Monday, 29 April 2024
นายกรัฐมนตรี

'นายกฯ' ย้ำ ปชช.ปฏิบัติมาตรการ สธ.เคร่งครัด หลังยอดผู้ติดเขื้อเกินหมื่นหลายวัน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำประชาชน ผู้ประกอบการ ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขภายใต้สถานการณ์โควิด – 19 ทั้งมาตรการ Covid Free Setting และ Universal Prevention รวมทั้งมาตรการอื่น ๆ ในการป้องกันการแพร่ระบาด ในทุกสถานที่ ห้างสรรพสินค้า ตลาด  ร้านอาหาร โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ ลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 งดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดทาง  ควรตรวจ ATK ก่อนเดินทาง  

นอกจากการปฏิบัติตามมาตรการของประชาชนแล้ว ยังย้ำให้สถานที่ทำงานทั้งของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต้องปฏิบัติตามมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กรเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด - 19 อย่างเคร่งครัดด้วย หลังกระทรวงสาธารณสุขมีการประเมินว่าไทยอาจมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธ์ุโอมิครอน รายวันถึงเพิ่มสูงขึ้นอีกในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ 

'นายกฯ' หารือ 'ออท.สาธารณรัฐสโลวักฯ' เห็นพ้องสานต่อการค้าการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือในสาขาที่มีศักยภาพบริหารจัดการน้ำ และขยะ โดยต่างสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-EU ให้สำเร็จ 

ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายยาโรสลัฟ เอาต์ (H.E. Mr. Jaroslav Auxt) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย ว่า ยินดีที่ไทยกับสาธารณรัฐสโลวักมีความสัมพันธ์ที่ราบรื่นและเป็นมิตรที่ดีต่อกันเสมอมากว่า 40 ปี โดยนายกรัฐมนตรีหวังว่า ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมความสัมพันธ์และเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ ทั้งในกรอบทวิภาคี และพหุภาคี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลไทยพร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนการดำเนินงานของเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ อย่างเต็มที่ พร้อมหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสานต่อความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน และริเริ่มความร่วมมือในสาขาใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ พร้อมกล่าวอวยพรเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ ในโอกาสเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ

ขณะที่เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักประจำประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้เข้าเยี่ยมคารวะในวันนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ได้หารือร่วมกันในประเด็นสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ พร้อมสานต่อความสัมพันธ์และความร่วมมืออันดีระหว่างกันให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนประสงค์ที่จะขยายความร่วมมือกับไทยในสาขาใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการน้ำ และการบริหารจัดการขยะและของเสีย ซึ่งเป็นสาขาที่สาธารณรัฐสโลวักเชี่ยวชาญและมีศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) ของไทย ซึ่งจะส่งผลถึงแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในยุคหลังโควิด-19 

โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า ไทยและสาธารณรัฐสโลวักยังมีโอกาสและช่องทางที่จะขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระหว่างกันได้อีกมาก โดยนายกรัฐมนตรีต้องการเพิ่มพูนการค้าระหว่างกันให้มากขึ้นอย่างสมดุล ทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่าทางการค้า พร้อมทั้งเชิญชวนให้นักลงทุนจากสาธารณรัฐสโลวักเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูง 3 กลุ่มที่ไทยสนับสนุน

นักลงทุนสโลวักสามารถใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของไทยในการเป็นฐานการผลิตและกระจายสินค้าสู่ตลาดอาเซียน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่า ควรรื้อฟื้นกลไกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Joint Commission on Economic Co-operation: JEC) ไทย-สโลวัก ครั้งที่ 1 ในระดับ ผู้แทนระดับสูง เพื่อเป็นช่องทางในการขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างกัน ตลอดจน สนับสนุนการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป ซึ่งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสโลวักฯ ยืนยัน พร้อมให้การสนับสนุนการเจรจาดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยเห็นว่าการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป จะเป็นประโยชน์ต่อความร่วมมือระหว่างกัน ทั้งในระดับพหุภาคีและทวิภาคี

