Tuesday, 2 July 2024
พรรคก้าวไกล

‘โรม’ นำทีมหาเสียงกำแพงเพชร ชี้ 8 ปี รบ.ประยุทธ์ล้มเหลว ชูปราบปรามยาเสพติด-ทุจริตคอร์รัปชัน วอน! ขอโอกาสจาก ปชช.

(11 มี.ค. 66 ) รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล เดินทางไปที่ จ.กำแพงเพชร เพื่อช่วยหาเสียง ร่วมกิจกรรมแห่รถรอบเมือง และเดินในงาน ‘นบพระเล่นเพลง’ ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กำแพงเพชร พรรคก้าวไกล จำนวน 4 คน ได้แก่ สุกิจ ศุภกิจเจริญ สมชาย ผลมา ประพันธ์ จิตคำ และ จันทร์ดี หลวงนัน

โดยช่วงเช้า แวะพูดคุยกับประชาชนที่ตลาดศูนย์การค้ากำแพงเพชร รังสิมันต์กล่าวว่า ผลตอบรับที่ได้กลับมาดีเกินคาด เชื่อว่า 8 ปีที่ผ่านมาทำให้ชาวกำแพงเพชรและคนไทยทุกคนเห็นแล้วว่ารัฐบาลที่มีที่มาจากเผด็จการไม่ได้อยู่ข้างประชาชนฝ่ายใดเลย พวกเขาหลอกลวงว่าจะเข้ามาแก้ไขความขัดแย้ง ปราบปรามคอร์รัปชัน แต่ถ้าประชาชนได้ฟังการอภิปรายของตนและ ส.ส. พรรคก้าวไกล ก็จะทราบว่าทุกวันนี้มีการโกงกินบ้านเมืองอยู่ทุกหย่อมหญ้า แม้แต่กระบวนการยุติธรรมก็ถูกสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ

ล่าสุดคือกรณี อุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ที่มีข้อครหาเกี่ยวข้องพัวพันกับการฟอกเงินขบวนการค้ายาเสพติดของ ‘ทุนมินลัต’ ตั้งแต่ตนอภิปรายในสภาฯ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าของการนำตัว ส.ว.อุปกิต มาแจ้งข้อหาเพื่อจะฟ้องคดีต่อไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตำรวจสืบนครบาล (บก.สส. บช.น.) ที่จับทุนมินลัตและขยายผลมาถึง ส.ว.อุปกิต ได้เคยขอหมายจับต่อศาลแล้ว และศาลก็อนุมัติหมายจับให้ แต่ในวันเดียวกันกลับถอนการอนุมัติ จนแม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบการขอหมายจับอุปกิตยังทนไม่ไหว ต้องออกจดหมายเปิดผนึกชี้แจง ระบุว่าการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ประวิงเวลาในการดำเนินคดีกับอุปกิต จะก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อศรัทธาของประชาชน และการเพิกถอนหมายจับด้วยเหตุผลว่าเป็น ‘บุคคลสำคัญ’ ก็ทำลายหลักการว่า ‘บุคคลย่อมเสมอภาคภายใต้กฎหมาย’ ดังนั้น หากเราปล่อยให้บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมายังอาจถูกแทรกแซง แล้วประชาชนจะหันไปพึ่งพาใครได้ ประเทศไทยจะมีอนาคตได้อย่างไร

จุดยืนไม่เปลี่ยน!! 'พิธา' ลั่น!! 33 ผู้สมัคร ส.ส.พร้อมเจาะไข่แดง กทม.  ชี้!! ไม่หวั่นผลโพลเป็นรอง พท. พร้อมย้ำไม่จับ 'รทสช.-พปชร.'

