไกลจึงขอเรียกร้องให้ กกต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประชาสัมพันธ์ให้ทั่วถึงมากขึ้นและแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่าให้ซ้ำรอยสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อการเลือกตั้ง 2562 ที่บัตรเลือกตั้งจากต่างประเทศ ส่งมาถึงประเทศไทยแต่ไม่ได้รับการนับคะแนน รวมถึงในหลายประเทศที่มีข้อขัดข้องในการใช้สิทธิ์

นอกจากนั้น ในวันที่ 1-20 เมษายน 2566 จะเข้าสู่ช่วงเกณฑ์ทหาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ของชายไทย ที่ต้องถูกบังคับให้จับใบดำใบแดง ต้องห่างคนที่รักทั้งที่หลายคนเป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องสูญเสียเวลาที่จะก้าวหน้าในการงานไปถึง 2 ปี พรรคก้าวไกลแม้ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกฎเกณฑ์เก่าๆ ได้ในวันนี้ แต่ขอเรียกร้องให้กองทัพมีมาตรการคุ้มครองสิทธิและสวัสดิภาพของทหารชั้นผู้น้อย ดังนี้ 

1. สร้างความปลอดภัย จากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ผ่านกลไกการร้องทุกข์และร้องเรียนผู้บังคับบัญชาที่มีกระบวนการที่เป็นธรรมและปลอดภัยต่อตัวผู้ร้อง รวมถึงมีการแก้ พ.ร.บ.วินัยทหาร ที่ให้อำนาจล้นเกินแก่ผู้บังคับบัญชาในการธำรงวินัย

2. สร้างความมั่นคง ผ่านรายได้ที่เหมาะสม สอดคล้องกับค่าครองชีพ โอนตรง-โอนครบ-ไม่มีหัก-ไม่มีทอน มีประกันชีวิตที่มีทุนให้กับครอบครัวในการประกอบอาชีพหากพิการหรือเสียชีวิต และมีทุนการศึกษาแก่ทายาทจนกว่าจะมีเงินได้กลับมาเลี้ยงครอบครัว รวมถึงการให้พลทหารมีสิทธิประกันสังคมสำหรับการรักษาพยาบาลเหมือนกับพนักงานราชการทั่วไป 

3. สร้างอนาคต ผ่านการทลายระบบเส้นสาย การเลื่อนขั้น-โยกย้ายต้องเน้นผลงานมากกว่าอายุงาน และในกรณีพลทหารหรือชั้นประทวน ต้องเพิ่มโอกาสในการเรียนโรงเรียนนายร้อย-นายสิบ และโอกาสไต่เต้าสู่นายทหารชั้นสัญญาบัตร ทั้งนี้ หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล เราจะผลักดันนโยบายยกเลิกเกณฑ์ทหารให้เป็นจริง

‘ธนาธร’ ปราศรัยอุบลฯ ขอแรงกา ‘ก้าวไกล’ ลั่น ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศ - ปฏิรูปกองทัพ

‘ธนาธร’ ปราศรัยอุบลฯ ชวนประชาชน เลือกตั้งทั้งที กาให้ดีไม่เสียของ กาก้าวไกลไปเปลี่ยนแปลงประเทศ ให้การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

(27 มี.ค.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่หลายอำเภอในจังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นที่อำเภอม่วงสามสิบ อำเภอเขมราฐ อำเภอนาตาล อำเภอตระการพืชผล อำเภอพิบูลมังสาหาร และอำเภอเมืองอุบลราชธานีเป็นจุดสุดท้าย ระหว่างการลงพื้นที่ ได้ร่วมกิจกรรมหลากหลายเพื่อพบปะพี่น้องประชาชน และช่วยหาเสียงให้ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี พรรคก้าวไกล

