‘อภิสิทธิ์’ ชี้เกณฑ์ใหม่สุพรรณหงส์ทำค่ายเล็กไม่ได้เกิด ดันนโยบาย ‘ก้าวไกล’ ทลายทุนผูกขาด หนุนอุตฯสร้างสรรค์

‘อภิสิทธิ์’ ชี้กติกาใหม่สุพรรณหงส์ กีดกันคนตัวเล็กไม่ให้แจ้งเกิด-ลดความหลากหลายภาพยนตร์ไทย เสนอนโยบาย ‘ก้าวไกล’ ทลายทุนผูกขาด-ตั้งกองทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุดหนุนคนสร้างหนังทางเลือก-แก้กฎหมายเซนเซอร์

(30 มี.ค. 66) อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) กล่าวถึงกรณีสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ออกกติกาใหม่ว่าภาพยนตร์ที่จะเข้าชิงรางวัลสุพรรณหงส์ต้องมีคุณสมบัติคือ (1) ต้องฉายในโรงภาพยนตร์ครบทั้ง 5 ภูมิภาค อย่างน้อย 5 จังหวัดใหญ่ ประกอบด้วย กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ชลบุรี นครราชสีมา และนครศรีธรรมราช ฉายผ่านสตรีมมิ่งอย่างเดียวไม่ได้ และ (2) ต้องมียอดผู้ชมไม่ต่ำกว่า 50,000 คน

อภิสิทธิ์ กล่าวว่า กติกาดังกล่าวเป็นการจำกัดคนที่เข้ามาแสดงความสามารถในวงการภาพยนตร์ไทย ทำให้ผู้สร้างหนังรายเล็กที่หลายคนทำภาพยนตร์เฉพาะทาง ขาดทรัพยากรและอำนาจต่อรอง แทบไม่มีโอกาสแจ้งเกิดผ่านเวทีประกาศรางวัลด้านภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ

จึงเห็นว่าคนในวงการภาพยนตร์ที่ไม่เห็นด้วยกับกติกานี้ ควรรวมตัวกันพูดคุยหาทางออกร่วมกับสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์เเห่งชาติ ขณะเดียวกันสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์เเห่งชาติเอง ก็ควรมีบทบาทเป็นตัวแทนของคนในวงการภาพยนตร์ที่มีความหลากหลายให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเพียงตัวแทนของนายทุนไม่กี่เจ้า โดยเฉพาะบางเจ้าที่เป็นทั้งผู้ผลิตและเจ้าของโรงฉาย ซึ่งถือเป็นการกินรวบทั้งกระดาน อย่าปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นบรรทัดฐานของวงการภาพยนตร์ไทย

ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่กังวลว่าจะเป็นปัญหาระยะยาวจากเรื่องนี้ คือประเทศไทยจะไม่มีคนตัวเล็กที่ทำภาพยนตร์ดี ๆ ในแง่มุมต่าง ๆ ออกมา โดยเฉพาะภาพยนตร์เฉพาะทาง ที่ตนเชื่อว่ามีตลาดอยู่ในเมืองไทยและต่างประเทศ เช่น ภาพยนตร์ของอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล หรือ ‘เจ้ย’ ซึ่งเคยได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปาล์มทองคํา จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์

“หนังของเจ้ย ตลาดในเมืองไทยไม่ใช่ตลาดใหญ่มาก ไม่ได้เป็นที่รู้จักวงกว้าง แต่ในตลาดต่างประเทศกลับมีนายทุนอยากส่งเสริม แม้มีแง่มุมที่ดีว่าเป็นการแสดงให้เห็นว่าฝีมือผู้กำกับชาวไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แต่อีกมุมหนึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย ว่าทำไมหนังแบบนี้ประเทศไทยไม่ส่งเสริม ไม่ได้รางวัล แต่กลับไปได้รางวัลจากประเทศอื่น ทั้งที่คนไทยเป็นผู้ผลิต เป็นเจ้าของเนื้อหา แต่ประเทศไทยและวงการภาพยนตร์ไทยไม่สามารถได้ประโยชน์จากงานของคนไทยอย่างเต็มร้อย” อภิสิทธิ์กล่าว

อภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า หากประเทศไทยต้องการให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ตัวใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เราไม่อาจหวังพึ่งพาเพียงซีรีย์วาย หรือมุ่งผลิตภาพยนตร์เพียงแนวใดแนวหนึ่งไปตลอด เพราะปัจจุบันตลาดมีความหลากหลายมากขึ้นและผู้กำกับคนไทยก็มีศักยภาพ

ดังนั้น การแก้ปัญหาเรื่องนี้ ตนเห็นว่ามีนโยบายอย่างน้อย 3 เรื่องที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยมีความหลากหลายและเป็นธรรม (1) ทลายการผูกขาดในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ บังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง จัดการผู้ประกอบการที่กินรวบตลอดทุกขั้นตอนการผลิต โดยเสนอให้มีการกำหนดสัดส่วนเวลาฉายขั้นต่ำสำหรับคนทำหนังไทยรายเล็กและหนังอินดี้ เพื่อให้คนทำหนังรายอื่นที่ต้องการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาหลากหลายได้มีพื้นที่ในการนำเสนอภาพยนตร์ต่อประชาชน ส่วนจะอยู่รอดหรือไม่ ให้คนดูเป็นผู้ตัดสิน (2) ตั้งกองทุนส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ เพื่อช่วยอุดหนุนคนตัวเล็กในวงการ ให้สามารถพัฒนาผลงานในแง่คุณภาพการผลิต ซึ่งจะเป็นการยกระดับวงการภาพยนตร์ไทยในภาพรวมด้วย และ (3) แก้ไขกฎหมายเซนเซอร์ ให้คนทำมีเสรีภาพในการทำงาน