(12 มี.ค.66) ที่สามย่านมิตรทาวน์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล จัดเวทีเปิดตัวผู้สมัครผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคก้าวไกล ทั้ง 33 เขตพร้อมเปิดตัวนโยบายที่ตอบโจทย์คนกทม. โดยนายพิธา ให้สัมภาษณ์ว่า กทม.เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ของพรรคก้าวไกล โดยการเลือกตั้งในปี 2562 ได้คะแนนป๊อบปูลาร์โหวตในกทม. 8 แสนคะแนน  

ดังนั้นทั้ง 33 เขตในกทม. จึงเป็นพื้นที่ๆ เราหวังผลทั้งหมด เป็นเขตที่เราหวังที่จะรักษาเขตเดิมและเพิ่มเติมเขตใหม่ ด้วยคะแนนเก่าที่เรามี ด้วยการทำงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยแคนดิเดตที่มีความสดใหม่ และคนที่ทำงานในพื้นที่มาตลอด จึงพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ส.ส.แบบพื้นที่ดี สภาเด่นก็ต้องพรรคก้าวไกลเท่านั้น รวมทั้งการทำงานของ ส.ก.พรรคก้าวไกลในช่วง 1 ปีทีผ่านมา เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้กับคน กทม.ได้

เมื่อถามว่าจุดเด่นในพื้นที่กทม.ของพรรคก้าวไกลคืออะไร นายพิธา กล่าวว่า จุดเด่นก็คือ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และนโยบายที่จับต้องได้ วันนี้มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งพรรคก้าวไกลจะผลักดันรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้ภายใน 7 ปี รวมทั้งจะเสนอให้มีการเก็บค่าขยะสำหรับทุนใหญ่หรือห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม นอกจากนั้นยังมีเรื่องของส่วย หรือคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งในการอภิปรายที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราสามารถแก้ปัญหาเรื่องพวกนี้ได้ รวมทั้งการนำเสนอนโยบายหวยเอสเอ็มอี ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่กทม.อย่างครอบคลุม

เมื่อถามถึงผลการสำรวจของนิด้าโพลที่ในพื้นที่ จ.อุดรธานีที่พรรคก้าวไกลมาเป็นอันดับ 2 รองจากพรรคเพื่อไทย นายพิธา กล่าวว่า ไม่หวั่นไหว และตั้งใจทำงานต่อเต็มที่ ซึ่งนิด้าโพลกลุ่มตัวอย่างอยู่ที่ประมาณ 2,000 คน แต่ในส่วนของจ.อุดรธานีอยู่ที่ 1,020 คน ความมั่นใจอยู่ที่ร้อยละ 95 และเป็นการทำโพลในช่วง 24 ก.พ.-ต้น มี.ค. ในช่วงก่อนที่ตนจะลงพื้นที่ จ.อุดรธานี เพื่อช่วยผู้สมัครหาเสียง และได้พบปะนักธุรกิจและประชาชนในพื้นที่ จึงเชื่อว่าการทำงานของเราสำหรับพรรคก้าวไกลในพื้นที่อุดรธานีที่แพ้แค่ 3,000 คะแนน จะได้รับความนิยมและได้รับความเชื่อมั่นจากชาวอุดรมากขึ้น สำหรับตนโพลขึ้นไม่หลงโพลลงไม่ท้อ เราทำงานเต็มที่เพื่อประชาชนต่อแน่นอน

ส่วนต่างที่หายไป!! 'ก้าวไกล' กัดไม่ปล่อย ‘บีอีเอ็ม’ สอยสัมปทานรถไฟสายสีส้ม ชี้!! อย่าปล่อยให้ 'เมกะโปรเจกต์' กลายเป็น 'เมกะดีล'

(13 มี.ค.66) สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวเปิดเผยเอกสารหลักฐานที่เพิ่งได้รับ กรณีข้อสงสัยการทุจริตประมูลสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเคยอภิปรายไปหลายครั้งก่อนหน้านี้ ให้เห็นถึงความพยายามกีดกันคู่แข่งของบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ชนะการประมูล ซึ่งก็คือบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ให้ออกไปจากการแข่งขัน โดยมีส่วนต่างที่รัฐต้องจ่ายอุดหนุนให้เอกชนสูงถึงกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท

สุรเชษฐ์กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่ง ว่านี่คือการประมูลที่เกิดขึ้นถึงสองครั้ง เพื่อสร้างสิ่งเดียวกัน แต่มีส่วนต่างสูงถึง 6.8 หมื่นล้านบาท และตนขอยืนยันอีกครั้ง ว่าส่วนต่างมีอยู่จริง แม้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะพยายามปฏิเสธเพียงใดก็ตาม

