Monday, 29 April 2024
นายกรัฐมนตรี

นายกฯ ปลื้ม!! หารือผู้ก่อตั้ง 'หัวเว่ย' ร่วมมือพัฒนานวัตกรรมเพื่อคนไทย

25 พ.ย. 64 ที่ศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเหริน เจิ้งเฟย (Mr. Ren Zhengfei) ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี จำกัด ได้เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล ซึ่งนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวสรุปสาระสำคัญของการหารือว่า

นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้พบหารือกับนายเหริน เจิ้งเฟย ชื่นชมการดำเนินกิจการของบริษัทหัวเว่ยฯ ผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารชั้นนำของโลก ขอบคุณบริษัทฯ ที่ได้สนับสนุนรัฐบาลในการรับมือสถานการณ์โควิด-19 ทั้งการบริจาคหน้ากากอนามัยและการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี ขอบคุณความร่วมมือที่มีให้รัฐบาลไทย และขอบคุณที่เลือกทีมงานที่มีศักยภาพและความพร้อมมาประจำการที่ประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการร่วมงานกับรัฐบาลไทยเสมอมา 

นายธนกร กล่าวว่า ด้านนายเหรินฯ กล่าวยินดีที่ได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะเป็นการพบกันผ่านระบบออนไลน์ เชื่อมั่นในความตั้งใจจริงของนายกรัฐมนตรีในการบริหารประเทศซึ่งไทยสามารถบริหารสถานการณ์ให้ดีขึ้นจนประกาศการเปิดประเทศ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือที่รัฐบาลไทยมีให้หัวเว่ยตลอดมา ทั้งนี้หัวเว่ยต้องการมีส่วนร่วมในการพัฒนาให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยอย่างแท้จริง 

'โฆษกรัฐบาล' เผย นายกฯ กำชับ ฝ่ายความมั่นคง-มหาดไทย-แรงงาน คุมเข้มแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย  เร่ง MOU แก้ปัญหาขาดแรงงานและการลักลอบเข้าเมือง เปิดลงทะเบียน  1 ธ.ค. นี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความเป็นห่วงคือปัญหาการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าว ผิดกฎหมาย ซึ่งยังคงได้รับรายงานการจับกุมแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง  จึงกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เพิ่มความเข้มงวด สกัดกั้นขบวนการขนย้าย ค้าแรงงานต่างด้าวที่แอบลักลอบเข้าประเทศไทยตามแนวชายแดนและจุดเสี่ยงช่องทางธรรมชาติรอบด้านทุกช่องทาง

ล่าสุด กองกำลังสุรสีห์หน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้าร่วมกับชุดปฏิบัติการข่าวกองกำลังสุรสีห์หมวดป้องกันชายแดนที่ 1 กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 134 อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี  จับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่ลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมาย จำนวน 47 คน กองกำลังบูรพา กรมทหารพรานที่ 12 กรมทหารพรานที่ 13 หน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ  หน่วยเฉพาะกิจตาพระยา จับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายชาวกัมพูชาได้ 35 คน  ทั้งหมดต้องการไปทำงานในกรุงเทพฯ สมุทรสาคร นครปฐม ปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา   

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาล เร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยหนึ่งในสาเหตุหลัก คือ การขาดแคลนแรงงานในโรงงาน ก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงานดำเนินการตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี  นำเข้าแรงงานตาม MOU แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่  เมียนมา ลาว กัมพูชา  อย่างถูกกฎหภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อให้นายจ้างและสถานประกอบการในประเทศมีแรงงานในกิจการเพียงพอ ซึ่งจะเริ่มเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ 8 ขั้นตอนนำเข้าแรงงานต่างด้าวตามเอ็มโอยู ดังนี้ 

1.นายจ้างยื่นแบบคำร้องกับสำนักงานจัดหางานในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ พร้อมด้วยเอกสารและหลักฐาน 

2.การจัดส่งคำร้องความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว โดยกรมการจัดหางาน สจจ. สจก. 1-10 มีหนังสือแจ้งความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าวผ่านสถานเอกอัครราชทูตประเทศต้นทางประจำประเทศไทยไปยังประเทศต้นทาง 