'นายกฯ' สั่งไล่เช็คบิลเอสเอ็มอีฮั้วประมูล พบทุจริตเจอโทษหนัก 

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เปิดเผยภายหลังการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (บอร์ด สสว.) ว่า การดำเนินงานเพื่อส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี จะต้องหาแนวทางให้สามารถดูแลช่วยเหลือเอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในระบบให้มากที่สุด เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงการช่วยเหลือดูแลของรัฐบาลได้ ซึ่งเรื่องการขึ้นทะเบียนเอสเอ็มอีนั้นพบว่า ตัวเลขจำนวนเอสเอ็มอีของภาครัฐกับภาคธุรกิจเอกชนยังไม่ตรงกัน จึงขอให้ช่วยกันบริหารจัดการข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือระหว่างกันในเรื่องการใช้ฐานข้อมูล และระเบียบต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เป็นเรื่องที่สำคัญต่อการช่วยเหลือเอสเอ็มอี 

ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับธุรกิจเอสเอ็มอีเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งรัดเรื่องการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการทำให้เอสเอ็มอีเข้าสู่ระบบการช่วยเหลือมาโดยตลอด สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจว่ารัฐบาลมีความจริงใจ ขับเคลื่อนทุกอย่างในการยกระดับเอสเอ็มอีให้ดีขึ้น  

‘ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ’ ขานรับนโยบาย! ‘นายกรัฐมนตรี’ สั่งการตำรวจทั่วประเทศ เร่งปราบปรามพนันออนไลน์!!

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใย กรณีมีการลักลอบเปิดให้เล่นพนันออนไลน์ ซึ่งพี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย จึงได้มอบนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดปราบปรามอย่างเร่งด่วน

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพิ่มความเข้มในการตรวจสอบเว็บไซต์พนันออนไลน์ รวมทั้งการลักลอบเล่นการพนันทุกรูปแบบ หากพบเห็นให้ดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะเว็บไซต์พนันออนไลน์ และได้มีการจับกุมมาโดยตลอด โดยในปี 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผลการจับกุมไปแล้วกว่า 1,300 คดี ผู้ต้องหากว่า 1,600 ราย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สืบสวนขยายผลจากการจับกุมจนทราบว่า เว็บไซต์พนันออนไลน์ ส่วนหนึ่งมีที่ตั้งของเซิร์ฟเวอร์อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และมีการทำธุรกรรมผิดกฎหมายในประเทศไทย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) เดินทางไปที่ประเทศกัมพูชาพร้อมคณะทำงานของ ศปอส.ตร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานการปฏิบัติแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ของทางการประเทศกัมพูชา ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างดี คาดว่าจะนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดรายใหญ่ในเร็ววันนี้

 “นายกฯ” เตรียมมาตรการ รับ เทศกาลในสัปดาห์หน้า “วาเลนไทน์-วันมาฆบูชา” ย้ำ ศบค. ติดตามใกล้ชิด 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เป็นห่วงประชาชน จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ที่ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูง ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ประเมิน  โดยที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ วันนี้จะประชุมเพื่อเตรียมมาตรการรองรับเทศกาลวันวาเลนไทน์ และวันมาฆบูชา ในสัปดาห์หน้า โดยเน้นการควบคุมการแพร่ระบาดในชุมชนและในครอบครัวอย่างเคร่งครัด พร้อมเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 และเข็ม 4  ในกลุ่มเป้าหมาย 608 และเด็กเล็ก

นายธนกร กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) วันที่11ก.พ.พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 15,242 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากในประเทศ 15,060 ราย มาจากต่างประเทศ 182 ราย ทำให้ผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 337,680 ราย หายป่วยกลับบ้านแล้ว 8,955 รายรวมหายป่วยสะสม 258,841 ราย โดยมีผู้ป่วยกำลังรักษา 111,393 ราย และเสียชีวิต 23 ราย 

“บิ๊กโจ๊ก” เดินหน้า!กวาดล้าง ‘มาเฟียน้ำมันเขียว’ จับกลางอันดามัน เวียนเทียนใช้รหัสเรือจม โผล่เติมน้ำมัน