โดยสิ่งที่ปรากฏอยู่ในเอกสารที่ตนได้มาครั้งนี้ คือเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด นั่นคือข้อเสนอของฝ่ายบีอีเอ็มที่ตนได้พยายามขอมาหลายครั้งผ่านทุกช่องทางแล้วแต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องเลย แต่บัดนี้เข้าใจได้ว่าเมื่อหัวโจกไม่อยู่แล้ว ข้าราชการที่รักความยุติธรรมจึงเริ่มเคลื่อนไหว ส่งข้อมูลมาให้ตนในที่สุด

สุรเชษฐ์กล่าวต่อไปว่า เมื่อนำข้อมูลข้อเสนอจากทั้งสองฝ่ายมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าข้อเสนอของบีทีเอส จะขอเงินจากรัฐอุดหนุนค่าก่อสร้าง ในปีที่ 3-8 ยอดรวม 79,820 ล้านบาท โดยจะมีกำไรจ่ายคืนรัฐในปีที่ 20 เป็นต้นไป รวมเป็นเงินจำนวน 70,145 ล้านบาท ผลรวมจะเท่ากับเกิดส่วนต่างที่รัฐต้องอุดหนุนเพียง 9,675 ล้านบาท

ขณะที่ข้อเสนอของบีอีเอ็มนั้น มีการขอเงินรัฐอุดหนุนค่าก่อสร้าง ในปีที่ 3-8 เป็นจำนวน 81,871 ล้านบาท โดยผลตอบแทนที่บีอีเอ็มจะให้ตั้งแต่ปีที่ 14 เป็นต้นไป จะคืนเป็นยอดรวมเพียง 3,583 ล้านบาทเท่านั้น

กล่าวคือขณะที่บีทีเอสมีข้อเสนอจะจ่ายคืนให้รัฐ 70,145 ล้านบาท บีอีเอ็มจะคืนให้เพียง 3,583 ล้านบาท โดยที่ค่าก่อสร้างแทบไม่ต่างกันเลย ผิดกับที่ฝ่าย รฟม. มักออกมาอ้างว่าจำเป็นต้องใช้เทคนิคชั้นสูงในการสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ทำให้ต้องใช้งบประมาณมากขึ้น แต่หากลงไปดูในรายละเอียดเปรียบเทียบกันแล้ว จะพบว่าทั้งสองข้อเสนอแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย

“ดังนั้น ที่ต่างจริงๆ ก็คือผลตอบแทนที่จะคืนให้รัฐ ซึ่งบีอีเอ็มให้น้อยกว่าบีทีเอสมาก คำถามคือส่วนต่างนี้จะเอาไปทอนให้ใคร แน่นอนว่าทั้งหมดจะอยู่ในกระเป๋าของบีอีเอ็ม แต่บีอีเอ็มจะเอาไปให้ใคร หรือให้พรรคการเมืองใดบ้างหรือไม่ ผมอยากให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนร่วมกันติดตาม” สุรเชษฐ์กล่าว

สุรเชษฐ์ยังกล่าวต่อไป ว่าจากวันนี้ไปจนถึงการเลือกตั้ง คณะรัฐมนตรียังมีเวลาเหลืออย่างมากอีกเพียง 2 ครั้งที่จะอนุมัติเรื่องต่างๆ คือในการประชุม ครม. พรุ่งนี้ (14 มีนาคม) หรือหากยังไม่มีการยุบสภาเร็วๆ นี้ ก็จะต้องเป็นการประชุม ครม. สัปดาห์หน้า ที่ต้องจับตาคือจะมีการยัดเรื่องนี้เข้าไปหรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าถ้าทุกคนเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไร จะมีการนำเข้าไปแน่นอน รวมทั้งอาจมีการใช้กระบวนการยุติธรรมมาฟอกขาว ว่าข้อเสนอของบีทีเอสเป็นข้อเท็จจริงนอกสำนวน

อดีต ผอ.TCDC เผยเหตุ ซบพรรคก้าวไกล เป็นพรรคเดียวที่เจาะปัญหาเพื่อแก้ให้ ปชช. จริงๆ

