Monday, 29 April 2024
นายกรัฐมนตรี

‘เศรษฐา’ เผย คุยตัวแทนผู้บริหาร ‘ฟอร์มูล่าอี’ ได้จัดงานแน่ ไม่เกิน 15 ก.พ.68 เพื่อกระตุ้น การท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์ การเป็นฮับ รถอีวี ของไทย  

(17 มี.ค.67) ที่โรงแรมอนันตรา เชียงใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังที่ได้พบพูดคุยกับ ตัวแทนผู้บริหารฟอร์มูล่าอี ว่า มีข่าวดี หลังได้พูดคุยและได้ก็มีการกำหนดขั้นตอนต่อไปอย่างชัดเจน ดูสถานที่ สถานที่ ว่าจุดไหนมีความเหมาะสม ซึ่งตอนนี้สถานที่ที่มีความเป็นไปได้สูง คือ สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี หรือไม่ก็ที่ อุทยานหลวงราชพฤกษ์ โดยทางฟอร์มูลล่าจะไปดูเรื่องทางเทคนิคว่าสถานที่ไหนจะเหมาะสมที่สุด

ส่วนเรื่องของเม็ดเงินที่จะตามมา นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ได้ดู คงต้องไปดูรายละเอียดทั้งหมดและหากจะมีการจัดงานก็คงประมาณต้นปี 2568 แต่คงไม่หลังวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวและยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย เรื่องของฟอร์มูลล่าอี ส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยว ตนเชื่อว่าเรื่องของความเวลาและเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นมิตรกับธรรมชาติและเข้ากับธีมที่ว่ารัฐบาลสนับสนุนให้มีการลงทุนให้ประเทศไทยเป็นฮับของการผลิตรถอีวี และเป็นการส่งเสียงที่ชัดเจน กลับชาวโลกว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก คาดว่าอีกไม่เกิน 60 วัน น่าจะสรุปได้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง และเป็นขั้นตอนเรื่องการต่อรองสัญญากัน

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองถึงผล ที่จะตามมาหลังการจัดการแข่งขันอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มองถึงผลที่จะตามมาชัดเจนคือเรื่องของการท่องเที่ยวเพราะจะได้เห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของจังหวัดเชียงใหม่จะได้เห็นเรื่องวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงใหม่และในอดีตคนที่มาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่มาดูเรื่องวัฒนธรรม ศิลปะทั่วไป แต่เรายังไม่สามารถดึงนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มนึงมาได้ดังนั้นนี่จึงเป็นการเปิดช่องทางใหม่และหวังว่าเมื่อเขามาดูเรื่องการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน และเขาก็จะมาดูเรื่องวัฒนธรรมของเราต่อไปได้

เมื่อถามถึงเรื่องการขยายเวลาเปิดสถานบันเทิง ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้ขยายระยะเวลาเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะขยายไปทั่วประเทศหรือไม่นั้น ต้องดูเรื่องของโซนนิ่ง เรื่องความเหมาะสม และดูความต้องการของแต่ละพื้นที่ด้วย

เชียงใหม่-นายกฯ ใส่เสื้อลายผ้าขาวม้า เดินเซ็นทรัลเชียงใหม่ ชมงาน 'ฮักไทย เสน่ห์วิถีไทยสไตล์ใหม่ฯ' วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า

เมื่อวานนี้ (17 มี.ค.67) คุณเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปฎิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เข้าเยี่ยมศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟส) โดยมี คุณบุษบา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร กลุ่มเซ็นทรัล , คุณอัจฉรา วิสุทธิวงศ์รัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาดและสื่อองค์กร กลุ่มเซ็นทรัล, คุณพรเทพ อรรถกิจไพศาล ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เชียงใหม่ (เซ็นเฟส) และคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับ

