Monday, 29 April 2024
นายกรัฐมนตรี

‘วราวุธ’ ไม่สน!! ใครจะวิจารณ์มี ‘นายกฯ’ 2 คน เชื่อ!! ศักยภาพการทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียว

(19 ก.พ. 67) ที่กระทรวงพม. นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เมื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักโทษ และปล่อยตัวกลับบ้าน ทำให้รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อ่อนกำลังลง ว่า เรื่องนี้หากใครจะมองว่าเกี่ยว ก็เกี่ยวได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วตนคิดว่าการทำงานของรัฐบาลตลอด 5-6 เดือนที่ผ่านมานั้น ได้เดินหน้าไปมากพอสมควร ซึ่งตนพูดในนามของกระทรวงอื่นไม่ได้ แต่พูดในนามของกระทรวงพม. ที่ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอยู่นั้น ก็ได้ดำเนินการไปหลายเรื่องอย่างมาก ดังนั้นศักยภาพในการทำงานของรัฐบาลคงไม่น่าขึ้นอยู่กับบุคคลเพียงบุคคลเดียวไม่ว่าจะอยู่โรงพยาบาล อยู่ที่บ้าน หรืออยู่ที่ใด ตนคิดว่าศักยภาพในการทำงาน ของรัฐบาลขึ้นอยู่กับตัวนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คนมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า บางคนมองว่าจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ นายวราวุธ กล่าวว่า อันนี้ตนเห็นต่าง เพราะการทำงานของครม. ตามที่ตนเคยได้พูดไปแล้วคือปัญหาของประชาชนมีอยู่ทุกวัน ดังนั้นบทบาทภารกิจการทำงานของทุกกระทรวงย่อมเดินหน้าเต็มที่เหมือนเดิม อย่างเช่นกระทรวงพม. ที่พรรคชาติไทยพัฒนาดูแลอยู่ ถึงจะอย่างไรก็แล้วแต่ เราทำงานกันจนนาทีสุดท้าย เพื่อการแก้ไขปัญหาสังคมที่มีอยู่มากมาย

เมื่อถามถึงกรณีเสียงวิจารณ์ที่ระบุว่าขณะนี้ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 2 คน หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า หากจะบอกว่ามี 3 หรือ 4 คน หรือ 5 คน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบางครั้งนายกรัฐมนตรีจะต้องมีทีมที่ปรึกษาคอยให้คำปรึกษา หรือแม้แต่รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงก็ยังมีที่ปรึกษา เช่นตนก็มี น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา เป็นที่ปรึษา รวมถึงคณะที่ปรึกษาอีกหลายคน จึงไม่น่าแปลกใจที่นายกรัฐมนตรีจะมีที่ปรึกษา ส่วนนายกฯ จะปรึกษาใคร ก็เป็นสิ่งที่ท่านพึงใช้วิจารณญาณของตนเอง แต่การที่จะมีนายกรัฐมนตรีหลายคน ตนก็ยังเห็นต่างอยู่ว่า มีคนเดียวอยู่เช่นเดิม 

เมื่อถามว่าเสียงวิจารณ์ต่างๆ เหล่านี้จะทำให้คณะรัฐมนตรีบั่นทอนในการทำงานหรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า ตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่สำหรับตนไม่บั่นทอนแน่นอน เพราะปัญหาของประเทศชาติปัญหาของพี่น้องประชาชนคือกำลังที่จะทำให้ตนสามารถเดินไปข้างหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับเพื่อนๆ ข้าราชการในกระทรวงพม.ในการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

'นายกฯ' ชวนคนไทยสวมเสื้อเหลือง เนื่องในปีมหามงคล นัด!! ทุกหน่วยงานรัฐ-รัฐวิสาหกิจ-เอกชน พร้อมใจทุกจันทร์

(19 ก.พ. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน X ว่า “เนื่องในปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ผมในนามรัฐบาลขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ทุกหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์ ในทุกๆ วันจันทร์ และโอกาสที่เหมาะสม เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านครับ”