‘อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล’ อดีต ผอ.TCDC ขึ้นเวทีในนามพรรคก้าวไกล โชว์วิสัยทัศน์สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ย้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดต้องแก้กฎหมายจำกัดเสรีภาพ

(14 มี.ค.66) โรงแรม พูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ กทม. อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ในฐานะ ‘ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้านนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ได้ขึ้นเวทีในเสวนา ‘อนาคตประเทศไทย Soft Power ขับเคลื่อนประเทศ?’ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และเสนอ 5 นโยบายสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งอภิสิทธิ์ชี้ให้เห็นความสำคัญที่รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การสร้างระบบสวัสดิการที่สำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ และแก้กฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพ

อภิสิทธิ์ เริ่มต้นด้วยการบอกว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย มีขนาดเศรษฐกิจกว่า 1.2 ล้านล้านบาท หรือ 7.5% ของ GDP มีแรงงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 9 แสนคน แต่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์กลับไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ 

“ตั้งแต่เราได้ยินคำว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คำว่า Soft Power ไม่ต่ำกว่า 20 ปี วันไหนที่เอกชนไปประสบความสำเร็จ เราก็หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาพูด ขึ้นมาชมเชย หยิบมงกุฎ หยิบชฎา หยิบข้าวเหนียวมะม่วงมาชมเชย แต่ข้อเท็จจริงกว่าคนเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จได้ ล้วนมาจากความอุตสาหะของกาย เงิน ของคนเหล่านั้น”

อภิสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากงบประมาณทั้งหมดของประเทศไทย 3.3 ล้านล้านบาท มีส่วนที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพียงแค่ 8,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้งบประมาณ 310 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ Korea Creative Content Agency (KOCCA) ของประเทศเกาหลีใต้ ได้งบประมาณในปีที่แล้วถึง 22,000 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างกันอย่างลิบลับ ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบาย 5 มิติเพื่อสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ขึ้นในประเทศไทย

เรื่องแรก พรรคก้าวไกลจะเสนอให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ พร้อมๆ กับที่เราต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่นๆ เรามีสถาบันการศึกษาที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ 130 แห่ง มีธุรกิจที่จดทะเบียนในระบบมากกว่า 82,072 ราย เราต้องรื้อระบบโครงสร้างงบประมาณใหม่ เพราะโครงสร้างงบประมาณเดิมยิ่งสร้างปัญหา ไม่แหลมคมพอ กระจัดกระจาย รวมทั้งระบบการจัดซื้อในรัฐบาลต้องเปลี่ยนใหม่ เพื่อพุ่งเป้าไปสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มากขึ้น

สอง พรรคก้าวไกลจะปรับระบบสวัสดิการคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ให้มีชีวิตเพิ่มมากขึ้น ให้เขาเห็นปลายแสงสว่างในชีวิตว่ามาทำอุตสาหกรรมสร้างสรรค์แล้วไม่ได้ตกทุกข์ได้ยากลำบาก เราอาจเห็นร้านอาหารที่มีชื่อ อาจเห็นชื่อเสียงของนักดนตรีไทย แต่หลังบ้านของสิ่งเหล่านั้นเป็นหลังบ้านที่น่าสงสาร

สาม พรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนพื้นที่บางพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ทดลองของคนในอุตสาหกรรมนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่ว่างในพื้นที่ราชพัสดุ ที่ดินทหารและส่วนราชการอีกเยอะแยะที่สามารถเอามาเป็นแล็บให้พวกเขาได้ทดลอง นอกจากนี้ เราต้องทำโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายให้ตอบโจทย์ เช่น เสนอคูปองให้พัฒนาความรู้ เพื่อนำไปบวกกับความคิดสร้างสรรค์ ไปบวกกับเทคโนโลยี ไปบวกกับทุนเดิมทางวัฒนธรรม 