โดยได้เยี่ยมชม โครงการ 'ฮักไทย เสน่ห์วิถีไทยสไตล์ใหม่ Thainess Station สินค้าไทย ร่วมใจเพื่อชุมชน' จากกลุ่มเซ็นทรัล และบริษัทในเครือ นำร่องจำหน่ายผ้าขาวม้าจากชุมชน ต่อยอด และยกระดับสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นไทย ด้วยการรับซื้อสินค้าไทยจากชุมชน นำมาจัดแสดงและจำหน่าย อาทิ ผลิตภัณฑ์จากผ้าขาวม้า เครื่องจักสานจากกระจูด และผ้าคราม โดยเบื้องต้นได้มีการรับซื้อผ้าขาวม้าจาก 6 ชุมชนทั่วประเทศ ผลักดันและยกระดับสินค้าท้องถิ่นไทยสู่ตลาดโลก 

พบปะชมผลงานน้องนักศึกษา #𝗣𝗿𝗼𝗷𝗲𝗰𝘁𝗶𝗻𝗧𝗵𝗮𝗶𝗔𝗿𝘁𝗖𝗠𝗨𝟮𝟬𝟮𝟰 ศิวิ-𝗟𝗜𝗚𝗛𝗧 งานการแสดงผลงานศิลปนิพนธ์ ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 แขนงการจัดการศิลปะและวัฒนธรรม สาขาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมยังแวะช้อปโซน Lanna Souvenir อีกด้วย

ลำปาง-นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนและตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการบริเวณริมแม่น้ำวัง (สะพานดำ)

วันที่ 19 มีนาคม 2567 เวลา 14.00 น.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะ  ลงพื้นที่จังหวัดลำปางเพื่อตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการบริเวณริมแม่น้ำวัง (สะพานดำ)โดยมีนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย นายกิตติกร โล่ห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง(นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) นายธนาธร โล่ห์สุนทร ส.ส.ลำปาง เขต 2​ นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง พร้อมด้วยนายชนาธิป เสมแย้ม นายพัชระ สิมะเสถียร รองผู้ว่าฯลำปาง พล.ต.พรชัย นพรัตน์ ผบ.มทบ.32 น.ส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร นายก อบจ.ลำปาง นายธนารัฐ สายเทพ นอภ.เมืองลำปาง หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และชาวลำปางร่วมให้การต้อนรับกว่า 1,000 คน โดยนายกรัฐมนตรี ได้เดินทักทายประชาชนอย่างเป็นกันเอง  

นายกรัฐมนตรี ได้รับฟังบรรยายสรุปทิศทางการพัฒนาจังหวัดลำปาง จากนายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง รับฟังข้อเสนอเรื่องการพัฒนาจังหวัดลำปาง ซึ่งเกินศักยภาพของจังหวัด โดยรับฟังสภาพปัญหาและความต้องการของประชาชนในพื้นที่ จากนั้นนายกิตติกร โล่ห์สุนทร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง , นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร นายก อบจ.ลำปาง รายงานข้อมูลโครงการ 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมอาคารป้องกันตลิ่งพัง เลียบแม่น้ำวัง เชื่อมระหว่างตำบลปงแสนทอง - ตำบลสบตุ๋ย อำเภอเมืองลำปาง 2.โครงการปรับปรุงถนนสายทางดอนไชย-กิ่วฝิ่น ทางหลวงท้องถิ่น สายทาง ลป.ถ.1-0040 บ้านดอนไชย-ป่าเหมี้ยง อำเภอเมืองปาน จังหวัดลำปาง เขตติดก่อบ้านแม่กำปอง จังหวัดเชียงใหม่ และรับฟังรายงานข้อมูลโครงการปรับปรุงและขยายความยาวทางวิ่งท่าอากาศยานลำปาง โดย นายพิษณุ พิจิตร รักษาราชการแทนผู้อำนวยการท่าอากาศยานลำปาง ภายหลังรับฟังบรรยายสรุปข้อมูล นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้ตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการบริเวณริมแม่น้ำวัง