จากกรณีที่ประเทศไทยได้ถูกลดอันดับการรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์จากทางการสหรัฐฯ ลงเป็นอันดับประเทศที่ต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยมีข้อสังเกตในเรื่องการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการค้ามนุษย์อย่างจริงจังในทุกภาคส่วน ปัญหาการบังคับใช้แรงงานและแรงงานข้ามชาติซึ่งเกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรมรวมถึงภาคการประมง รวมทั้งปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ตามที่ทราบแล้ว นั้น

จากกรณีดังกล่าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย และการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง โดยมี พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ควบคุม เฝ้าระวังการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้แต่งตั้งชุดปฏิบัติการตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาการประมง เพื่อการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวและประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ในการนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ /ผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ / รองผู้อำนวยการ ศพดส.ตร. /รองประธานอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) โดยเร่งด่วน

โครงการน้ำมันเขียว เป็นโครงการที่ภาครัฐจัดน้ำมันดีเซลที่เติมสารสีเขียวเพื่อให้แยกแยะจากน้ำมันบนฝั่งได้ และได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิต ทำให้มีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบนบกประมาณลิตรละ 6 บาท ซึ่งรัฐบาลจัดให้มีขึ้นเพื่อลดภาระต้นทุนการทำประมงให้กับชาวประมงพาณิชย์ตามมติคณะรัฐมนตรีตั้งแต่ 18 กันยายน 2555 ในการบริหารจัดการมีอธิบดีกรมสรรพสามิตทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการ ปัจจุบันมีเรือสถานีบริการ (Tanker) 51 ลำ ให้บริการพี่น้องชาวประมงพาณิชย์ทั่วเขตทะเลไทย

ต่อมาประเทศไทยได้รับ “ใบเหลือง” การทำประมง IUU จากสหภาพยุโรปเมื่อปี 2558 รัฐบาลดำเนินการจัดระเบียบการทำประมงประเทศไทยใหม่ทั้งระบบ ทำให้เรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับสิทธิเติมน้ำมันเขียวลดลงจาก 10,459ลำ ในปี 2559 เหลือ 8,445 ลำ ในปี 2564 แต่ทว่าขณะที่เรือประมงพาณิชย์ที่เติมน้ำมันเขียวลดจำนวนลง แต่ปริมาณการจำหน่ายกลับมิได้ลดลงตามสัดส่วนจำนวนเรือ กลับ “คงที่อยู่ประมาณปีละ 610 ล้านลิตร” คิดเป็นภาษีที่รัฐบาลยกเว้นถึงปีละประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเท่ากับเรือประมงพาณิชย์ทุกลำที่เติมน้ำมันเขียว ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในการยกเว้นภาษีที่ควรจะเสียประมาณ 471,717 บาท/ลำ/ปี

นอกจากนั้น การอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ด้วยการ “ยกเว้นภาษี” น้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่าราคาตลาดลิตรละ 6 บาท หรือน้ำมันเขียว ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่องค์การการค้าโลก (WTO) ให้ประเทศไทยชี้แจงว่า เป็นการอุดหนุนที่มีการบริหารจัดการอย่างเข้มงวดหรือไม่ เพื่อมิให้เป็นการสนับสนุนการทำประมง IUU การทำประมงทำลายล้างทรัพยากรสัตว์น้ำ Over Fishing ซึ่งหากประเทศไทยไม่มีแนวทางการบริหารจัดการ ก็มีความเสี่ยงสูงมากที่องค์การการค้าโลกจะประกาศให้ประเทศไทยต้องยกเลิกการอุดหนุนภาคประมงพาณิชย์ด้วยการยกเลิกโครงการน้ำมันเขียวทั้งหมด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเรือประมงพาณิชย์ประเทศไทยอย่างกว้างขวาง

คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 จึงอนุมัติกรอบการชี้แจงกับองค์การการค้าโลก (WTO) โดยยืนยันว่าประเทศไทยมีการกำกับดูแลที่ดีในการทำประมงไม่ให้เป็น IUU ทำลายล้างสัตว์น้ำ และมีระบบควบคุมดูแลการสนับสนุนการทำประมงอย่างดีมีประสิทธิภาพ ทำให้หน่วยงานภาครัฐโดยกรมสรรพสามิต ได้ประสานขอการสนับสนุนจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะประธานคณะทำงานเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ ติดตาม ควบคุม เฝ้าระวังการทำประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เข้าตรวจสอบ สืบสวน เพื่อ “จัดระบบ” ควบคุมดูแลโครงการน้ำมันเขียว ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์อย่างเคร่งครัด ไม่ให้ถูกนำไปใช้ในการทำประมง IUU การทำประมงทำลายล้างสัตว์น้ำ และการค้ามนุษย์ แรงงานบังคับ บนเรือประมง