สี่ พรรคก้าวไกลเสนอให้รวบรวมกองทุนต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ ในวันนี้เรามีกองทุนหลายกองทุน เช่น กองทุนใน กสทช. กองทุนในกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย กองทุนสื่อสร้างสรรค์ แต่กองทุนเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เฉพาะของตัวเอง เราต้องปรับเนื้อหากองทุนเพื่อมาตอบโจทย์ในเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้กว้างมากขึ้น เราต้องทำกองทุนให้ตอบโจทย์ผู้สร้างสรรค์ที่หลากหลายมากขึ้น พรรคก้าวไกลเสนอให้การปรับกองทุนและเพิ่มเงินในกองทุน เพื่อทำให้กองทุนความคิดสร้างสรรค์นี้สามารถกู้ยืมได้ สามารถต่อยอดไอเดียออกมาเป็นผลงานได้

สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกฎระเบียบ และ พ.ร.บ.ต่างๆ ที่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ปิดกั้นความสามารถ เช่น เรื่องกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นในการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์เรื่องหุ่นพยนต์ 

ข้อเสนอของพรรคก้าวไกล 5 ข้อที่ว่ามา สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีเสรีภาพ มีสวัสดิการของคนที่ทำงานสร้างสรรค์ และที่สำคัญต้องแก้กฎหมาย

‘ก้าวไกล’ โชว์ห้องนิรภัยในศูนย์เด็กเล็กเสร็จแห่งแรก ทวงสัญญารัฐบอกจะทำทุกที่ หลังเหตุกราดยิงหนองบัวฯ

‘ก้าวหน้า-ก้าวไกล’ โชว์เหนือ! ทำเสร็จแล้วห้องนิรภัย-ปุ่มฉุกเฉินในศูนย์เด็กเล็กแห่งแรก จี้ทวงสัญญารัฐ ไหนบอกจะทำทุกที่หลังเหตุกราดยิงหนองบัวฯ

คณะก้าวหน้า-พรรคก้าวไกล ร่วมสังเกตการณ์การซ้อมรับมือเหตุฉุกเฉินศูนย์เด็กเล็กฯ เทศบาลเก่ากลอย หลังคณะก้าวหน้าได้เข้าไปให้การสนับสนุนในการออกแบบและติดตั้งห้องนิรภัยและระบบเตือนภัยฉุกเฉิน ชี้ ใช้งบสร้างไม่มากแค่สามศูนย์ไม่ถึง 2 แสนบาท เหตุใดรัฐบาลยังไม่ทำทั้งที่บอกว่าจะติดตั้งให้ทุกศูนย์ทั่วประเทศ ด้านผู้สมัครก้าวไกล ชี้ ต้องกระจายอำนาจ-งบประมาณให้ท้องถิ่นดำเนินการเองได้ในระยะยาว

เทศบาลตำบลเก่ากลอย ร่วมกับคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ตำรวจ ทีมแพทย์ รพ.สต. และหน่วยกู้ภัย ร่วมกิจกรรมการฝึกอบรมการช่วยเหลือ ป้องกัน และฝึกซ้อมเผชิญเหตุการณ์ก่อความรุนแรงในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อซักซ้อมระบบห้องนิรภัยและระบบการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ที่คณะก้าวหน้าได้เข้ามาให้การสนับสนุนการออกแบบ โดยมี ไกลก้อง ไวทยการ ผู้ อำนวยการฝ่ายนโยบายคณะก้าวหน้า พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล และ สมเกียรติ เชษฐสุมณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคก้าวไกล เขต 3 จ.หนองบัวลำภู ร่วมเป็นสักขีพยานในการฝึกซ้อมวันนี้

โดยการฝึกซ้อมในวันนี้ ประกอบไปด้วยการทดลองระบบส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ที่ติดตั้งเป็นปุ่มกดฉุกเฉิน เชื่อมต่อสัญญาณไปยังหน่วยราชการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สภ.นากลาง รพ.สต.เก่ากลอย หน่วยกู้ชีพ ทต.เก่ากลอย รวมทั้งการจำลองสถานการณ์และซักซ้อมมาตรการรับมือเหตุการณ์โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยจำลองสถานการณ์สามแบบไล่จากเบาไปหาหนัก ตั้งแต่สถานการณ์คนร้ายคลุ้มคลั่งแต่ไม่มีอาวุธ, สถานการณ์คนร้ายที่มีอาวุธมีด และ สถานการณ์คนร้ายก่อวินาศกรรมพร้อมอาวุธปืน รวมทั้งในกรณีที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