ช่วงเช้า ธนาธร พร้อมด้วย ชิราวุธ แก้วชิณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี เขต 6 พรรคก้าวไกล ร่วมเสวนากับพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ บริเวณร้านนาตาลแคมป์ปิ้ง อำเภอนาตาล จังหวัดอุบลฯ โดยระบุว่า อุบลราชธานีเป็นเมืองที่มีศักยภาพ หากสามารถเชื่อมโยงการขนส่งภายในจังหวัด และผลักดันให้เกิดเส้นทางการท่องเที่ยวระหว่างอำเภอได้ จะช่วยสร้างเม็ดเงินและกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการรายย่อย ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ทั้งหาดชมดาว สามพันโบก ผาแต้ม ช่องเม็ก จนถึงอุทยานแห่งชาติภูจอง-นายอย เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแต่ยังขาดการสนับสนุน หากพัฒนาการท่องเที่ยวของอุบลฯ ได้ จะสามารถสร้างงานสร้างอาชีพให้คนในพื้นที่

จากนั้น ธนาธร พร้อมด้วย เพทาย ศรีสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.อุบลราชธานี เขต 5 เดินทางต่อไปยังเวทีปราศรัยย่อยอำเภอตระการพืชผล พูดถึงนโยบายแก้ปัญหาปากท้องและปฏิรูปที่ดินทำกิน ต่อด้วยเวทีปราศรัยย่อยที่วัดสระแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีผู้เดินทางมาฟังการปราศรัยทั้งจากตัวอำเภอและจากอำเภอข้างเคียง โดยธนาธร กล่าวว่า อุบลราชธานีเป็นโรงเรียนทางการเมืองของตน  เมื่อครั้งเป็นนักศึกษาได้ร่วมรับฟังปัญหาการก่อสร้างเขื่อนปากมูล ทำให้เกิดความสนใจปัญหาการเมืองและโครงสร้างสังคม ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

ต่อมา ธนาธร พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ได้ขึ้นรถซาเล้ง แห่หาเสียงไปรอบเมืองพิบูลมังสาหาร เพื่อเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาร่วมรับฟังการปราศรัยใหญ่ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 11 เขต ที่อำเภอเมืองอุบลราชธานี ก่อนเริ่มต้นการปราศรัยใหญ่ ธนาธรยังได้ร่วมเสวนากับศิลปิน เยาวชนคนรุ่นใหม่ ณ ร้านส่งสาร อำเภอเมืองอุบลราชธานี โดยย้ำว่านโยบายของพรรคก้าวไกลที่ประกาศออกมา จะมีการสนับสนุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้มแข็ง แข่งขันกับทุนใหญ่ได้

‘พิธา’ ชี้แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ต้องกล้าชนกลุ่มทุน ต้นตอนำเข้า ‘ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์’ ที่เผาป่าเพิ่มพื้นที่ปลูก

‘พิธา’ ชี้แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่ต้นตอ ต้องกล้าชนกลุ่มทุน ยกข้อมูลพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เติบโตสัมพันธ์กับจุดความร้อน ลั่น ‘ก้าวไกล’ เป็นรัฐบาล ใช้สิงคโปร์โมเดล ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์-สินค้าเกษตรนำเข้า ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน GAP กำหนดกฎหมาย ผู้มีส่วนสร้างหมอกควันพิษ ต้องรับผิดชอบทั้งทางอาญา-แพ่ง

(27 มี.ค. 66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่กำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤติในหลายจังหวัดภาคเหนือว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ PM2.5 ในภาคเหนือรุนแรงมาก บางจังหวัดเช่นเชียงใหม่ กลายเป็นเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก บางวันสถานการณ์รุนแรงเกินกว่าที่เครื่องวัดฝุ่นละอองจะวัดได้ ข้อเสนอในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ โดยเฉพาะด้านการป้องกัน บรรเทา และเตือนภัย คงมีคนพูดถึงไปเยอะแล้ว ตนจึงขอพูดอีกประเด็นสำคัญที่ยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก นั่นคือต้นตอของสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

หลายคนรู้ปัญหาดีว่าต้นเหตุของฝุ่น PM2.5 ที่มากขนาดนี้มาจากการเผา โดยเฉพาะการเผาเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม แต่เบื้องหลังของการเผาเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม คือธุรกิจการเกษตรที่ทำธุรกิจอย่างไม่รับผิดชอบ ข้อมูลจาก GISTDA เปิดเผยว่าวันที่ 26 มีนาคม 2566 เพียงวันเดียว ประเทศเมียนมาพบจุดความร้อน 10,563 จุด สปป.ลาว 9,652 จุด และไทยพบจุดความร้อนถึง 5,572 จุด สูงที่สุดในรอบ 5 ปี จำนวนจุดความร้อนที่เพิ่มขึ้น สัมพันธ์กับจำนวนพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 10.6 ล้านไร่ ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมาของประเทศลาว เมียนมา และไทย