จากการตรวจสอบข้อมูลเรือประมงที่มีสิทธิเติมน้ำมันเขียว ซึ่งต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศกรมศุลกากร ที่ 68/2561 ลงวันที่ 10 เมษายน 2561 ประกอบด้วย

1) ต้องเป็นเรือประมงที่ได้รับใบอนุญาตทำการประมงจากกรมประมง 

2) ต้องเป็นเรือประมงที่ผ่านการรับรองจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย 

3) ต้องเป็นเรือประมงที่มีรหัสและรับรองจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย

โดยสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยส่งให้กับกรมสรรพสามิต เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 จำนวน 8,445 ลำ พบข้อมูลว่า มีเรือที่ไม่มีคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร แต่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ออกรหัสและรับรองให้เติมน้ำมันเขียว ถึง 791 ลำ ประกอบด้วย เรือประมงพาณิชย์ไม่มีทะเบียนเรือ เรือประมงพาณิชย์ไม่มีใบอนุญาตประมงพาณิชย์จากกรมประมง เรือประมงพาณิชย์ที่แจ้งจมหรือทำลายไปแล้ว เรือประมงพาณิชย์ที่เปลี่ยนประเภทไปเป็นเรือบรรทุกสินค้า เรือลากจูง และเรือประมงพื้นบ้านที่มีขนาดถังน้ำมันตั้งแต่ 1,500 - 10,000 ลิตร ซึ่งเกินกว่าขนาดตัวเรือที่สามารถบรรทุกได้

เมื่อนำรายชื่อเรือพร้อมรหัสเติมน้ำมันเขียวจากสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ไปสอบยันกับข้อมูลการเติมน้ำมันเขียวที่ตำรวจน้ำได้รับจากเรือสถานีบริการ (Tanker) พบว่า มีเรือประมงที่ใช้รหัสของเรือประมงที่ขาดคุณสมบัติข้างต้น “ไปเติมน้ำมันเขียว” จำนวนหลายลำ และยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่ามีเรือประมงอีกจำนวน 599 ลำ ใช้รหัสเติมน้ำมันไม่ตรงกับรหัสเติมน้ำมันที่สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยออกให้และรับรอง “เข้ามาเติมน้ำมันเขียว” ด้วย เช่นเดียวกัน ทำให้จำนวนเรือที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิด “เติมน้ำมันเขียว” โดยขาดคุณสมบัติตามประกาศกรมศุลกากร ซึ่งออกตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 มีจำนวนถึง 1,390 ลำ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. จึงบูรณาการกำลังออกปฏิบัติการร่วมกัน ระหว่าง กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมประมง กรมเจ้าท่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าจับกุมเรือประมง ชื่อ ช.ศรีพลนภา 5 ขนาด 122 ตันกรอส ขณะทำการประมงบริเวณทะเลอันดามัน พื้นที่รอยต่อจังหวัดพังงาและระนอง โดยให้เข้าเทียบท่าที่ อ.คุระบุรี จ.พังงา มีพฤติกรรมวนเวียนเติมน้ำมันจากเรือสถานีบริการ (Tanker) หลายลำ ในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน โดยใช้รหัสเติมน้ำมันของ “เรือประมงที่แจ้งทำลายเรือ” ไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 และขยายผลเข้าตรวจค้นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ จากผู้เกี่ยวข้อง คือ เรือสถานีบริการน้ำมันเขียว บริษัทเข้าของเรือสถานีบริการน้ำมันเขียว รวมถึงสมาคมประมงที่ให้การรับรอง เพื่อดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560มาตรา 189 ขนถ่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องโดยไม่มีคุณสมบัติ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท หรือปรับเป็นเงินสองเท่าของราคาน้ำมันที่อยู่ในเรือ หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเรือประมงที่ถูกจับกุมวันนี้บรรทุกน้ำมันประมาณ 30,000 ลิตร และได้เติมน้ำมันเขียวโดยใช้รหัสเติมน้ำมันเขียวจากเรือประมงลำอื่นที่แจ้งกับกรมเจ้าท่าว่า ถูกทำลายไปแล้ว จำนวน 6 ครั้ง จะต้องโดนปรับ 4,320,000 บาท นอกจากนั้น ยังเข้าข่ายกระทำความผิดพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 มาตรา 203 ฐานนำน้ำมันที่ยังไม่เสียภาษีสรรพสามิตเข้ามาในราชอาณาจักร มีโทษปรับสองถึงสิบเท่าของภาษี จึงจะต้องเสียค่าปรับอีก 12,600,000 บาท รวมค่าปรับทั้งสองกฎหมาย รวม 16,920,000 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมการดำเนินคดีจากกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 เป็นต้น และจะมีการจับกุมดำเนินคดี กับเรือประมงที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันตามมาอีกจำนวนมากในทุกจังหวัดชายทะเล ซึ่งชุดปฏิบัติการได้กำหนดเป้าหมายไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