จิรศักดิ์ วิชัย นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลเก่ากลอย ระบุว่าจากเหตุกราดยิงที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอุทัยสวรรค์เมื่อปีที่แล้ว ทางคณะก้าวหน้าได้เข้ามาพูดคุยเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ รวมทั้งได้ปรึกษาหารือกันว่าจะหามาตรการป้องกันและสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานอย่างไร จนได้ข้อสรุปว่าควรมีการติดตั้งปุ่มฉุกเฉินและห้องนิรภัย และได้มีการเข้ามาให้คำปรึกษาในการดำเนินการติดตั้ง จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วในศูนย์หลัก หลังสำนักงานเทศบาล และกำลังจะมีการติดตั้งในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เหลืออีกสองศูนย์ของเทศบาลตำบลเก่ากลอยให้เสร็จสิ้นในช่วงปิดเทอมนี้ รวมถึงอีกหนึ่งศูนย์ที่กำลังก่อสร้างอาคารใหม่อยู่ให้เสร็จภายในสิ้นปี 2566 

ด้านสมเกียรติ เชษฐสุมณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.หนองบัวลำภู เขต 3 พรรคก้าวไกล ระบุว่าจากเหตุการณ์กราดยิงที่เทศบาลตำบลอุทัยสวรรค์ที่ผ่านมา ได้นำมาสู่โจทก์ที่ต้องแก้ปัญหา โดยเฉพาะในด้านการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในชีวิตและทรัพย์สิน หรือให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดูแลศูนย์พัฒนาเด็กเล็กโดยตรง หลายแห่งอาจจะดำเนินการในลักษณะเดียวกันได้ แต่อีกหลายแห่งก็ประสบปัญหางบประมาณที่จะเข้ามาดำเนินการ

นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ควรจะต้องมีการกระจายอำนาจและงบประมาณลงมาให้แก่ท้องถิ่น เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆ เช่น การปรับปรุงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในด้านความปลอดภัย อย่างที่ทางคณะก้าวหน้าได้เข้ามาดำเนินการในกรณีของเทศบาลตำบลเก่ากลอยนี้ ให้สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายหนึ่งของพรรคก้าวไกล

ในส่วนของไกลก้อง ระบุว่าหลังเกิดเหตุการณ์ที่อุทัยสวรรค์ วันรุ่งขึ้นคณะก้าวหน้าก็ได้ขึ้นมาเยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบทั้งที่เทศบาลตำบลอุทัยสวรรค์ที่เกิดเหตุ และที่เทศบาลตำบลเก่ากลอย ที่อยู่ใน อ.นากลาง ด้วยกัน ห่างไปเพียง 20 กม. และเป็นเทศบาลที่คณะก้าวหน้าให้การสนับสนุน วันนั้นหลายคนเสียขวัญจนไม่สามารถเปิดเรียนได้ ครูทุกคนต้องการให้มีการปรับปรุงเรื่องความปลอดภัย เช่น การให้มีปุ่มกดฉุกเฉินเหมือนร้านทอง และให้มีห้องนิรภัยที่ให้ครูนำนักเรียนเข้าไปหลบ เพื่อถ่วงเวลารอคนมาช่วยเหลือได้ 

‘ก้าวไกล’ ขยับทันทีหลังยุบสภาฯ ชู 300 นโยบาย เปลี่ยนประเทศไทยไม่เหมือนเดิม

‘ก้าวไกล’ ขยับทันทีหลังยุบสภา ประกาศ 300 นโยบายรัฐบาลก้าวไกล เปลี่ยนประเทศไทยไม่เหมือนเดิม พร้อมระดมทุนผ้าป่าสามัคคีสู้ศึกเลือกตั้ง

วันที่ 20 มีนาคม 2566 หลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 พรรคก้าวไกลได้ประกาศความพร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง ด้วยการประกาศ 300 นโยบายรัฐบาลก้าวไกล ที่จะเปลี่ยนประเทศไทยให้ไม่เหมือนเดิม ครอบคลุมทั้ง 9 เสานโยบาย ประกอบด้วย การเมืองไทยก้าวหน้า สวัสดิการไทยก้าวหน้า ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า ราชการไทยก้าวหน้า การศึกษาไทยก้าวหน้า เกษตรไทยก้าวหน้า สิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า สุขภาพไทยก้าวหน้า และเศรษฐกิจไทยก้าวหน้า