3.ประเทศต้นทางดำเนินการรับสมัคร คัดเลือก ทำสัญญา และจัดทำบัญชีรายชื่อคนงานต่างด้าว (Name List) ส่งให้กรมการจัดหางานผ่านสถานเอกอัครราชทูตประเทศต้นทางประจำประเทศไทย และกรมการจัดหางานส่งให้นายจ้าง

4. นายจ้างที่ได้รับบัญชีรายชื่อคนต่างด้าว (Name List) แล้วยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานแทนคนต่างด้าว 

5.กกจ.มีหนังสือถึงสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ ประเทศต้นทางของคนต่างด้าวเพื่อพิจารณาออกวีซ่า (Non – Immigrant L-A) ให้แก่คนต่างด้าวตามบัญชีรายชื่อ และหนังสือแจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่ออนุญาตให้คนต่างด้าวเดินทางเข้าประเทศผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองตามที่นายจ้างได้แจ้งไว้ 

6.เมื่อคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรต้องแสดงหนังสือยืนยันการอนุญาตให้เข้ามาทำงาน ใบรับรองแพทย์ที่แสดงว่าไม่เป็นโรคโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR และ ATK (ไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง) หลักฐานการได้รับวัคซีนโควิด-19 หรือใบรับรองแสดงประวัติการเคยติดเชื้อในช่วงไม่เกิน 3 เดือน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จะตรวจลงตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร เป็นระยะเวลา 2 ปี 

7.คนต่างด้าวต้องเข้ารับตรวจสุขภาพ 6 โรคเป็นขั้นตอนแรก หากพบเป็นโรคต้องห้ามจะส่งกลับประเทศต้นทาง เพราะไม่สามารถอนุญาตให้ทำงานได้ตามกฎหมาย หากไม่พบเป็นโรคต้องห้ามจะเข้าสู่กระบวนการกักตัว และตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วยวิธี RT – PCR 

8.คนต่างด้าวรับการอบรมผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เร้นซ์ ณ สถานประกอบการ เมื่อผ่านการอบรมแล้ว คนต่างด้าวรับใบอนุญาตทำงาน โดยการอนุญาตให้ทำงานจะเริ่มจากวันที่คนต่างด้าวได้รับการตรวจลงตรา (วีซ่า) ให้เดินทางเข้ามาในประเทศ 

“โฆษกรัฐบาล” เผย นายกฯ สั่งเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นทุกส่วน หลังปิดหัวลำโพง ยัน พัฒนาพื้นที่ ไม่ทุบ-รื้อถอน -ไม่ให้กระทบปชช.

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งการให้หารือถึงผลกระทบจากการปิดสถานีรถไฟกรุงเทพ หรือหัวลำโพง เพื่อพัฒนาพื้นที่ โดยให้หน่วยงานเกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลกระทบถึงประชาชนน้อยที่สุด ซึ่งกระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เร่งเปิดเวทีสาธารณะ รับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาหาข้อสรุปการใช้งานและการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ให้สามารถตอบโจทย์ในทุกมิติ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน 

ทั้งนี้การพัฒนาพื้นที่จะไม่ทุบหรือรื้อทิ้งสิ่งปลูกสร้างสถานีรถไฟหัวลำโพง เพราะจากการประเมินรายได้ในอนาคตระยะเวลา 30 ปี พบว่าจะมีรายได้รวม 8แสนล้านบาท โดยในปีแรกจะอยู่ที่ 5พันล้านบาท และปีที่ 5 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาภาระหนี้ของรถไฟที่ขาดทุนสะสมต่อเนื่อง  

นายกฯ หารือร่วมกับคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน  โชว์วิสัยทัศน์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ Next Normal ภาคเอกชนสหรัฐฯ ยืนยันเดินหน้าสนับสนุนและร่วมมือกับไทยทุกด้าน 

ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมกับคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S. - ASEAN Business Council: USABC) ผ่านรูปแบบผสมระหว่างการเข้าพบหารือและการประชุมทางไกล (hybrid) โดยมีนาย Michael Heath อุปทูตรักษาราชการชั่วคราว สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย นาย Ted Osius ประธาน USABC พร้อมด้วยผู้แทนจาก USABC และผู้บริหารภาคเอกชนสหรัฐฯ จำนวน 49 บริษัท เข้าร่วมการประชุมฯ โดยนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 