นอกจากจะมีการดำเนินคดีกับกลุ่มเรือประมงที่ไม่มีคุณสมบัติเติมน้ำมันเขียวแล้ว ในส่วนของเรือสถานีบริการ (Tanker) และสมาคมการประมง ที่ให้การรับรองคุณสมบัติและออกรหัสเติมน้ำมันเขียว ก็จะถูกดำเนินคดีด้วยทั้งหมดเช่นเดียวกัน

“ผมขอเรียนว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตแต่อย่างใด ทุกท่านยังสามารถเติมน้ำมันเขียวได้ตามปกติเหมือนเดิมทุกประการ ผมขอย้ำว่าการทำงานของผมคือการแยกน้ำเสียออกจากน้ำดี ให้คนดีมีที่ยืนอย่างภาคภูมิใจในสังคม คนไม่ดีต้องได้รับการลงโทษ ซึ่งผมมั่นใจว่า พี่น้องชาวประมง 95% เป็นคนดี หน้าที่ของผมคือ นำคนไม่ดี 5% ไม่ให้ปะปนกับคนดีและทำให้คนดีได้รับความเสียหาย การบูรณาการการทำงานร่วมกันหลายหน่วยงานครั้งนี้ เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีของประเทศในภาวะที่ประชาชนกำลังได้รับความลำบาก แต่มีบางพวก บางกลุ่ม แสวงหาผลประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ภาครัฐดูแลสนับสนุนไป เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สร้างความเสียหายจากมูลค่าภาษีที่รัฐควรจะได้ถึงปีละ 700 ล้านบาท อย่างไรก็ตามผมจะประสานงานหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมประมง ในการเร่งรัดปรับปรุงกระบวนการควบคุม ดูแลการบริหารจัดการน้ำมันเขียวไม่ให้เกิดการกระทำความผิดเช่นนี้อีก โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นประเทศของเราจะอยู่ในความเสี่ยงสูงที่จะถูกองค์การการค้าโลก (WTO) พิจารณายกเลิกมาตรการอุดหนุนการทำประมงโดยโครงการน้ำมันเขียว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องชาวประมงทุกคนอย่างร้ายแรง อีกทั้งโดนประชาคมโลกกล่าวหาว่าสนับสนุนการทำประมง IUU ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าประมงไทยที่กำลังเป็นรายได้หลักของประเทศในขณะนี้”

 

'นายกฯ' หารือ 'เอกอัครราชทูต EU' มุ่งสร้างความเป็นหุ้นส่วนไทย-สหภาพยุโรปทุกมิติ พร้อมขยายร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน

ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเดวิด เดลี (H.E. Mr. David Daly) เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พ.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่