นายเศรษฐา กล่าวว่า การเดินทางมาตรวจราชการและเยี่ยมชาวลำปางในวันนี้ จะได้รับทราบโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก พร้อมอาคารป้องกันตลิ่งพัง เลียบแม่น้ำวัง เพื่อปรับภูมิทัศน์ตามความเหมาะสม หลังจากรับฟังแล้วขออนุญาตสั่งการลงไป โครงการฯที่เสนอมาในครั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องการ ข้อคิดเห็นของพี่น้องประชาชน ได้พิจารณาสั่งการลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเป็นหลักและใช้งบประมาณอย่างเหมาะสม เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ขยะมูลฝอย ให้ลำปางเป็นเมืองน่าอยู่ และพร้อมยกระดับจากเมืองรองเป็นเมืองหลักเพราะเรามีครบหมดแล้วขนบธรรมเนียม ประเพณีอาหารอร่อย ขอฝากพี่น้องชาวลำปางทุกคนด้วย

21 มีนาคม พ.ศ. 2497 วันเกิด ‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย ‘ผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-สร้างความเจริญ’ ให้กับประเทศไทยตลอด 9 ปี

‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ หรือที่คนไทยทั้งประเทศรู้จักในนาม ‘ลุงตู่’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย และเป็นหนึ่งในนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นองคมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ทั้งนี้ ‘ลุงตู่’ เกิดที่ จ.นครราชสีมา เป็นบุตรชายของพันเอก (พิเศษ) ประพัฒน์ จันทร์โอชา และเข็มเพชร จันทร์โอชา มารดาซึ่งรับราชการครู เป็นบุตรชายคนโตจากพี่น้องทั้งหมด 4 คน โดยคนหนึ่งคือ พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหมและอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

สำหรับประวัติการศึกษาของ ‘ลุงตู่’ ได้สำเร็จการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จากโรงเรียนสหะกิจวิทยา อำเภอเมือง จ.ลพบุรี (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวิทยาลัยเทคโนโลยีลพบุรี) ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย อำเภอเมือง จ.ลพบุรี แต่เรียนได้เพียงปีเดียวก็ลาออก เนื่องด้วยบิดาเป็นนายทหารจำต้องโยกย้ายไปในหลายจังหวัด และได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ในสมัยที่ศึกษาอยู่ที่นี่ ‘ลุงตู่’ เคยถูกนำเสนอประวัติผ่านนิตยสารชัยพฤกษ์ ในฐานะเด็กเรียนดีอีกด้วย จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และในปี พ.ศ. 2514 ได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร จนสำเร็จเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 12 (ตท.12) และในปี พ.ศ. 2519 เป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23 และหลักสูตรชั้นนายร้อย รุ่นที่ 51 ในปีเดียวกัน และในปี พ.ศ. 2524 หลักสูตรชั้นนายพัน รุ่นที่ 34 และในปี พ.ศ. 2528 หลักสูตรหลักประจำโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 63 และเป็นศิษย์เก่า และในปี พ.ศ. 2550 เข้าเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 2

สำหรับเส้นทางทางการเมือง ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ภายหลังจากได้ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. กระทั่งมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562

และเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง (สมัยที่ 2)

แม้จุดเริ่มต้นของการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 จะมาจากการทำรัฐประหาร แต่ ‘ลุงตู่’ ก็พิสูจน์ให้พี่น้องคนไทยทั้งประเทศเห็นแล้วว่าตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ โดยได้มุ่งมั่นทำงานแรงกาย สร้างความเจริญ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างให้แก่ประเทศไทย ตลอด 9 ปีที่ทำหน้าที่ ‘ผู้นำประเทศ’

และนี่คือ 9 เรื่องดี ๆ ที่ ‘ลุงตู่’ ได้ฝากไว้ให้คนไทยทั้งประเทศ

1. กำหนด ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ 

2. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. สร้างความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ  

4. กำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคต และการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริการจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ได้แก่ 

-‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ 

-‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร 
-
‘ป่า’ ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก 

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย - สะดวก - โปร่งใส เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ และ UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ภายใต้การบริหารประเทศของ ‘ลุงตู่’ และแม้การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา จะไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ซ้ำยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวนแปรปรวน

ก็ต้องบอกว่า ‘ประเทศไทย’ นับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้สร้างมานั้นได้รับการ ‘ต่อยอด’ ก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันยิ่งขึ้น

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ชี้ ศึกสองบิ๊กตำรวจ แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง  ยังมีปมอีกมากที่อยู่ใต้น้ำ แนะ!! ดึง ปชช.ร่วมตรวจสอบกาะทำงาน 

(24 มี.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร ส.ส. กทม เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นกรณีความขัดแย้งระหว่าง ผบ.ตร และรอง ผบ.ตร. จนสุดท้ายทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาหย่าศึก โดยการสั่งย้ายทั้งสองคนกลับเข้าสำนักนายก ฯ ว่า...

กรณีการสั่งย้ายดังกล่างเป็นแค่การลูบหน้าปะจมูก เพื่อแก้ปัญหาหาเฉพาะหน้าให้จบ ๆ ไปเท่านั้น เพราะความขัดแย้งระหว่างสองบิ๊กตำรวจ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ออกมาพ้นน้ำให้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมากที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งต้องรอการสะสาง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่ง ปัญหาการรับส่วยสินบน ปัญหาการไม่รับแจ้งความ ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตการใช้กำลังในการปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ ซึ่งตนขอเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น ดังนี้...

1. ค่าตอบแทนและสวัสดิการของตำรวจ ต้องเพียงพอให้ดำรงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องหาเศษหาเลย โดยเฉพาะระดับปฏิบัติการ ค่าใช้จ่ายในการทำงานต้องเบิกได้เต็มจำนวน
2. ต้องใช้ระบบคุณธรรมในการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ใครทำดี บำบัดทุกข์บำรุงสุขเพื่อประชาชนต้องได้ดี ใครทำชั่วทุจริตกินสินบาทคาดสินบนต้องได้ชั่ว (ถูกลงโทษ)  
3. กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นที่เชี่ยวชาญกว่า (Decentralization) เช่น การสอบสวน ควรให้อัยการเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระและตรวจสอบถ่วงดุล รวมทั้งการย้ายภาระงานบางส่วนให้ อปท. เช่น งานจราจร หรือคดีที่มีโทษเล็กน้อยหรือปรับเพียงสถานเดียว โดยใช้วิธีกระจายอำนาจอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพิ่มอัตรากำลังและค่าตอบแทนพนักงานสอบสวนที่มีความรู้กฎหมายระดับเนติบัณฑิต
4. ออกกฎหมายกำหนดขอบเขตการใช้กำลังและหลักการการใช้กำลังขั้นถึงตาย (Use of Deadly Force) แยกต่างหากไปจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายของประชาชน เพื่อคุ้มครองตำรวจจากการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อทำให้ตำรวจมีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่มากขึ้นเพื่อคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
5. เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนในการตรวจสอบการทำงานของตำรวจมากขึ้น สร้างระบบให้ประชาชนสามารถรีวิว (Review) การทำงานของตำรวจได้ และมีผลต่อการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง 

ทั้งนี้ย้ำว่าที่ตนเสนอมาเป็นเพียงข้อเสนอแนะในกรอบกว้าง ๆ เท่านั้น เพราะตนเชื่อว่าทุกคนในแวดวงตำรวจรู้ปัญหาและรู้วิธีแก้ไขอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีความกล้าที่จะลงมือทำหรือไม่ สุดท้ายแล้วตำรวจต้องตรวจสอบอยู่เสมอว่าประชาชนต้องการอะไรจากตำรวจ จากนั้นตำรวจจะต้องปรับปรุงตนเองเพื่อตอบสนองความต้องการนั้นให้ได้ ต้องพิจารณาให้ดีว่าประเทศไทย คนไทยต้องการอะไร และอยากจะปรับปรุงตำรวจไปในทิศทางไหน แล้วเลือกวิถีทางของตัวเอง

‘นายกฯ’ หนุน ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ ยก ศก.สีเทาขึ้นบนพื้น หวัง ‘กำกับ-ควบคุม’ ดีกว่าปล่อยให้เป็นสังคมอีแอบ