'นายกฯ' ย้ำ!! ลงพื้นที่ไม่ต้องตามไปเยอะ  เน้นแค่คนที่จำเป็น ไม่ต้องสนเรื่องบารมี 

(20 ก.พ.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ว่า นายกฯ ระบุว่าก่อนหน้านี้เคยสั่งการไปแล้วว่าขอให้ลดจำนวนผู้ติดตามในการลงพื้นที่ตรวจราชการ แต่ปรากฏว่าขบวนก็ยังยาวอยู่ คนติดตามก็ยังเยอะอยู่ นายกฯ จึงขอย้ำว่าจากนี้ให้ลดจำนวนผู้ติดตามลง อย่าทำให้มันเกิดปัญหากับประชาชนในเรื่องการจราจร และเรื่องอื่น ๆ ซึ่งนายกฯ กังวลเรื่องนี้ ฉะนั้น ครม.ทุกท่านได้รับการย้ำแล้วว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องบารมีอะไร เอาคนไปเท่าที่จำเป็น อย่ายกกันไปเยอะเกินไป พี่น้องประชาชนจะไม่แฮปปี้

‘ดร.เอ้’ เตือน ‘นายกฯ’ อย่าเร่งแก้ปัญหารถติด ‘ถ.พระราม 2’ ฉาบฉวย หวั่นเกิดอุบัติเหตุซ้ำ แนะ!! ให้ยึดมาตรฐานความปลอดภัยเป็นหลัก

(27 ก.พ.67) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม.ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘เอ้ สุชัชวีร์’ แสดงความเป็นห่วงในการเร่งแก้ปัญหาก่อสร้างถนนพระรามสอง หลังนายกรัฐมนตรีระบุจะติดตามและเร่งรัดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ล่าช้า ซึ่งสร้างปัญหาให้กับผู้สัญจรไปมาและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะถนนพระรามสองที่ก่อสร้างล่าช้า กลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวไปเที่ยวหัวหินน้อยลง ซึ่งจะเร่งแก้ปัญหาเพื่อให้สามารถเดินทางได้สะดวกขึ้นก่อนเทศกาลสงกรานต์นี้

โดย ดร.เอ้ ระบุว่า ผมห่วงประชาชนจริงๆ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าท่านนายกฯ ไปเร่งงานพระรามสอง ตนเองเกรงว่าการที่ตาลีตาเหลือก ลุยจนไม่ระมัดระวัง มีการเร่งงาน อาจมีเหตุการณ์ของหล่น ทับคนตาย คนเจ็บ ซึ่งเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยครั้ง และเกิดซ้ำซากในสังคมไทย การที่ทำให้เสร็จเร็ว คือ ดี แต่การที่มีคนบ่นที เร่งที คือ ‘ฉาบฉวย’ ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ดี ‘การวางแผนงาน’ ล่วงหน้า ‘การติดตาม’ ใกล้ชิด และยึดหลัก ‘มีมาตรฐาน’ ความปลอดภัยต่างหากคือการแก้ปัญหา จบเร็ว และดี

“พระรามสอง สร้างไม่เคยเสร็จ รถติดหนัก เศรษฐกิจสะเทือน การที่นายกฯ แสดงความห่วงใยประเด็นผลกระทบเรื่องเศรษฐกิจการท่องเที่ยวถือเป็นเจตนาที่ดี แต่การเร่งงาน เร่งอันตราย ทำลวกๆ จะก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าได้ จึงอยากให้ยึดเรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และมองหาแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบอื่นควบคู่กันไปด้วย” ดร.เอ้ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ดร.เอ้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม และเป็นอดีตนายกสภาวิศวกร ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงและเตือนถึงอันตรายและปัญหาในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ในกรุงเทพมหานครหลายโครงการ โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนถนนพระรามสอง ซึ่งถือเป็นการก่อสร้างที่ยาวนานส่งผลกระทบต่อชุมชน ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ทำให้ชีวิตคนกรุงเทพ ยังคงเสี่ยงตาย เสี่ยงบาดเจ็บได้ตลอดเวลา จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วกรุงเทพที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย

พร้อมย้ำหากมีการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบ สอบสวนอุบัติเหตุขนาดใหญ่ต่างๆ รวมถึงรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน เพื่อที่หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก ประชาชนสามารถร้องเรียนกับองค์กรนี้ได้ หรือเวลาเกิดเหตุการณ์ สามารถนำคนผิดมาลงโทษ และเยียวยาผู้ได้รับความสูญเสียอย่างเป็นธรรมได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับประชาชนอย่างแท้จริง

‘พายัพ’ ซัด ‘ชัยธวัช’ อย่าคิดฝันหวาน จะล้มรัฐบาล เย้ย ‘ก้าวไกล’ เหมาะสมแล้วที่เป็นฝ่ายค้าน ขอให้ทำต่อไปนานๆ 

(3 มี.ค.67) นายพายัพ ปั้นเกตุ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ สส.ของพรรคหลายคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าจะมีนายกฯ 2 คน ว่า เป็นเจตนาหวังผลทางการเมือง ต้องการทำให้เกิดความสับสนหวาดระแวงขึ้นในรัฐบาลและพี่น้องประชาชน จึงขอให้หัวหน้าพรรคและ สส.พรรคก้าวไกลหยุดการกระทำ เลิกยุแยงตะแคงรั่ว ลงทุนตอกลิ่มหวังผลให้รัฐบาลสั่นคลอน

“ขอให้ตื่นกันได้แล้ว อย่าฝันหวานเรื่องการสั่นคลอนรัฐบาลเลย เพราะนายเศรษฐาเป็นคนตั้งใจทำงาน การคิดเช่นนั้นเหมือนฝันกลางแดด พรรคก้าวไกลเหมาะสมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็ขอให้ทำต่อไปนานๆ จนครบวาระ 4 ปี”

นายพายัพ ยังกล่าวต่ออีกว่า หากมีเวลาว่างก็ควรเอาเวลาเตรียมข้อมูลข้อกฎหมายไว้ต่อสู้คดีล้มล้างการปกครอง อย่าไปห่วงรัฐบาลหรือนายกฯ เลย เพราะพรรคเพื่อไทยต่อสู้ทางการเมืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนมายาวนาน จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน พัฒนาประเทศไทย นำพาพี่น้องประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากจน และก้าวไปข้างหน้าเทียบเท่านานาอารยประเทศ

'เศรษฐา' เยือน!! 'เยอรมนี' ใต้อุณหภูมิ 2 องศา หยอดหวาน 'ผ้าขาวม้าร้อยเอ็ด' ช่วยให้อบอุ่น

(7 มี.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน X หรือทวิตเตอร์ ภายหลังเดินทางถึงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระบุว่า “เดินทางถึงเยอรมันแล้วครับ ลงเครื่องมาอุณหภูมิอยู่ที่ 2 องศา ได้ผ้าขาวม้าสวย ๆ จากพี่น้องชาวร้อยเอ็ดนี่แหละครับช่วยให้อบอุ่น”

“วันนี้ผมมีภารกิจที่กรุงเบอร์ลินช่วงสั้น ๆ คือการเข้าร่วมงาน ITB Berlin 2024 งานแสดงสินค้าด้านการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจัดในเดือนมีนาคมของทุกปี พร้อมพบผู้บริหารบริษัทเอกชนของเยอรมนี ก่อนจะเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐฝรั่งเศสครับ” นายเศรษฐา ระบุ

‘ญี่ปุ่น’ ทำแบบสำรวจ ใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไปที่ดีที่สุดจาก ‘8 ตัวเต็ง’  ผลปรากฏ!! ไม่มีผู้สมัครคนไหนได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่า 1 ใน 3


ไม่มีสิ่งใดที่กล่าวมาจะส่งผลต่อการเลือกตั้งทั่วไปของญี่ปุ่น เพราะมีโอกาสน้อยมากที่พรรคอื่น ๆ ของญี่ปุ่นจะสามารถเอาชนะพรรคเสรีประชาธิปไตย (พรรค LDP) ได้

โดยผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่นและสิงคโปร์ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา มีพรรคที่ชนะการเลือกตั้งและมีอำนาจทางการเมืองเพียงพรรคเดียวโดยตลอด ช่วงเวลานี้แม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่การจัดอันดับในค่าดัชนีความเป็นประชาธิปไตยนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก โดยญี่ปุ่นอยู่ลำดับที่ 26 และสิงคโปร์อยู่ลำดับที่ 86 ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของการคำนวณในการจัดลำดับของค่าดัชนีความเป็นประชาธิปไตย

ทั้งนี้ แบบสำรวจของ Mainichi Shimbun ในคำถามที่ว่า “ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคนต่อไปได้ดีที่สุด” มีชาวญี่ปุ่นผู้ตอบแบบสำรวจเพียง 1% เท่านั้นที่เลือก Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน โดยตัว Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่นกำลังดิ้นรนอย่างหนัก จากการสำรวจล่าสุดจาก Mainichi Shimbun สื่อใหญ่ของญี่ปุ่นได้ถามคำถามกลุ่มผู้ตอบแบบสำรวจว่า ใครสมควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปที่ดีที่สุดในบรรดาผู้สมัคร 8 คนจากพรรครัฐบาล (พรรค LDP) 

ซึ่งคำตอบก็คือ…

- Shigeru Ishiba อดีตเลขาธิการพรรค LDP ได้ 25%
- Yoko Kamikawa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ได้ 12%
- Sanae Takaichi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ได้ 9%
- Shinjiro Koizumi อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อม ได้ 9%
- Taro Kono รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ได้ 7%
- Seiko Noda อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสาร ได้ 2%
- Fumio Kishida นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ได้ 1%
- Toshimitsu Motegi เลขาธิการพรรค LDP ได้ 1% 

และไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนสนับสนุนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 34%

‘นายกฯ’ ตอก!! ‘แบงก์ชาติ’ ชี้ หน่วยงานอื่นยังมีจิตสำนึก ลดดอกเบี้ยช่วยประชาชน

(15 มี.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการรับฟังแถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้เงินกู้แก่บุคลากรของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐว่า ขอขอบคุณเกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้อง และชื่นชมในการตั้งใจทำงาน ส่วนตัวเชื่อว่า หลายคนอาจจะไม่ได้ประสบปัญหาเยอะแบบเดียวกับข้าราชการอีกหลายแสนคน ซึ่งข้าราชการเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ แต่ยังมีหนี้สิน ชักหน้าไม่ถึงหลัง 

“ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ดอกเบี้ย ถือเป็นสารตั้งต้นหายนะของประเทศ ต้องขอใช้คำนี้ เพราะไม่ใช่แค่เพียงมีเงินไม่พอ แต่หันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด เพื่อทำให้จิตใจดีขึ้น สบายใจขึ้น ถือเป็นความเข้าใจผิด หรือไปทุจริตประพฤติมิชอบ เป็นสารตั้งต้นที่ไม่ถูกต้อง”

เพราะฉะนั้นการรวมตัวกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขกฎหมายว่าไม่ต้องออกจากราชการ มีเงินใช้ 30% รวมถึงสินเชื่อพิเศษ ลดดอกเบี้ย ซึ่งตนเข้าใจว่าหลายหน่วยงานต้อง หวังเรื่องการปันผลหรือผลกำไร แม้ว่าแบงก์ชาติจะไม่ลด แต่หน่วยงานช่วยกันลด ก็ขอขอบคุณจากใจจริง และเชื่อว่าข้าราชการในหน่วยงานนั้นๆ ก็ขอบคุณเช่นเดียวกัน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า เข้าใจว่าแต่ละหน่วยงานก็มีเป้าหมายของตัวเอง การที่ต้องเฉือนเนื้อเพื่อลดกำไร ถือเป็นเรื่องที่ดี และขอฝากข้อคิดว่า ต้องการให้หน่วยงานสหกรณ์เข้ามาร่วมโครงการนี้ให้มากขึ้น และขอให้ทำงานหนักขึ้น เชื้อเชิญให้เข้ามาอยู่ในระบบให้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้หนี้สินเหล่านี้ไม่ได้ลดลงไป แต่เชื่อว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีขีดจำกัดในการทำงานพอสมควร เพราะเป็นผู้บริหารระดับสูง จึงจะต้องหาวิธีการการแก้ปัญหา จึงขอให้ทะเยอทะยานมากขึ้น พยายามช่วยเหลือประชาชนให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งก็เชื่อว่าผู้นำเหล่าทัพมีความใกล้ชิด และเข้าใจความลำบากของ ประชาชนอยู่แล้ว