นายกรัฐมนตรี กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ที่ได้เข้ารับตำแหน่ง เชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ของเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ที่มีความความคุ้นเคยกับประเทศไทยจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสานต่อความร่วมมืออีกหลากหลายสาขาในอนาคต และช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สหภาพยุโรปให้แน่นแฟ้มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งช่วยเปิดมุมมองใหม่ในสาขาที่มีศักยภาพ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณที่สหภาพยุโรปมีมติยอมรับเอกสารรับรอง Thailand Digital Health Pass บนระบบ ‘หมอพร้อม’ ให้ใช้เป็นหลักฐานในการเดินทางในยุโรปได้เทียบเท่ากับกับ EU Digital COVID Certificate (EU DCC) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการฟื้นฟูการเดินทางและการท่องเที่ยวระหว่างกัน

ด้านเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ ยินดีที่ได้ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความร่วมมือสนับสนุนการทำงานมาตลอด โดยแสดงความชื่นชมการทำงานและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลไทย พร้อมเชื่อมั่นว่าไทยจะสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศตามที่ตั้งไว้ได้ ซึ่งทางสหภาพยุโรปยินดีให้การสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันเพื่อผลประโยชน์สูงสุดแก่ทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังได้แสดงความยินดีต่อการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC 2022 ของไทยซึ่งเป็นบทบาทของไทยในเวทีโลก เชื่อมั่นว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการขยายความร่วมมือทางการค้าการลงทุนและสามารถต่อยอดไปถึงภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งนี้ ขอให้ไม่ลืมที่จะคำนึงถึงสหภาพยุโรปในทุกความร่วมมือ เพราะยุโรปมีศักยภาพทั้งด้านการค้า การลงทุน เทคโนโลยี และอื่นๆ

ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ด้านยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งไทยยินดีมีส่วนร่วมกับยุทธศาสตร์ฯ ในการขับเคลื่อนวาระสำคัญซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่ท้าทายในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การพัฒนาที่ยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การอนุรักษ์ทะเล การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่จะมีความร่วมมือกันได้ต่อไป ด้านความตกลงทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน

โดยได้หารือถึงกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้าน (Comprehensive Partnership and Cooperation Agreement - PCA) ซึ่งมีความก้าวหน้าต่อเนื่อง โดยทั้งสองฝ่ายประสงค์ให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว ซึ่งทางเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปฯ มองว่า ไทยถือเป็นประเทศที่สำคัญในภูมิภาค ที่จะส่งผลประโยชน์ร่วมกันได้ด้านการค้าการลงทุน ทั้งสองฝ่ายเน้นย้ำการให้ความสำคัญต่อการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-EU โดยจะเร่งการเจรจาและกำหนดระดับเป้าหมายของ FTA ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 

“นายกฯ” เร่ง เบิกจ่ายงบประมาณ สั่ง รมต.ติดตามให้ตรงเป้า ลดปัญหาเบิกจ่ายพลาด 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบ ตามที่สำนักงบประมาณ รายงานภาพรวมการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2565 ไตรมาสที่1 เดือนต.ค.-ธ.ค.2564 พบว่างบประมาณรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่าย ก่อหนี้ผูกพันสูงกว่าเป้าหมาย โดยสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19ส่งผลให้หลายหน่วยงานต้องปรับแผนการปฏิบัติงาน การใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ทำให้บางส่วนเบิกจ่ายไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ประมาณเป็นไปตามเป้าหมาย 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯกำชับให้แต่ละกระทรวง หรือหน่วยงาน พิจารณาแนวทางดำเนินงาน กำหนดโครงการที่สอดคล้องกับปริบทใหม่ โดยให้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงบประมาณ คือ เร่งรัดการดำเนินการจัดซื้อ จัดจ้าง งบลงทุนรายการปีเดียว ให้ก่อหนี้ผูกพันให้เสร็จภายในไตรมาสที่2ของปีงบประมาณ เดือนม.ค.-มี.ค.2565 และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด รัฐมนตรีที่กำกับดูแล หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมาย กำกับหน่วยรับงบประมาณ ดูแล เร่งรัด ติดตามและประเมินการปฏิบัติงานการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งสำนักงบประมาณนำผลการเบิกจ่ายที่เกิดขึ้นมาเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณางบประมาณปี 2566 