นาย Michael Heath อุปทูตรักษาราชการชั่วคราว สอท. สหรัฐฯ ประจำประเทศไทย การหารือครั้งนี้สะท้อนถึงความเป็นพันธมิตรที่ยาวนานและเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ไทยเป็นตลาดที่สำคัญแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งการประชุมในครั้งนี้จะให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงานและความมั่นคงอย่างยั่งยืนเป็นประเด็นหลัก พร้อมชื่นชมการทำงานของรัฐบาลไทยที่บริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถนำคณะธุรกิจสหรัฐฯ มาได้ในครั้งนี้ ซึ่งสภาธุรกิจสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยืนยันว่าต้องการจะขยายการลงทุนในไทย และยินดีที่จะสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีหน้า

นายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่ได้พบหารือกับผู้บริหารและผู้แทนบริษัทสมาชิก USABC ซึ่งถือเป็นคณะที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ในการเยือนภูมิภาคประจำปีของ USABC และถือเป็นมิตรของไทยที่พบกันเป็นประจำทุกปี รวมทั้งจะเป็นโอกาสในการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทย เชื่อมั่นว่าร่วมกันขับเคลื่อนความร่วมมือเชิงธุรกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ให้เติบโตยิ่งขึ้น โดยการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ารวมกว่า 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขยายตัวร้อยละ 6.19 จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รวมทั้งในทางนโยบายทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องกันในประเด็นสำคัญ การส่งเสริมพลังงานสะอาด การพัฒนา เทคโนโลยี EV และการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง ยั่งยืน และหลากหลาย ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานที่ดีในการสานต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยรัฐบาลไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกบริษัทอย่างใกล้ชิด รวมทั้งเสริมสร้างบทบาทของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพื่อยกระดับการค้าและการลงทุนระหว่างกัน 

นายกรัฐมนตรีนำเสนอ 3 ประการหลักที่ไทยให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ Next Normal อย่างยั่งยืน มั่งคั่ง และเข้มแข็ง ดังนี้

1. การเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความสมดุลและยั่งยืน โดยมีโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG) เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจโดยมุ่งดูแลฐานทรัพยากร และการสร้างมูลค่าเพิ่มโดยใช้องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมทั้งด้านพลังงานสะอาด ไทยจะเพิ่มความร่วมมือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ด้านการผลิตและใช้พลังงานสะอาด ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า การผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล และการพัฒนาอุตสาหกรรม EV และชิ้นส่วนระบบที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนให้ไทยเป็นฐานการผลิต EV ของโลก    

2.  การเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น หลากหลาย และมั่นคง ในภูมิภาค โดยเฉพาะในสาขาแบตเตอรี่ความจุสูง สำหรับ EV และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์เพื่อสร้างความมั่นคงทางสาธารณสุขให้กับไทยและภูมิภาคในระยะยาว ผ่านการพัฒนาความร่วมมือ ถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรมให้ไทยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเป็นจุดหมายปลายทางของ Medical Tourism อันดับต้นของโลก

3. ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อยกระดับขีดความสามารถและศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และรับมือกับความท้าทายในยุค Next Normal มุ่งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลาง data center และศูนย์กลางคลาวด์ในระดับภูมิภาค โดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม เศรษฐกิจแบบแบ่งปันและบริการคลาวด์ ส่งเสริม e-commerce ธุรกิจ digital startups และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ 15 แห่งทั่วประเทศ ตลอดจนพัฒนากำลังพลด้านดิจิทัลด้วยการเสริมทักษะแก่บุคลากร ขณะเดียวกันได้เชิญชวนให้ภาคเอกชนสหรัฐฯ ร่วมมือกันขับเคลื่อน Digital Thailand ผ่านการลงทุน ณ Digital Valley และ IoT Institute ใน EEC อาทิ การรักษาแบบ Telemedicine    