จากนั้น นายเศรษฐา ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ที่ทุกหน่วยงานอยากให้มีการลดเบี้ยหมด ถือเป็นการลดรายจ่ายส่วนหนึ่ง อย่างน้อยหากธนาคารแห่งประเทศไทยยืนยันจะไม่ลดดอกเบี้ย แต่ก็มีหน่วยงานอื่นที่มีจิตใจสำนึกในการลดอัตราดอกเบี้ย ขอขอบคุณหน่วยงานเหล่านั้น เพราะการทำงานทำด้วยใจจริงๆ เชื่อว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บริหารระดับสูง เห็นความลำบากของประชาชนจริงๆ โดยเฉพาะภาระหนี้สิน อย่างที่เคยกล่าวไว้ ภาระหนี้สินของประชาชน คือสารตั้งต้นของความหายนะของประเทศ ตอนนี้เราต้องช่วยกันก่อน

ส่วนหนี้ กยศ. ที่อยากให้ลดเหลือ 0.5 นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตรงนี้ตนเองก็จะไปช่วยดู และตระหนักดีว่าเป็นความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยันว่าเรายังช่วยดูแลกันอย่างเต็มที่ ที่เรายังช่วยดูแลกันได้ ซึ่งได้บอกไปในที่ประชุมว่า หากช่วยกัน ช่วยกันได้อีก รวมถึงการขยายวงเงิน และบอกอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ไปด้วยว่า ควรที่จะเร่งเอาสหกรณ์เข้ามาอยู่ในโครงการด้วยโดยเร็ว และมีอีกหลายอย่างที่ทำกันได้อยู่ ซึ่งเราเพิ่งเริ่มทำกันมาได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น เราได้ผลส่วนหนึ่งแล้ว ขณะที่ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นายกิติรัตน์ ณ ระนอง ก็มีแรงใจในการทำเรื่องนี้มาก ลงไปพูดคุยในหลายหน่วยงาน พยายามทำให้ทุกคนมีความทะเยอทะยานในการช่วยเหลือ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว ดูจากแววตาของผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลายในวันนี้ ซาบซึ้งถึงความลำบากของประชาชน

‘อาจารย์อุ๋ย’ ฟาด ‘เศรษฐา’ วางตัวไม่เหมาะสม เหตุไปขอคำปรึกษาจาก ‘นักโทษคดีทุจริต’ ชี้ ทำต่างชาติ หมดความเชื่อมั่น

เมื่อวานนี้ (15 มี.ค.67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ และอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสเฟซบุ๊กแสดงความเห็นว่า 

บางท่านอาจจะยังไม่รู้ว่า หลักนิติธรรม ซึ่งหมายถึง หลักการปกครองที่กฎหมายเป็นใหญ่และบังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคคำนึงถึงสิทธิพื้นฐานของประชาชน ตัวกฎหมายมีความเป็นธรรม ทันสมัย มีที่มาชอบธรรม บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมมีความเที่ยงธรรม ประชาชนเข้าถึงและได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม กับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นมีความเกี่ยวพันกันอย่างยิ่ง 

เพราะหลักนิติธรรมที่เข้มแข็งจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในระบบกฎหมายของประเทศที่ตนจะมาลงทุน ไม่ต้องกังวลกับ 'ต้นทุน' หรือ cost ที่มองไม่เห็น และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจจะต้องหมดไปกับการคอร์รัปชันและการเผชิญกับอุปสรรคที่เกิดจากกฎหมายหรือการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบือน และตั้งแต่ พ.ศ. 2558 สหประชาชาติได้ประกาศให้หลักนิติธรรมเป็น 1 ใน 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่ง Word Justice Project (WJP) ได้จัดทำดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม (Rule of Law Index) เพื่อเป็นเครื่องมือในการประเมินความมีนิติธรรมของแต่ละประเทศในทุกปี ประกอบด้วย 8 ปัจจัยชี้วัดหลัก ได้แก่ การจำกัดอำนาจรัฐอย่างเหมาะสม การปราศจากการคอร์รัปชัน รัฐบาลโปร่งใส สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคง การบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง และกระบวนการยุติธรรมทางอาญา