"บิ๊กตู่” รักทุกคน  แนะ วาเลนไทน์ บอกรักผ่านออนไลน์  เผย อยากเห็นคนไทย รักสามัคคี 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันรณรงค์ประชาสัมพันธ์ วาเลนไทน์ ปลอดภัย “รักอย่างไร ไม่ติดโควิด” ในเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่อยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และไม่แน่ชัดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด จึงฝากทุกคนปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามวิถีใหม่ รับมือกับการแพร่ระบาด

โดยขอให้คู่รักเลือกใช้วิธีแสดงความรัก เว้นระยะห่างระหว่างกัน และลดการออกนอกบ้าน เป็นต้น หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ให้ใช้มาตรการป้องกันโรคโควิด- 19 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ขอให้แสดงความรักให้เหมาะสมและปลอดภัย เช่น ส่งของขวัญให้กัน,บอกรักผ่านวิดีโอคอลล์ให้กำลังใจกันเสมอ ,อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อคนรัก,Social Distancing และแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรักห่วงใย หรือบอกรักผ่านสื่อออนไลน์ เชื่อว่าทุกคู่รักจะคอยเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน 

“นายกฯ” สั่งเร่งวางโรดแมปสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย บุกตลาดสินค้าไทย พร้อมเสริมกำลังแรงงานไทย เชื่อมั่นต่อยอดความร่วมมือได้อีกทุกด้านที่มีศักยภาพ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งวางโรดแมปเพื่อสานต่อความร่วมมือไทย-ซาอุดีอาระเบีย ภายหลังการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 โดยเฉพาะด้านการค้าการลงทุน และด้านแรงงาน ซึ่งเป็นด้านที่ทั้งสองประเทศมีศักยภาพในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกัน โดยได้พิจารณาจัดตั้งกลไกความร่วมมือทวิภาคีเพื่อผลักดันกรอบนโยบายและแผนความร่วมมือต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม 

“โดยการฟื้นความสัมพันธ์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ได้ขยายความร่วมมือผ่านการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ โดยด้านการค้าการลงทุน จะเพิ่มโอกาสทางการตลาดให้แก่สินค้าและธุรกิจของไทย ซึ่งล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ ได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกของไทยไปยังซาอุดีอาระเบียในปี 2565 จะมีการขยายตัวกว่า 6.2% สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดการณ์ว่า ในปี 2565 ไทยจะมีโอกาสเติบโตได้ถึงร้อยละ 15 และจะมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการส่งออกสินค้าไปยังซาอุดีอาระเบีย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุน การทำธุรกิจและการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อต่อยอดไปยังสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักและทำการตลาดได้มากขึ้น เนื่องจากสินค้าไทยมีคุณภาพที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของซาอุดีอาระเบียได้โดดเด่นที่สุดในอาเซียน

โดยมีสินค้าเป้าหมาย 3 ประเภทหลัก ได้แก่ 1. สินค้าเกษตร โดยเฉพาะอาหารฮาลาล เช่น ข้าว อาหารทะเลแปรรูป ไก่สด ผลไม้ กาแฟ ขนมจากน้ำตาล เครื่องปรุงรส อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช 2. สินค้าอุตสาหกรรม ประเภทยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องใช้ไฟฟ้า 3. ภาคบริการ ผ่านโรงพยาบาลและบริการทางการแพทย์ ตลอดจนโรงแรมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งไทยล้วนมีศักยภาพในการผลิตและพร้อมส่งออก รวมถึงผ่านซาอุดีอาระเบียไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลาง “โฆษกรัฐบาลกล่าว

นานธนกร กล่าวว่า ด้านความคืบหน้าแรงงานไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อตกลงความร่วมมือในการจัดส่งแรงงานไทยเข้าทำงานในซาอุดีอาระเบีย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อประสานงานกับสำนักงานแรงงานของประเทศซาอุดีอาระเบีย ในการหารายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงาน ประเภทงาน ระดับทักษะฝีมือ และคุณสมบัติเบื้องต้นของแรงงานที่นายจ้างซาอุดีอาระเบียมีความต้องการ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมในการพัฒนาศักยภาพและปรับเพิ่มทักษะฝีมือแก่แรงงานไทย (upskill & reskill) เพื่อให้สอดรับกับความต้องการแรงงานของซาอุดีอาระเบีย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top