‘ปิยบุตร’ ลั่น ‘ก้าวไกล’ พร้อมเป็นฝ่ายค้าน หากรัฐบาลหน้ามีชื่อ ‘ประยุทธ์-ประวิตร’

‘ปิยบุตร’ ประกาศกร้าว ถ้ารัฐบาลหน้ามีชื่อ ‘ประยุทธ์-ประวิตร’ พรรคก้าวไกลพร้อมเป็นฝ่ายค้าน

(21 มี.ค.66) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก 'Piyabutr Saengkanokkul-ปิยบุตร แสงกนกกุล' ว่า “ทุกพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้งก็ต้องอยากเป็นรัฐบาลทั้งนั้น แต่การจะมาเป็นรัฐบาลได้ต้องมาอย่างสง่างามด้วย ไม่ใช่แค่คิดถึงจำนวนอย่างเดียวจนลืมดูอุดมการณ์ ย้ายพรรคกันไปมาตามสภาพดินฟ้าอากาศ”

'ก้าวไกล' แซะ!! 'Made in Thailand' ยุคป๋าเปรม ไม่เหมาะกับธรรมชาติอุตสาหกรรมในปัจจุบัน

(23 มี.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก พรรคก้าวไกล - Move Forward Party ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ 'หมดยุค Made in Thailand ถึงเวลา Made with Thailand' ว่า...

นโยบาย Made in Thailand ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คือการชวนคนเข้ามาลงทุน ลดแลกแจกแถม มีมาตรการภาษีสร้างแรงจูงใจ ทำให้จีดีพีประเทศโตขึ้น แต่คนไทยได้ส่วนแบ่งดอกผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนโยบายนี้ไม่เหมาะกับธรรมชาติอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ที่ห่วงโซ่การผลิตไม่ได้ยึดติดกับดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เกี่ยวข้องกับหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น การผลิตสมาร์ทโฟน ซึ่งประเทศไทยตกขบวนไปแล้ว มีการออกแบบในสหรัฐอเมริกา ใช้ชิปจากไต้หวัน ตัวเก็บประจุจากญี่ปุ่น จอภาพจากเกาหลีใต้ ประกอบในจีนและอินเดีย ใช้สิทธิบัตรจากสวีเดน ดังนั้น ประเทศไทยต้องไม่ยึดติดกับคำว่า ‘In’ หรือการลงทุนในดินแดน แต่ต้องคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ คนไทย การผลิตแบบไทย สิทธิบัตรไทย เข้าไปเชื่อมโยงเป็นส่วนผสมหนึ่งของซัพพลายเชนโลก

‘ธนาธร’ ลุยหาเสียงสมุทรปราการ ชู ‘ก้าวไกล’ เป็นพรรคกล้าปฏิรูปชนต้นตอปัญหา

ธนาธร-ไอติม’ นำทัพผู้สมัครก้าวไกลสมุทรปราการ 8 เขตขึ้นรถลงเรือเดินตลาด ได้เสียงตอบรับล้นหลาม ‘ธนาธร’ ชี้ ประเทศไทยจะไปต่อ ต้องเปลี่ยนการเมือง ยก ‘ก้าวไกล’ กล้าปฏิรูปชนต้นตอปัญหา ปลุกอำนาจอยู่ในบัตรเลือกตั้ง ส่งต่อสังคมที่ดีกว่าให้คนรุ่นหลัง 

(23 มี.ค.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล ร่วมหาเสียงกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ พรรคก้าวไกล ตลอดทั้งวัน

เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ ที่ อ.พระสมุทรเจดีย์ ธนาธรและพริษฐ์ เดินชุมชนพบปะพูดคุยกับประชาชนภายในหมู่บ้านสยามนิเวศน์ 1 และ 2 ร่วมกับ บุญเลิศ แสงพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 7 ก่อนเดินทางมายังตลาดเทศบาลเมืองพระประแดง ร่วมเดินหาเสียงพบปะชาวตลาดและชุมชนกับ วีรภัทร คันธะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 6