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมถึงการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ภายใต้แนวทางหลัก “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” เพื่อสร้างประชาคมเอเชีย-แปซิฟิก ให้เข้มแข็งและเกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและทุกภาคส่วน จึงหวังว่าภาคเอกชนสหรัฐฯ จะร่วมทำงาน และสนับสนุนประเด็นที่ให้ความสำคัญร่วมกันเพื่อส่งต่อวาระการเป็นเจ้าภาพเอเปคจากไทยไปสู่วาระการเป็นเจ้าภาพเอเปคของสหรัฐฯ ในปี 2566 อย่างมีประสิทธิภาพไร้รอยต่อ

ด้านนาย Ted Osius ประธาน USABC กล่าวว่าไทยเป็นตลาดส่งออกหลักของสหรัฐฯ และยืนยันความร่วมมือในการส่งเสริมและขยายการส่งออกต่อไป โดยเฉพาะด้านสุขภาพและสาธารณสุข ยินดีจะยืนเคียงข้างไทย รวมทั้งชื่นชมการเปิดประเทศและความมุ่นมั่นของไทยที่จะเพิ่มเติมบทบาทด้านการสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัล อีกทั้งยินดีที่จะสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีหน้า ซึ่งทางคณะนักธุรกิจสหรัฐฯ ยินดีที่จะสร้างความร่วมมืออย่างมีความรับผิดชอบและใกล้ชิดในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจท่ามกลางการต่อสู้สถานการณ์โควิด-19 ร่วมกัน และจะติดตามการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ของไทยต่อไป ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสำหรับข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์จากทุกภาคส่วน ซึ่งขอให้เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยและเศรษฐกิจไทย รวมทั้งความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะขับเคลื่อนการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยจากวิกฤตโควิด-19 เพื่อการพัฒนาแห่งอนาคตที่เปิดกว้าง เชื่อมโยง สมดุล และยั่งยืน พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกันภาคเอกชนอย่างใกล้ชิดเพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการร่วมมือกันมากยิ่งขึ้นต่อไป

“นายกฯ” มอบนโยบายปลูกป่า ใช้เป็นคาร์บอนเครดิต ประสาน ทส. จัดหาพื้นที่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสนใจการปลูกป่า โดยเฉพาะการปลูกป่าชายเลน เพื่อดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ภาวะเรือนกระจก เพื่อใช้เป็นคาร์บอนเครดิตซึ่งเอกชนให้ความสนใจและได้ประสานมาที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในการจัดหาพื้นที่ป่าเพื่อดำเนินการปลูกป่า

'ฮุน เซน' ประกาศวางตัวลูกชายคนโต หนุนสืบทอดตำแหน่งผู้นำกัมพูชา

นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาที่ครองอำนาจมานาน 36 ปี ประกาศชัดเจนเมื่อวันพฤหัสบดีว่า เขาสนับสนุนพลเอกฮุน มาเนต ลูกชายคนโต สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเขา

รายงานเอเอฟพีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2564 กล่าวว่า มีการคาดเดากันมานานว่า ฮุน เซน วัย 69 ปี กำลังฟูมฟักลูกชายคนโตซึ่งเป็นนายทหารที่สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ให้สืบทอดอำนาจต่อจากเขา ในคำปราศรัยต่อสาธารณะในพิธีการหนึ่งที่จังหวัดพระสีหนุวิลล์ 

วันเดียวกันนี้ นายกฯ ฮุน เซน กล่าวว่า "ฮุน มาเนต เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเขาได้รับการสนับสนุนจากพ่อของเขา"

ฮุน เซน กล่าวว่า ลูกชายวัย 44 ปีของเขา ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา จะต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง

'ทิพานัน' โชว์ผลงาน 'บิ๊กตู่' สารพัดโปรเจกต์ แนะเปิดใจกว้าง อย่าโดนการเมืองบิดเบือน

'ทิพานัน' โชว์ผลงานนายกฯ พัฒนาอุดรธานีสารพัดโปรเจกต์ เห็นใจ 'สาวอุดร' โดนบรรยากาศการเมืองบิดเบือน หวังพึ่ง ส.ส. ในพื้นที่ไม่ได้