ทั้งนี้ ในปี 2566 ประเทศไทยได้คะแนนดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรม 0.49 คะแนน จากคะแนนเต็ม 1 คะแนน จัดอยู่ในอันดับที่ 82 จาก 142 ประเทศทั่วโลก ถดถอยลงจากปี 2565 ที่ได้คะแนน 0.50 และต่ำที่สุด นับตั้งแต่ปี 2558 ที่ประเทศไทยเข้าสู่การสำรวจ

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวัน 11 กันยายน 2566 ว่า “รัฐบาลจะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยการฟื้นฟูหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่เข้มแข็ง มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับจากนานาประเทศ เพราะการมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางความคิดและสังคมที่สําคัญของประเทศ เป็นการลงทุนทําให้ประเทศไทยมีหลักนิติธรรมที่น่าเชื่อถือที่ใช้งบประมาณของรัฐน้อยที่สุด แต่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดในการพัฒนาประเทศ” 

แต่วันนี้นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยกลับหน้าระรื่นไปดินเนอร์กับคุณทักษิณ ซึ่งยังคงอยู่ในสถานะของ 'นักโทษคดีทุจริต' ซึ่งอยู่ระหว่างพักโทษ ออกสื่อไปทั่วโลก แถมบอกหน้าตาเฉยด้วยว่าได้ขอคำปรึกษาการบริหารเศรษฐกิจจากคุณทักษิณ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่า ต่างชาติเขาจะมองเราอย่างไรที่ผู้นำประเทศต้องไปขอคำปรึกษาจากผู้ต้องโทษคดีทุจริตต่อบ้านเมือง ซึ่งสวนทางกับมาตรฐานของสากลโลกในเรื่องระบบนิติธรรม และสวนทางกับนโยบายที่ท่านนายกแถลงออกจากปาก สงสัยว่าที่ท่านนายกและคณะบินไปประเทศนู้นนี้ (ด้วยเงินภาษี) และจีบแขกบ้านแขกเมืองมาลงทุน จะสูญเปล่าเสียแล้วกระมัง เมื่อต่างชาติเขาเห็นผู้นำประเทศของเราไปสนิทสนมและปรึกษาราชการงานเมืองกับนักโทษคดีทุจริต แล้วเขาจะคาดหวังได้มั้ยว่าประเทศไทยจะมีหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง เพื่อรองรับการลงทุนของเขา

ด้วยความปรารถนาดี   

‘อมรัตน์’ ซัดใส่ ‘ทักษิณ’ ทุเรศ หลังให้สัมภาษณ์ ขอความเห็นใจ พูดได้หน้าไม่อาย ลากประเทศไทยให้ถอยหลัง แล้วบอกให้ ต่างคนต่างอยู่

(17 มี.ค.67) นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กต่อเนื่อง ให้ความเห็นกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าใครที่ไม่ชอบหน้า ขอให้ต่างคนต่างอยู่ 

โดยโพสต์แรก นางอมรัตน์ได้แชร์ข่าวพร้อมระบุว่า ดีลของคุณมันเห็นแก่ตัวเกินไป เมื่อเลือกที่จะเห็นแก่ได้จนกระทบความรู้สึกผู้คนทั้งสังคม 

ต่อมาได้โพสต์คลิปและข้อความอีกว่า เป็นคน "มาสว่างไปมืด" ไปเสียแล้ว ก็ควรน้อมรับเสียงก่นด่าวิพากษ์วิจารณ์ แหงนหน้าก็อายฟ้า ก้มหน้าก็อายดิน ทุเรศ !

และโพสต์สุดท้ายเป็นข้อความ ว่า ลากประเทศถอยหลังเสร็จบอกขอความเห็นใจให้ต่างคนต่างอยู่ Sus


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top