สาเหตุของการเผาไม่ต้องไปหาอื่นไกล เกิดจากประเทศไทยของเราเอง ดังจะเห็นได้จากข้อมูลการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเพื่อนบ้าน คือเมียนมา ลาว กัมพูชา ที่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 770 ล้านบาท ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 14,325 ล้านบาทในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 18 เท่า การขยายตัวของกลุ่มทุนไทยที่เข้าไปรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน คือต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเผาป่าเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรมในลาวและเมียนมา และเป็นที่มาของฝุ่น PM2.5 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภาคเหนือของประเทศไทย

“ทุกตันข้าวโพด-ปาล์มน้ำมันที่มาจากการเผาป่า แลกมาด้วยอากาศบริสุทธิ์และอายุขัยคนไทย จะแก้ปัญหา PM2.5 นอกจากต้องมีมาตรการผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศแล้ว สิ่งสำคัญที่จะแก้ได้จากใจกลางของปัญหา คือต้องกล้าจัดการกับต้นตอที่ทำให้เกิดการก่อมลพิษในประเทศของเราเองด้วยการประกาศนโยบาย ‘ไม่ยอมรับการเผาทุกกรณี’ ” พิธากล่าว

พิธากล่าวต่อว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะประกาศทันทีว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสินค้าเกษตรที่นำเข้ามาในประเทศไทย โดยเฉพาะที่ผ่านด่านการค้าในภาคเหนือ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) เป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีที่มาจากการเผาเหล่านี้เข้าสู่ประเทศไทย ตัดวงจรการเผา ลบจุดแดงบนแผนที่ทางอากาศ

‘ก้าวไกล’ ไม่หวั่น!! หัวคะแนนซื้อเสียงเริ่มเคลื่อนไหว เชื่อ!! ปชช. ไม่รับเงินแลกการถอนทุนจากงบฯ ประเทศ

(28 มี.ค.66) นายสิริน สงวนสิน ว่าที่ผู้สมัครสมาชิก ส.ส. เขตทวีวัฒนา พรรคก้าวไกล กล่าวถึงความพร้อมในการลงสมัครรับเลือกตั้งและกระแสความนิยมในพื้นที่ โดยกล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้มีการเปิดรับสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ระหว่างวันที่ 3 - 7 เม.ย. นั้น ตนได้เตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครตามที่ระเบียบ กกต.ระบุไว้ ก็มีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และพร้อมยื่นสมัครได้ทันที ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนกระแสความนิยมในพื้นที่นั้น จากการสำรวจพบว่าประชาชนให้การตอบรับดีมาก โดยเฉพาะนโยบายรัฐสวัสดิการต่าง ๆ ที่มุ่งสร้างความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน ซึ่งตนค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถปักธงส้มในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 31 ทวีวัฒนา ตลิ่งชัน (ยกเว้นแขวงบางเชือกหนัง) ได้อย่างแน่นอน

‘ธนาธร’ นำทัพเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต อ้อนชาวสุรินทร์ เพิ่มคะแนนเสียง กา 'ก้าวไกล' 2 ใบยกจังหวัด

‘ก้าวไกล’ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต ‘ธนาธร’ ขอแรงประชาชน เพิ่มคะแนนเสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง กาก้าวไกล 2 ใบยกจังหวัด สร้างการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

(30 มี.ค.66) เมื่อวันที่ 29 มี.ค.66 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต ที่สวนรัก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

ธนาธร ปราศรัยช่วงหนึ่งว่า ความฝันของอดีตพรรคอนาคตใหม่และเชื่อว่าเป็นความฝันของพรรคก้าวไกลเช่นกัน คือการสร้างสังคมที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย ทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ ว่าต้องการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

การเมืองดีคืออำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน จะเกิดขึ้นได้นักการเมืองของเราต้องมีอุดมการณ์ เพราะเกียรติภูมิของนักการเมือง ไม่ได้มาจากการที่นายจ้างสัมภาษณ์หรือการตอบข้อสอบ แต่อาชีพนี้มีเกียรติเพราะประชาชนเป็นคนเลือกเรามา แต่ที่ผ่านมา เราเห็นนักการเมืองในตระกูลดังๆ ย้ายพรรค บางคนในกลุ่มเดียวกันนี้เพิ่งเป็นนั่งร้านยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นักการเมืองเช่นนี้จะสร้างการเมืองดีได้อย่างไร และหากประเทศไทยไม่มีการเมืองดี การทำให้ประเทศไทยปากท้องดีและมีอนาคต ย่อมเป็นเรื่องยาก

ธนาธรกล่าวต่อว่า ส่วนปากท้องดีเป็นเรื่องสำคัญ ขอยกประสบการณ์การเดินตลาดของตน เดินมาหลายสิบตลาดในเดือนนี้ พ่อค้าแม่ขายพี่น้องประชาชนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำมาค้าขายลำบาก หลายคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต ยังไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในช่วงบั้นปลาย พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบายสร้างรัฐสวัสดิการ ซึ่งไม่ใช่นโยบายแบบลดแลกแจกแถมเหมือนที่แล้วมา แต่เป็นการคิดอย่างเป็นระบบ ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่มั่นคง ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังสามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่

การสร้างรัฐสวัสดิการจะช่วยคืนความเข้มแข็ง ทำให้คนกล้าคิดกล้าฝัน เพราะหากชีวิตไม่มั่นคง ก็ต้องมองอนาคตเป็นรายสัปดาห์รายวัน ไม่สามารถวางแผนในชีวิตได้ แต่การให้สวัสดิการต้องทำพร้อมกับการสร้างงานสร้างอาชีพและลดรายจ่าย เช่น จังหวัดสุรินทร์ ที่โด่งดังเรื่องข้าวและการทำสุรา หากพรรคก้าวไกลเข้าไปเป็นรัฐบาล เขาประกาศนโยบายสุราก้าวหน้า ซึ่งจะเป็นตัวช่วยปลดล็อกศักยภาพ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร กระจายรายได้ในธุรกิจสุราออกจากกลุ่มทุนใหญ่ ไปสู่ประชาชน ชาวสุรินทร์จะได้ประโยชน์มหาศาล

‘อภิสิทธิ์’ ชี้เกณฑ์ใหม่สุพรรณหงส์ทำค่ายเล็กไม่ได้เกิด ดันนโยบาย ‘ก้าวไกล’ ทลายทุนผูกขาด หนุนอุตฯสร้างสรรค์

‘อภิสิทธิ์’ ชี้กติกาใหม่สุพรรณหงส์ กีดกันคนตัวเล็กไม่ให้แจ้งเกิด-ลดความหลากหลายภาพยนตร์ไทย เสนอนโยบาย ‘ก้าวไกล’ ทลายทุนผูกขาด-ตั้งกองทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุดหนุนคนสร้างหนังทางเลือก-แก้กฎหมายเซนเซอร์

(30 มี.ค. 66) อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) กล่าวถึงกรณีสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ออกกติกาใหม่ว่าภาพยนตร์ที่จะเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ต้องมีคุณสมบัติคือ (1) ต้องฉายในโรงภาพยนตร์ครบทั้ง 5 ภูมิภาค อย่างน้อย 5 จังหวัดใหญ่ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช ฉายผ่านสตรีมมิ่งอย่างเดียวไม่ได้ และ (2) ต้องมียอดผู้ชมไม่ต่ำกว่า 50,000 คน

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า กติกาดังกล่าวเป็นการจำกัดคนที่เข้ามาแสดงความสามารถในวงการภาพยนตร์ไทย ทำให้ผู้สร้างหนังรายเล็กที่หลายคนทำภาพยนตร์เฉพาะทาง ขาดทรัพยากรและอำนาจต่อรอง แทบไม่มีโอกาสแจ้งเกิดผ่านเวทีประกาศรางวัลด้านภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