(28 มี.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ....ซึ่งจะมีกาสิโนหรือบ่อนพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย กำลังเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร มีความเห็นถึงข้อดีข้อเสียตรงนี้อย่างไร ว่า คิดว่าตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องกฎหมายกาสิโน แต่ให้มองเป็นเรื่องของเอนเตอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ จะรวบรวมหลายส่วน และเราทราบกันดีต้องการจะยกเศรษฐกิจสีเทาขึ้นมาอยู่บนพื้นให้หมด จะได้ควบคุมกำกับดูแลเรื่องความปลอดภัย ความเหมาะสม และเก็บภาษีได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเห็นด้วยเพราะเป็นเรื่องที่สำคัญ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีบางฝ่ายเห็นต่างจะชี้แจงอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีระบบสภาอยู่แล้ว ซึ่งก็เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว ก็ไปชี้แจงกันในสภา

เมื่อถามว่า แต่การยกขึ้นมาให้ถูกกฎหมายก็เป็นช่องทางหนึ่งที่จะเก็บรายได้เข้าประเทศ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็ถูกต้อง ซึ่งได้เรียนไปแล้ว ก็เป็นอย่างนั้น ใช่ครับ

ถามว่าจะสามารถขจัดปัญหาพวกที่เปิดบ่อนผิดกฎหมายได้ด้วยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า คิดว่าอันนี้เป็นแนวทางหนึ่งที่จะต้องทำได้ ถ้าหากทำให้ถูกกฎหมายได้ก็จะไปทำผิดกฎหมายทำไม ใช่หรือไม่ และกฎหมายก็ออกมาว่าใครสามารถเข้าได้อย่างไร

เมื่อถามว่า ส่วนหนึ่งก็มองว่าอาจจะกลายเป็นการมอมเมาให้เข้าสู่เรื่องดังกล่าวง่ายขึ้น ตรงนี้จะชี้แจงอย่างไรไม่ให้สังคมมองในแง่ลบอย่างเดียว นายเศรษฐา กล่าวว่า ถึงเวลาที่สังคมเราจะต้องมาดูกัน เรื่องของสังคมอีแอบ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีอยู่แล้ว เอามากำกับดูแลให้เหมาะสมเพื่อฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครองจะได้ดูแลให้ถูกต้อง

“มันมีอยู่แล้วทุกวันนี้ต้องยอมรับและเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเราก็ต้องบริหารจัดการไปในระหว่างทาง ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ากฎหมายจะผ่านเมื่อไหร่ และจะมาเปิดได้เมื่อไหร่ ก็ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่ระหว่างนี้ยังไงก็ต้องจัดการกับที่ผิดกฎหมายไป“ นายเศรษฐา กล่าว

นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมตำรวจไซเบอร์ ย้ำทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนเป็นหลัก กำชับภายใน 30 วัน มีผลปฏิบัติงานชัดเจนเป็นรูปธรรม 

วันนี้ (1 เม.ย.67) เวลา 15.00 น. นายเศรษฐาทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการปฏิบัติหน้าที่ กับข้าราชการตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช สอท. , รอง ผบช.สอท. , ผบก.สอท. เข้าร่วมประชุมรับมือบนโยบาย ณ ห้องประชุมมหาเมฆ ชั้น 2 บช.สอท. เมืองทองธานี

นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลไปมาก มีพี่น้องประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากการถูกหลอกลวงทางภัยออนไลน์หลากหลายรูปแบบ อาทิ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ เฟคนิวส์ เป็นต้น จึงขอให้ตำรวจไซเบอร์ บช.สอท.ทำงานอย่างเต็มที่โดยคำนึงถึงพี่น้องประชาชนเป็นหลัก โดยให้บูรณาการการทำงาน ประสานความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  และกำชับให้ภายใน 30 วันจะต้องมีการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ในระยะเวลาอันใกล้ มีการจับกุมรายใหญ่ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top