จากนั้นช่วงบ่าย เดินทางไปยังตลาดปากน้ำและชุมชนโดยรอบ ร่วมกับ พนิดา มงคลสวัสดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 1 และ รัชนก สุขประเสริฐ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 2 ก่อนร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงที่ อ.สำโรง ร่วมกับ พิชัย แจ้งจรรยาวงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 3, วุฒินันท์ บุญชู ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 4, นิตยา มีศรี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 5 และ ตรัยวรรธน์ อิ่มใจ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ เขต 8

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย ธนาธร ระบุว่าวันนี้ตนเดินตลาดมาทั้งวัน ก่อนหน้านี้ก็ได้เดินตลาดมาในทุกภาค พ่อค้าแม่ขายและประชาชนทุกที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไปต่อไม่ไหวแล้ว นี่คือผลพวงจากวิกฤติโควิดที่ไม่ได้เป็นความผิดของประชาชนเลย และนี่ยิ่งเป็นเหตุผลให้ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างรัฐสวัสดิการขึ้นมา เพราะหากประชาชนอยู่ในสภาพอ่อนล้าเช่นนี้ ประเทศชาติจะเข้มแข็งได้อย่างไร

ประเทศไทยไม่สามารถสร้างอนาคตจากการแจกเงินอย่างเดียว แต่ต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่มาสร้างงานให้ประชาชน รองรับคนจบการศึกษาใหม่ปีละ 7-8 แสนตำแหน่ง ทุกวันนี้อุตสาหกรรมหลักของประเทศ ทั้งยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ล้วนแต่ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมของคนไทย และไม่สามารถพาประเทศไปไกลกว่านี้แล้ว ประเทศไทยสามารถสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นมา มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองได้มากมายจากปัญหาที่ดำรงอยู่ เช่น รถเมล์ไฟฟ้า เพื่อแก้ทั้งปัญหามลพิษ การจราจร และการเข้าไม่ถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนไทย ไปได้พร้อมๆ กัน เป็นต้น

ธนาธรกล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าการเมืองยังเป็นแบบนี้อยู่ จะสร้างสังคมและประเทศไทยที่มีอนาคต จะต้องมีการปฏิรูปในเรื่องยากๆ ในเรื่องที่จะต้องเจอตอ เช่น การปฏิรูปกองทัพ การต่อสู้กับทุนผูกขาด ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่แน่วแน่ และวันนี้พรรคที่ตนเห็นว่ามีเจตจำนงปฏิรูปในเรื่องยากๆ กล้าชนปัญหาที่ต้นตอแบบนี้ ก็มีอยู่เพียงพรรคเดียวเท่านั้นคือพรรคก้าวไกล

‘ปดิพัทธ์’ เผย ประชาสัมพันธ์เลือกตั้งล่วงหน้า ‘นอกเขต’ น้อยเกินไป แนะ!! กกต. ควรร่วมมือกับภาคต่าง ๆ ช่วยโปรโมต เพื่อรักษาสิทธิ ปชช.

(24 มี.ค. 66) ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พิษณุโลกเขต 1 และอดีต ส.ส.พรรคก้าวไกล ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่ามีความเป็นห่วงว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงนี้จะมีประชาชนจำนวนมากเสียสิทธิจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชาสัมพันธ์การใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า การเลือกตั้งนอกเขต และการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรน้อยเกินไป 

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า จากการที่ กกต. กำหนดให้วันเลือกตั้งเป็นวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งไม่ได้ตรงกับช่วงวันหยุดยาว 4-7 พฤษภาคม อาจทำให้ประชาชนหลายคน ไม่ว่าจะเป็น คนที่ออกไปหางานทำที่ต่างจังหวัด นักเรียน-นักศึกษา เกิดความไม่สะดวกในการกลับไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่ กกต.กลับประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตน้อยมาก ทำให้ประชาชนที่ไม่สะดวกใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. เสมือนเสียสิทธิเลือกตั้งไปโดยปริยาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top