จึงเห็นว่าคนในวงการภาพยนตร์ที่ไม่เห็นด้วยกับกติกานี้ ควรรวมตัวกันพูดคุยหาทางออกร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์เเห่งชาติ ขณะเดียวกันสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์เเห่งชาติเอง ก็ควรมีบทบาทเป็นตัวแทนของคนในวงการภาพยนตร์ที่มีความหลากหลายให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเพียงตัวแทนของนายทุนไม่กี่เจ้า โดยเฉพาะบางเจ้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตและเจ้าของโรงฉาย ซึ่งถือเป็นการกินรวบทั้งกระดาน อย่าปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นบรรทัดฐานของวงการภาพยนตร์ไทย

ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่กังวลว่าจะเป็นปัญหาระยะยาวจากเรื่องนี้ คือประเทศไทยจะไม่มีคนตัวเล็กที่ทำภาพยนตร์ดี ๆ ในแง่มุมต่าง ๆ ออกมา โดยเฉพาะภาพยนตร์เฉพาะทาง ที่ตนเชื่อว่ามีตลาดอยู่ในเมืองไทยและต่างประเทศ เช่น ภาพยนตร์ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ ‘เจ้ย’ ซึ่งเคยได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคํา จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

“หนังของเจ้ย ตลาดในเมืองไทยไม่ใช่ตลาดใหญ่มาก ไม่ได้เป็นที่รู้จักวงกว้าง แต่ในตลาดต่างประเทศกลับมีนายทุนอยากส่งเสริม แม้มีแง่มุมที่ดีว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่าฝีมือผู้กำกับชาวไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ว่าทำไมหนังแบบนี้ประเทศไทยไม่ส่งเสริม ไม่ได้รางวัล แต่กลับไปได้รางวัลจากประเทศอื่น ทั้งที่คนไทยเป็นผู้ผลิต เป็นเจ้าของเนื้อหา แต่ประเทศไทยและวงการภาพยนตร์ไทยไม่สามารถได้ประโยชน์จากงานของคนไทยอย่างเต็มร้อย” อภิสิทธิ์กล่าว

‘ชัยวัฒน์ ก้าวไกล’ ซัดรัฐไร้น้ำยาคุ้มครองข้อมูลคนไทย หลังปล่อยแฮกเกอร์ขโมยข้อมูล ปชช.ซ้ำซาก

‘ชัยวัฒน์’ มือเศรษฐกิจดิจิทัลพรรคก้าวไกล ติงระบบภาครัฐหละหลวม ปล่อยแฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวประชาชนซ้ำซาก คาดสาเหตุช่องโหว่ในระบบจากรูรั่วซอฟต์แวร์ที่ไม่อัปเดต - ขาดกระบวนการเข้ารหัสข้อมูล ชูนโยบายก้าวไกล ปกป้องข้อมูลประชาชน ก่อนใช้ข้อมูลต้องขอความยินยอม - ระบบแจ้งเตือนทันทีถ้าข้อมูลรั่ว

(31 มี.ค.66) ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเงินและยุทธศาสตร์ข้อมูล หนึ่งในทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีแฮกเกอร์ใช้ชื่อ ‘9near’ โพสต์ขายข้อมูลที่อ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไทยกว่า 55 ล้านรายการ และอ้างว่าขโมยมาจากหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง

ชัยวัฒน์ กล่าวว่า จากที่เข้าไปดูแฮกเกอร์รายนี้ มีตัวอย่างข้อมูลประมาณ 93,000 คน ทั้งเลขบัตรประชาชน ชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ จึงมีความเป็นไปได้สูงว่ามีข้อมูลรั่วไหลจริง และการที่หลุดออกมามากขนาดนี้ แสดงว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึง (access) ฐานข้อมูลได้