3 ธ.ค. 64 - น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีหญิงสาวอุดรธานีกล่าวกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระหว่างเดินทางลงพื้นที่ จ.อุดรธานี ว่า “หากพัฒนาไม่ได้ก็ให้เกษียณเร็ว ๆ ให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน” ว่า จุดประสงค์ในการลงพื้นที่ของ พล.อ. ประยุทธ์ คือการรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม นำมาดำเนินการแก้ไขปัญหาและปรับปรุงการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าให้ตรงจุด ซึ่งที่ผ่านมานายกฯ มีนโยบายในการพัฒนาประเทศในทุกจังหวัดอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยเฉพาะในส่วนของ จ.อุดรธานี

นอกจากการลงพื้นที่ไปเพื่อเตรียมความพร้อมและส่งเสริมการท่องเที่ยว ที่แลนด์มาร์กสำคัญที่วังนาคินทร์ คำชะโนดซึ่งอยู่ในแผนพัฒนาจังหวัดอุดรธานีปี 61-65 แล้ว นายกฯ ได้อนุมัติแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ด้านคมนาคมและการขนส่ง เพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจและการเดินทางให้มีความสะดวกต่าง ๆ มากมาย ที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว เช่น โครงการขยายผิวจราจร ทางหลวงหมายเลข 2 อุดรธานี - หนองคาย, โครงการขยายผิวจราจร ทางหลวงหมายเลข 216 ถนนวงแหวนรอบเมืองอุดรธานี ด้านทิศตะวันออก, โครงการขยายช่องจราจรจาก 2 ช่องจราจร เป็น 4 ช่องจราจร ทางหลวงหมายเลข 2 - พิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์

“บิ๊กตู่”สั่งการยกระดับช่วยเหลือประชาชน แก้ไขปัญหาราคาสินค้า โภคภัณฑ์อาหาร ที่ปรับราคาสูงขึ้น เพื่อลดภาระ ค่าใช้จ่ายประชาชน วางมาตรการระยะสั้นระยะยาว ให้สอดคล้องต่อสถานการณ์ และเพื่อความยั่งยืน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์ และห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์อาหารซึ่งปรับตัวสูงขึ้นในหลายประเภท โดยกำชับสั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันกำกับดูแลราคาสินค้า และช่วยเหลือประชาชนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมและควบคุมได้ ทั้งนี้ การปรับตัวของราคาดังกล่าว เป็นไปตามกลไกตลาดอาหารโลก ซึ่งสอดคล้องกับดัชนีราคาอาหารโลก FAO Food Price Index: FFPI) ที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) รายงานว่า

ค่าเฉลี่ยของราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลักที่มีการซื้อขายมากที่สุดทั่วโลกในปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 125.7 ซึ่งเพิ่มขึ้น 28.1% จากปี 2563 และเป็นระดับสูงสุด นับตั้งแต่เมื่อปี 2554 ซึ่งเคยสูงถึงร้อยละ 131.9 ขณะเดียวกัน รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคของประเทศไทย ยังชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยค่าเฉลี่ยของปี 2564 เมื่อเทียบกับปี 2563 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 1.23 และในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2563 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2.42 โดยราคาสินค้ากลุ่มอาหารสด เช่น ราคาของเนื้อสุกร ซึ่งเป็นผลกระทบจากต้นทุนการเลี้ยง (อาหารสัตว์ ยารักษาโรค) เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาโรคระบาดในสุกรและมาตรการลดความเสี่ยงโดยการจำกัดจำนวนการเลี้ยงที่ทำให้ปริมาณสุกรในระบบลดลง 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ยกระดับมาตรการขั้นสูงสุดในการควบคุมราคาอาหารสด โดยราชกิจจานุเบกษาได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2565 เรื่อง ห้ามส่งออกสุกรมีชีวิตไปนอกราชอาณาจักร และประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2565 เรื่อง การแจ้งปริมาณ ราคา สถานที่เก็บ และจัดทำบัญชีคุมสินค้าสุกร เนื้อสุกร กำหนดห้ามมิให้ส่งออกสุกรมีชีวิตไปนอกราชอาณาจักรทุกกรณีเป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2565 เพื่อให้ปริมาณสุกรและเนื้อสุกร มีเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ

“นายกฯ” ห่วง สถานการณ์ “โอมิครอน” สั่งเร่ง ตรวจเชื้อเชิงรุก จี้ ก.พาณิชย์ ควบคุมราคาชุดตรวจ ATK อย่า กักตุน ฉวยโอกาสขึ้นราคา พบ ดำเนินการตามกฎหมาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างใกล้ชิด กำชับทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะด้านสาธารณสุขรองรับจำนวนผู้ติดเชื้อที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก “โอมิครอน” ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ได้สั่งการให้มีการตรวจเชื้อแบบเชิงรุก เพื่อเร่งแยกผู้ป่วยออกจากประชากรทั่วไปให้ได้มากที่สุด โดยล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ร่วมกับ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) จัดตรวจโควิด-19 เชิงรุกที่ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. (บริเวณลานจอดรถชั้น 1 อาคารบี) เพื่อสนับสนุนกรุงเทพมหานครและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ใช้ชุดตรวจ ATK รู้ผลใน 30 นาที โดยหากปรากฏว่าผลตรวจเป็นบวกหรือติดเชื้อก็จะเข้าสู่กระบวนการรักษาที่บ้าน (Home Isolation) หรือในระบบชุมชน (Community Isolation) หากอาการแย่ลงก็จะส่งเข้ารักษาในโรงพยาบาลทันที โดยตั้งเป้าตรวจวันละ 1,000 ราย เริ่มตั้งแต่วันที่ 11-21 มกราคม 2565 นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ให้ติดตามควบคุมราคาการจำหน่าย ATK อย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีการฉวยโอกาสขึ้นราคาก็ให้ดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมกับวางแนวทางป้องกันไม่เกิดการเอารัดเอาเปรียบประชาชนที่อยู่ในช่วงยากลำบาก  

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในการเตรียมความพร้อมระบบการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน (Home Isolation: HI) เพื่อรองรับกับสถานการณ์ในประเทศไทยที่พบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากแพร่ระบาดที่รวดเร็ว อาจส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นกระจายไปในหลายพื้นที่ได้ สปสช. ได้พัฒนาระบบการติดตามผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทาง Line สปสช. @nhso กรณีเข้ารับบริการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่บ้าน แนะนำประชาชนที่ตรวจ ATK ด้วยตัวเองแล้วขึ้น 2 ขีด สิ่งที่ต้องทำคือ โทรแจ้งสายด่วน 1330 กด 14 หรือแอดไลน์ @nhso (เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับภายใน 6 ชั่วโมง) กรณีที่โทรไม่ติด หรือสายไม่ว่าง ไม่ต้องกังวล เพราะระบบได้บันทึกข้อมูลไว้แล้ว และจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อรับข้อมูลเข้าระบบ ส่วนต่างจังหวัดสามารถติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลส่วนตำบล ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เข้าสู่ระบบการรักษาที่บ้านจะได้รับการดูแลติดตามอาการ บริการส่งยา ส่งอาหาร ส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ ที่วัดไข้แบบดิจิทัล เครื่องวัดค่าออกซิเจนปลายนิ้ว เป็นต้น ในกรณีที่จำเป็นอาจได้รับการเอกซเรย์ปอด การตรวจ RT-PCR จนหายป่วย หรือส่งต่อไปรักษาต่อในโรงพยาบาลกรณีอาการเปลี่ยนแปลง

“โฆษกรัฐบาล” สวน เพื่อไทย ลั่น รัฐบาลพร้อมแจงสภาฯ ยื่นซักฟอก ปมบริหารจัดการโควิดเหลว

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่าจะเสนอให้พรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายตามมาตรา 152 เรื่องการบริหารจัดการโควิดที่ล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในสัปดาห์หน้า ว่า เป็นสิทธิ์ที่ฝ่ายค้านสามารถดำเนินการได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญ โดยรัฐบาลพร้อมชี้แจงและจะถือโอกาสอธิบายให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลที่ถูกต้อง หลังจากที่ฝ่ายค้านสลับหน้ากันดิสเครดิตรายวันจนประชาชนสับสน 

ยืนยันว่ารัฐบาลมีการวางแผนสถานการณ์โควิด-19 ไว้ล่วงหน้า ตามการคาดการณ์ของ ศบค.ไม่ได้ล่าช้าหรือสับสน ถ้าจะสับสนคงเป็นฝ่ายค้านที่ออกมาด้อยค่าวัคซีน แต่วันรุ่งขึ้นกลับรีบไปฉีดวัคซีนก่อนประชาชน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top