ในช่วงที่ผ่านมา เราเห็นข่าวลักษณะนี้บ่อยครั้ง สะท้อนว่าการจัดการควบคุมความเสี่ยงด้านไซเบอร์ของภาครัฐ โดยเฉพาะการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน มีความหละหลวมมาก ดังนั้น เรื่องพื้นฐานที่ภาครัฐต้องทำ เพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ ประการที่หนึ่ง ต้องมีมาตรการป้องกัน เพราะการที่แฮกเกอร์เข้าไปได้แสดงว่าระบบไอทีของภาครัฐมีช่องโหว่ ซอฟต์แวร์ต่างๆ อาจไม่ได้รับการอัปเดตปิดรูรั่วอย่างสม่ำเสมอ เรื่องนี้สามารถป้องกันได้ถ้าหน่วยงานรัฐจริงจัง

ประการที่สอง คือมาตรการลดความเสี่ยง เพราะบางครั้งต่อให้มีระบบป้องกันแล้ว แต่แฮกเกอร์ที่มีความสามารถสูง ก็อาจจะเข้าไปได้ ดังนั้น สิ่งที่หน่วยงานรัฐต้องมีและสามารถทำได้ คือการเข้ารหัสฐานข้อมูล (Encryption) เปรียบเสมือนล็อกกุญแจข้อมูลไว้ ถ้าไม่มีกุญแจ ต่อให้เข้าถึงฐานข้อมูล แต่ก็จะอ่านข้อมูลไม่ออก ข้อมูลประชาชนก็จะไม่รั่วไหล

“จากที่ดูตัวอย่างข้อมูล เห็นว่ามีเบอร์โทรศัพท์มือถืออยู่ด้วย ซึ่งอาจเกิดจากการลงทะเบียนด้วยตัวเองของประชาชน เกี่ยวกับการเข้ารับบริการภาครัฐ” ชัยวัฒน์กล่าว

ชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.2562 เน้นดูแลหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ เช่น หน่วยงานการเงินการธนาคาร การสื่อสาร รวมถึงด้านสาธารณสุข แต่การที่ข้อมูลภาครัฐรั่วไหลหลายครั้ง ทำให้ต้องตั้งคำถามว่ากฎหมายนี้มีประโยชน์จริงหรือไม่ ทำไมหน่วยงานรัฐยังอ่อนแอในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลประชาชน รัฐต้องตอบคำถามว่าปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่

ชัยวัฒน์กล่าวว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล เรามีนโยบายแปลงข้อมูลเป็นขุมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลของประชาชนหรือข้อมูลของภาคธุรกิจ ให้เป็นรูปแบบดิจิทัลเพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ๆ โดยวางบทบาทให้รัฐต้องเปลี่ยนเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล 3 อย่าง ได้แก่ หนึ่ง การพัฒนามาตรฐานข้อมูลและสร้าง ‘ถนนข้อมูล’ ที่จะทำให้ข้อมูลสามารถเชื่อมโยงกันได้ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน

‘เจี๊ยบ ก้าวไกล’ ยัน!! ใช้กระเป๋าถือแบรนด์ดัง ‘ของแท้’ ซื้อจากห้างหรู 4 ปีที่แล้ว ราคาใบละ 66,500 บาท

3 เม.ย.66) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊ก Amarat Chokepamitkul อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ชี้แจงหลังถูกชาวเน็ต ระบุว่าใช้กระเป๋ายี่ห้อหรู เป็นของปลอม โดยเธอยืนยันว่าไม่เคยใช้ของปลอม

กระเป๋าใบนี้ราคาไม่กี่หมื่น ซื้อจาก Shop ในห้างพารากอนน่าจะ 3-4 ปีที่แล้ว ข้อมูลการซื้ออนุญาตให้ทาง shop เปิดเผยได้ ไม่ใช่ความลับอะไร

“ความลุ่ยของสาย” เกิดจากใช้งานหนักโยนไปโยนมาปมที่มัดปลายไว้ก็คลายออก รุ่นนี้มีหลายสี

ที่จริงไม่ได้อยากชี้แจงอะไรแต่เห็นว่าเริ่มจะขยายประเด็นไปกันใหญ่

โดยนางอมรัตน์ นำภาพและราคามาโพสต์ไว้ในคอมเมนต์ ซึ่งกระเป๋าถือใบดังกล่าวราคา 66,500 บาท


ที่มา: https://www.thaipost.net/x-cite-news/353443/ 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top